Friday, 10 May 2024
ม112

ศาลฯ พิพากษา ‘อติรุจ’ จำคุก 3 ปี 2 เดือน กรณีตะโกน “ไปไหนก็เป็นภาระ” ใส่ขบวนเสด็จฯ

(12 ธ.ค. 66) ทวิตเตอร์ (X) ‘TLHR / ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน’ โพสต์ข้อความระบุว่า…

“ศาลอาญากรุงเทพใต้จำคุก 3 ปี 2 เดือน ‘อติรุจ’ คดี #ม112 และ ขัดขวางเจ้าพนักงาน กรณี ตะโกน "ไปไหนก็เป็นภาระ" ใส่ขบวนเสด็จ ร.10 และ ราชินีฯ เมื่อช่วงค่ำของวันที่ 15 ต.ค. 2565

ศาลพิพากษาว่า การตะโกน "ไปไหนก็เป็นภาระ" เป็นคำที่มิสมควร เป็นการใส่ความว่า การเสด็จเป็นการสร้างปัญหาภาระ ให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อน

เนื่องจากจำเลยให้การรับสารภาพ จึงลดโทษกึ่งหนึ่ง เหลือจำคุก 1 ปี 8 เดือน ไม่รอลงอาญา 

ขณะนี้กำลังยื่นประกันตัว เพื่อสู้ต่อชั้นอุทธรณ์”

โดยก่อนหน้านี้ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ได้โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก โดยระบุว่า..

สำหรับคดีนี้ เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2565 เวลาประมาณ 17.00 น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินี ได้เสด็จพระราชดําเนินโดยรถยนต์พระที่นั่งไปทรงเปิดอาคารศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ หลังจากเสร็จสิ้นพิธี ได้เสด็จกลับเวลาประมาณ 18.00 น. ในขณะที่ขบวนรถยนต์พระที่นั่งของทั้งสองพระองค์เสด็จกลับออกไป มีประชาชนต่างพร้อมใจนั่งเฝ้ารับเสด็จตรงบริเวณเส้นทางเข้าและเส้นทางออกอาคารศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์และต่างพากันเปล่งเสียงว่า “ทรงพระเจริญ” แต่นายอติรุจซึ่งยืนอยู่บริเวณที่รถยนต์พระที่นั่งเคลื่อนขบวนผ่านได้ตะโกนเสียงดังหันหน้าไปทางขบวนเสด็จว่า “ไปไหนก็เป็นภาระ”

ซึ่งจากคำฟ้องของอัยการ ได้ระบุว่า เป็นถ้อยคํากล่าวที่มิบังควร จาบจ้วง มุ่งหมายใส่ความให้ประชาชนที่เฝ้ารับเสด็จและบุคคลทั่วไปเห็นว่าการเสด็จพระราชดําเนินนั้น เป็นการสร้างปัญหา สร้างภาระให้ประชาชน ก่อให้เกิดความเกลียดชังและเป็นภัยคุกคามต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินี ทําให้ทั้งสองพระองค์ต้องเสื่อมเสียพระเกียรติยศ ถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชัง อันเป็นการใส่ความ หมิ่นประมาทดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี อันเป็นการฝ่าฝืนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112

นอกจากนี้หลังจากที่นายอติรุจ ได้ตะโกนประโยคดังกล่าว เจ้าหน้าที่ตำรวจซึ่งปฏิบัติหน้าที่ถวายความปลอดภัยในบริเวณนั้นประมาณ 5 นาย ได้เข้าจับกุมจำเลยทันที เพื่อให้จําเลยหยุดการกระทําดังกล่าว แต่จําเลยได้ต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงาน โดยใช้เท้าถีบเจ้าพนักงานตํารวจอย่างแรง ทำให้ได้รับบาดเจ็บเกิดบาดแผลถลอก และได้รับบาดเจ็บฟกช้ำบริเวณกลางหลังช่วงเอว อัยการจึงได้สั่งฟ้องใน 2 ข้อกล่าวหาแก่อติรุจ ได้แก่ ข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และข้อหา ‘ต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานฯ’ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 138

‘อนุทิน’ ย้ำจุดยืน ‘ภท.’ คงเดิม ไม่แตะ 112 หากนิรโทษกรรมสอดไส้แก้มาตรานี้ เลิกคุยกัน

(13 ธ.ค. 66) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย ให้สัมภาษณ์กรณี นายนิกร จำนง ประธานคณะอนุกรรมการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับแนวทางในการทำประชามติ เพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 เสนอแนะให้มีการเสนอร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ในนามพรรคร่วมรัฐบาล ว่า “พรรคภูมิใจไทย (ภท.) มีจุดยืนชัดเจนว่าเราไม่แตะ ม.112”

เมื่อถามว่า คดีทุจริตที่เกิดขึ้นในช่วงมีความวุ่นวายทางการเมืองจะนำมาพิจารณาด้วยหรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า “เดี๋ยวรอว่าจะมีการหารือในพรรคร่วมรัฐบาลหรือไม่ แต่จุดยืนภูมิใจไทยเหมือนเดิมคือเราไม่มีปัญหากับมาตรา 112 ในปัจจุบัน เมื่อถามย้ำว่า คดีความต่างๆ สามารถพูดคุยกันได้ใช่หรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า ขอหารือกันก่อน ต้องดูว่าแก้ ม.112 หรือไม่ ถ้าแก้ก็ไม่ได้”

เมื่อถามว่า เห็นด้วยกับพรรคเพื่อไทย (พท.) หรือไม่ที่เสนอตั้งคณะกรรมาธิการขึ้นมาเพื่อศึกษาก่อน นายอนุทิน กล่าวว่า “ยังไม่ได้คิดเรื่องนี้” 

เมื่อถามอีกว่ารัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ มีการผลักดันเรื่องนิรโทษกรรมจนรัฐบาลมีปัญหา กังวลหรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า “โอ๊ยนานไปแล้ว จำไม่ได้ ตอนนั้นผมยังไม่เข้าการเมืองเลยมั๊ง เอาปัจจุบันดีกว่า”

‘ต้อม ยุทธเลิศ’ ย้อนถาม หลัง ‘ไอซ์ รัชนก’ ได้ประกันตัว คดี 112 เหตุใดคนอื่นที่โดนโทษเดียวกัน ถึงไม่ได้รับการประกันตัวบ้าง?!

(14 ธ.ค. 66) หลังจากที่เมื่อวานนี้ (13 ธ.ค.) ศาลอาญาตัดสินให้ ‘ไอซ์ รัชนก ศรีนอก’ ส.ส.พรรคก้าวไกล จำคุก 6 ปี โดยไม่รอลงอาญา ในความผิดฐานหมิ่นพระมหากษัตริย์ ตามมาตรา 112 และความผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ หลังโพสต์วิจารณ์หมิ่นสถาบันฯ ซึ่งไอซ์ได้ขอยื่นประกันตัวด้วยวงเงิน 500,000 บาท โดยเป็นเงินสด 300,000 และใช้ตำแหน่ง สส.ค้ำประกันเป็นวงเงิน 200,000 บาท เพื่อออกมาสู้คดีต่อ และศาลก็อนุมัติให้ประกันชั่วคราวได้ แต่มีเงื่อนไขห้ามจำเลยกระทำการหรือร่วมกิจกรรมลักษณะเดียวกันกับข้อหาตามคำฟ้อง และหรือมีพฤติกรรมใดๆ ในลักษณะและข้อเดียวกัน

ล่าสุด ด้านผู้กำกับภาพยนตร์ชื่อดังอย่าง ‘ต้อม ยุทธเลิศ สิปปภาค’ ก็ไม่รอช้า รีทวิตข้อความของสาวไอซ์ ที่พิมพ์เลข 5555 จำนวนมาก เหมือนเป็นการหัวเราะ โดย ต้อม เขียนข้อความใต้รีโพสต์นี้ว่า “🤭หัวเราะทีหลังดังกว่าจริงๆ ครับ”

พร้อมทั้งมีการให้สัมภาษณ์กับสื่อว่า การที่ได้รับประกันตัวแบบนี้ แต่คนที่เคยโดนคดีเดียวกัน แต่ไม่ได้รับประกันตัว แบบนี้ถือเป็นคนเหมือนกันหรือไม่?

“ตั้งแต่คดีที่เขาหมิ่นประมาทผม มากล่าวหาใส่ร้าย ผมมองเป็นเรื่องเล็กเลย เพราะว่าเขาทำคดีนี้ไว้ รู้อยู่แล้วว่าสิ่งที่เขาทำกับผมมันก็ผิดอยู่แล้ว แต่อันนี้หนักกว่า นี่เป็นเหตุนึงที่ผมไม่ได้คิดจะไปเอาความจนถึงที่สุด เพราะวันนี้มันเห็นแล้วว่าสิ่งที่เขาทำมันหนักกว่าที่ทำกับผม แต่ถ้าถามเรื่องส่วนตัว เรื่องอารมณ์ เรื่องความสะใจ เราไม่ขอแสดงแล้วกัน ทุกอย่างมันเป็นไปตามกฎหมาย คนก็ต้องยอมรับผลของการกระทำแค่นั้นเอง เขาจะได้เข้าใจคำว่า ‘อภิสิทธิ์’ นี่ก็จะไปย้อนถามอีกว่า ถ้าเขาได้ประกัน แล้วทำไมคนอื่นไม่ได้ประกันล่ะ? คนอื่นที่ติดไปในคดี 112 ที่ไม่ได้ประกันตัวล่ะ หมายความว่ายังไง? ถ้าจะให้เท่าเทียมกัน คนที่เคยติด คนที่ไม่ได้ประกัน คุณก็ต้องไม่ได้ประกันเหมือนกัน คุณต้องเป็นคนเท่ากัน สุดท้ายสิทธิ สส.อะไรก็ตามกฎหมาย ก็ว่ากันไป เอาใจช่วย (หัวเราะ)” ต้อม ยุทธเลิศ กล่าว

ซึ่งถ้าย้อนกลับไปเมื่อปลายปี 2564 ทั้งคู่ได้เคยมีคดีความต่อกัน ไอซ์ได้แจ้งความผู้กำกับชื่อดังในข้อหาทำร้ายร่างกายจนได้รับบาดเจ็บด้วย ฝั่งต้อมได้ยื่นฟ้องไอซ์ในคดีหมิ่นประมาท จากที่มีปากเสียงกันในประเด็นกล่าวหาว่า มีคนทุจริตเงินบริจาคสนับสนุนการชุมนุมทางการเมืองของกลุ่มคนที่เรียกตัวเองว่ากลุ่มราษฏร บนเรือไฮซีซัน

'อ.อุ๋ย' กระตุก 'ก้าวไกล' ต้องขับ 'ไอซ์ รักชนก' ออกจากพรรคโดยเร็ว หากยังยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

(15 ธ.ค.66) 'อ.อุ๋ย-ประพฤติ ฉัตรประภาชัย' นักวิชาการด้านกฎหมาย และอดีตผู้สมัคร สส. กรุงเทพมหานคร เขตบางกะปิ พรรคประชาธิปัตย์ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่า...

พรรคก้าวไกลต้องขับ ไอซ์ รักชนก ออกจากพรรค เพราะทำผิดวินัยร้ายแรง

จากคำพิพากษาในคดีที่ สส. ไอซ์ รักชนก ถูกตัดสินให้จำคุก 6 ปี ในความผิดตามมาตรา 112 และ พรบ. คอมฯ ที่มีการเผยแพร่เป็นการทั่วไปนั้น เมื่ออ่านแล้วจะเห็นว่า จำเลยไม่ได้ปฏิเสธว่าไม่ได้เป็นผู้โพสต์ข้อความหมิ่นฯ หรือต่อสู้ว่าภาพที่แสดงข้อความดังกล่าวถูกตัดต่อแต่อย่างใด เท่ากับว่า จำเลยยอมรับว่าเป็นผู้โพสต์ 

นอกจากนี้ หากวิญญูชนทั่วไปได้อ่านข้อความที่จำเลยโพสต์ ก็จะเห็นว่า ข้อความนั้น หาใช่การวิพากษ์วิจารณ์โดยสุจริต แต่เป็นการ ดูหมิ่น หมิ่นประมาทด้วยข้อความอันไม่มีมูลความจริง และอาฆาตมาดร้ายถึงชีวิตด้วย

ซึ่งจากข้อบังคับพรรคก้าวไกล ที่ใช้บังคับตั้งแต่ 20 สิงหาคม 2563 ข้อ 9 กำหนดว่า อุดมการณ์ของพรรคก้าวไกลคือการยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และในข้อ 119 (2) กำหนดว่า สมาชิกผู้ใดแสดงออกในทางตรงข้ามกับอุดมการณ์หรือมติพรรคโดยประการที่น่าจะทําให้พรรคเสื่อมเสียชื่อเสียงอย่างร้ายแรง ถือเป็นความผิดวินัยร้ายแรง กรรมการวินัยสมาชิกพรรคสามารถลงโทษให้พ้นจากสมาชิกภาพได้ตาม ข้อ 118 (4) 

ดังนั้น การที่นางสาวรักชนก กล่าวอาฆาตมาดร้าย ดูหมิ่นและหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ ซึ่งไม่ใช่การวิจารณ์โดยสุจริต โดยศาลได้ตัดสินแล้วในข้อเท็จจริง เท่ากับว่า นางสาวรักชนก แสดงออกในทางตรงข้ามกับอุดมการณ์ของพรรคที่ยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข โดยประการที่น่าจะทำให้พรรคเสื่อมเสียชื่อเสียง อันเป็นความผิดวินัยร้ายแรงตามข้อ 119 (2) ซึ่งพรรคสามารถลงโทษโดยการให้พ้นจากสมาชิกภาพได้ตามข้อ 118 (4) 

ผมจึงขอเรียกร้องให้พรรคก้าวไกลมีมติขับ สส. ไอซ์ ออกจากพรรคโดยเร็ว ให้เป็นมาตรฐานเดียวกับ สส. ปูอัด และ สส แจ้ ซึ่งกระทำผิดวินัยร้ายแรงเช่นเดียวกัน และสองรายนั้นคดียังไม่เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมด้วยซ้ำไป แต่ของ สส. ไอซ์ นี่ศาลชั้นต้นตัดสินแล้วด้วย ดังนั้น ไม่มีเหตุที่จะต้องประวิงเวลาใด ๆ อีก ฝากด้วยครับ ด้วยความปรารถนาดี 

‘ขบวนการล้มเจ้า’ มักชอบอ้างวาทกรรมกากกลวง ‘ด่า = แสดงความคิดเห็น’ ดิ้นสุดฤทธิ์ให้ตนพ้นผิด

ผมค่อนข้างรังเกียจชุดความคิดที่ว่า “แค่แสดงความคิดเห็นธรรมดาก็ต้องถูกดำเนินคดี 112” ผมคิดว่าไม่ใช่แค่ประเทศไทย ทุกประเทศที่มีกฎหมายทั่วโลกย่อมจะไม่จับใครดำเนินคดีเพียงแค่การแสดงความคิดเห็นธรรมดา

กลุ่มคนที่พยายาม ‘กระดิกหางรับลูกกัน’ พ่นชุดความคิดที่แสนบิดเบี้ยวนี้ก็มาจากพรรคการเมืองที่คิดล้มสถาบันเป็นแกนหลัก รวมหัวกับบรรดา ‘ด้อมดาวน์ซินโดรม’ ทั้งหลายที่ไร้สติปัญญาแยกแยะถูกผิด มีสมองกลั่นกรองผิดชอบชั่วดีได้อย่างเชื่องช้า หลงมอมเมากับความผิดเพี้ยนชนิดกู่ไม่กลับ ถือเป็นฉากหนึ่งในความน่าอดสูของสังคมไทยในยุคสมัยนี้จริง ๆ 

พูดให้เข้าใจกันง่าย ๆ แบบภาษาชาวบ้าน สำหรับคนธรรมดาแบบผม แบบคุณ กฎหมายหมิ่นประมาทมีไว้ปกป้องคนที่ถูกรังแก ถูกดูหมิ่น ดูแคลน ถูกใส่ร้ายป้ายสี หรือใส่ความฉันใด กฎหมายมาตรา 112 ก็มีไว้ปกป้องสถาบัน และพระมหากษัตริย์ฉันนั้น การไปโพสต์เฟซบุ๊กด่าใครเสีย ๆ หาย ๆ ถือเป็นการหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา แม้เป็นเรื่องจริงก็ยังผิด ถ้าไม่จริงก็จะยิ่งผิดมหันต์ และต้องชดใช้ในสิ่งที่ไปทำร้ายคนอื่นมากสักแค่ไหนถึงจะสาสม 

การไปโพสต์ด่าทอพระมหากษัตริย์ ดูหมิ่นสถาบันเบื้องสูง หรือแม้แต่การแชร์ข้อความใส่ร้าย กัดเซาะ คิดร้ายต่อสถาบันต่อ ๆ กันไป ก็เข้าข่ายผิด 112 เพราะไม่ใช่ ‘การแสดงความคิดเห็น’ แบบปกติธรรมดาอย่าง ‘วิญญูชน’ เขาทำกัน แต่คือการมุ่งร้าย เห็นถึงเจตนาชั่วในตัวตน เรื่องแบบนี้คนที่มี ‘สำนึกแห่งมนุษย์’ ย่อมรับรู้และแยกแยะได้ในทันที แต่สำหรับคนที่ ‘จิตใจใฝ่เลว’ จงใจทำผิด 112 คอยหมิ่นหยามกฎหมายอย่างท้าทาย แต่พอโดนคดีเข้าก็รีบใช้วาทกรรมว่าเป็นเพียง ‘การแสดงความคิดเห็น’ พยายามดิ้นกันสุดชีวิตให้ล้ม 112 หรือพากัน ‘ซุกหาง’ เดินคอตกพร้อมตีหน้าเศร้ามาขอ ‘นิรโทษกรรม’ ในคดี 112 ที่ตนเองก่อไว้ 

คนที่ติดคุกเพราะโดน 112 ในประวัติศาสตร์ชาติไทยไม่เคยมีใครถูกรังแก มีแต่ไปทำร้าย ด่าทอพระมหากษัตริย์ก่อน และคนเหล่านี้ไม่เคยเข็ดหลาบ ศาลอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวออกมาก็ควรจะสำนึก กลับตัวกลับใจ แต่ที่เห็นก็ยังเดินหน้าทำผิดซ้ำในเรื่องเดิม ๆ เหมือนคนที่มีความชั่วฝังลึกในกะโหลก 

ไปดูสิ ทำไมคนไทยอีกค่อนประเทศถึงไม่มีใครเดือดร้อนเพราะ 112 ไม่เคยไปคิดล้มล้าง ทำลาย หรือต้องไปเหนื่อยขอ ‘นิรโทษกรรม’ ในคดีเช่นนี้ ก็เพราะคนเหล่านี้คือคนที่มี ‘จิตใจปกติ’ ไอ้ที่มันจ้องแต่ ‘จะล้มจะข้ามจะขอ’ ให้ตัวเองรอด มันก็พวกที่คิดแต่จะทำเลวทรามกับแผ่นดินทั้งนั้น 

มีดีสักตัวที่ไหนกัน!!

‘ศาลฯ’ สั่งจำคุก ‘อานนท์’ อีก 4 ปี ไม่รอลงอาญา คดีโพสต์เฟซบุ๊กดูหมิ่น-จาบจ้วง-ให้ร้ายสถาบันฯ

(17 ม.ค.67) ที่ห้องพิจารณาคดี 902 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลนัดฟังคำพิพากษาคดีดูหมิ่นสถาบันหมายเลขดำ อ 2804 /2564 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา5 เป็นโจทก์ฟ้องนายอานนท์ นำภาอายุ 40 ปี อาชีพทนายความ เป็นจำเลยในความผิดดูหมิ่นสถาบัน ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และพ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาตรา 14

อัยการโจทก์ระบุฟ้องความผิดสรุปว่า เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2564 และวันที่ 3 มกราคม 2564 จำเลยได้โพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊กของตัวเองชื่อ อานนท์ นำภา รวม 3 ข้อความ มีผู้ติดตาม 227,286 คน มีการแชร์ข้อความนับ 10,000 ครั้ง และกดไลก์ นับ 10,000 ครั้ง โดยมีเนื้อหาดูหมิ่น แสดงความอาฆาตมาดร้าย สถาบันเบื้องสูงอันเป็นความผิดตามกฎหมาย และให้ศาลบวกโทษจำคุกจำเลยคดีความผิดของศาลอาญานี้ และของศาลอื่นด้วย เหตุเกิดที่ อ.ทุ่งเขาหลวง จ.ร้อยเอ็ด และท้องที่อื่นเกี่ยวพันกัน จำเลยให้การปฏิเสธ

วันนี้ศาลเบิกตัวจำเลยจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพ โดยมีภรรยา บุตรชาย-หญิง 2 คน และมีผู้ให้กำลังใจจำนวนหนึ่งเดินทางมาศาล

ศาลพิเคราะห์คำเบิกความและพยานหลักฐานทั้ง 2 ฝ่ายที่นำสืบหักล้างแล้วเห็นว่าข้อความทั้ง 3 ข้อความที่จำเลยโพสต์ในเฟซบุ๊กซึ่งเปิดสาธารณะ ทำให้ผู้อ่านเข้าใจคลาดเคลื่อน เป็นการบิดเบือนดูหมิ่น ให้ร้าย จาบจ้วง ล่วงละเมิดสถาบัน ถือเป็นความผิดร้ายแรง 

พยานหลักฐานโจทก์ที่นำสืบมาล้วนมีน้ำหนักน่าเชื่อถือ ส่วนข้อต่อสู้ของจำเลยที่อ้างว่าต้องการให้มีการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 นั้น ฟังไม่ขึ้น ไม่สามารถหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ได้

การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 อันเป็นบทหนักสุด

พิพากษาจำคุก 4 ปี ไม่รอลงอาญา และให้บวกโทษกับคดีดำ อ.2495/2564 ของศาลอาญา ส่วนคดีอื่น ๆ ที่ขอให้ศาลบวกโทษกับศาลอื่นนั้น เนื่องจากศาลยังไม่มีคำพิพากษา จึงให้ยกในส่วนนี้

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านี้ ศาลอาญาได้มีคำพิพากษาจำคุกนายอานนท์ 4 ปี ไม่รอลงอาญา ปรับ 2 หมื่นบาท กรณีนายอานนท์ ซึ่งเป็นแกนนำม็อบราษฎร ปราศรัยดูหมิ่นสถาบัน บริเวณอนุสาวรีย์สมรภูมิ เมื่อปี 2563 ซึ่งเมื่อรวมโทษกับคดีนี้ คงจำคุกนายอานนท์ รวม 8 ปี

จับตาด่านสอง ‘พิธา-ก้าวไกล’ ‘คดี ม.112-ล้มล้างฯ’ มีเสียว!!

นับเป็นโชคดีของ ‘พิธา ลิ้มเจริญรัตน์’ ที่ได้กลับสู่สภาฯ อีกครั้ง หลังจากศาลรัฐธรรมนูญ มีมติ 8 ต่อ 1 วินิจฉัยว่าแม้พิธาจะถือหุ้นไอทีวีอยู่จริง แต่ในขณะนั้นไอทีวีไม่ได้ประกอบกิจการสื่อ ไม่มีรายได้ ฯลฯ จึงไม่นับเป็นหุ้นสื่อ ไม่มีลักษณะต้องห้ามมาตรารัฐธรรมนูญมาตรา 98 (3) ที่ห้ามถือหุ้นสื่อ...จึงไม่พ้นสมาชิกภาพความเป็น สส.ตามมาตรา101 (6)

ส่วนตัว ‘เล็ก เลียบด่วน’ ต้องขอแสดงความยินดีกับ พิธา...และเชื่อว่าหากจากนี้ไปหากพิธาซื่อตรงกับข้อเท็จจริงในทุกเรื่อง รวมทั้งชีวิตส่วนตัว...แปลไทยเป็นไทยว่า อย่าพูดโกหกไม่ว่าเรื่องใด ๆ ก็จะจำเริญรุ่งเรือง เพราะคนไทยเชื่อในพุทธภาษิต “คนพูดโกหกไม่ทำชั่วไม่มี” แก้ตรงนี้เสีย...อนาคตก็จะก้าวไกลเหมือนชื่อพรรค เฉพาะหน้าประชุมใหญ่วิสามัญเดือน เม.ย.ก็น่าจะได้คัมแบ็ก นั่งหัวหน้าพรรค และสเตปต์ต่อไปก็คือ เป็นผู้นำฝ่ายค้านสภาผู้แทนราษฎร…

สมัยนี้ก็เป็นผู้นำฝ่ายค้าน เป็นนายกฯ รถแห่ หรือ นายกฯ ว่าวไปก่อน...บำเพ็ญเพียรบารมี ยกระดับวุฒิภาวะอีกขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง เลือกตั้งรอบหน้าระเบิดเถิดเทิง

อย่างไรก็ตามวันพุธที่ 31 ม.ค. 67 มีอีกด่านที่ พิธา ในฐานะผู้ถูกร้องที่ 1 และพรรคก้าวไกลผู้ถูกร้องที่ 2 จะต้องลุ้นระทึกคือ คดีที่ถูกร้องเรื่องการหาเสียงที่เดินหน้าแก้ไขมาตรา 112 สืบเนื่องถึงปัจจุบัน เข้าข่ายล้มล้างการปกครอง...หรือไม่?

ผู้ร้องคือ นายธีรยุทธ สุวรรณเกษตร ศิษย์เอกคนหนึ่งของอดีตพระพุทธะอิสระ...

เป็นคดีที่ผู้ร้องต่อยอดมาจากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเมื่อ 10 พ.ย. 64 กรณีการชุมนุมที่ธรรมศาสตร์ ที่มีการเสนอ 10 ข้อแบบ ‘ทะลุเพดาน’ ให้มีการปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งศาลสั่งให้นายอานนท์ นำภา, ภาณุพงศ์ จาดนอก และ รุ้ง ปนัสยา รวมทั้งองค์เครือข่ายหยุดการดำเนินการเพราะเป็นการเคลื่อนที่ไหวที่ “มีเจตนาซ่อนเร้นเพื่อล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ไม่ใช่เป็นการปฏิรูป..”

นายธีรยุทธเห็นว่าพรรคก้าวไกลดำเนินการขัดกับคำวินิจฉัย จึงใช้สิทธิ์ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 49 ยื่นร้อง และศาลมีมติรับคำร้องเมื่อ 12 ก.ค. 66

ตอนท้ายของหน้าที่ 18 ของคำร้อง นายธีรยุทธ ขอให้ศาลวินิจฉัยว่า…

“...เพื่อเป็นมาตรการป้องกันความเสียร้ายแรงที่อาจจะเกิดกับสถาบันหลักของประเทศไว้ก่อน อันเป็นรัฐประศาสโนบายที่จำเป็นเพื่อดับไฟกองใหญ่ไว้แต่ต้นล้ม ผู้ร้องจึงขอให้ศาลรัฐธรรมนูญโปรดพิจารณาวินิจฉัยสั่งให้นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ผู้ถูกร้องที่ 1 และพรรคก้าวไกล ผู้ถูกร้องที่ 2 เลิกดำเนินการใด ๆ หรือกระทำการใด ๆ เพื่อยกเลิกหรือแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และให้เลิกการแสดงความคิดเห็น การพูด การเขียน การพิมพ์ การโฆษณาและการสื่อความหมายโดยวิธีอื่น เพื่อให้มีการยกเลิกหรือแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112  ที่กระทำอย่าและเลิกดำเนินการใด ๆ หรือกระทำการใด ๆ ที่จะเกิดขึ้นต่อไปในอนาคต ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 49 วรรคสอง”

ดูตามคำร้องคำขอ...คดีนี้ ก็คงไม่ไปไกลถึงขั้นยุบพรรคอะไรที่ไหนหรอก...แต่ที่ควรจับตามองคือ รายละเอียดและข้อเท็จจริงบางช่วงตอนที่ศาลจะวินิจฉัยเกี่ยวกับพฤติการณ์ของพิธาและก้าวไกลว่าเกี่ยวโยงกับคำวินิจฉัยของศาลรธน.10 พ.ย. 64 หรือไม่และอย่างไร?...ซึ่งตรงนั้นอาจเป็นเชื้อหรือสารตั้งต้น ให้บรรดา ‘นักร้อง’ นำไปทำหน้าที่กันต่อไป…

‘พิธา-ก้าวไกล’ อย่ามองข้ามความปลอดภัย...!!

‘ปิยบุตร’ ชำแหละ ‘ก้าวไกล’ ไร้เงา 112 ส่งสัญญาณ ‘หมอบ’ ก่อน 31 มกราคม

(27 ม.ค. 67) นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ‘Piyabutr Saengkanokkul - ปิยบุตร แสงกนกกุล’ ในหัวข้อ ‘กรณีก้าวไกลกับการแก้ 112’ โดยระบุว่า…

ผมมีส่วนร่วมในการตั้งพรรคอนาคตใหม่มา ผ่านประสบการณ์ทางการเมืองมา ยืนยันว่า การเมืองต้องผสมผสานอุดมคติของเรากับสภาพความเป็นจริงทางการเมือง มีรุก มีถอย ตามการประเมินสถานการณ์

ผมเอง ก็เคยถอย มาหลายครั้ง เพื่อองค์กร เพื่อการเดินหน้าตามสถานการณ์ เรื่องพรรค์นี้ คือ การประเมิน ไม่มีอะไรถูกร้อย ไม่มีอะไรผิดร้อย

ดังนั้น การวิจารณ์จังหวะก้าวของพรรคการเมือง จึงอาจมีผู้เห็นด้วย มีผู้เห็นต่าง คนทำพรรค อาจไม่เห็นด้วยกับข้อวิจารณ์ นับเป็นเรื่องปกติ

ผมไม่เห็นด้วยกับการแถลงการณ์แผนการพรรคก้าวไกลในปี 2567

ผมเข้าใจดีว่า ทีมงานของพรรคต้องการจัดแถลงการณ์นี้ขึ้นมา เพื่อต้อนรับการกลับมาของพิธา แต่เมื่อผมเห็นเนื้อหาทั้งหมดแล้ว ผมเห็นว่า… ผิดพลาด โดยเฉพาะ แผนเสนอร่าง พ.ร.บ.47 ฉบับ โดยไม่มีร่างแก้ไข 112

พรรคอาจไม่ได้คิดว่าต้องพูดเรื่องนี้ แต่สื่อเขาคิด และสื่อถาม จี้ ขยายผลว่า สรุป 47 ฉบับในปี 67 ไม่มีแก้ 112 ใช่มั้ย?

กรณีนี้ ส่งผลอย่างไร?

1.) ย้ำความคิดว่า เราต้องยอมรับให้อำนาจศาลรัฐธรรมนูญ ขึ้นมาอยู่เหนือฝ่ายนิติบัญญัติ การเสนอร่างกฎหมาย ต้องฟังว่าศาลรัฐธรรมนูญว่าอย่างไร?

2.) การไม่เสนอ และพูดว่าไม่เสนอ เพราะ รอศาลรัฐธรรมนูญ เสมือนกับส่งสัญญาณ ‘หมอบ’ ก่อนคำวินิจฉัยในวันที่ 31 นี้

3.) หากพรรคก้าวไกลคิดแบบเฉลียวเจ้าเล่ห์ ก็ไม่มีความจำเป็นต้องแถลงในวันนี้เลย อดใจรอศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย 31 ม.ค. นี้ก่อนก็ได้ เผื่อว่า ศาลรัฐธรรมนูญจะหา ‘ทางลง’ ให้พรรคก้าวไกล ด้วยการตีกรอบการแก้ 112 ไว้

ต่อไป พรรคก้าวไกลก็พูดตอบประชาชนโหวตเตอร์ได้ว่า แก้ 112 ไม่ได้ เพราะแนวคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญบอกไว้

ผมไม่ได้ไร้เดียงสา ถึงขนาดว่าจะต้องแก้ 112 ให้ได้ จะต้องทำเรื่องนี้อย่างเดียว โดยไม่ต้องทำเรื่องอื่น

ผมตระหนักดีถึงการรุก/รอ/ถอย แต่ผมเห็นว่า การเคลื่อนตลอดสัปดาห์นี้ไปจนถึงวันที่ 31 ม.ค.ที่ศาลจะตัดสิน ที่ทำๆกันนั้น ไม่ได้คิดประเมิน รุก ถอย บริหารจัดการความคาดหวังคนเลือก แต่มุ่งไปในทิศทาง ‘หมอบ’ เสียมากกว่า ด้วยคิดว่าจะช่วยทำให้รักษาพรรคได้

แล้วพอเป็นแบบนี้ ก็เข้าทางฝ่ายตรงข้ามที่เขารอ ‘เอาคืน’ จากการที่พวกเขาถูกหาว่า ‘ตระบัดสัตย์’

ผมคาดเดาไว้แล้วว่า ศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยแบบใด…

ผมได้แต่หวังว่า คณะผู้นำพรรคก้าวไกลทั้งหมด จะประเมินเรื่องทั้งหมดให้รอบด้าน โดยมิได้ตั้งเป้ารักษาพรรค และกรรมการบริหารพรรค จนถึงขนาดต้องแลกกับทุกอย่าง

ผมคาดหวังว่า หากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยออกมาแล้ว จะได้ยินเสียงการวิจารณ์จากพรรคก้าวไกลบ้าง หากพรรคก้าวไกลไม่วิจารณ์ศาลรัฐธรรมนูญเลย ผมจะออกมาวิจารณ์พรรคก้าวไกลเป็นคนแรกๆ แน่นอน

และผมจะวิจารณ์คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ ตามปกติครรลองของกระบวนวิชาการตามที่ผมฝึกฝนมา

ปล. ดักคอกองเชียร์พรรคก้าวไกลไว้ก่อน ที่จะมาด่าว่า ทำไมผมไม่ไปบอกก่อน ไม่คุยภายใน ผมไม่รู้เรื่องที่พวกเขาทำกัน ผมเป็นคนนอก รู้เรื่องก็จากการอ่านข่าว รู้พร้อมๆ กับประชาชนคนทั่วไปที่ดูจากสื่อนั่นแหละ

‘สว.สมชาย’ ฟัน!! ‘พิธา-ก้าวไกล’ ไม่รอดคดี ม.112 ชี้!! ‘ร่างแก้ไข ม.112’ มัดตัว!! เจตนาล้มล้างไม่ใช่ปฏิรูป

(29 ม.ค. 67) นายสมชาย แสวงการ สมาชิกวุฒิสภา (สว.) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า (ep.2) เหตุใดคดีที่พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ และพรรคก้าวไกล ที่ถูกนายธีรยุทธ สุวรรณเกษร ยื่นคำร้อง ที่ศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัยในพุธที่ 31 ม.ค. 2567 นี้ จึงมีความสุ่มเสี่ยงที่จะถูกวินิจฉัยให้มีความผิด หรือให้ยุติการกระทำตามคำร้อง และอาจนำไปสู่การร้องดำเนินคดีที่หนักขึ้น

ร่างแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ที่พรรคก้าวไกลเข้าชื่อเสนอต่อสภาผู้แทนราษฎร ถึง 2 ครั้ง แต่ถูกประธานสภาฯ สั่งไม่ให้บรรจุวาระด้วยขัดรัฐธรรมนูญ ยังถูกขับเคลื่อนต่อในนโยบายพรรคและการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง

โดยหากพิจารณาในเนื้อหาที่ยกร่างแก้ไขกฎหมายเข้าสู่สภาฯ ยิ่งชัดเจนในการลดมาตรการในกฎหมายคุ้มครองพระประมุข ในเกือบทุกมาตราลงจนอาจต่ำกว่ากฎหมายหมิ่นประมาทบุคคลทั่วไปด้วยซ้ำ

สอดรับควบคู่กับการเคลื่อนไหวต่าง ๆ ขององค์กรเครือข่ายต่าง ๆ ที่เสนอให้ยกเลิกมาตรา 112 เนื่องจากเป็นผู้ต้องหาในคดีดังกล่าว รวมถึงการอภิปรายในเวทีต่าง ๆ การใช้สิทธิ สส. ประกันตัวผู้ต้องหามาตรา 112 ฯลฯ

ทำให้เห็นถึงความเสี่ยงที่ขัดต่อคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 19/2564 ที่สั่งการให้ผู้ถูกร้องและองค์กรเครือข่ายหยุดการกระทำดังกล่าวที่จะเกิดขึ้นต่อไปในอนาคต เพราะการกระทําของผู้ถูกร้องแสดงให้เห็นมูลเหตุจูงใจว่าการใช้สิทธิหรือเสรีภาพ มีเจตนาซ่อนเร้นเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ไม่ใช่เป็นการปฏิรูป

การใช้สิทธิหรือเสรีภาพของผู้ถูกร้องเป็นการแสดงความคิดเห็น โดยไม่สุจริต เป็นการละเมิดกฎหมาย มีมูลเหตุจูงใจเพื่อล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 วรรคหนึ่ง

ส่วนตัวจึงมีความเห็นว่าร่างแก้ไขมาตรา 112 นี้ อาจเป็นพยานหลักฐานอีกชิ้นสำคัญที่ถูกยื่นไต่สวนในศาลรัฐธรรมนูญ และมีน้ำหนักที่อาจทำให้นายพิธาและพรรคก้าวไกล มีความสุ่มเสี่ยงในคดีเพิ่มขึ้น

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 28 ม.ค. ที่ผ่านมา นายสมชาย ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ep.1 เหตุใดคดีที่พิธาและพรรคก้าวไกลที่ถูกนายธีรยุทธร้อง ที่ศาลรัฐธรรมนูญ จะมีคำวินิจฉัยในพุธที่ 31 ม.ค. 2567 จึงมีความสุ่มเสี่ยงที่จะถูกวินิจฉัยให้มีความผิด หรือให้ยุติการกระทำตามคำร้อง และอาจนำไปสู่การร้องดำเนินคดีที่หนักขึ้นในก้าวต่อไป ดังนี้

1) คำร้องประกอบหลักฐานนั้นค่อนข้างแน่นหนา ในการชี้ให้เห็นถึงการกระทำต่าง ๆ ต่อเนื่องหลังที่ศาลรัฐธรรมนูญที่ 19/2564 สั่งห้ามการกระทำดังกล่าวแล้ว แต่ยังปรากฏการเคลื่อนไหวขององค์กรเครือข่ายต่อเนื่อง อาทิ การกำหนดเรื่องการแก้ไขมาตรา 112 เป็นนโยบายพรรค การเดินสายในเวทีหาเสียงต่างกรรมต่างวาระ การพูดอภิปรายในรัฐสภา การให้สัมภาษณ์สื่อไทยและต่างประเทศ มีการเคลื่อนไหวต่าง ๆ ที่อาจถูกชี้ให้เห็นว่ามีส่วนร่วมอย่างไม่เป็นทางการในหลายกรณี ที่ชัดเจนต่อสถาบัน ทั้งการเสนอร่างแก้ไขหรือยกเลิกประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ที่เป็นกฎหมายความมั่นคงคุ้มครองพระประมุข

2) คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ ที่19/2564 ระบุถึงพฤติการณ์และเหตุการณ์ต่อเนื่องจากการกระทําของผู้ถูกร้องแสดงให้เห็นมูลเหตุจูงใจว่าการใช้สิทธิหรือเสรีภาพ มีเจตนาซ่อนเร้นเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ไม่ใช่เป็นการปฏิรูป การใช้สิทธิหรือเสรีภาพของผู้ถูกร้องเป็นการแสดงความคิดเห็น โดยไม่สุจริต เป็นการละเมิดกฎหมาย มีมูลเหตุจูงใจเพื่อล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 วรรคหนึ่ง และสั่งการให้ผู้ถูกร้องกลุ่มองค์กรเครือข่ายเลิกกระทําการดังกล่าวที่จะเกิดขึ้นต่อไปในอนาคตด้วย ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 วรรคสอง ด้วย แต่ยังปรากฎการกระทำดังกล่าวโดยกลุ่มบุคคลและพรรคการเมืองต่อเนื่องเรื่อยมา

จับตา!! ‘เพื่อไทย’ ขอตั้ง กมธ.วิสามัญ ศึกษานิรโทษกรรม หวังยืดเวลาเพื่อใคร?

เมื่อสัปดาห์ก่อน พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ได้ยื่นร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรมในชื่อ ‘ร่างพ.ร.บ.เสริมสร้างสันติสุข พ.ศ....’ นับเป็นร่างนิรโทษกรรมฉบับที่ 3 ต่อจากพรรคก้าวไกลและพรรคครูไทยเพื่อประชาชน หลายคนก็ลุ้นกันว่า แล้วพรรคเพื่อไทยที่ชูธงนโยบายจะสร้างความปรองดองสมานฉันท์ จะเอาไง…ว่าอย่างไร

ล่าสุดก่อนปั่นต้นฉบับชิ้นนี้ตอนเที่ยงวันที่ 30 ม.ค. ‘เล็ก เลียบด่วน’ ได้รับแจ้งว่าพรรคเพื่อไทยยืนยัน นั่งยันที่จะขอตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญขึ้นมาศึกษาแนวทางการปรองดอง-นิรโทษ โดยจะปฏิบัติการให้จบในวันนี้ พรุ่งนี้

แบบว่า…ยื่นปุ๊บ วันนี้ อีกวันก็ขอให้สภาฯ ลัดคิวเอาญัตตินี้ขึ้นมาพิจารณา เมื่อตั้ง กมธ.วิสามัญแล้วก็ศึกษากันไป 3-4 เดือนตามสูตรสำเร็จ แล้วรายงานต่อสภาฯ จากนั้นสภาฯ ก็ส่งรายงานให้รัฐบาล รัฐบาลก็จะนำไปส่องดูว่าควรดำเนินการอย่างไร

พูดไปทำไมมี…เรื่องนี้แทบไม่ต้องวิเคราะห์กันให้เมื่อยตุ้ม ฟันธงลงไปเลยว่า เป็นเกมยืดเวลา...ขอเวลาตั้งหลักของพรรคเพื่อไทยนั่นเอง...

ขยายความว่า...นาทีนี้พรรคเพื่อไทยยังคิดไม่ตกว่าจะเอาอย่างไรกับกรณีความผิดตามมาตรา 112 ซึ่งตามร่างของพรรครทสช. และพรรคครูไทยนั้นไม่เอาด้วย แต่พรรคเพื่อไทยหลายส่วนเห็นว่าน่าจะครอบคลุมไปด้วย นายใหญ่ที่ชื่อ ‘ทักษิณ’ ที่ติดบ่วงคดี 112 อยู่ด้วยจะได้รับอานิสงส์ไปด้วย

เช่นเดียวกันกับความผิดคดีทุจริต ตามร่างของพรรครทสช. และพรรคครูไทย ยืนยันว่าจะไม่นิรโทษกรรมให้…ดังนั้นใครต่อใครที่ติดบ่วงคดีนี้ รวมทั้งคนชื่อ ‘ยิ่งลักษณ์’ ก็จะไม่ได้รับอานิสงส์...

อันที่จริงผลการศึกษาเกี่ยวกับแนวทางการปรองดองสมานฉันท์ในห้วง 10 ปีมานี้ มีการศึกษากันมาแล้วไม่น้อยกว่า 3 ครั้งในช่วง สปช .และ สปท. หลังการรัฐประหาร 22 พ.ค. 2557 และล่าสุด กมธ.กฎหมายและยุติธรรมของสภาฯ ชุดที่แล้ว ก็ศึกษารายงานรัฐบาลลุงตู่ไปเก็บไว้บนหิ้งด้วยเช่นกัน…

ว่ากันตามเนื้อหาของสถานการณ์จริง ๆ ในขณะนี้ การนิรโทษกรรมกลายเป็นของร้อนขึ้นมาก็เพราะความเห็นต่างกรณีจะนิรโทษกรรมให้ความผิดมาตรา 112 ด้วยหรือไม่นั่นเอง พรรคเพื่อไทยไม่อยากถือเรื่องนี้ไว้ในมือ จึงโยนเผือกร้อนไปที่สภา…ซื้อเวลา...เพราะในมือยังมีเผือกร้อนอีกเรื่องที่ต้องจัดการ…

ถึงบรรทัดนี้แทบจะสรุปได้ว่า…มหกรรมการปรองดองภายใต้ดีลลับหรือดีลเปิดจนถึงนาทีนี้คนที่ได้รับประโยชน์มากที่สุดคือคนชื่อ ‘ทักษิณ’ แม้จะได้ไม่เต็มร้อย...แต่ก็ถือว่า..วิน...

ส่วนใครที่วาดหวังว่าดีลลับดีลลึก...เมื่อเอาทักษิณกลับบ้านแล้วจะวิน-วิน กันทุกฝ่าย นิรโทษกรรมคดีกันไป เพื่อปลดล็อกความขัดแย้งของประเทศนั้น...ดูท่าจะมืดมัว

และดูเหมือนเมฆหมอกความขัดแย้งจะก่อตัวขึ้นมาอีกครั้ง…เว้นแต่คนชั้น 14 คิดยอมเสียสละประโยชน์ส่วนตัว กดปุ่มให้พรรคเดินหน้า พ.ร.บ.นิรโทษในสมัยประชุมหน้า...หลัง กมธ.วิสามัญศึกษาสำเร็จ...
เพื่อวิน วิน…กันทุกพรรค วิน..วิน กันทุกฝ่าย!!


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top