เกาะความสำเร็จลัทธิ 3 นิ้ว ผลิต 'เยาวชน' ต่อต้าน 'สถาบันฯ-ล้ม ม.112'  ไม่เคยมียุคใดที่คนในสังคมไทยมีตรรกะที่ผิดเพี้ยนเช่นนี้

(3 ก.ค. 66) รศ.หริรักษ์ สูตะบุตร อดีตรองอธิการบดีฝ่ายบริหารบุคคล มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Harirak Sutabutr ระบุข้อความว่า...

เมื่อวานเห็นข่าวด้อมส้มที่มีทั้งหญิงทั้งชายกลุ่มหนึ่ง ดูแล้วหน้าตาคุ้น ๆ ล้วนยังเป็นเยาวชน ไปที่ตลาดเสรี 2 ซึ่งเป็นของคุณเสรี สุวรรณภานนนท์ นำใบปลิวซึ่งมีข้อความว่าเป็นประกาศจับและมีรูปของ สว.หลายคนที่ไม่ลงมติให้ความเห็นชอบ หรือลงมติไม่เห็นชอบให้คุณพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นนายกรัฐมนตรี ไปติดตามที่ต่าง ๆ ในตลาด สีหน้าท่าทางแต่ละคนแสดงว่า มีความเชื่อมั่นว่าสิ่งที่ตัวเองทำเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ทั้งที่เป็นการละเมิดสิทธิ์ผู้อื่นอย่างชัดแจ้ง

นี่คือสิ่งที่น่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง ที่เยาวชนที่จะเป็นอนาคตของชาติมีทัศนคติ มีความเชื่อว่าการกระทำเช่นนี้เป็นเสรีภาพที่ต้องกระทำได้ ลองมองย้อนไปในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา เยาวชนที่เป็นสาวกของลัทธิ 3 นิ้ว ล้วนมีพฤติกรรมและความเชื่อแบบนี้ ที่หนักหนาสาหัสคือมีผู้ใหญ่ที่เป็นนักวิชาการบางคนให้ความเห็นที่ผิดเพี้ยน เช่น การที่ม็อบเผาทรัพย์สินสาธารณะไม่ใช่ความรุนแรง แต่เป็นการแสดงออกเชิงสัญญลักษณ์เท่านั้น ผู้นำลัทธิ 3 นิ้วบางคนแสดงความเห็นว่า การเผาพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีความผิดเพียงเป็นการเผาทรัพย์เท่านั้น เป็นต้น

ไม่เคยมียุคใดที่คนในสังคมไทยมีความคิดและตรรกะที่ผิดเพี้ยนเช่นนี้ เรื่องนี้ไม่น่าเชื่อว่าจะเกิดขึ้นจากความบังเอิญ แต่เกิดจากการวางแผนและมีการดำเนินการมากันเวลานาน เริ่มจากการแทรกซึมในมหาวิทยาลัยและสถาบันการศึกษาต่าง ๆ โดยอาศัยแนวร่วมที่เป็นนักวิชาการในมหาวิทยาลัยต่าง ๆ และแทรกซึมเข้าไปในองค์กรนิสิตนักศึกษาต่าง ๆ อบรมบ่มเพาะด้วยการใส่ชุดความคิดที่พวกเขาต้องการ ต่อมาจึงลงไปแทรกซึมถึงระดับโรงเรียน ทำกันมานานจนกระทั่งมีหลายคนที่เกิดจากการบ่มเพาะแบบนี้ได้เข้าไปเป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัยต่าง ๆ และเป็นแนวร่วมอย่างแข็งขัน

เมื่อมี Social Media การปั่นและบ่มเพาะความคิดแบบนี้ยิ่งทำได้สะดวกและเกิดผลเป็นวงกว้างมากขึ้น บรรดาแกนนำม็อบ 3 นิ้ว และม็อบกลุ่มต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในระยะ 3-4 ปีที่ผ่านมา สส.บางคน รวมทั้งเยาวชนอย่าง 'หยก' ก็น่าจะเป็นผลผลิตของขบวนการนี้

2-3 วันมานี้เห็นโปสเตอร์โฆษณาหลักสูตรอบรมเยาวชนก้าวหน้า ของ Progressive Academy รับผู้เข้ารับการอบรมอายุ 15-25 ปี โดยไม่มีค่าใช้จ่าย ใช้เวลาอบรมถึง 62 ชั่วโมง มีการบรรยาย กิจกรรมกระตุ้นการเรียนรู้ กิจกรรมเชิงปฏิบัติการ ทัศนศึกษา และการค้นคว้าอิสระ ซึ่งทำกันมา 2 รุ่นแล้ว ดูรายชื่อวิทยากรแล้วส่วนใหญ่มีทัศนคติคล้าย ๆ กันต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ และก็พอจะคาดเดาได้ว่า หลักสูตรนี้ต้องการใส่ความคิดแบบใดให้กับเยาวชนที่เข้ารับการอบรม นี่น่าจะเป็นเรื่องใหม่ ที่ขบวนการนี้ไม่เพียงใช้วิธีแทรกซีมอยู่ในมหาวิทยาลัย และสถาบันการศีกษาเท่านั้น แต่เปิดการอบรมกันตรง ๆ อย่างเปิดเผยไปเลย

การที่มีผู้ทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และถูกดำเนินคดีเป็นจำนวนมากอย่างไม่เคยมีมาก่อน ในระยะ 3 ปีที่ผ่านมา เป็นเพราะผลผลิตที่มาจากขบวนการนี้ สังเกตว่าเริ่มมีตั้งแต่พรรคอนาคตใหม่ถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้ยุบพรรค และมากขึ้นเรื่อยๆ ตลอดมาจนถึงปัจจุบัน พวกเขาอ้างว่ามาตรา 112 ถูกใช้เป็นเครื่องมือเพื่อกลั่นแกล้งต่อผู้เห็นต่างทางการเมือง ดังนั้นต้องยกเลิกมาตรา 112 และเมื่อถูกแรงต้านมากขึ้นก็เปลี่ยนมาเป็นแก้ไข โดยนำออกจากหมวดความมั่นคง ซึ่งเท่ากับเป็นการบอกว่า สถาบันพระมหากษัตริย์ไม่มีความเกี่ยวข้องกับความมั่นคงของประเทศ และลดโทษให้ต่ำลงเท่ากับการหมิ่นประมาทบุคคลธรรมดา และมีเงื่อนไขที่ไม่ต้องถูกลงโทษหากทำด้วยความบริสุทธิ์ใจ หรือสิ่งที่วิพากษ์วิจารณ์เป็นความจริง

การสร้างความเกลียดชังต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ และความพยายามในการแก้มาตรา 112 เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของขบวนการนี้ เป้าหมายสุดท้ายของพวกเขาคือพยายามทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์ไม่เป็นที่ต้องการของคนส่วนใหญ่ ทำให้อ่อนแอลง ถ้ายังจำเป็นต้องคงอยู่ก็ให้คงอยู่อย่างไม่มีบทบาทใดๆ เป้าหมายสูงสุดก็คือ การเปลี่ยนประเทศให้เป็นไปอย่างที่พวกเขาต้องการ

การจัดหลักสูตรอบรมเยาวชนก้าวหน้า แสดงว่าขบวนการนี้ยังดำเนินต่อไป ไม่ว่าพวกเขาจะมีอำนาจรัฐอยู่ในมือหรือไม่ แม้ว่าจะเป็นการสร้างความขัดแย้งอย่างไร ครอบครัว ญาติพี่น้องแตกแยกกันอย่างไร ล้วนไม่นำพา พวกเขายังมุ่งมั่นดำเนินการต่อไป จนกว่าจะบรรลุเป้าหมายสูงสุดที่ต้องการ

น่าสนใจว่า รัฐบาลใหม่ที่มีพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำ จะยอมรับหรือไม่ว่ามีขบวนการนี้อยู่ ถ้ายอมรับจะมีแนวทางจัดการกับขบวนการนี้หรือไม่อย่างไร จะจัดการได้ดีกว่ารัฐบาลพลเอก ประยุทธ์หรือไม่ หรือเพียงขอให้ได้เป็นรัฐบาลเป็นพอ ทั้งหมดได้แต่ปล่อยให้เป็นไปตามยถากรรม