Wednesday, 15 May 2024
ดร.ชัยวุฒิ จิตต์กุศล

ประสบการณ์แห่งการเงียบที่ทำท้อใจ แต่นานไปกลับพูดได้จนน่าแปลกใจตัวเอง

ท่านผู้อ่านคงจำได้ว่าผู้เขียนได้มาที่ตึกนี้แล้วครั้งหนึ่งแล้วเพื่อมาสอบเทียบระดับภาษา ตอนนั้นทั้งใจเสียที่เรามาหลังจากวันโรงเรียนเปิดเทอม ทั้งกลัวที่จะไม่มีที่ซุกหัวนอน และทั้งหัวสมองมึนเพราะต้องปรับตัวกับเวลาที่หมุนช้าจากกรุงเทพฯไปสิบเอ็ดชั่วโมง เราเลยไม่มีเวลาสำรวจว่าสถานศึกษาที่อเมริกากับประเทศเราต่างกันอย่างไร 

งวดนี้มาตัวคนเดียวเป็นหนแรกความอยากรู้อยากเห็นเลยบันดาลใจให้เราสังเกตสิ่งรอบตัวมากขึ้น ตึกเป็นตึกค่อนข้างเก่าผสมทั้งอิฐและปูนซีเมนต์ ประตูเข้าเหมือนประตูสำนักงานห้องแถวทั่ว ๆ ไป ความคิดที่แว่บขึ้นมาตอนนั้นเดาว่าตึกนี้คงเคยเป็นของภาควิชาอื่นมาก่อน เมื่อภาคนั้นขยายจำนวนอาจารย์และนักเรียนเลยย้ายไปที่ตึกสร้างใหม่ ตึกนี้จึงยกให้กับโรงเรียนสอนภาษา จึงไม่มีการบูรณะให้เข้ากับสมัย 

ข้างล่างเป็นห้องโถงโล่ง ๆ กลิ่นเก่าชื้น ๆ มีโปสเตอร์เกี่ยวกับมหาวิทยาลัยและโปรแกรมภาษาอังกฤษแปะเต็มไปหมด ไม่มีพนักงานหรือยามคอยให้ข้อมูลนักเรียนที่มาใหม่ มีป้ายอธิบายแผนกต่าง ๆ ในแต่ละชั้นแต่ไม่เด่น เนื่องจากเราเคยมาแล้วถึงรู้ว่าสำนักงานและห้องเรียนนั้นอยู่บนชั้นสอง

เมื่อเดินขึ้นบันไดขั้นสุดท้าย ข้างหน้ามีเคาน์เตอร์ยาวซึ่งพนักงานกำลังง่วนให้ข้อมูลต่าง ๆ กับนักเรียนอยู่ บนบอร์ดไม้ข้าง ๆ พนักงานมีกระดาษแปะเลขที่ห้องเรียนและชื่อนักเรียน เรามองหาชื่อตัวเองซึ่งไม่ยากนักเพราะว่าทั้งชื่อทั้งนามสกุลนั้นขึ้นด้วย C จึงเป็นคนต้น ๆ ของนักเรียนในห้อง พอเรารู้เลขที่ห้องเรียนแล้วเลยจรลีไปหาที่นั่งหลังห้อง เพื่อนร่วมห้องก็มองอย่างแปลกใจเพราะวันแรกไม่เห็นเราในห้อง เราก็ยิ้มเขิน ๆ ให้พวกเขาและนั่งรอจนครูเข้าห้องมา 

ครูของเราเป็นผู้หญิงรูปร่างสันทัดชื่อเอเดรียน ซัลส์ (Adrienne Saltz) อายุประมาณสามสิบปีผมดำหยักศกตัดสั้นประคอดูกระฉับกระเฉง เนื่องจากเป็นวันแรกที่เราเข้าเรียนครูก็แนะนำตัวเองโดยใช้ชื่อ,นามสกุล,ชื่อที่ต้องการให้คนในห้องเรียนเรียก, และเมืองและประเทศที่มา 

เมื่อได้ยินครูบอกว่าให้เรียกเธอว่าเอเดรียน เราก็รู้สึกแปลกใจมากเพราะเท่าที่ได้ฟังมาจากภาพยนตร์อเมริกันนั้น ครูส่วนใหญ่จะให้นักเรียนเรียกคำนำหน้ามิสเตอร์ มิส หรือมิสซิสแล้วตามด้วยนามสกุล ในกรณีอย่างครูเอเดรียนนี่ควรจะเป็นมิสซิสซัลส์ เพราะเธอใส่แหวนแต่งงานนิ้วนางซ้ายแล้ว แต่ตอนหลังถึงเข้าใจว่าครูสอนภาษาส่วนใหญ่ให้เรียกชื่อต้นเพื่อความเป็นกันเองนักเรียนจะได้สนทนาภาษาอังกฤษอย่างไม่เคอะเขิน 

ส่วนตัวเราเองนั้นชาวต่างชาติเรียกว่าโจมาตั้งแต่อายุเก้าขวบตอนที่มาเยี่ยมพี่ชายคนโตที่รัฐโอไฮโอ ตอนนั้นมาอยู่ที่อเมริกาสามเดือน คุณพ่อคุณแม่ไม่อยากให้อยู่บ้านเฉย ๆ เลยส่งให้ไปเรียนกับเด็กอนุบาลเพื่อให้เราได้ภาษา คุณพ่อก็กลัวว่าเด็ก ๆ จะเรียกชื่อจริงหรือชื่อเล่นไทยไม่ได้ เลยเอาชื่อหมาที่เฝ้าบ้านที่กรุงเทพฯ มาตั้งให้ เพราะเป็นชื่อที่มาจากภาษาอังกฤษอยู่แล้ว หลังจากที่เราแนะนำตัวเองเพื่อน ๆ แต่ละคนก็แนะนำตัวเอง เพื่อน ๆ ในห้องนั้นมาจากหลากประเทศทั่วโลก แต่คนที่เราสนิทด้วยก็คือ เพื่อนสาวชาวไทยชื่อเหมียวและชาวฝรั่งเศสชื่อกาเบรียล (Gabrielle)

เนื่องจากเราเรียนภาษาระดับสูง ตอนบ่ายเราสามารถจะเลือกเรียนวิชาที่เตรียมตัวไปเรียนในระดับมหาวิทยาลัยได้ ตอนนั้นมีให้เลือกสามสายคือ การเมือง วรรณคดี และธุรกิจ ตัวเราเองนั้นตั้งใจจะมาเรียนต่อทางด้านโฆษณาจึงเลือกสายธุรกิจ ซึ่งครูเอเดรียนจะเอานิตยสารทางด้านธุรกิจ เช่น Forbes หรือ Businessweek มาให้อ่าน แล้วเหล่านักเรียนก็จะตอบคำถามของครูเพื่อเช็กความเข้าใจบทความที่อ่านไป 

ลุยรถไฟใต้ดิน ครั้งแรก!! การใช้บริการระบบรางสู่ ม.บอสตัน ถามตัวเองว่า “เราจะใช้ชีวิตอยู่ที่นี่อีกกี่ปีหนอ”

เช้าตรู่ของวันรุ่งขึ้น เราก็รีบตื่นนอนก่อนคนอื่น เพื่อที่จะได้ใช้ห้องน้ำให้เสร็จ ญาติๆ จะได้ไม่ต้องมาทนฟังเราทำธุรกิจส่วนตัวให้ขยะแขยงโสตประสาท พอคุณอาหญิงตื่นขึ้นมา ก็บอกให้เราหาอาหารทาน 

ตอนเช้าบ้านคุณอา น้องๆ จะทานซีเรียลกันก่อนไปโรงเรียน ส่วนเราเป็นคนไม่ชอบทานอาหารเช้า เราก็เลยขอบคุณคุณอาและไปนั่งดื่มกาแฟอ่านนิตยสารไทยรอไปพลางๆ ในห้องนั่งเล่น เมื่อคุณอาทั้งสองอาบน้ำแต่งตัวเสร็จก็พาเราเข้าเมืองไปพร้อมๆ กัน 

ขณะที่ขับรถจะผ่านโรงพยาบาลเมาต์ออเบิร์น (Mount Auburn Hospital) ในเมืองแคมบริดจ์ (Cambridge) คุณอาทั้งสองก็เล่าให้ฟังว่า ในหลวงรัชกาลที่เก้าประสูติที่โรงพยาบาลนี้ เราถึงกับปลื้มใจยกมือไหว้รำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณที่พระองค์ท่านมีต่อประเทศชาติและเหล่าพสกนิกร และทำเช่นนี้ทุกครั้งที่ผ่านโรงพยาบาลนี้ เมื่อมาถึงร้านแว่นตาที่คุณอาทั้งสองทำงาน คุณอาหญิงก็บอกว่าท่านจะสอนให้เราเดินทางไปกลับจากที่ทำงานท่านและโรงเรียนสอนภาษา ตอนนั้นที่ทำงานท่านอยู่ในถนนบอยล์สตัน (Boylston Street) ถนนช็อปปิ้งสายหลักของบอสตัน ซึ่งมีร้านค้าต่างๆ มากมาย 

นอกจากนั้นสถานีรถไฟใต้ดินก็อยู่ใกล้กับออฟฟิศคุณอา เดินไม่เกินสามนาทีก็ถึง ท่านสอนเราง่ายๆ ว่าเวลาเรานั่งรถจากออฟฟิศท่านไปโรงเรียนให้ขึ้นสถานีออกนอกเมือง (Outbound) และลงที่สถานีบียูเซ็นทรัล (BU Central) ส่วนขากลับมาหาท่านให้ขึ้นสถานีเข้าเมือง (Inbound) และลงที่ป้ายถนนบอยล์สตัน เนื่องจากเป็นวันแรกที่เราใช้ขนส่งมวลชนของรัฐ (MBTA หรือ Massachusetts Bay Transportation Authority) คุณอาเลยให้เหรียญที่จ่ายค่าโดยสาร (token) เป็นเหรียญทองเหลืองใหญ่กว่าเหรียญบาท แต่เล็กกว่าเหรียญห้าบาทปัจจุบัน ท่านให้ไว้สองเหรียญ เพื่อขาไปและกลับ และชี้ให้เราเห็นตู้ที่มีพนักงานขายเหรียญ 

ท่านบอกว่าจริงๆ แล้วเราสามารถที่จะเอาเศษเหรียญจริงๆ จำนวนแปดสิบห้าเซ็นต์มาหยอดได้ ไม่ต้องแลกเหรียญค่าโดยสารก็ได้ แต่บางทีคนก่อนเราอาจจะหยอดเหรียญไม่ครบ ทำให้เราต้องเสียเวลามาจ่ายค่าต่างแทนคนอื่น ดังนั้นแลกเหรียญจ่ายค่าโดยสารไว้ใช้ดีที่สุด โดยเฉพาะบางสถานีจะไม่มีพนักงานขายเหรียญ ถ้าเราไม่มีเงินจ่าย คนขับรถจะพาลไม่ให้ขึ้นเอา ต้องเดินขาลากมาออฟฟิศคุณอา เราได้ยินดังนั้นก็จำไว้ติดใจว่าต้องมีเหรียญไว้จ่ายค่าเดินทางไว้ติดกระเป๋าอยู่เสมอเพื่อไม่ให้พลาดรถ

เมื่อพูดถึงรถไฟใต้ดินของรัฐแมสซาซูเซตส์ ต้องขออนุญาตนอกเรื่องเล่าถึงระบบและสายรถไฟต่างๆ ในยุคนั้นไว้เป็นสังเขป จริงๆ แล้วการที่ใช้คำว่ารถไฟใต้ดินนั้นไม่ถูกเลยทีเดียว เพราะรถโดยสารประเภทนี้ลงทั้งใต้ดินและแล่นบนถนนเคียงข้างกับรถยนต์ ควรจะเรียกว่ารถรางจะเหมาะกว่า ส่วนที่ว่าคนไทยติดใช้คำว่ารถไฟใต้ดินคงจะเป็นเพราะคุ้นเคยกับระบบรถใต้ดินจริงๆ ของปารีสที่รู้จักกันอย่างดีในนามเมโทร (Metro) ส่วนรถใต้ดินของรัฐแมสซาซูเซตส์นั้นเรียกว่าซับเวย์ (Subway) หรือผู้โดยสารทั่วๆ ไปจะเรียกย่อๆ ว่าที (T) มีสี่สาย แต่ละสายใช้สีต่างๆ เป็นสัญลักษณ์คือ เขียว, แดง, ส้ม และน้ำเงิน 

เจอะเจอคุณอา เมื่อความเกรงใจแบบคนไทย ต้องแพ้พ่ายต่อที่พักที่เกินจะรับไหว

หลังจากที่คุณอาผู้หญิงได้ยินชื่อเต็มซึ่งรวมทั้งนามสกุลของเราท่านก็บอกโอเปอเรเตอร์ว่า ท่านยินยอมจ่ายเงินค่าโทรศัพท์ที่จะคุยกับเรา ทางโอเปอเรเตอร์เลยสับสายให้เราได้คุยกับคุณอา คุณอาเริ่มต้นบทสนทนาถามไถ่สารทุกข์สุกดิบของครอบครัวเราและตัวเรา 

สุดท้ายท่านถามว่าเราพักอยู่ที่ไหน เราตอบท่านตรงๆ ว่าเราอยู่หอพักนักศึกษา แต่ต้องแบ่งห้องกับรุ่นน้องที่เรียนปริญญาตรีที่เรายังไม่ได้ทำความรู้จัก ท่านถามต่อว่าเราซื้อฟูกนอนแล้วหรือ เราก็งงเต็กนึกว่าทางมหาวิทยาลัยจะจัดที่นอนให้เรียบร้อยเหมือนโรงแรม เพราะเราแค่เข้าไปนอน 

คุณอาบอกว่าเป็นหน้าที่ของเราที่ต้องซื้อฟูก หมอน และผ้าห่ม เราก็เลยยอมรับกับท่านไปว่า เราโง่สนิทไม่ได้รู้มาก่อนเลยว่าเราต้องเตรียมเครื่องนอนก่อนที่จะเข้าหอพัก ท่านเลยอาสาว่าท่านกับสามีจะมารับเราไปซื้อของเข้าห้อง แต่ก่อนวางสายท่านถามเราว่าจะมาอยู่กับท่านก่อนไหม แล้วค่อยย้ายออกเมื่อเราเจอที่พักที่ถูกใจ 

เราเพิ่งมาจากประเทศไทย ก็ติดนิสัยเกรงใจกลัวว่าเราจะกวนท่านและครอบครัว เลยอ้ำอึ้ง ตอบท่านอย่างกระอ้อมกระแอ้มว่า ไม่เป็นไรเราอยู่หอพักได้ ท่านคงจับความลังเลในน้ำเสียงของเราได้ ท่านเลยบอกว่าท่านมาอยู่ที่อเมริกาเกินกว่า 20 ปีแล้ว ท่านคิดอย่างคนอเมริกัน เราต้องการอะไรอย่าอ้อมค้อมเพราะความเกรงใจ ตอบมาตรงๆ ท่านจะได้ทราบความจริงแล้วจัดการให้เรียบร้อยก่อนที่จะดึกเกินไป 

เมื่อได้ยินท่านพูดเช่นนั้น เราเลยยอมรับกับท่านไปว่า สงสัยจะอยู่หอพักไม่ได้ เพราะกลัวการแชร์ห้องน้ำกับคนอื่น แถมห้องนอนก็ทั้งเล็กทั้งเก่า ท่านเลยให้เราไปรอท่านมารับหน้าหอพัก

ประมาณ 30 นาทีผ่านไป ก็มีรถเก๋ง 4 ประตูสีขาวมาจอด สตรีชาวเอเชียผมม้าเต่อใส่แว่นเปิดประตูรถลงมาแล้วมองรอบๆ แบบงงๆ เนื่องจากเราเจอคุณอาครั้งสุดท้ายเมื่อ 8 ปีที่แล้ว ส่วนคุณอาก็เจอเราตอนที่เราอายุ 14 ช่วงที่กำลังอวบสุดๆ น้ำหนักประมาณ 90 กิโล ตอนที่เรามาถึงบอสตันเราน้ำหนักประมาณ 70 

ทั้งเราทั้งคุณอาก็ต่างจำกันไม่ได้ เราเดาๆ ว่าสตรีผู้นั้นน่าจะใช่คุณอา เลยเดินเข้าไปไหว้ทัก โชคดีที่ใช่คุณอา เลยต่างคนต่างดีใจที่ได้เจอกัน คุณอาได้แนะนำให้รู้จักกับสามีท่าน เมื่อทักทายกันพอหอมปากหอมคอแล้วคุณอาทั้งสองท่านก็พาไปทานอาหารไทยในไชน่าทาวน์ สมัยนั้นร้านไทยชื่อสยามสแควร์ ซึ่งเป็นร้านอาหารไทยร้านเดียวในไชน่าทาวน์และเป็นที่รู้จักดีของเหล่าคนไทยในบอสตัน เพราะทำอาหารไทยรสชาติแบบคนไทยทาน

เหตุเกิดจาก...ความชะล่าใจ สุดท้ายต้องได้พักในที่ไม่อยากอยู่

ฮัลโหลบอสตัน

เมื่อเราขับรถเข้าถึงเมืองบอสตันก็ตกเย็นแล้ว เราสองคนก็เลยตั้งใจหาโรงแรมพักใกล้ๆ Boston University สถานศึกษาที่เราสมัครมาเรียนภาษา เราจึงตัดสินใจพักอยู่ Howard Johnson หนึ่งคืน เพราะเป็นโรงแรมชั้นกลางราคาพอสมควร แถมอยู่ในบริเวณของมหาวิทยาลัย จะไปทำธุระก็ไม่ต้องขับรถไปไกล 

ขณะที่กำลังจะอาบน้ำเตรียมตัวเข้านอน พี่เขาถามว่าโรงเรียนเปิดเมื่อไหร่ เราก็เปิดแฟ้มที่มหาวิทยาลัยส่งมาให้ เราถึงกับอึ้งกิมกี่ เพราะโรงเรียนเปิดไปเมื่อสองวันที่แล้ว พี่เขาถามเราว่าเราจัดเรื่องที่พักอาศัยเรียบร้อยแล้วใช่ไหม เราบอกโรงเรียนน่าจะจัดให้แล้ว เราก็เปิดดูในปึกเอกสารเพื่อตรวจสอบข้อมูล เปิดหาเท่าไหร่ก็ไม่เจอ เลยเกิดอาการหน้าซีด ใจหาย ตระหนักว่าเรายังไม่ได้ทำเรื่องที่พักเลย พี่เขาปลอบว่าไม่ต้องกังวล เดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยไปติดต่อถามทางมหาวิทยาลัยว่าเขายังมีห้องพักให้เราหรือเปล่า เราก็เลยนอนอย่างใจตุ๊ม ๆ ต่อม ๆ นอนไม่หลับ กระสับกระส่าย

วันรุ่งเราเดินทางไป CELOP (The Center of English & Orientation Programs) ศูนย์ภาษาของมหาวิทยาลัยซึ่งเป็นหน่วยจัดสอนภาษาอังกฤษให้กับนักเรียนต่างชาติ ทางโรงเรียนบอกว่าสองวันก่อนนั้นเขามีการปฐมนิเทศ (Orientation) เกี่ยวกับโรงเรียน มหาวิทยาลัย และชีวิตในเมืองบอสตัน 

วันต่อมาทางโรงเรียนจัดการสอบเทียบระดับเพื่อให้นักเรียนได้เข้าเรียนตามระดับความถนัดทางภาษาอังกฤษ ดังนั้นวันที่เราไปที่โรงเรียนคือวันแรกของการเรียน เจ้าหน้าที่กลัวเราจะขาดเรียนหลายวัน เลยรีบให้เราสอบวัดระดับตอนเช้านั้นเลย เพื่อที่จะได้เข้าเรียนในวันรุ่งขึ้น เราทั้งเหนื่อยทั้งไม่ได้เตรียมตัวพร้อม แต่ก็จำต้องสอบ โชคดีที่ฟลุ๊กได้เข้าชั้นระดับรองลงมาจากชั้นสูงสุด เนื่องจากเราต้องจัดการเรื่องที่พัก เจ้าหน้าที่ของโรงเรียนอนุญาตให้เราหยุดหนึ่งวันโดยไม่นับว่าขาดเรียน เราและพี่เลยพุ่งไปที่แผนกจัดที่พักนักเรียนโดยทันที

เนื่องจากมหาวิทยาลัยได้เปิดเทอมมาแล้วเป็นเวลาสองวัน เจ้าหน้าที่บอกว่าห้องพักที่มีห้องน้ำส่วนตัวนั้นนักเรียนได้เช่ากันไปหมดแล้ว ถ้าเราจะอยู่ ต้องไปพักกับเพื่อนร่วมห้องและแชร์ห้องน้ำกับเหล่านักเรียนที่พักในชั้นนั้นซึ่งเป็นนักเรียนปีหนึ่งและปีสองที่ศึกษาระดับปริญญาตรี นอกจากนั้นเขาเพิ่มเติมข้อมูลว่า วันพุธถึงวันอาทิตย์ที่สามของเดือนพฤศจิกายนซึ่งตรงกับเทศการขอบคุณพระเจ้า ทั้งมหาวิทยาลัยซึ่งรวมถึงหอพักนักศึกษาจะปิด 

ถ้าเรายังจะอยู่ในบอสตัน เราต้องหาที่พักในช่วงเวลานั้นเอง เมื่อเราได้รับข้อมูลอย่างละเอียดเกี่ยวกับที่พัก ใจเราก็หดหู่ แถมหัวมึนตึ้บ มืดไปแปดด้าน จะหันไปไหนก็ไม่มีทางเลือกอื่น ต้องจำใจยอมรับสภาพอยู่ในห้องรวมในหอพักกับเพื่อนร่วมห้องรุ่นน้อง ผู้เขียนอยากให้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตนเองเป็นอุทาหรณ์ต่อท่านผู้อ่านที่มีลูก หรือตนเองที่จะไปเรียนต่างประเทศว่า ก่อนจะเดินทางไปศึกษาต่างประเทศ นอกจากจะจัดการเรื่องการเรียนให้เรียบร้อยแล้ว อย่าลืมหาที่พักไว้ด้วย จะได้ไม่ตกที่นั่งลำบาก ต้องตัดสินใจแบบขายผ้าเอาหน้ารอด พักในที่ที่ตนเองไม่อยากอยู่ จะเซ็งไปอย่างน้อยหนึ่งเทอมถึงหนึ่งปีเลยเชียว

ผจญภัยในสนามบิน ประสบการณ์ ‘คนเข้าเมือง’ สู่ถิ่นลุงแซม อาการวิตกจริต ที่ทั้งตื่นเต้นและตื่นตัว 

เมื่อเครื่องบินมาลงที่สนามบินโอแฮร์ที่ชิคาโก เราก็เข้าแถวยาวเหยียดรอตรวจคนเข้าเมือง 

พวกนักเรียนที่จะมาเรียนต่อที่สหรัฐฯ นอกจากต้องขอวีซ่านักเรียนที่เรียกว่า F-1 แล้ว ยังต้องพกเอกสารหนาปึ๊กที่เรียกว่า I-20 มาให้เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองด้วย 

เราก็ใจตุ๊มๆ ต่อมๆ ไม่รู้ว่าเจ้าหน้าที่หน้าดุจะถามอะไรบ้าง เขาจะอนุญาตให้เราเข้าประเทศไหม หรือเราจะโดนส่งกลับบ้าน ในใจปลอบตัวเองว่าส่งกลับบ้านได้ก็ดี เราจะได้กลับไปเจอเพื่อนๆ และแฟนของเรา 

และแล้วเมื่อมาถึงตาเรา เจ้าหน้าที่หน้าดุถามว่าจะมาเรียนอะไร เราก็ตอบอย่างฉาดฉานและมั่นใจสุดๆ ว่าเราจะมาต่อปริญญาโท แต่เราจะมาเรียนภาษาก่อน เขาพยักหน้าและตีตราหนังสือเดินทางให้ แถมยังเอ่ยปากต้อนรับเราสู่อเมริกา

หลังจากที่ผ่านตรวจคนเข้าเมืองแล้ว เราก็ต้องไปที่เอากระเป๋าเดินทาง ขณะที่เรารอกระเป๋าตรงสายพาน มีเจ้าหน้าที่สนามบินเดินเตร็ดเตร่กับสุนัขหูตูบ เราก็สงสัยว่าเค้าเดินไปมาทำไม สักพักก็เห็นว่าเจ้าตูบไปดมๆ สูดๆ กระเป๋าของผู้โดยสารบางคนโดยไม่ยอมตีจาก จนเจ้าหน้าที่ที่เดินกับเจ้าตูบต้องสั่งให้ผู้โดยสารเอากระเป๋าไปเปิดที่ตรวจ 

มองตามพวกเขาไป ก็เห็นว่าของบางชิ้นที่เป็นอาหารถูกโยนทิ้งถังขยะใหญ่ยักษ์ 

เอาล่ะหว่า!! ตัวเราจะโดนทิ้งของบ้างไหมนี่ 

สมัยนั้นเดินทางกันทีนักเดินทางจะขนของไปล้นหลามกันแทบทุกคน เพราะรู้กันดีว่า ถ้ากระเป๋าเกินพิกัดน้ำหนัก ทางสายการบินจะอะลุ่มอล่วยไม่ต้องเสียเงินค่าน้ำหนักเกิน แถมตอนนั้นตัวเราจะมาอาศัยอยู่ต่างประเทศเป็นเวลานาน จึงคิดว่าตัวเองต้องแต่งตัวเก๋ล้ำแฟชั่นกว่าคนอื่น เลยขนเสื้อผ้าดีไซเนอร์ไทยมาเพียบ ทั้งยัสปาลเอย, เกรย์ฮาวด์เอย, โซดากายเอย เต็มปรี่หนึ่งกระเป๋า 

ส่วนทางคุณพ่อคุณแม่เป็นห่วงกลัวเราไม่มีอาหารและของขบเคี้ยวไทยกิน ท่านก็สั่งจัดน้ำพริกปลาดุกฟู น้ำพริกเผา กรอบเค็ม และข้าวเกรียบทรงเครื่องมาเต็มล้นอีกหนึ่งกระเป๋า พอถึงเวลาจะปิดกระเป๋าที ต้องเอาก้นของเราและคนงานที่บ้านไปนั่งทับอย่างสุดแรงแล้วถึงจะกดที่ปิดลงได้ 

ดังนั้นเมื่อเห็นคนอื่นเขาถูกเปิดกระเป๋าตรวจ เราเกิดอาการวิตกจริตว่า ถ้ากระเป๋าเราถูกเรียกตรวจ ของคงเด้งดึ๋งดั๋งออกจากกระเป๋าเหมือนติดสปริง ไม่มีทางที่จะยัดกลับเข้าไปหมด เราจึงแอบจ้องไอ้ตูบที่กำลังเดินวนเวียนอยู่ใกล้ๆ แล้วแผ่เมตตาให้ว่าอย่ามาจองเวรกะฉันเลย  

แล้วก็อย่างกับเจ้าตูบอ่านใจเราออก HE ก็เดินออกไปอีกทาง แล้วเราก็เข็นกระเป๋ากำลังจะออกประตู 

แต่ศุลกากรดันเรียกให้หยุด เราก็สะดุ้งโหยง!! นึกในใจว่าเสร็จแน่ๆ แล้วตรู เขาบอกว่าเราไม่ได้ยื่นใบที่กรอกสำแดงของเข้าเมืองให้เขา พอเรายื่นให้เสร็จ เขาก็ขอบคุณและอวยพรให้เราโชคดี

หลังจากที่เข็นรถวางกระเป๋าออกมา เราก็สังเกตตามคนที่จะต้องต่อเที่ยวบินภายในประเทศว่าเขาต้องเอากระเป๋าโหลดอีกที เราก็จึงพุ่งตัวไปที่เคาน์เตอร์ของสายการบินและเช็กอินกระเป๋า ทางพนักงานบอกเราว่าเครื่องจะออกอีกภายในสี่สิบห้านาที ให้รีบไปอีกเทอร์มิเนิลโดยต้องนั่งรถไฟในสนามบิน ทางพนักงานเห็นเราเหลอหลาเหมือนหนูน้อยหมวกแดงหลงป่า เธอก็เลยเวทนาโทรเรียกเจ้าหน้าที่สนามบินให้พาเราไปที่รถไฟและกำชับว่าให้ลงที่เทอร์มินัลที่เครื่องบินเราจะออกไปโคลัมบัส เมืองหลวงของรัฐโอไฮโอ

บ๊ายบายบางกอก!! ย้อนอดีต 30 ปี เมื่อครั้งจากเมืองไทยสู่อเมริกา ประสบการณ์สุดล้ำค่า กับภาพจำที่ยังชัดเจน

หลังจากที่เขียนบทความทางการเมืองเป็นชิ้นแรก ก็มานั่งคิดดูว่าคอลัมน์ที่เราเขียนนั้นชื่อว่า “เรื่องเล่าจากนิวแฮมเชียร์” แล้วไฉนเราถึงดันไปเล่าเรื่องชาวบ้าน จึงขออนุญาตตั้งต้นใหม่ คราวนี้เอาตัวเองเป็นจุดศูนย์กลางของเรื่อง เล่าจากมุมมองของตัวเอง ต้องขออภัยแต่เนิ่น ๆ ว่าข้อเท็จจริงอาจจะบิดเบือนไปบ้าง เนื่องจากกาลเวลาผ่านมานานกว่า 30 ปีแล้วที่ขึ้นเครื่องบินมาเพื่อศึกษาต่อ ขอเปลี่ยนชื่อบุคคลต่างๆ ที่อยู่ในเรื่องเล่า เพื่อปกป้องสิทธิส่วนบุคคลของพวกเขา ไม่อยากให้มีการขุ่นข้องหมองใจเหมือนบล็อกเล่าเรื่องรักหลายเศร้าที่เป็นละครซีรีย์ดังทะลุฟ้าเมื่อหลายปีมาแล้ว ก็อย่างที่เอ่ยมาแล้วข้างต้น มุขปาฐะนั้นมาจากความทรงจำของตนเองล้วน ๆ ไม่ได้อิงอนุทิน เพราะเป็นคนที่เสียนิสัยไม่ชอบจด หวังว่าท่านผู้อ่านคงได้รับความบันเทิงและสาระจากงานเขียนไม่มากก็น้อย

ภาพยนตร์ยอดมนุษย์ที่ดังๆของมาร์เวล เช่น แบตแมน ซุปเปอร์แมน หรือ ชางซี เปิดเรื่องโดยอ้างถึงปูมหลังของแต่ละตัวละคร เพื่อให้เข้าใจถึงที่มาและเหตุการณ์ในอดีตที่หล่อหลอมความคิด จุดประสงค์ และความสามารถของตัวละครนั้นๆ แต่ก็มีภาพยนตร์หลายเรื่องที่เริ่มต้นจากฉากที่เร้าใจที่สร้างปมในโครงเรื่อง ซึ่งเทคนิคในการดำเนินเรื่องแบบนี้เรียกว่า In medias res เทคนิคนี้จะใช้ในภาพยนตร์สืบสวนเป็นส่วนใหญ่ เพื่อสร้างความระทึกใจให้แก่ผู้ชม ขอยกตัวอย่างให้เห็นชัดเจนขึ้น สมมุติว่า ถ้าสโนวไวท์ เปิดเรื่องตอนที่นางกัดแอปเปิลแล้วสลบไป แทนที่จะเริ่มจากตอนที่พ่อนางแต่งงานกับแม่มดจำแลงตอนนางเด็กๆ ก็จะทำให้ผู้อ่านสนใจอยากรู้ว่าทำไมตัวเอกถึงมีคนปองร้ายอยากกำจัดนาง เนื่องจากเราไม่ใช่สโนวไวท์ และไม่ได้อยากให้ท่านผู้อ่านหัวใจเต้นตูมตาม จึงตั้งใจเริ่มเรื่องจากวันที่ออกเดินทางจากประเทศไทยไปศึกษาต่อที่สหรัฐอเมริกา

ทุกวันนี้ยังจำวันที่ออกเดินทางมาเรียนเป็นครั้งแรกได้อย่างกับเกิดขึ้นเมื่อวานนี้ วันนั้นคือวันจันทร์ที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2534 ออกเดินทางแต่เช้าตรู่โดยสายการบิน Northwest ทั้งครอบครัวมาส่งที่สนามบินดอนเมือง สมัยนั้นเวลาออกเดินทางไปต่างประเทศ ผู้ใหญ่มักจะให้พรและคล้องพวงมาลัยให้เป็นสิริมงคล ทั้งคุณพ่อคุณแม่และพี่ๆคล้องพวงมาลัยให้ ตัวเราเหมือนกับนักร้องลูกทุ่งดังบนเวที เมื่อถ่ายรูปเป็นที่ระลึกกันอย่างหนำใจแล้ว ก็ถึงเวลาอำลาอาลัย น้ำตาหยดแหมะๆไปตามกันทั้งคณะ ผู้เขียนเดินจากครอบครัวอย่างใจหาย ไม่แน่ใจว่าเราจะเผชิญอะไรบ้างในอนาคตอันใกล้นี้ 

เมื่ออยู่ในเครื่องบินน้ำตายังไหลพราก ตัวเราก็ต้องควานหาเพลงมากล่อมอารมณ์ ตอนนั้นพกชาวเบาท์ เครื่องเล่นเทปคาสเซ็ทขนาดพึ่งพาและหูฟัง จริงๆแล้วชื่อเต็มๆของเครื่องเล่นเทปนี้คือ ชาวอเบาท์ (Sound about) ตามที่โซนี่ได้เริ่มผลิตในปีค.ศ. 1979 (พ.ศ. 2522) คนไทยก็ติดเรียกกันมาว่าซาวอเบาท์ทั้ง ๆ ที่โซนี่เปลี่ยนชื่อผลิตภัณฑ์เป็น Walkman ในปีถัดมา 

นอกจากนั้นคนไทยยังใช้คำว่าซาวเบาท์กับเครื่องเล่นเทปขนาดพกพาของยี่ห้ออื่นๆที่ไม่ใช่โซนี่อีกด้วย ในแนวเดียวกับเรียกผงซักฟอกว่าแฟบ เนื่องจากเวลาการเดินทางรวมทั้งเปลี่ยนเครื่องบินที่ชิคาโกประมาณ 27 ชั่วโมง ในกระเป๋าถือขึ้นเครื่องจึงหนักอึ้งไปด้วยเทปเพลงทั้งไทยและเทศและถ่านไฟฉายเพื่อไว้ใช้ฟังเพลงฆ่าเวลา

ขณะที่ฟังเพลงเพลิน พนักงานต้อนรับก็มาถามว่าจะรับเครื่องดื่มหรืออาหารอะไร พอเงยหน้าขึ้นไปจะตอบถึงกับผงะเล็กน้อยเพราะเคยชินกับพนักงานต้อนรับของสายการบินไทยสมัยก่อนนั้นอายุไม่เกินสามสิบปี รูปร่างสันทัด และสวยงามเหมือนนางงาม พนักงานต้อนรับของสายการบินต่างประเทศนั้นมีหลากหลายอายุและสัดส่วน สุภาพสตรีที่บริการอาหารและเครื่องดื่มในเที่ยวบินนั้นอายุประมาณเกือบหกสิบ แต่งหน้าเข้ม และท้วม เวลาเธอเข็นรถอาหารเครื่องดื่ม เธอต้องเอียงเข็น ขณะนั้นตัวเราไม่เข้าใจว่าทำไมสายการบินต่างชาติถึงจ้างหญิงสูงอายุและรูปร่างอวบ เมื่อได้มาอยู่ที่อเมริกาถึงเข้าใจว่าเขามีกฎหมายพิทักษ์การจ้างงาน ถ้าหากผู้สมัครสามารถทำงานที่ทางบริษัทกำหนดได้อย่างมาประสิทธิผล ผู้จ้างไม่สามารถเกี่ยงรูปลักษณ์ของผู้สมัครได้

เลือกตั้งปี 2020 ช่องโหว่ของประชาธิปไตยในสหรัฐฯ เมื่อ 'ทรัมป์' ปลุกระดมกองเชียร์ ด้วยคำอ้างว่า 'ถูกโกง'

ชาวไทยบางกลุ่มชื่นชมประชาธิปไตยแบบสหรัฐอเมริกามาก ถึงกับเอ่ยปากว่าอยากให้ประเทศไทยมีหลักการปกครองแบบเขา มาลองดูกันว่าประชาธิปไตยแบบสหรัฐฯ นี่ไปถึงไหนกันแล้ว

สหรัฐอเมริกาได้มีการปกครองในระบบประชาธิปไตยมาตั้งแต่ปีค.ศ. 1787 (พ.ศ. 2330) โดยเลือกตั้งประธานาธิบดีเข้ารับตำแหน่งบริหารประเทศสมัยละ 4 ปี และมีสิทธิ์ปกครอง 2 สมัยหรือ 8 ปี ถ้าได้รับเลือกตั้งกลับเข้ามาอีก คะแนนเสียงประชาชนไม่ใช่เป็นปัจจัยที่ตัดสินผลเลือกตั้งโดยตรง เนื่องจากสมัยที่ก่อตั้งระบบการปกครองการคมนาคมและการสื่อสารยังไม่เจริญ จึงมีการแต่งตั้งกลุ่มผู้แทน (Electoral College) มาลงคะแนนเสียงแทนประชาชน จำนวนของผู้แทนคะแนนเสียง (electors) แต่ละรัฐจะขึ้นกับจำนวนประชากร รัฐไหนมีประชากรมาก จำนวนผู้แทนก็จะมากตาม รวมแล้วทั้งประเทศมีผู้แทนเสียง 570 คน พรรคเดโมแครตและพรรคริพับลิกันแบ่งกันคนละครึ่งในแต่ละรัฐ ถ้าจำนวนของผู้แทนเสียงของพรรคไหนถึง 270 ก่อน พรรคนั้นก็มีเสียงส่วนมากที่จะมีสิทธิ์เลือกประธานาธิบดี

ตั้งแต่ 'จอร์จ วอร์ชิงตัน' เข้ามารับตำแหน่งเป็นประธานาธิบดีคนแรกในปีค.ศ. 1787 (พ.ศ. 2330) การเลือกตั้งได้ถูกปฎิบัติมาอย่างราบรื่น เนื่องจากเหล่าผู้แทนเสียงทำหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์และผู้เข้าชิงตำแหน่งยอมรับผลโดยสดุดี การผลัดเปลี่ยนประธานาธิบดีมีแต่ความสงบและเคารพซึ่งกันและกัน แต่แล้วการเลือกตั้งในปี 2020 (พ.ศ. 2563) ก็เผยช่องโหว่ของประชาธิปไตยของสหรัฐอเมริกา

ตั้งแต่ 'โดนัลด์ ทรัมป์' ลงสมัครประธานาธิบดีในปี 2016 (พ.ศ. 2559) เขาได้ประกาศเป็นศัตรูกับเหล่าสื่อใหญ่ของประเทศ โดยกล่าวหาว่าพวกสื่อเสนอข่าวเท็จ (fake news) เกี่ยวกับเขา และโปรโมตสื่อที่สนับสนุนเขาว่าเป็นสื่อที่น่าเชื่อถือ ประชาชนที่ชอบทรัมป์จึงไม่เชื่อสื่อที่เคยเป็นหน่วยข้อมูลของประเทศ แต่ไปเสพสื่อที่เสนอข่าวเอาใจผู้นำของตนโดยไม่ใช้วิจารณญานแยกแยะข้อเท็จจริง จนกระทั่งถึงขั้นป่วยหรือตายเพราะไปดื่มน้ำยาซักผ้าขาวป้องกันโควิด เพราะในขณะที่ทรัมป์แถลงข่าวเกี่ยวกับโรคระบาด เขาเอ่ยว่าน้ำยาซักผ้าขาวมีประสิทธิภาพฆ่าเชื้อไวรัสได้ 


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top