Saturday, 20 April 2024
TheStatesTimes

คปส.ได้ซีน ปัดตอบยุรัฐประหาร

นายกฤตย์ เยี่ยมเมธากร เลขาเครือข่ายประชาชนปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ (คปส.) บุกหน้ากองบัญชาการกองทัพบก ยื่นหนังสือถึง ผู้บัญชาการทหารบก ให้กำลังใจ ผบ.ทหาร ผบ.ตำรวจ และทหารทั่วประเทศ เพื่อให้มีพลังแก้ไขปัญหาและปกป้องสถาบัน

ประเด็นยื่นจดหมายเปิดผนึกเรียกร้องให้ผบทบ. ทำรัฐประหาร เลขาคปส. เลี่ยงตอบ ย้ำวันนี้มาให้กำลังใจเท่านั้น ขณะเดียวกันชายสวมเสื้อเหลืองชูป้ายเตรียมป่วน ระบุข้อความว่า “การรัฐประหารคือกบฏ” ก่อนรีบแยกย้ายไร้เหตุชุลมุน

‘คนละครึ่ง’ ดึงเงินได้เกินคาด

แม้ช่วงแรกที่โครงการของรัฐอย่าง ‘คนละครึ่ง’ จะถูกสบประมาทเบาๆ ว่าไม่น่ากระตุ้นกำลังซื้อคนไทยได้มากนัก แต่กลับกันโครงการนี้ เริ่มดูดเงินจากกระเป๋าประชาชนให้ออกมาใช้จ่ายกันได้เยอะเกินคาด

แล้วตอนนี้โครงการคนละครึ่งเดินหน้าไปถึงไหน?

อัพเดทข้อมูลของกระทรวงการคลัง เมื่อวันที่ 10 พ.ย. 2563

มีร้านค้าลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการกว่า 5.7 แสนร้านค้า และมีผู้ใช้สิทธิ์จำนวน 7,387,647 คน

มียอดการใช้จ่ายผ่านแอพฯ เป๋าตังของธนาคารกรุงไทยราว 1.1 หมื่นล้านบาท เงินที่ประชาชนใช้จ่ายเองอยู่ที่ 5.61 พันล้านบาท ภาครัฐร่วมจ่ายไป 5.40 พันล้านบาท คิดเป็น 18.01% จากกรอบงบ 30,000 ล้านบาท มียอดการใช้จ่ายเฉลี่ยต่อคนอยู่ที่ 212 บาทต่อครั้ง

แต่ส่วนใหญ่ใช้ต่อบิลทะลุเกิน 300 บาท จังหวัดที่มีการใช้จ่ายสะสมมากที่สุด คือ กรุงเทพ / สงขลา / นครศรีธรรมราช / สุราษฎร์ธานี และเชียงใหม่

สำหรับโครงการคนละครึ่ง ของกระทรวงการคลัง เป็นโครงการเพื่อร้านค้ารายเล็ก และจำกัดสิทธิ์ไม่ให้ร้านค้ารายใหญ่เข้าร่วม โดยรัฐบาลจะช่วยออกค่าใช้จ่ายให้ประชาชนครึ่งหนึ่ง คิดเป็นวงเงินคนละไม่เกิน 3 พันบาท และใช้จ่ายเพื่อซื้อสินค้าได้ไม่เกินวันละ 300 บาท

ฉะนั้นหากคิดจากฐานผู้รับสิทธิ์ที่กำหนดไว้ทั้งหมดที่ 10 ล้านคน จะทำให้เกิดเม็ดเงินไหลเวียนจากฝั่งประชาชน 3 หมื่นล้านบาท และพอมาบวกกับอีกครึ่งจากรัฐบาล จะทำให้เกิดการหมุนเวียนเม็ดเงินไปสู่ระบบเศรษฐกิจ โดยไหลไปร้านค่าย่อยๆ ได้ราว 6 หมื่นล้านบาทเลยทีเดียว

ส่วนใครที่ยังไม่ได้ลงทะเบียน ยังเหลือพื้นที่อีกราว 2.3 ล้านคนที่สามารถลงรอบใหม่ได้ในวันนี้ (11 พฤศจิกายน พ.ศ.2563)

สัญญาณบวก!! จาก ‘โจ ไบเดน’

เป็นที่แน่ชัดแล้วว่า ประธานาธิบดีสหรัฐคนที่ 46 ได้นายโจ ไบเดน แห่งพรรคเดโมแครต มาเป็นผู้นำมะกัน ด้วยผลคะแนนโหวตท่วมท้นเหนือ ทรัมป์ 290 ต่อ 214

.

คำถามต่อมาที่หลายๆ คนรอลุ้น คือ โจ ไบเดน จะทำให้อุณหภูมิโลกร้อนระอุขึ้นกว่าเดิม หรือเบาบางลง โดยเฉพาะกับประเทศไทย

.

พรายพล คุ้มทรัพย์ นักวิชาการอิสระด้านเศรษฐศาสตร์ เชื่อว่า โจ ไบเดน จะทำให้การค้าโลกและเศรษฐกิจโลกปรับตัวดีขึ้น จากการดำเนินนโยบายที่เป็นระบบ

.

โดยไบเดนจะดำเนินการให้การค้าระหว่างประเทศกลับมาขยายตัวได้อีกครั้ง และนั่นจะเป็นผลดีต่อ ‘ประเทศไทย’ ในด้าน ‘การค้าการส่งออก’ ที่เป็นหนึ่งในคู่ค้าสำคัญกับสหรัฐฯ

.

สอดคล้องกับ นายศุภชัย พานิชภักดิ์ อดีตผู้อำนวยการใหญ่องค์การการค้าโลก ที่มองว่า ไบเดนจะทำให้ความสงบเรียบร้อยของโลกดีขึ้น

.

เพราะไบเดนมีแนวโน้มในการดึงบรรยากาศการค้าระหว่างประเทศ โดยเฉพาะการค้าของเอเชียในตลาดอเมริกาให้ค่อยๆ กลับมาดี เหมือนสมัยที่ นายบารัก โอบาม่า ได้ทำไว้

 

ยิ่งไปกว่านั้น ไบเดนน่าจะหลีกเลี่ยงการทำสงครามการค้ากับจีน และหันมาผูกมิตรกับจีนและประเทศใกล้เคียง ซึ่งก็รวมถึงไทยด้วย ให้กลายเป็นมิตรกับสหรัฐอเมริกามากยิ่งขึ้น

.

แต่นายศุภชัย ทิ้งมุมมองที่น่าสนใจไว้ว่า ประเทศไทยต้องเร่งปรับตัวในเรื่องสิ่งแวดล้อมให้มาก เพราะพรรคเดโมแครต จะเน้นย้ำนโยบายด้านนี้เป็นหลัก โดยไม่คิดกีดกันทางการค้าในเชิงของภาษีอากร

.

พูดง่าย ๆ ก็คือ เดโมแครตจะให้ความสนใจกับทุกประเทศที่มีการลงทุนเกี่ยวข้องกับความเป็นธรรมชาติที่สะท้อนไปถึงความปลอดภัยในชีวิตคนอเมริกันมากขึ้น

.

ตรงนี้จึงเป็นสัญญาณบวกต่อภาคส่งออกไทย เช่น ภาคการผลิตอาหารที่มีมาตรฐานความปลอดภัยที่จะสร้างโอกาสในตลาดส่งออกไทย-สหรัฐฯ ได้ชัดกว่ายุคทรัมป์ บนแต้มต่อจากการรับมือได้ดีกับโควิด-19 มาก่อนหน้านี้

งานงอก!! เจ้าหนี้หน้าเลือด

สารพัดวิกฤติกำลังทำให้คนไทยขาดสภาพคล่อง ทางออกเร่งด่วนที่คิดออกไวๆ เลยไม่พ้น ‘แหล่งเงินกู้’ ที่ส่วนใหญ่มักมาเงินกู้นอกระบบ
.
หนี้นอกระบบ เป็นปัญหาที่ยิ่งทำให้คนจน ยิ่งจนหนักกว่าเดิมจากดอกเบี้ยมหาโหด และตามมาสู่ปัญหาสังคมมากมาย
.
เมื่อเป็นปัญหามากกว่าทางออก นายกรัฐมนตรี ‘บิ๊กตู่’ เลยสั่งให้มีการเอาผิดเจ้าหนี้นอกระบบกฎหมายอย่างจริงจัง
.
โดยตั้งแต่เดือนตุลาคม พ.ศ.2559 จนถึงสิ้นเดือนกันยายน พ.ศ.2563 สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้จับเงินกู้ผิดกฎหมายสะสม 7,476 ราย
.
เมื่อปิดกั้นเงินผิดกฎหมาย ก็ต้องหาทางออกเงินถูกกฎหมายให้ประชาชน ซึ่ง ‘บิ๊กตู่’ ได้เข็นเงินกู้ที่เรียกว่า ‘พิโกไฟแนนซ์’ (PICO Finance) ออกมา
.
‘พิโกไฟแนนซ์’ นี้เป็นสินเชื่อรายย่อยระดับจังหวัด ที่อยู่ในความดูแลของกระทรวงการคลัง ถูกออกแบบมาเพื่อให้ประชาชนทั่วไปได้เข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบ
.
สำหรับผู้ประกอบการที่จะดำเนินธุรกิจ ‘พิโกไฟแนนซ์’ ถูกกำหนดให้ปล่อยกู้เรียกเก็บดอกเบี้ย ค่าปรับ ค่าบริการ และค่าธรรมเนียมใดๆ ได้ไม่เกินร้อยละ 36 ต่อปี ส่วนผู้กู้จะกู้เงินในระบบได้ง่ายกว่าเดิม รายละไม่เกิน 50,000 บาท
.
ยิ่งไปกว่านั้น ข้อดีของ ‘พิโกไฟแนนซ์’ คือ ผู้ที่มีหลักทรัพย์ค้ำประกันและไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกันสามารถเข้าถึงได้หมด แถมเงินต้นและดอกเบี้ยลดลงเรื่อยๆ
.
นับแต่ปี พ.ศ.2559 ที่เริ่มเปิดให้มีการประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ ก็มีผู้สนใจจำนวนมาก มีการประกอบธุรกิจสินเชื่อนี้รวม 858 ราย ใน 72 จังหวัด
.
ส่วนคนที่สนใจและได้รับอนุมัติสินเชื่อก็มีจำนวนทั้งสิ้น 328,300 บัญชี คิดเป็นวงเงิน 8,250.38 ล้านบาท หรือเฉลี่ย 25,130 บาทต่อบัญชี

คมนาคมชงงบ 6 แสนล้าน (จะพอใช้เหรอ?)

นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมได้เปิดเผยผลการประชุมจัดทำคำของบประมาณรายจ่าย ประจำปี พ.ศ.2565 จ่อของบทะลุ 6.15 แสนล้านบาท

.

โดยมอบให้แต่ละหน่วยงานจัดลำดับความสำคัญให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีโดยกรมทางหลวง (ทล.) นำโด่งของบกว่า 3.6 แสนล้านบาท โดยกว่า 8 หมื่นล้านทุ่มโครงการแบริเออร์ยางพารา

.

นายศักดิ์สยามได้กล่าวว่า “เป็นเรื่องปกติที่แต่ละหน่วยจะตั้งคำของบประมาณไว้สูงเพื่อสำนักงานประมาณพิจารณาปรับลดอีกครั้ง”

ฝุ่นมาล่ะจ้า! พร้อมรับมือกันยัง?

อะไรเอ่ย? ไม่ใช่วิญญาณ แต่รู้ว่ามีอยู่จริง!

อ๋อ ฝุ่นไงจะอะไรล่ะ เรียกทางการสักหน่อย ก็คือพี่ PM 2.5 นี่เอง ว่ากันว่า พอหมดฤดูฝนปุ๊บ ช่วงที่อากาศเริ่มเปลี่ยนผ่าน ช่วงนี้แหละที่ ‘พี่ฝุ่น’ จะมาเยือนมากมาย

โดยเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ.2563 ที่ผ่านมา รัฐบาลนำโดย นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้แถลงข่าวเรื่องการเตรียมความพร้อม ‘การรับมือปัญหาฝุ่นละออง PM 2.5’ โดยมีแนวทางการแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองแบบบูรณาการทุกภาคส่วน ดังนี้

1.) เพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการเชิงพื้นที่ โดยทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องติดตามเฝ้าระวังสถานการณ์ พร้อมประสานข้อมูลกับกรมควบคุมมลพิษ และ Gistda (สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) )
.
รวมทั้งมีการกำหนดสถานที่พักชั่วคราว หรือ Safety Zone แจ้งเตือนแนะนำข้อปฏิบัติตนแก่ประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ และผู้มีโรคประจำตัว ให้หลีกเลี่ยงกิจกรรมกลางแจ้ง และสวมใส่หน้ากากอนามัย

2.) ป้องกันและลดการเกิดมลพิษที่ต้นทาง เข้มงวดตรวจจับรถควันดำ เร่งระบายการจราจรไม่ให้ติดขัด ส่งเสริมการใช้ระบบขนส่งสาธารณะ ตรวจสภาพ/บำรุงรักษายานพาหนะขนส่งสาธารณะ ทำความสะอาดพื้นผิวถนน

รวมทั้งควบคุมการเผาในที่โล่ง พื้นที่เกษตรอย่างเคร่งครัด ตรวจสอบและควบคุมการปล่อยมลพิษจากโรงงาน ป้องกันและลดปริมาณฝุ่นละอองจากการก่อสร้าง
.
3.) เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการมลพิษ ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเฝ้าระวัง ติดตาม ตรวจสอบคุณภาพอากาศ ขยายเครือข่ายแจ้งเตือน จัดระเบียบการเผาตามลักษณะพื้นที่ให้สอดคล้องกับหลักวิชาการ ส่งเสริมการมีส่วนร่วมและปรับพฤติกรรมประชาชน ในการลดการเผาในที่โล่ง พื้นที่การเกษตร และการเผาขยะในชุมชนหรือเมือง

ทั้งหมดที่ว่ามา ถือเป็นแนวทางการแก้ปัญหาร่วมกัน ซึ่งนอกเหนือจากหน่วยงานภาครัฐที่ต้องแอ็คชั่นกันแรงๆ แล้ว ที่เหลือก็เป็นเรื่องของพวกเราทุกคนที่ต้องพร้อมใจกันปลดแอก

เดี๋ยวๆๆๆ เรียกว่าพร้อมใจกันลดการเกิดฝุ่นจะดีกว่า ต้องช่วยกันอย่างจริงจัง ทั้งทางตรงและทางอ้อม เมืองเราจะได้แจ่ม ปอดเราจะได้สะอาดขึ้น นะจ้ะ!

จะแก้อะไรก็แก้ แต่หมวด 1 กับ 2 น้องขอไม่ยุ่ง

เมื่อวันที่ 10 พฤษจิกายน พ.ศ. 2563 นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ให้สัมภาษณ์ถึงท่าทีของพรรคประชาธิปัตย์ในการพิจารณาแก้ไขรัฐธรรมนูญ

ในวันที่ 17 และ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2563 นี้ ยันไม่มีผลกระทบสามารถเดินต่อไปได้ อีกทั้งมีการนำร่างของไอลอว์เข้าสู่การพิจารณาด้วย แต่จะออกมาในรูปแบบไหนต้องรอรายละเอียดกันต่อไป ในกรณียื่นขอให้ประธานสภา ส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยร่างรัฐธรรมนูญ ทั้ง 3 ร่างขัดรัฐธรรมนูญหรือไม่ เรื่องนี้ถือเป็นสิทธิ์ที่จะทำได้

แต่การแก้ไขยืนยันดำเนินต่อไป ในการแก้ไขรัฐธรรมนูญพรรคประชาธิปัตย์ยังคงจุดยืนไม่แตะต้องกับหมวดที่ 1 และ 2 เช่นเดิม

ขอแรงหน่อย!! ‘หัวเว่ย’ ออกตัวอัพเวล ‘ไทยแลนด์ 4.0’

ถ้าจะก้าวไปสู่ ‘ไทยเแลนด์ 4.0’ ได้แบบเต็มตัว ก็ควรต้องมีเทคโนโลยีที่พร้อมดันให้เศรษฐกิจดิจิทัลออกตัวได้แบบเนียน ๆ

การมีพาร์ทเนอร์ที่แข็งแรง จึงน่าจะเป็นอีกทางเลือกของไทย ซึ่งหนึ่งในทางเลือกนั้น มีชื่อ ‘หัวเว่ย’ ลอยมาใกล้ ๆ

อาเบล เติ้ง ประธานกรรมการบริหาร หัวเว่ย เทคโนโลยี (ประเทศไทย) จำกัด ได้พูดถึงเศรษฐกิจดิจิทัลของไทยในงาน POWERING DIGITAL THAILAND 2021 โดย ‘หัวเว่ย’ ตั้งใจที่จะมาเป็นหัวหอกช่วยดัน

เนื่องจาก ‘หัวเว่ย’ เอง ก็เป็นองค์กรด้านเทคโนโลยีจากจีนที่อยู่กับประเทศไทยมานานกว่า 21 ปี และตลอดเวลาก็มองออกว่าประเทศไทยมีศักยภาพที่เหนือกว่าประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคนี้

สังเกตุได้ถึงการที่ไทยพยายามให้ความสำคัญในการพัฒนาเทคโนโลยี CLOUD, AI และ 5G มาประยุกต์กับเศรษฐกิจดิจิทัลเป็นอันดับต้น ๆ

แต่ถ้าอยากเดินหน้าได้ไว ๆ ก็อาจต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญเสริมแกร่ง ซึ่งนั่นจึงเป็นอีกหนึ่งเหตุผลหนึ่งที่หัวเว่ยจะถูกดึงเข้ามาหนุนตรงจุดนี้

โดยเป้าหมายหลักในการดัน ‘ไทยแลนด์ 4.0’ นั้น คือ การอัพเลเวลไทยให้เศรษฐกิจดิจิทัลไทยมีสัดส่วนใน GDP ของประเทศให้ถึง 30% ภายในปี 2573

ขณะเดียวกันก็ต้องการสร้างผลบวกระยะยาวไปถึงการเป็นศูนย์กลางด้านดิจิทัล (Digital Hub) ของอาเซียนได้อีกด้วย

“เบื้องต้นทางหัวเว่ยจะเข้าช่วยสนับสนุนด้านเทคโนโลยีเพื่อฟื้นตัวไทยหลังโควิด-19 ในระยะสั้นไปจนถึงระยะยาว ผ่านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยี Cloud, Al และ 5G ตรงนี้จะช่วยเสริมศักยภาพทั้ง เศรษฐกิจ สังคม ความมั่นคง และการศึกษา ซึ่งจะทำให้ไทยก้าวไปแข่งขันได้ในทุกมิติของเวทีโลก” อาเบล กล่าว

ส้มหยุด!! หยุดป้ายสีนายกฯ

เมื่อวันที่10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2563 นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ หรือ "แรมโบ้" ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี แจงเหตุ “บิ๊กตู่” ปัดตกร่าง พ.ร.บ. ยกเลิกการเกณฑ์ทหารแบบบังคับ

เพราะเป็นหน้าที่ของชายไทยทุกคน ไม่มีเจตนาแอบแฝงอย่างที่นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ พร้อม ส.ส.พรรคก้าวไกล กล่าวหาและระบุว่าการปฏิรูปกองทัพ ให้กองทัพเคารพสิทธิมนุษยชน ใช้งบอย่างโปร่งใสตรวจสอบได้

แรมโบ้ได้กล่าวถึง นายธนาธร ว่า "อย่าให้ร้ายกองทัพที่ทำงานเสียสละให้บ้านเมืองมาโดยตลอด ซึ่งการใส่ร้ายของนายธนาธรและพรรคพวกจะส่งผลเสียต่อตัวนายกโดยตรง จากนี้เรื่องที่ไม่เป็นความจริงจะขอดำเนินคดีกับคนที่ ใส่ร้าย ป้ายสีนายก"

หยุดกร่างได้ละ ลุงแซม!!

หลังโจ ไบเดน ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา มีการคาดเดาถึงภาพเศรษฐกิจโลกที่จะลดความตึงตัวลง

ผลดีในเชิงเศรษฐกิจที่อเมริกาเคยระรายไปทั่ว ก็น่าจะผ่อนคลายในยุคของเขา ซึ่งหนึ่งในประเทศที่จะยืดตัวคุยได้มากขึ้น ก็คงมีไทยรวมอยู่ด้วย

"จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์" รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เชื่อว่า ต่อจากนี้ ไบเดน น่าจะหันมาใช้เวทีพหุภาคีหรือการทำข้อตกลงระหว่างประเทศมากกว่าสองประเทศ

ไม่ทำตัวลับๆ แบบเดิมที่มักใช้เงื่อนไขระหว่าง 2 ประเทศ คือ สหรัฐ และประเทศคู่ค้าทีละประเทศในการเจรจาทางการค้า

ฉะนั้นถ้าภาพไปในแนวดังกล่าว ก็จะเป็นเวทีให้ประเทศไทยสามารถร่วมกับอาเซียนในการเจรจาต่อรองทางการค้ากันได้มากขึ้น

รวมไปถึงใช้กลไกขององค์การการค้าโลก (WTO) ซึ่งถือเป็นเวทีการค้าพหุภาคีที่ใหญ่ที่สุดในโลก

...ซึ่งมีความเป็นไปได้ว่า ไบเดน จะให้ความสำคัญ

เพราะให้ความสำคัญกับ WTO พร้อมๆ กับให้ความสำคัญกับนโยบายอินโด-แปซิฟิกที่มีประเทศไทยร่วมอยู่ด้วย จะทำให้สหรัฐฯ มีอำนาจต่อรองไม่ด้อยไปกว่าจีน

ภาพนี้จะช่วยกระตุ้นตัวเลขทางการค้าระหว่างไทย-สหรัฐ ให้มีโอกาสบวกเพิ่มสูงขึ้นอีกถึงร้อยละ 7 จากเดิมในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา มูลค่าการค้าไทย - สหรัฐ บวกถึง 20% ตามมุมมองของจุรินทร์

เรียกว่าผลลัพธ์จากการได้ โจ ไบเดน มานั่งแท่นผู้นำมะกันในตอนนี้ ดูจะมีแต่สัญญาณบวกสำหรับการค้าโลก และประเทศไทยเสียเหลือเกิน


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top