Friday, 10 May 2024
ม112

เกาะความสำเร็จลัทธิ 3 นิ้ว ผลิต 'เยาวชน' ต่อต้าน 'สถาบันฯ-ล้ม ม.112'  ไม่เคยมียุคใดที่คนในสังคมไทยมีตรรกะที่ผิดเพี้ยนเช่นนี้

(3 ก.ค. 66) รศ.หริรักษ์ สูตะบุตร อดีตรองอธิการบดีฝ่ายบริหารบุคคล มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Harirak Sutabutr ระบุข้อความว่า...

เมื่อวานเห็นข่าวด้อมส้มที่มีทั้งหญิงทั้งชายกลุ่มหนึ่ง ดูแล้วหน้าตาคุ้น ๆ ล้วนยังเป็นเยาวชน ไปที่ตลาดเสรี 2 ซึ่งเป็นของคุณเสรี สุวรรณภานนนท์ นำใบปลิวซึ่งมีข้อความว่าเป็นประกาศจับและมีรูปของ สว.หลายคนที่ไม่ลงมติให้ความเห็นชอบ หรือลงมติไม่เห็นชอบให้คุณพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นนายกรัฐมนตรี ไปติดตามที่ต่าง ๆ ในตลาด สีหน้าท่าทางแต่ละคนแสดงว่า มีความเชื่อมั่นว่าสิ่งที่ตัวเองทำเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ทั้งที่เป็นการละเมิดสิทธิ์ผู้อื่นอย่างชัดแจ้ง

นี่คือสิ่งที่น่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง ที่เยาวชนที่จะเป็นอนาคตของชาติมีทัศนคติ มีความเชื่อว่าการกระทำเช่นนี้เป็นเสรีภาพที่ต้องกระทำได้ ลองมองย้อนไปในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา เยาวชนที่เป็นสาวกของลัทธิ 3 นิ้ว ล้วนมีพฤติกรรมและความเชื่อแบบนี้ ที่หนักหนาสาหัสคือมีผู้ใหญ่ที่เป็นนักวิชาการบางคนให้ความเห็นที่ผิดเพี้ยน เช่น การที่ม็อบเผาทรัพย์สินสาธารณะไม่ใช่ความรุนแรง แต่เป็นการแสดงออกเชิงสัญญลักษณ์เท่านั้น ผู้นำลัทธิ 3 นิ้วบางคนแสดงความเห็นว่า การเผาพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีความผิดเพียงเป็นการเผาทรัพย์เท่านั้น เป็นต้น

ไม่เคยมียุคใดที่คนในสังคมไทยมีความคิดและตรรกะที่ผิดเพี้ยนเช่นนี้ เรื่องนี้ไม่น่าเชื่อว่าจะเกิดขึ้นจากความบังเอิญ แต่เกิดจากการวางแผนและมีการดำเนินการมากันเวลานาน เริ่มจากการแทรกซึมในมหาวิทยาลัยและสถาบันการศึกษาต่าง ๆ โดยอาศัยแนวร่วมที่เป็นนักวิชาการในมหาวิทยาลัยต่าง ๆ และแทรกซึมเข้าไปในองค์กรนิสิตนักศึกษาต่าง ๆ อบรมบ่มเพาะด้วยการใส่ชุดความคิดที่พวกเขาต้องการ ต่อมาจึงลงไปแทรกซึมถึงระดับโรงเรียน ทำกันมานานจนกระทั่งมีหลายคนที่เกิดจากการบ่มเพาะแบบนี้ได้เข้าไปเป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัยต่าง ๆ และเป็นแนวร่วมอย่างแข็งขัน

เมื่อมี Social Media การปั่นและบ่มเพาะความคิดแบบนี้ยิ่งทำได้สะดวกและเกิดผลเป็นวงกว้างมากขึ้น บรรดาแกนนำม็อบ 3 นิ้ว และม็อบกลุ่มต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในระยะ 3-4 ปีที่ผ่านมา สส.บางคน รวมทั้งเยาวชนอย่าง 'หยก' ก็น่าจะเป็นผลผลิตของขบวนการนี้

2-3 วันมานี้เห็นโปสเตอร์โฆษณาหลักสูตรอบรมเยาวชนก้าวหน้า ของ Progressive Academy รับผู้เข้ารับการอบรมอายุ 15-25 ปี โดยไม่มีค่าใช้จ่าย ใช้เวลาอบรมถึง 62 ชั่วโมง มีการบรรยาย กิจกรรมกระตุ้นการเรียนรู้ กิจกรรมเชิงปฏิบัติการ ทัศนศึกษา และการค้นคว้าอิสระ ซึ่งทำกันมา 2 รุ่นแล้ว ดูรายชื่อวิทยากรแล้วส่วนใหญ่มีทัศนคติคล้าย ๆ กันต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ และก็พอจะคาดเดาได้ว่า หลักสูตรนี้ต้องการใส่ความคิดแบบใดให้กับเยาวชนที่เข้ารับการอบรม นี่น่าจะเป็นเรื่องใหม่ ที่ขบวนการนี้ไม่เพียงใช้วิธีแทรกซีมอยู่ในมหาวิทยาลัย และสถาบันการศีกษาเท่านั้น แต่เปิดการอบรมกันตรง ๆ อย่างเปิดเผยไปเลย

การที่มีผู้ทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และถูกดำเนินคดีเป็นจำนวนมากอย่างไม่เคยมีมาก่อน ในระยะ 3 ปีที่ผ่านมา เป็นเพราะผลผลิตที่มาจากขบวนการนี้ สังเกตว่าเริ่มมีตั้งแต่พรรคอนาคตใหม่ถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้ยุบพรรค และมากขึ้นเรื่อยๆ ตลอดมาจนถึงปัจจุบัน พวกเขาอ้างว่ามาตรา 112 ถูกใช้เป็นเครื่องมือเพื่อกลั่นแกล้งต่อผู้เห็นต่างทางการเมือง ดังนั้นต้องยกเลิกมาตรา 112 และเมื่อถูกแรงต้านมากขึ้นก็เปลี่ยนมาเป็นแก้ไข โดยนำออกจากหมวดความมั่นคง ซึ่งเท่ากับเป็นการบอกว่า สถาบันพระมหากษัตริย์ไม่มีความเกี่ยวข้องกับความมั่นคงของประเทศ และลดโทษให้ต่ำลงเท่ากับการหมิ่นประมาทบุคคลธรรมดา และมีเงื่อนไขที่ไม่ต้องถูกลงโทษหากทำด้วยความบริสุทธิ์ใจ หรือสิ่งที่วิพากษ์วิจารณ์เป็นความจริง

การสร้างความเกลียดชังต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ และความพยายามในการแก้มาตรา 112 เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของขบวนการนี้ เป้าหมายสุดท้ายของพวกเขาคือพยายามทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์ไม่เป็นที่ต้องการของคนส่วนใหญ่ ทำให้อ่อนแอลง ถ้ายังจำเป็นต้องคงอยู่ก็ให้คงอยู่อย่างไม่มีบทบาทใดๆ เป้าหมายสูงสุดก็คือ การเปลี่ยนประเทศให้เป็นไปอย่างที่พวกเขาต้องการ

การจัดหลักสูตรอบรมเยาวชนก้าวหน้า แสดงว่าขบวนการนี้ยังดำเนินต่อไป ไม่ว่าพวกเขาจะมีอำนาจรัฐอยู่ในมือหรือไม่ แม้ว่าจะเป็นการสร้างความขัดแย้งอย่างไร ครอบครัว ญาติพี่น้องแตกแยกกันอย่างไร ล้วนไม่นำพา พวกเขายังมุ่งมั่นดำเนินการต่อไป จนกว่าจะบรรลุเป้าหมายสูงสุดที่ต้องการ

น่าสนใจว่า รัฐบาลใหม่ที่มีพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำ จะยอมรับหรือไม่ว่ามีขบวนการนี้อยู่ ถ้ายอมรับจะมีแนวทางจัดการกับขบวนการนี้หรือไม่อย่างไร จะจัดการได้ดีกว่ารัฐบาลพลเอก ประยุทธ์หรือไม่ หรือเพียงขอให้ได้เป็นรัฐบาลเป็นพอ ทั้งหมดได้แต่ปล่อยให้เป็นไปตามยถากรรม

อุทาหรณ์ 'นักเลงคีย์บอร์ด' หมิ่น 112 'ในหลวง ร.๙-ร.๑๐' ยังรอด!! หลังพ่อแม่ให้ 'ยอมรับผิด' เพราะหวั่น!! ทนายนำ 'ภา' ไปหาคุก

เห็นสภาพการเดินเกมรุกของบรรดาด้อมส้มสามกีบในช่วงนี้ ที่แบ่งระดับตามสายตาเป็น 3 ระดับ ตั้งแต่ ระดับรุกไล่เชิงการภายก่อภัยคุกคามสถานที่สาธารณสุข และที่ส่วนบุคคล (พรรคเพื่อไทย) โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจตึงใส่เรียบร้อย

ระดับอินฟลูเอ็นเซอร์ผู้ดำเนินรายการ ก็เริ่มโนประชาชี หรือคนมีบารมีทางสังคมเริ่มไม่อ่อนข้อ (วันก่อนโดนลุงสนธิประกาศฟ้องรายการแฮชแตก!!) 

และมาถึงลำดับของประชาชน หรือพวกเยาวชนนักเลงคีย์บอร์ดที่ชอบป้ายสีข้อมูลเท็จลงออนไลน์ โดยเฉพาะการบิดเบือนเรื่องของสถาบันฯ ก็ต้องบอกว่า กระบวนการยุติธรรมที่เห็นเงียบ ๆ แต่ฟาดที ฟาดเรียบ...

โดยทั้งหมดทั้งมวล ต้องขอบอกว่า ถ้าเข้าหมวดหมิ่น ให้ร้ายป้ายสี อย่างมีเจตนา ก็ไม่มีหัวเรือด้อมส้มสามกีบคนไหนช่วยได้ แม้แต่สัมมาชีพที่ขึ้นชื่อเป็น 'ทนาย' ก็ตาม

ล่าสุดมีเรื่องสั้นเสียงจากแฟนคลับ ได้ส่งกรณีศึกษาหนึ่งมายังทีมข่าวการเมือง THE STATES TIMES ให้เป็นอุทาหรณ์สำหรับพวกหมิ่น ม.112 แบบไร้สติและไร้ข้อมูล ฟังเขาเล่ามาแล้วก็มาถ่มถุยหลังคีย์บอร์ด ให้อ่านไปสยองไปสักเรื่อง

เรื่องนี้มาจากคุณญ่า ซึ่งมาทำหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญในฐานะประชาชนไทย #สืบพยานในคดี ม.112

ตัวละครเคสนี้...

ฝั่งโจทก์ มี 'คุณญ่า' เป็นผู้อยู่ในบัญชีพยานฝั่งโจทก์ลำดับที่ 3 ตามมาด้วย คุณลุงเจ้าของบริษัทใหญ่แห่งหนึ่ง (ขอสงวนนาม) เป็นพยานลำดับที่ 1 ในฐานะผู้ร้องทุกข์กล่าวโทษ และมีคุณน้า ซึ่งเป็นเจ้าของบริษัทใหญ่อีกแห่ง (ขอสงวนนาม) เป็นพยานที่ 2

ส่วนผู้ถูกกล่าวหาหรือจำเลย คือ ผู้สาวอายุเพียง 26 ปี ได้โพสต์และแชร์ข้อความกล่าวหาด้วยความเท็จใส่ร้ายเรื่องการใช้ภาษีของในหลวง ร.9 ว่าด้วยเรื่องโครงการพระราชดำริ และกล่าวหาใส่ร้ายด้วยความเท็จว่า ร.10 ว่าทรงเอาเครื่องบินไปของการบินไทยไปใช้ส่วนพระองค์และเอาไปจอที่วังสวนจิตร 

แน่นอนแหละว่าจำเลย 'ปฏิเสธ' ทุกข้อกล่าวหาในชั้นพนักงานสอบสวน

และเมื่อวาน (8 ส.ค.66) ณ ศาลจังหวัดสมุทรปราการ ก็ได้มีการสืบพยานฝั่งโจทก์นัดแรก ซึ่งฝั่งโจทก์ก็ได้ทนายจำเลยของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชน อย่าง 'อานนท์ นำภา' เป็นทนายความให้

ทว่า ตัวจำเลย (สาววัย 26) พ่อแม่จำเลย ทนายจำเลย อัยการ และพยานโจทก์ ได้บังเอิญเจอกันก่อนศาลจะออกพิจารณา

พีก!! ตรงพ่อแม่จำเลย ดันจำพยาน คือ คุณลุงและคุณน้าได้ว่าเป็นเจ้าของตึกอาคารสำนักงาน ที่บริษัทตัวเองได้ทำงานอยู่สิบกว่าปี (สยอง!!)

ว่าแล้วพ่อแม่จำเลย ก็รีบตรงปรี่เข้ามาไหว้สวัสดี และสอบถาม พยานฝั่งโจทก์...

เรียบ ๆ เคียง ๆ แล้ว ก็พอได้ใจความว่า "อยากจะขอคุยกับอัยการและศาล เพื่อเปลี่ยนใจให้ลูกสาวรับสารภาพ เพราะดูจากสำนวนและพยานที่มาให้การแล้ว 'ไม่น่าจะรอด' ถ้าสู้ตามทนายสามกีบแนะนำ"

สรุป!! ยังไม่ทันได้สืบพยาน พ่อแม่จำเลยเห็นพยานแล้วถอดใจไม่เชื่อทนาย ขอปรึกษาอัยการและศาลให้ลูกสาวให้การเป็นขอสารภาพ

เฮ้อ!! ทนายนำภาไปหาคุกเอ๊ย คุณญ่าในฐานะพยานที่ 3 เลยไม่มีโอกาสได้ปล่อยพลังฝีปากกับอานนท์ นำภาเลยอ่ะ ซึ่งเธอบอกมาว่า "เสียดายจัง" 

สุดท้ายศาลให้เบิกค่าพยาน 500 แต่คุณลุงกับคุณน้าใจดี บอก “เอ้า!! ไอ้ญ่าอุตส่าห์มาเป็นพยานปากเอก เอาทริปค่าน้ำมันค่าขนมไป 10,000 บาท” ขุ่นญ่าก็อารมณ์ดีหายเคือง

ขณะที่พ่อแม่จำเลย ก็ถือว่าเป็นบุญไปที่เจอคนคุ้นเคย และถือเป็นผู้ใหญ่ใจดี (สังคมไทยผู้ใหญ่ใจดีเยอะ) โดยบอกให้น้อง 26 กลับไปปรับปรุงตัว (รอดคุก) แต่ยังไงซะ กลับไปแล้ว ก็หมั่นหาความจริง ไม่เฮเอามันส์ตามกีบ แล้วต้องมายืนตัวลีบหน้าศาลแบบนี้อีก

ส่วนทนายนี่!! #กากฉิบหายเลยว่ะ

ใครมั่นใจในสิ่งที่ถูกปลุกปั่นให้เชื่อ และยอมเป็นเครื่องมือด้วยความคะนองใจ โปรดระวังไว้!!

เพราะไม่ใช่คุณที่จะโชคดีแบบกรณีน้อง 26 รายนี้

FBI ปลิดชีพ ‘ชายในมลรัฐยูทาห์’ ที่โพสต์ขู่ฆ่า ‘โจ ไบเดน’ ก่อนหน้าผู้นำสหรัฐฯ จะเยือนมลรัฐนี้เพียงไม่กี่ชั่วโมง

แม้สหรัฐอเมริกาจะไม่มี ม.112 แต่ FBI ก็ได้ยิง Craig Robertson ชายผู้ที่โพสต์คำข่มขู่ต่อประธานาธิบดี Joe Biden และเจ้าหน้าที่คนอื่น ๆ ทางออนไลน์อย่างรุนแรง จนเสียชีวิต

(10 ส.ค.66) เพจเฟซบุ๊ก 'ดร.โญ มีเรื่องเล่า' ได้โพสต์ข้อความ ระบุว่า...

Craig Robertson ถูกยิงเสียชีวิตระหว่างการบุกของ FBI เมื่อวันพุธที่ 9 สิงหาคม 2023

โดยเจ้าหน้าที่พยายามออกหมายจับ Craig Robertson ที่บ้านของเขาในมลรัฐยูทาห์ ก่อนหน้าที่นาย Biden วางแผนจะเยือนมลรัฐนี้เพียงไม่กี่ชั่วโมง

การร้องเรียนทางอาญากล่าวว่า Robertson โพสต์คำขู่บน Facebook ต่อนาย Biden และอัยการที่ดำเนินคดีอาญากับ Donald Trump

ทั้งนี้ Robertson ได้โพสต์บน Facebook ระบุ... "ฉันได้ยินว่า Biden กำลังจะมาที่ยูทาห์ ฉันขุดชุด ghillie เก่าๆ (ชุดพรางสำหรับพลซุ่มยิง) ของฉันออกมา แล้วจะปัดฝุ่นออกจากปืนไรเฟิลซุ่มยิง M24 ของฉันด้วย"

เกี่ยวกับสาเหตุการยิง ทาง FBI ได้ปฏิเสธที่จะให้รายละเอียดเพิ่มเติม โดยการจู่โจมเพื่อจับกุม Craig Robertson เกิดขึ้นเมื่อเวลาประมาณ 06.15 น. ตามเวลาท้องถิ่นในเมืองโพรโวทางตอนใต้ของนครซอลต์เลคซิตีไปประมาณ 65 กม.

‘ดร.นิว’ แนะ!! ทูตสหรัฐฯ ในไทย ลองเรียนรู้ ม.112 หลัง FBI ส่งคนขู่ ‘ไบเดน’ ไปนอนคุยกับรากมะม่วง

(11 ส.ค.66) กรณีเจ้าหน้าที่ เอฟบีไอ บุกสังหารนายเครก โรเบิร์ตสัน ที่บ้านของเขา ในเมืองโพรโว รัฐยูทาห์ หลังจากโรเบิร์ตสัน โพสต์เฟซบุ๊กข่มขู่นายโจ ไบเดน ประธานาธิบดีประเทศสหรัฐอเมริกา และอัยการที่ดำเนินคดีอาญากับนายโดนัลด์ ทรัมป์ อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ

ด้าน ดร.ศุภณัฐ อภิญญาณ หรือ ดร.นิว นักวิจัยภายใต้สถาบันวิจัย MAST Center และ คณะวิศวกรรมชีวการแพทย์ University of Arkansas ประเทศสหรัฐอเมริกา ก็ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ถึงนายโรเบิร์ต โกเดค เอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำประเทศไทย โดยมีเนื้อหาดังนี้…

เรียน คุณโรเบิร์ต โกเดค ฉันค่อนข้างกังวลใจเกี่ยวกับประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชนในประเทศของคุณ การปลิดชีพในรัฐยูทาห์นั้นรุนแรงมากเกินไปสำหรับการแสดงความเกลียดชังต่อประธานาธิบดี ฉันจึงขอแนะนำให้คุณเรียน รู้กฎหมาย ม.112 แล้วนำไปใช้ในฐานะวิธีการที่มีความเจริญมากกว่า สิ่งนี้จะช่วยยกระดับประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชนในประเทศของคุณ

Dear Robert Godec, I'm concerned about democracy and human rights in your country. Killing in Utah is too severe for hate speech against the president. I suggest you learn and adopt Article 112 for a more civilized mean. It will promote democracy and human rights in your country.

ดร.ศุภณัฐ โพสต์ข้อความอีกว่า…

ม.112 ยังได้สู้คดีในศาล
แต่ประเทศประชาธิปไตยตัวพ่อโพสต์ขู่ประธานาธิบดี
บุกถึงบ้านแล้วส่งไปนอนคุยกับรากมะม่วง

‘ศาลเชียงใหม่’ ฟันโทษ ‘ฮ่องเต้’ แนวร่วมม็อบ 3 นิ้ว ผิด ม.112 - พ.ร.ก.ฉุกเฉิน สั่งจำคุก 1 ปี 7 เดือน

เมื่อวานนี้ (21 ส.ค. 66) เพจเฟซบุ๊ก ‘ศูนย์ช่วยเหลือด้านกฎหมายผู้ถูกล่วงละเมิด bully ทางสังคมออนไลน์ ศชอ.’ รายงานว่า ศาลจังหวัดเชียงใหม่พิพากษาคดี ‘ฮ่องเต้’ นายธนาธร วิทยเบญจางค์ มีความผิด มาตรา 112 ใน 1 กรรม พิพากษาลงโทษจำคุก 3 ปี ให้การรับสารภาพ ลดเหลือจำคุก 1 ปี 6 เดือน ส่วนอีกกระทงศาลยกฟ้อง และเห็นว่ามีความผิดตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ลงโทษจำคุก 1 เดือน รวมจำคุก 1 ปี 7 เดือน ไม่รอลงอาญา ขณะนี้อยู่ระหว่างยื่นประกันตัวชั้นอุทธรณ์

สำหรับนายธนาธร ถูกดำเนินคดีจากการจัดกิจกรรมอ่านแถลงการณ์และปราศรัยมีเนื้อหาเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์ ระหว่างกิจกรรมคาร์ม็อบเชียงใหม่ ‘ล้านนาต้านศักดินาทัวร์’ ที่หน้ากองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 และลานอนุสาวรีย์สามกษัตริย์ เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2564 โดยพนักงานอัยการได้สั่งฟ้องคดีนี้ต่อศาลจังหวัดเชียงใหม่ ใน 2 ข้อกล่าวหา ได้แก่ ฝ่าฝืนข้อกำหนดตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ จัดการชุมนุมรวมกลุ่มกันเกินกว่า 20 คน อันเป็นความเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดโรค และข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ซึ่งแยกเป็น 2 กระทง ได้แก่ กรณีการอ่านแถลงการณ์ที่หน้าตำรวจภูธรภาค 5 และการปราศรัยที่ลานอนุสาวรีย์สามกษัตริย์

‘ศาลอาญา’ สั่งจำคุก 3 ปี 6 เดือน ‘เก็ท โมกหลวงริมน้ำ’ ฐานปราศรัยดูหมิ่น-แสดงความอาฆาตมาดร้ายต่อสถาบันฯ

(24 ส.ค. 66) ที่ห้องพิจารณา 707 ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลอ่านคำพิพากษาคดีดูหมิ่นสถาบัน หมายเลขดำ อ.1447/2565 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 10 เป็นโจทก์ฟ้องนายโสภณ สุรฤทธิ์ธำรง หรือเก็ท แกนนำกลุ่มโมกหลวงริมน้ำ เป็นจำเลยในความผิดฐาน ดูหมิ่นสถาบันเบื้องสูง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 พ.ร.บ.ควบคุมการโฆษณาโดยใช้เครื่องขยายเสียงฯ

โดยอัยการโจทก์ฟ้องสรุปความผิดว่า เมื่อวันที่ 22 เม.ย. 2565 จำเลยได้ปราศรัยระหว่างทำกิจกรรม ทัวร์มูล่าผัว ดูหมิ่นในหลวงรัชการที่ 10 และพระราชินี โดยใช้เครื่องขยายเสียงโดยไม่ได้รับอนุญาต อันเป็นการดูหมิ่นสถาบัน แสดงความอาฆาตมาดร้ายให้เกิดความเสื่อมเสียพระเกียรติยศ ถูกดูหมิ่นเกลียดชัง

เหตุเกิดที่แขวงบวรนิเวศ เขตพระนคร กทม. จำเลยให้การปฏิเสธ ต่อสู้คดี ศาลพิเคราะห์คำเบิกความและพยานหลักฐานทั้ง 2 ฝ่ายที่นำสืบหักล้างแล้ว เห็นว่าจำเลยกระทำผิดตามฟ้องจริง พิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112  และ พ.ร.บ.ควบคุมการโฆษณาโดยใช้เครื่องขยายเสียง พ.ศ. 2493 มาตรา 4,9 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์และพระราชินี จำคุก 3 ปี ฐานใช้เครื่องขยายเสียงด้วยกำลังไฟฟ้าโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุก 6 เดือน รวมจำคุก 3 ปี 6 เดือน ไม่รอลงอาญา

ส่วนคำขอให้นับโทษจำคุกจำเลยในคดีนี้ต่อจากโทษจำคุกของจำเลยที่ 11 ในคดีอาญาหมายเลขดำที่ อ 1423/2564 คดีหมายเลขแดงที่ อ 953/2566 ของศาลอาญา นั้น เนื่องจากคดีดังกล่าวศาลพิพากษารอการลงโทษจึงไม่มีโทษจำคุกให้นับโทษต่อยกคำขอส่วนนี้

‘อ.เทพมนตรี’ เตือนสติ ‘พวกปากแจ๋ว-นักแจวคีย์บอร์ด’ อย่าคิดง่ายๆ หากเลือกหมิ่น 112 แล้วลงท้ายด้วยกระเช้าราคาถูก

(9 ก.ย.66) อาจารย์เทพมนตรี ลิมปพยอม นักประวัติศาสตร์ โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กส่วนตัว ‘Thepmontri Limpaphayorm’ ระบุว่า...

คำเตือน

สังคมไทยเป็นสังคมนินทาว่าร้าย ถนัดฟังแต่เรื่องร้ายคนอื่น ส่วนเรื่องตนปกปิดซ่อนเร้นความโกหกตอแหล

จึงไม่เหนือความคาดหมายว่า พระเจ้าแผ่นดินและพระราชวงศ์ก็มิได้ว่างเว้นต่อสิ่งเหล่านี้ หวังพึ่งพิงใครได้ คนพูดด้วยปากเวลาแก้ไขต้องใช้สติปัญญา มันจึงยุ่งยากที่จะทำความเข้าใจ อธิบายสิ่งใดถ้ามีอคติ ความไม่ชอบแล้วไซร้ก็ป่วยการ

เอาเป็นอย่างว่าที่มีมาตรา 112 ก็เหตุที่ว่าด้วยคนมิได้ใช้ปัญญาฟังอะไรใครมาจึงตัดสินแบบนั้น ยิ่งยุคสมัยเปลี่ยน คนอ่านหนังสือน้อย ฟัง สนใจโลกออนไลน์เยอะ เวลาคนหมู่มากเชื่ออะไรแชร์อะไรก็คิดว่าผ่านการกลั่นกรองพิจารณามาแล้ว เวลาโดนฟ้องจึงเที่ยวโอดครวญว่าถูกกลั่นแกล้ง เข้าใจผิด ขอขมาด้วยกระเช้าราคาถูกหวังว่าเขาจะยกโทษให้ คุกสิพี่จึงจะดีที่สุด เรียกเงินกันเป็นแสนเป็นล้าน

ฟังอะไรใครมาควรใช้วิจารณญาณอย่างแรกมันเป็นเรื่องคนอื่น อย่างที่สองคุ้มกันไหมเมื่อต้องคดี อย่างที่สามมันเป็นบาปติดตัวใจเศร้าหมอง

ถ้าอยากเสือกกันนักตั้งแต่เรื่องพระเจ้าแผ่นดินยันมาถึงประชาขนอย่างเรา การแสวงหาความจริงคือสิ่งที่ดีที่สุด

รู้จัก ‘ศิวพันธุ์ มานิตย์กุล’ มือพิฆาตหมิ่น 112 ยืนหยัดซัดสายหมิ่นด้วยกติกาที่เรียกว่า ‘กฎหมาย’

จากรายการ ‘ถลกข่าว ถลกปัญหา’ เมื่อวันที่ 12 ก.ย. 66 โดยสำนักข่าวออนไลน์ THE STATES TIMES เผยแพร่ผ่านช่องทางรับชมในเครือ THE STATES TIMES, MAYA Channel ช่อง 44, NAVY AM RADIO AM 720 kHz และวิทยุ KCS RADIO ดำเนินรายการโดย คุณสถาพร บุญนาจเสวี ได้เชิญ คุณบูม ศิวพันธุ์ มานิตย์กุล นักออกแบบ ผลิต และนำเข้าเสื้อผ้า ผู้จงรักภักดีต่อสถาบัน มาร่วมพูดคุย ในฐานะผู้สร้างสถิติการฟ้องร้องคดีผู้หมิ่นมาตรา 112 มากที่สุด ด้วยจำนวนถึง 9 คดี หากนับตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา

โดยคุณบูม ถือเป็นมือฉมังในการแจ้งความคดี 112 ต่อผู้ที่ละเมิดสถาบันพระมหากษัตริย์ในพื้นที่ของ สภ.บางแก้ว-ศาลสมุทรปราการ ซึ่งมักจะอดทนไม่ได้กับผู้ที่ละเมิด 112 จาบจ้วงสถาบันฯ ทั้งในที่สาธารณะ และในโลกโซเชียลมีเดีย

“โดยนิสัยส่วนตัว ผมค่อนข้างจะเป็นบู๊ๆ อยู่แล้ว (ดูได้จากหน้าตา) เวลาเราพบเห็นการกระทำที่ไม่บังควรต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ในลักษณะใด เราจะรู้สึกถึงความ ‘มากเกินไป’ และยิ่งมากขึ้นๆ จนลุกลาม มันบีบคั้นหัวใจเรานะ บีบคั้นหัวใจคนไทยที่ยึดมั่นในสถาบันฯ ฉะนั้นหากมีช่องทางด้านกฎหมาย ที่สามารถทำให้ชะลอหรือยุติปัญหาได้ เราก็ต้องใช้ช่องทางกฎหมาย”

คุณบูม เล่าว่า การใช้ช่องทางกฎหมายเพื่อจัดการผู้ละเมิดใน 112 นั้น ตัวเขาจะพยายามเก็บข้อมูลต่างๆ เอกสาร รูปภาพ ข้อความ หรือแม้แต่ในโซเชียล ก็มีโปรไฟล์และ URL ให้ตามเก็บเพื่อใช้เป็นหลักฐานในการแจ้งความต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งแรกๆ ก็งงๆ แต่พอทำไปสัก 2-3 ครั้งก็จะเริ่มเข้าใจวิธีการ ซึ่งง่ายต่อการที่เจ้าหน้าที่จะไปดำเนินการต่อได้ดียิ่งขึ้น 

“ผมเป็นคนธรรมดานะ ไม่ใช่กลุ่มองค์กรใดๆ การกระทำของเรา ก็มาจากความอัดอั้น ภายใต้กติกาที่ถูกต้อง ซึ่งผมมองว่าคนไทยที่รักมั่นในสถาบันฯ ก็ย่อมคิดไม่ต่างกัน เปรียบเหมือนกับความศรัทธาในพุทธศาสนาแหละครับ หากมีใครมาหมิ่นหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า ก็เหมือนมาหยามตัวผมเหมือนกัน เป็นต้น ฉะนั้นผมก็ต้องแสดงออกตามกติกา โดยที่ผ่านมา ก็รับทราบได้พอสมควรว่ามีผู้ที่ต้องโทษและหนีคดีไปมากมาย”

เมื่อถามว่าหลายคนที่โดนคดีจากที่ คุณบูมฟ้อง รู้สึกอย่างไร? คุณบูม ตอบว่า “บางรายซึ่งเป็นญาติที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการกระทำผิดของผู้หมิ่น แต่ต้องมาเจอหมายศาลวางไว้หน้าบ้าน ก็หดหู่นะ เพราะสิ่งที่เราเห็น คือ หลังจากนั้นคุณแม่ของผู้กระทำผิด เดินร้องไห้มาหา พนมมือ ขอโทษผม ซึ่งผมก็ตกใจและถามผมบอกคุณแม่เป็นอะไร? คุณแม่เขาก็บอกว่าเป็นแม่ของจําเลย ซึ่งผมก็ต้องอธิบายไปตามความจริงว่า นี่ไม่ใช่ปัญหาส่วนตัวระหว่างผู้ทำผิดกับผม แต่เป็นปัญหาของลูกคุณแม่กับกฎหมายของรัฐ พอท่านฟังท่านเข้าใจ แล้วก็เรียกน้องจำเลยมาฟังความจริง ซึ่งส่วนใหญ่ ก็เข้าใจและยอมรับสารภาพ โดยไม่หวนกลับไปเชื่อทนายสิทธิที่มีแต่จะยื้อเพื่อให้ผู้ที่ทำผิดโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ อยู่ในสภาพที่ไม่รอดคุก ส่วนจำเลยคนไหนที่แสบๆ และยังเถียงหัวชนฝา ผมบอกได้เลยว่า พออยู่หน้าศาล เรียบร้อยทุกคนครับ”

แน่นอนว่า หลังจากผันตัวมาเป็นประชาชนผู้ไม่ยอมต่อการหมิ่นประมาทสถาบันฯ ก็ทำให้ คุณบูม เริ่มสัมผัสประสบการณ์ทัวร์ลงเป็นระยะๆ  มีทั้งโพสต์ด่ามาทางโซเชียล / อินบ็อกซ์ / อีเมลล์ธุรกิจบ้าง ซึ่งคุณบูมมองว่า นี่คือการทำร้ายตัวเองล้วนๆ เพราะจากการเป็นผู้ฝักใฝ่ละเมิด 112 แล้ว ยังกลายเป็นผู้ละเมิดสิทธิส่วนบุคคลแถมเข้าไปอีกคดี ซึ่งเรื่องคุณบูมเตือนว่า จะทำอะไรคงต้องคิดให้ดี เอาเวลาที่มีไปทำมาหากินเลี้ยงดูตนเองและพ่อแม่ดีกว่า

เมื่อถามว่า ทำไมถึงต้องมาทำอะไรเช่นนี้เอง? คุณบูมตอบว่า “สิ่งที่ผมทำ ผมไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองเป็นฮีโร่นะ แต่เพราะนี่คือประเทศของเรา ประเทศที่ถ้าไม่มีสถาบันฯ ความมั่นคงของประเทศจะอยู่ตรงไหน แล้วลูกหลานเราจะอยู่ยังไง ขณะที่ตัวผมเองก็ไม่ได้เป็นทหาร สิ่งที่ทำได้ ปกป้องชาติได้ จึงมีแค่วิธีนี้เท่านั้น”

คุณบูม กล่าวทิ้งท้ายอีกว่า “ผู้ชมที่ติดตามสัมภาษณ์นี้อยู่ ก็คงมีทั้งคนรัก คนชัง และคนที่เฉยๆ ซึ่งผมเข้าใจดีว่าในช่วงของการเปลี่ยนรัชสมัย มันต้องใช้เวลาที่จะเปิดใจ และระหว่างทางเราจะพบเจอกับข่าวลือเยอะมาก อย่างคนรุ่นผมเองจะเข้าใจดี เพียงแต่สมัยนี้ข่าวลือ ข่าวปั่น ข่าวปล่อย และข่าวปลอม มันเยอะมาก คนที่จะเข้าใจความจริงได้ ต้องมีภูมิคุ้มกันสูง ต้องคิด วิเคราะห์ และมีความยุติธรรมให้กับทุกฝ่าย แล้วมองให้ออกว่าอะไรคือความเป็นจริง

“นั่นหมายความว่า เราต้องค้นหาความจริงให้เจอ ซึ่งทุกวันนี้เราค้นหาข้อมูลได้มากมาย เราสามารถพบเห็นภาพถ่ายของในหลวงรัชกาลที่ 9 ในถิ่นทุรกันดารต่างๆ เพื่อไปช่วยเหลือชาวบ้าน เราพบเห็นผลงานมากมายของท่าน และล่วงมาถึงในสมัยรัชกาลที่ 10 ที่พระองค์ทรงติดตามรัชกาลที่ 9 ตั้งแต่เยาว์วัย เรานี้มีหลักฐานประจักษ์ 

“แน่นอนว่า สังคมทุกวันนี้ เราปฏิเสธไม่ได้ที่จะต้องอยู่กับเรื่องนินทา และเรื่องที่อยุติธรรมมากมาย ซึ่งจะเลือกเชื่อกันอย่างไรก็ตามแต่ละบุคคล แต่ผมมักพูดทุกครั้งว่า ไม่รักไม่ว่าแต่อย่าละเมิดกัน คุณก็มีสิทธิ์ของคุณ ผมก็มีสิทธิ์ของผม คุณไม่รัก ก็อย่ามาละเมิดสิทธิ์ความเชื่อและความรักของผม”

“ผมเชื่อมั่นว่าสถาบันกษัตริย์จะยังอยู่กับเมืองไทยไปอีกยาวนานแน่นอนครับ” คุณบูม ทิ้งท้าย

รับชมคลิปเต็มได้ที่ >> https://www.youtube.com/watch?v=LsLj5RYY5YM 

ลูกสาว 'สมบัติ ทองย้อย' เล่าเบื้องหลังขอให้ 'สส.ก้าวไกล' ช่วยพ่อ แต่ถูกปฏิเสธกลับมา ทั้งที่ชู 112 รับ!! เจอแบบนี้แล้วหมดศรัทธา

เมื่อวานนี้ (15 ก.ย.66) ลูกสาวของ สมบัติ ทองย้อย อดีตการ์ดเสื้อแดง และผู้ต้องหาคดีมาตรา 112 ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก สมบัติ ทองย้อย โดยระบุว่า ไม่เป็นความจริงที่บอกว่า ”ก้าวไกลช่วยประกันตัว” ถ้าไม่อยากอ่านเยอะข้ามไปข้อ 3 ได้เลยค่ะ

ตรงนี้อยากขอคำอธิบายเพิ่มเติมจากคนที่พิมพ์ข้อความในเชิงนี้นะคะ เพราะในฐานะที่ณัฏเป็นลูกสาวณัฏคิดว่าประโยคนี้ไม่เป็นความจริงค่ะ ตอนที่คุณพ่อโดนคดีเมื่อปีที่แล้วณัฏขอความช่วยเหลือจากหลายฝ่ายมากโดยเฉพาะเรื่องการหานายประกันหรือผู้กำกับดูแล

1. ณัฏเข้าใจดีกว่าพรรคเพื่อไทยจะไม่ยุ่งเรื่อง 112 แต่ตอนนั้นได้โทรคุยกับทางพรรคเรื่องการช่วยเหลือคุณพ่อซึ่งทางพรรคเองขอไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่!! ทางพรรคให้การช่วยเหลือในเรื่องของทนายโดยหากครอบครัวต้องการทนายหรือเปลี่ยนทนายสามารถแจ้งทางพรรคได้ แต่อย่างไรก็ตามทางพรรคเสนอว่าให้เชื่อใจทนายสิทธิ์ในการดำเนินเรื่องซึ่งคุณพ่อเองก็มั่นใจในทนายสิทธิ์จนสุดท้ายสามารถทำให้คุณพ่อออกมาได้

2. ณัฏขอให้คุณหมอทศพรเป็นผู้กำกับดูแลให้คุณพ่อซึ่ง ณ เวลาขณะนั้นเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทยอยู่และคุณหมอให้ความร่วมมือและเต็มใจในการให้เอกสารและเป็นผู้กำกับดูแลคุณพ่อแต่สุดท้ายศาลปฏิเสธ

3. มีคนเสนอให้ลองติดต่อพรรคก้าวไกลไปเพราะทางพรรคชูเรื่อง 112 ซึ่งตอนนั้นณัฏติดต่อไปให้มาเป็นผู้กำกับดูแลคุณพ่อในการประกันตัว และใช่ค่ะ ทางพรรคติดต่อกลับมาว่าคนที่สามารถเป็นนายประกันให้ได้ต้องเป็นสส.เขตในบ้านณัฏ ตอนนั้นณัฏรอการตอบกลับจากสส.พรรคก้าวไกลเป็นอาทิตย์ซึ่งเมื่อเทียบกับคุณหมอทศพรณัฏได้เอกสารจากคุณหมอทันทีที่ณัฏขอคุณหมอไป สุดท้ายณัฏได้รับการตอบกลับจากสส.ท่านนั้นซึ่งเป็นคำแจ้งมาจากทนายว่าอะไรรู้ไหมคะ “ส.ส…..ไม่สามารถเป็นผู้กำกับดูแลให้คุณสมบัติ ทองย้อย ได้นะคะ”ตอนนั้นณัฏสงสัยและถามกลับไปว่าทำไม และคำตอบคือ “เนื่องจากภรรยาไม่อยากให้ข้องเกี่ยวกับเรื่อง 112 ค่ะ”

ณัฏเข้าใจพรรคเพื่อไทยได้ว่าที่พรรคไม่สามารถเป็นผู้กำกับดูแลช่วยเหลือกรณี 112 ได้เพราะทางพรรคชัดเจนแล้วว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยว แต่ณัฏพูดตรงๆ ว่าณัฏไม่เข้าใจว่าจริงๆ แล้วหลักการของพรรคก้าวไกลคืออะไร เพราะพรรคคุณชูเรื่อง 112 แต่พอขอความช่วยเหลือคุณกลับปฏิเสธและเหตุผลที่คุณปฏิเสธการช่วยเหลือมันยิ่งทำให้ณัฏไม่เข้าใจและหมดศรัทธาในพรรคก้าวไกลค่ะ พ่อณัฏเป็นคนหนึ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนใจจากพรรคเพื่อไทย แต่บอกเลยว่าณัฏคือคนนึงที่คายส้มจนหมดเปลือก คนที่ช่วยให้คุณพ่อณัฏและครอบครัวได้จริงๆ ณัฏขอบอกเลยว่าคนกลุ่มนั้นคือทนายสิทธิ์ที่ช่วยดำเนินเรื่องคดี กองทุนราษฎรประสงค์และกองทุนต่างๆ ที่ช่วยเรื่องค่าใช้จ่ายรายวัน รายเดือน และเงินประกัน คนรอบตัวของคุณพ่อเองที่คอยให้กำลังใจหรือโอนเงินช่วยเหลือ คนเหล่านี้แหละค่ะคือคนที่ช่วยคุณพ่อให้ได้ออกมาและทำให้พ่อมีกำลังใจระหว่างอยู่ในนั้น ถ้าหากบอกก้าวไกลช่วยเหลือจนคุณพ่อได้ออกมา ณัฏขอบอกเลยว่าไม่เป็นความจริงค่ะ

ขอชี้แจงเพิ่มเติมเกี่ยวกับ กองทุนราษฎรประสงค์นะคะ เนื่องจากมีการเข้าใจผิดว่าทางกองทุนปฏิเสธช่วยเหลือคุณพ่อ แต่ความจริงทางกองทุนยังคงให้การช่วยเหลือคุณพ่อเหมือนเดิมค่ะ ขอขอบคุณที่ทางกองทุนยังยึดมั่นในหลักการณ์ของตัวเองโดยไม่เลือกปฏิบัติค่ะ

ขอบคุณค่ะ
ณัฏ

‘อดีตทูตนริศโรจน์’ ชม ‘ท่านอ้น’ ร่วมงานนิทรรศการ ม.112 เป็นวิธีที่แยบยล ช่วยลดความเดือดดาลให้เจือจางบางลง

(21 ก.ย. 66) นายนริศโรจน์ เฟื่องระบิล อดีตเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงบัวโนสไอเรส ประเทศอาร์เจนตินา โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊ก ‘Fuangrabil Narisroj’ ถึงกรณีท่านอ้น วัชรเรศร วิวัชรวงศ์ เข้าร่วมชมนิทรรศการ ‘Faces of Victims of 112 : An Exhibition’ ที่มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย นครนิวยอร์ก ซึ่งจัดขึ้นโดย อ.ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ นักวิชาการมหาวิทยาลัยเกียวโต และผู้ลี้ภัยจากคดี ม.112 ว่า...

นิทรรศการมีจุดประสงค์ให้ร้ายเบื้องบนฝ่ายเดียว และมีแผนไปจัดในประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก

ที่ผ่านมารัฐทำได้แค่เพียงส่งคนเข้าไปสังเกตการณ์เท่านั้น

การที่ท่านเดินเข้าไปดูนิทรรศการนั้นด้วยตัวเอง เข้าไปคุยแบบตรง ๆ ไปรับรู้รับทราบไปเลย นั่นแหละได้ impact ที่สุด !

ซึ่งเรื่องแบบนี้คนในภาครัฐทำไม่ได้ ไม่มี impact บางทีคนของรัฐเข้าไปอาจกลายเป็นเติมเชื้อฟืนให้ลามด้วยซ้ำ ผลที่ตามมา ผมมองว่านิทรรศการนั้นดู soft ลงไปเลย ขนาดคนจัดยังยืนหงอ ๆ บางครั้งพนมมือ ในขณะที่ท่านยืนยิ้ม หลังตรง 

นี่คือการเบรกนิทรรศการแบบแยบยลที่สุด

ท่านยอมถูกต่อว่า ถูกสงสัยเคลือบแคลงจากคนที่มองอะไรแค่มิติเดียว

แต่ผลที่ได้ตามมามันมีอะไรที่ลึกซึ้งมากมายนัก


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top