Friday, 10 May 2024
ม112

อดไม่ได้!! เมื่อ 'เด็กสามนิ้ว' ต้องหมดอนาคตในคุกตาราง แล้วใครกันที่ควรร่วมรับผิดชอบชีวิตที่แหลกสลายนี้?

ผมเชื่อว่าคนไทยทุกคนที่รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ แม้จะเอือมระอากับพฤติกรรมของ 'เด็กสามนิ้ว' ที่ดาหน้ากันออกมาก่อกวนสังคม และจาบจ้วงสถาบันเบื้องสูงไม่หยุดหย่อน ราวกับว่าสถาบันอันเป็นที่รักยิ่งของคนไทย เป็นสิ่งที่ต้องล้มล้างทำลายให้หายไป

แต่เมื่อเราเห็นเด็กหนุ่มเด็กสาวต้องโดนคดี 112 ต้องเข้าไปใช้ชีวิตในเรือนจำ ต้องหมดอนาคตลงทันทีอย่างน่าเสียดาย บางอารมณ์ก็คงจะอดสงสารไม่ได้ และคงมีคำถามผุดขึ้นในใจมากมายว่าใครกันบ้างที่ใจอำมหิต มีส่วนทำให้ 'เด็กหนุ่มเด็กสาวสามนิ้ว' เหล่านี้ ต้องลงเอยที่คุกตาราง?

1.) พ่อ แม่ ที่ไม่เคยห้ามปรามลูก ไม่เคยสั่งสอนให้ลูกของตัวเองตั้งใจศึกษาเล่าเรียน ใช้ชีวิตอยู่ในกรอบสังคมที่ดีงาม หากพ่อแม่มีความละเอียดอ่อนในการดำเนินชีวิต คิดดี คิดเป็น ลูกของตัวเองจะไม่มีทางตกเป็นเครื่องมือของพรรคการเมืองที่นิยมการล้างสมองเด็ก ให้ออกหน้ามากระทำการอันชั่วร้ายแทน พ่อแม่ที่ดีจะสั่งสอนอบรมลูกไม่ให้จาบจ้วงล่วงละเมิดสถาบันกษัตริย์ และไม่กระทำการใด ๆ ที่เสี่ยงต่อการทำผิดกฎหมายทั้งปวง 

2.) พรรคการเมืองที่มีความคิดอยากล้มล้างสถาบัน พรรคการเมืองพรรคนี้ถนัดแต่ 'ซุกกระโปรงเด็ก' เลือกหลอกใช้เด็กที่มีความกล้า ปนความคิดที่อยากได้รับการยอมรับในแบบที่แตกต่างจากเด็กรุ่นเดียวกันมาเป็นเครื่องมือ เพื่อจะบรรลุเป้าหมายชั่ว ๆ ของตัวเอง แต่เมื่อถึงคราวที่เด็กถูกดำเนินคดี สังคมคนส่วนใหญ่ลุกฮือขึ้นมาปกป้องสถาบัน พรรคการเมืองพรรคนี้ก็ทอดทิ้งชีวิตของ 'เด็กสามนิ้ว' ให้ไปเผชิญชะตากรรมร้ายในคุกโดยลำพัง

3.) สื่อที่มีแนวคิดเป็นลบกับสถาบัน มีซุกซ่อนอยู่ในสังคมไทยยุคสมัยนี้ไม่น้อย ถือเป็น 'สื่ออีแอบ' ที่มักจะสนับสนุน 'เด็กสามนิ้ว' ให้ดูเป็นฮีโร่ของสังคม เชิดชูและยกย่องเวลาที่เด็กสามนิ้วแสดงความใจกล้าในทางที่ผิด แต่ในเวลาที่เด็กสามนิ้วต้องถูกดำเนินคดี ก็จะใช้วิธีเขียนข่าวว่าเด็กถูกกลั่นแกล้งจากมาตรา 112 ทั้ง ๆ ที่กฎหมายอยู่ของมันเฉย ๆ 

4.) ผู้คนในสังคมที่ไม่ลงลึกกับที่มาที่ไป มักนิยมสิ่งที่ถูกใจมากกว่าจะรักษาสิ่งที่ถูกต้อง โหมใช้สื่อโซเชียลในแต่ละวันของตัวเองสนับสนุนการกระทำของ 'เด็กสามนิ้ว' จนกลายเป็นเด็กที่มีตัวตน เป็น 'ไอดอลกลวง ๆ กาก ๆ' ของเด็กรุ่นใหม่ จนมีความกล้าออกมาทำสิ่งที่ท้าทายอำนาจรัฐ 

ถ้า 'เด็กสามนิ้ว' สักคนต้องจบชีวิตลงในคุก คนในข่าย 4 ข้อนี้แหละครับสมควรต้องรับผิดชอบ ไม่ใช่ความผิดของกฎหมายมาตราใดเลย

‘ธนกร’ หนุน กมธ.นิรโทษกรรม แต่ย้ำ ไม่ยกโทษให้พวกคนผิด ม.112 เพราะไม่ใช่คดีทางการเมือง แต่เป็นการหมิ่นสถาบันเบื้องสูงของคนไทย

(9 มี.ค.67) นายธนกร วังบุญคงชนะ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) กล่าวถึงคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญ พิจารณาศึกษาแนวทางการตราพระราชบัญญัตินิรโทษกรรม ได้ข้อยุติเริ่มนับเหตุการณ์ทางการเมืองตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2548 จนถึงปัจจุบัน โดยจะเชิญทุกฝ่ายการเมืองที่มีคดีความจากการชุมนุม มาแสดงความคิดเห็น ว่า ตนเห็นด้วย หากจะเริ่มนับ 1 ในการสร้างความปรองดองสมานฉันท์โดยเฉพาะความเห็นต่างทางการเมือง ที่ทำให้เกิดความขัดแย้งของคนในชาติ ซึ่งอาจจะต้องดูข้อกฎหมายเกี่ยวกับแต่ละคดีประกอบอย่างละเอียด เพราะหลายเหตุการณ์ที่เกิดการชุมนุมทางการเมืองขึ้น ยอมรับว่า ไม่ได้ชุมนุมโดยสงบ มีการใช้อาวุธทำลายสิ่งของและสถานที่ราชการด้วย จึงต้องดูให้ละเอียดรอบคอบเพราะเป็นคดีอาญา การเชิญตัวแทนกลุ่มการเมืองฝ่ายต่างๆ มาร่วมประชุมแสดงความเห็นถือเป็นนิมิตหมายที่ดีทางการเมือง

นายธนกร ย้ำว่า ขอสนับสนุน กมธ.นิรโทษกรรมฯ ที่ยังไม่พิจารณาคดีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 เพราะไม่ใช่คดีการเมือง แต่เป็นคดีหมิ่นประมาทอาฆาตมาตร้ายพระมหากษัตริย์ ไม่ควรเหมารวมกลุ่มที่ออกมาเคลื่อนไหวเรื่องนี้ รวมกับความเห็นต่างทางการเมือง และเชื่อว่า หากมีการรวมคนที่ทำผิดมาตรา 112 ให้รับการนิรโทษกรรม ตนเองและคนไทยทั้งชาติไม่มีใครยอมได้แน่นอน

“ขอให้กมธ.นิรโทษกรรมพิจารณาให้ดี ให้รอบคอบ ไม่ควรหยิบเอาคดีทำผิดหมิ่นประมาทสถาบันพระมหากษัตริย์ มาพิจารณารวมกับคดีการเมือง เพราะไม่เกี่ยวกัน แม้ว่าจะมีบางพรรค พยายามชี้ให้เห็นว่าเป็นความเห็นต่างทางการเมืองก็ตาม ซึ่งความจริงแล้ว สถาบันฯอยู่เหนือการเมือง ไม่เกี่ยวข้องกัน เป็นการสร้างชุดข้อมูล สร้างความเข้าใจที่ผิดๆให้กับบางกลุ่มและประชาชน จึงจำเป็นที่ กมธ.นิรโทษกรรม จะต้องมีจุดยืนทางกฎหมาย หากมีการเหมารวมและยกโทษให้กับผู้กระทำความผิดมาตรา 112 เชื่อว่าคนไทยทั้งประเทศ ไม่มีใครยอมได้” นายธนกร ระบุ

‘ธนกร’ ค้าน!! นิรโทษกรรม คนผิด ม.112 ยัน!! เป็นคดีด้านความมั่นคง ไม่ใช่การเมือง

(15 มี.ค. 67) นายธนกร วังบุญคงชนะ อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และสส.บัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ อดีตแกนนำนปช.มองคดี ม.112 เป็นเงื่อนไขทางการเมือง หากอยากคลี่คลายความขัดแย้งควรขยายพื้นที่การนิรโทษกรรมให้ครอบคลุมถึงความผิดมาตรานี้ด้วยนั้น ว่า ก่อนอื่นบุคคลในฝ่ายการเมืองต้องตั้งหลักให้ถูกต้องก่อน เพราะคดีชุมนุมทางการเมือง กับ คดีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ที่เป็นการหมิ่นประมาทอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ฯ เป็นคนละเรื่องที่จะนำมาเหมารวมว่าเป็นการเมืองไม่ได้

“ยกตัวอย่างหากมีใครมาด่าว่า หมิ่นประมาทบุพการีของเรา แบบเสีย ๆ หาย ๆ ซึ่งไม่เกี่ยวกับการเมือง เจ้าตัวจะยอมหรือไม่ ผมเข้าใจว่าที่หลายคนมองเรื่องนี้ผิดไปเป็นเรื่องการเมืองนั้น เนื่องจากมีบางพรรคการเมืองให้การสนับสนุนกลุ่มเยาวชน คนรุ่นใหม่ ออกมาเคลื่อนไหว เมื่อมีความผิดก็คิดว่าเป็นคดีทางการเมืองซึ่งไม่ใช่ และที่สำคัญศาลรัฐธรรมนูญก็ได้ชี้ชัดแล้วว่าการออกมาเคลื่อนไหวเรื่องการแก้ไขหรือยกเลิกมาตรานี้ถือเป็นการล้มล้างการปกครอง ผมจึงอยากให้ทุกฝ่ายทางการเมืองตั้งสติ แยกประเด็นให้ถูกต้อง” นายธนกร กล่าว 

เมื่อถามว่าหากนิรโทษกรรมไม่รวมคดี ม.112 จะมีการแก้ปัญหาความเห็นต่างในบ้านเมืองอย่างไร นายธนกร กล่าวว่า สังคมไทยมีหลายเวทีให้แสดงความคิดเห็นตามหลักประชาธิปไตย ทั้งเวทีสาธารณะและเวทีสภา ซึ่งตนมองว่าควรที่จะเคารพความเห็นต่างของทุกฝ่าย แต่การเคลื่อนไหวของกลุ่มการเมือง หรือ บางกลุ่ม ต้องอยู่ภายใต้กฎหมายเดียวกัน สมควรที่ปัญญาชนต้องเคารพสิทธิเสรีภาพคนอื่นในสังคม ไม่ละเมิดสิทธิผู้อื่น โดยอ้างเหตุผลของกลุ่มตนเองฝ่ายเดียวมากกว่านั้น พรรคการเมืองหรือผู้ใหญ่ต้องชี้แนะ และให้คำปรึกษาที่ถูกต้องแก่คนรุ่นใหม่ ไม่เป็นการให้ท้ายในทางที่ผิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ ที่เป็นความมั่นคงของรัฐ ต้องให้ความสำคัญใครจะละเมิดไม่ได้ ถือว่าเป็นการสร้างความแตกแยกและบ่อนทำลายความมั่นคงของประเทศ

“คุณณัฐวุฒิ ควรยึดหลักการให้ดี ไม่ใช่เห็นว่าเป็นการชุมนุมแล้วเหมารวมว่าเป็นการเคลื่อนไหวทางการเมืองไปเสียหมด ต้องมาดูว่าเจตนาและเป้าหมายของการชุมนุมและการแสดงความเห็นต่าง ๆ นั้น ต้องการอะไรกันแน่ ความคิดเห็น ความชื่นชอบทางการเมืองแตกต่างกันได้ แต่ต้องไม่สร้างความแตกแยก ทำกิจกรรมโดยความสงบ และต้องอยู่ในกรอบของกฎหมาย หากทำผิดเรื่องความมั่นคงของรัฐ ไปแตะต้องเบื้องสูงเป็นเรื่องที่ไม่สมควร ไม่ถูกต้อง และศาลรัฐธรรมนูญก็วินิจฉัยชี้ชัดมาแล้ว ซึ่งนายณัฐวุฒิก็ยอมรับเองว่าไม่เคยมีการเคลื่อนไหวแบบนี้มาก่อน จึงมองว่าเรื่องนี้ก็ไม่ควรที่จะได้รับการนิรโทษกรรม เพราะไม่ใช่การเมือง” นายธนกร กล่าว

‘ฮาร์ท สุทธิพงศ์’ ถูกอัยการยื่นฟ้อง ม.112 หลังโพสต์หมิ่นเบื้องสูง ศาลประทับรับฟ้อง!! ให้ประกันตัว 2 แสน - ห้ามออกนอกประเทศ

เมื่อวานนี้ (7 พ.ค.67) ที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ พนักงานอัยการสำนักงานคดีอาญากรุงเทพใต้ 3 ได้นำตัว นายสุทธิพงศ์ ทัดพิทักษ์กุล หรือฮาร์ท อดีตพิธีกรและนักร้องชื่อดัง มายื่นฟ้องต่อศาลในความผิดต่อองค์พระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท และผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์, พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ

จากกรณี นายสุทธิพงศ์ ทัดพิทักษ์กุล หรือฮาร์ท อดีตพิธีกรและนักร้องชื่อดัง ได้แชร์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กเกี่ยวกับสถาบันฯ เกี่ยวกับเรื่องโรคโควิด ช่วง พ.ศ.2564 ทำให้ในเวลาต่อมา นายอภิวัฒน์ ขันทอง ประธานคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ หรือ คตส. ตามคำสั่งของนายกรัฐมนตรี เข้าแจ้งความกับพนักงาน สถานีตำรวจนครบาล (สน.) นางเลิ้ง ให้ดำเนินคดีตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และ พ.ร.บ.ว่าด้วยกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2560

โดยศาลรับฟ้องเป็นคดีหมายเลขดำที่ อ483/2567 โดยจำเลยยื่นคำร้องขอปล่อยชั่วคราวพร้อมหลักทรัพย์ 2 แสนบาท ศาลพิจารณาคำร้องพร้อมหลักทรัพย์แล้วอนุญาตปล่อยชั่วคราว โดยมีเงื่อนไขห้ามเดินทางออกนอกประเทศยกเว้นได้รับอนุญาต


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top