อุทาหรณ์ 'นักเลงคีย์บอร์ด' หมิ่น 112 'ในหลวง ร.๙-ร.๑๐' ยังรอด!! หลังพ่อแม่ให้ 'ยอมรับผิด' เพราะหวั่น!! ทนายนำ 'ภา' ไปหาคุก

เห็นสภาพการเดินเกมรุกของบรรดาด้อมส้มสามกีบในช่วงนี้ ที่แบ่งระดับตามสายตาเป็น 3 ระดับ ตั้งแต่ ระดับรุกไล่เชิงการภายก่อภัยคุกคามสถานที่สาธารณสุข และที่ส่วนบุคคล (พรรคเพื่อไทย) โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจตึงใส่เรียบร้อย

ระดับอินฟลูเอ็นเซอร์ผู้ดำเนินรายการ ก็เริ่มโนประชาชี หรือคนมีบารมีทางสังคมเริ่มไม่อ่อนข้อ (วันก่อนโดนลุงสนธิประกาศฟ้องรายการแฮชแตก!!) 

และมาถึงลำดับของประชาชน หรือพวกเยาวชนนักเลงคีย์บอร์ดที่ชอบป้ายสีข้อมูลเท็จลงออนไลน์ โดยเฉพาะการบิดเบือนเรื่องของสถาบันฯ ก็ต้องบอกว่า กระบวนการยุติธรรมที่เห็นเงียบ ๆ แต่ฟาดที ฟาดเรียบ...

โดยทั้งหมดทั้งมวล ต้องขอบอกว่า ถ้าเข้าหมวดหมิ่น ให้ร้ายป้ายสี อย่างมีเจตนา ก็ไม่มีหัวเรือด้อมส้มสามกีบคนไหนช่วยได้ แม้แต่สัมมาชีพที่ขึ้นชื่อเป็น 'ทนาย' ก็ตาม

ล่าสุดมีเรื่องสั้นเสียงจากแฟนคลับ ได้ส่งกรณีศึกษาหนึ่งมายังทีมข่าวการเมือง THE STATES TIMES ให้เป็นอุทาหรณ์สำหรับพวกหมิ่น ม.112 แบบไร้สติและไร้ข้อมูล ฟังเขาเล่ามาแล้วก็มาถ่มถุยหลังคีย์บอร์ด ให้อ่านไปสยองไปสักเรื่อง

เรื่องนี้มาจากคุณญ่า ซึ่งมาทำหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญในฐานะประชาชนไทย #สืบพยานในคดี ม.112

ตัวละครเคสนี้...

ฝั่งโจทก์ มี 'คุณญ่า' เป็นผู้อยู่ในบัญชีพยานฝั่งโจทก์ลำดับที่ 3 ตามมาด้วย คุณลุงเจ้าของบริษัทใหญ่แห่งหนึ่ง (ขอสงวนนาม) เป็นพยานลำดับที่ 1 ในฐานะผู้ร้องทุกข์กล่าวโทษ และมีคุณน้า ซึ่งเป็นเจ้าของบริษัทใหญ่อีกแห่ง (ขอสงวนนาม) เป็นพยานที่ 2

ส่วนผู้ถูกกล่าวหาหรือจำเลย คือ ผู้สาวอายุเพียง 26 ปี ได้โพสต์และแชร์ข้อความกล่าวหาด้วยความเท็จใส่ร้ายเรื่องการใช้ภาษีของในหลวง ร.9 ว่าด้วยเรื่องโครงการพระราชดำริ และกล่าวหาใส่ร้ายด้วยความเท็จว่า ร.10 ว่าทรงเอาเครื่องบินไปของการบินไทยไปใช้ส่วนพระองค์และเอาไปจอที่วังสวนจิตร 

แน่นอนแหละว่าจำเลย 'ปฏิเสธ' ทุกข้อกล่าวหาในชั้นพนักงานสอบสวน

และเมื่อวาน (8 ส.ค.66) ณ ศาลจังหวัดสมุทรปราการ ก็ได้มีการสืบพยานฝั่งโจทก์นัดแรก ซึ่งฝั่งโจทก์ก็ได้ทนายจำเลยของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชน อย่าง 'อานนท์ นำภา' เป็นทนายความให้

ทว่า ตัวจำเลย (สาววัย 26) พ่อแม่จำเลย ทนายจำเลย อัยการ และพยานโจทก์ ได้บังเอิญเจอกันก่อนศาลจะออกพิจารณา

พีก!! ตรงพ่อแม่จำเลย ดันจำพยาน คือ คุณลุงและคุณน้าได้ว่าเป็นเจ้าของตึกอาคารสำนักงาน ที่บริษัทตัวเองได้ทำงานอยู่สิบกว่าปี (สยอง!!)

ว่าแล้วพ่อแม่จำเลย ก็รีบตรงปรี่เข้ามาไหว้สวัสดี และสอบถาม พยานฝั่งโจทก์...

เรียบ ๆ เคียง ๆ แล้ว ก็พอได้ใจความว่า "อยากจะขอคุยกับอัยการและศาล เพื่อเปลี่ยนใจให้ลูกสาวรับสารภาพ เพราะดูจากสำนวนและพยานที่มาให้การแล้ว 'ไม่น่าจะรอด' ถ้าสู้ตามทนายสามกีบแนะนำ"

สรุป!! ยังไม่ทันได้สืบพยาน พ่อแม่จำเลยเห็นพยานแล้วถอดใจไม่เชื่อทนาย ขอปรึกษาอัยการและศาลให้ลูกสาวให้การเป็นขอสารภาพ

เฮ้อ!! ทนายนำภาไปหาคุกเอ๊ย คุณญ่าในฐานะพยานที่ 3 เลยไม่มีโอกาสได้ปล่อยพลังฝีปากกับอานนท์ นำภาเลยอ่ะ ซึ่งเธอบอกมาว่า "เสียดายจัง" 

สุดท้ายศาลให้เบิกค่าพยาน 500 แต่คุณลุงกับคุณน้าใจดี บอก “เอ้า!! ไอ้ญ่าอุตส่าห์มาเป็นพยานปากเอก เอาทริปค่าน้ำมันค่าขนมไป 10,000 บาท” ขุ่นญ่าก็อารมณ์ดีหายเคือง

ขณะที่พ่อแม่จำเลย ก็ถือว่าเป็นบุญไปที่เจอคนคุ้นเคย และถือเป็นผู้ใหญ่ใจดี (สังคมไทยผู้ใหญ่ใจดีเยอะ) โดยบอกให้น้อง 26 กลับไปปรับปรุงตัว (รอดคุก) แต่ยังไงซะ กลับไปแล้ว ก็หมั่นหาความจริง ไม่เฮเอามันส์ตามกีบ แล้วต้องมายืนตัวลีบหน้าศาลแบบนี้อีก

ส่วนทนายนี่!! #กากฉิบหายเลยว่ะ

ใครมั่นใจในสิ่งที่ถูกปลุกปั่นให้เชื่อ และยอมเป็นเครื่องมือด้วยความคะนองใจ โปรดระวังไว้!!

เพราะไม่ใช่คุณที่จะโชคดีแบบกรณีน้อง 26 รายนี้