Thursday, 9 May 2024
ล้มล้างสถาบัน

'หริรักษ์' ชี้ โซเชียลโพสต์หมิ่นสถาบัน ทำเป็นขบวนการ เชื่อ!! จะไม่หยุด จนกว่าเป้าหมายล้มล้างจะสำเร็จ

'รศ.หริรักษ์' อดีตรองอธิการบดีฝ่ายบริหารบุคคล มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว Harirak Sutabutr ระบุว่า...

เมื่อเร็วๆ นี้ได้เห็น fb ของผู้ที่ใช้ชื่อว่า "ซาว ไซย่า" ได้โพสต์ภาพที่ตัดต่อนำพระพักตร์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 มาใส่ในภาพคนอื่นที่ไม่ใช่พระองค์ และเขียนบรรยายภาพด้วยข้อความที่ทุกคนที่มีใจเป็นธรรมเห็นแล้ว ไม่อาจรับได้ด้วยประการทั้งปวง

การที่คนพวกนี้กระทำเช่นนี้ต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 เชื่อว่า ไม่ได้ทำเพราะเกิดนึกสนุกขึ้นมา ไม่ได้ทำเพราะเกิดความแค้นจนไม่อาจไม่แสดงออกเพื่อตอบโต้ได้ เพราะพระองค์ไม่เคยสร้างความแค้นให้กับใคร การใช้นามแฝงใน fb แสดงว่าเป็นการเตรียมการ ทำเป็นขบวนการ มีวาระ มีจุดหมาย ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 คือ 'จุดแข็ง' จึงต้องกัดเซาะให้คนเสื่อมความนิยมในสถาบันพระมหากษัตริย์ลงเรื่อยๆ และพวกนี้ไม่มีวันเลิก จนกว่าจะไปถึงจุดหมายนั่นคือ ล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ และเปลี่ยนการปกครองประเทศให้เป็นแบบสาธารณรัฐในที่สุด

ที่ชอบพูดกันว่า "กษัตริย์ไม่ใช่เจ้าของประเทศ ประชาชนต่างหากคือเจ้าของประเทศตัวจริง" อยากรู้เหมือนกันว่าบรรพบุรุษของคนที่พูดมาอยู่ในประเทศไทยตั้งแต่เมื่อใด ส่วนใหญ่ปู่ ย่า ตา ทวด ของคนที่พูดล้วนมาจากที่อื่น เข้ามาอาศัยพึ่งพระบรมโพธิสมภารอยู่ในประเทศไทย และส่วนใหญ่จะรู้สึกสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระมหากษัตริย์ แต่ครั้นมีลูก มีหลาน มีเหลน พวกเขากลับลืมที่มาของบรรพรุษของตนเสียสิ้น ทึกทักเอาว่า ฉันนี่แหละคือเจ้าของประเทศตัวจริง ทั้งที่ตัวเองเพียงได้เกิดในประเทศไทย ถือสัญชาติไทย มีสิทธิถือครองที่ดินและอสังหาริมทรัพย์ แม้ปัจจุบันเราจะมีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข โดยอำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย แต่ต้องไม่ลืมว่า พระมหากษัตริย์ทรงก่อตั้งประเทศ หากไม่มีพระมหากษัตริย์ก็ไม่มีประเทศสยาม ไม่มีประเทศไทย

ชอบพูดกันนักว่า "ภาษีกู" กูจะทำอะไรก็ได้ ก็เมื่ออาศัยอยู่ในประเทศไทย เมื่อมีรายได้ก็ต้องเสียภาษี เพื่อนำเงินไปรวมกันเป็นเงินของแผ่นดิน นำไปเป็นงบประมาณแผ่นดินเพื่อใช้จ่ายในการจัดสร้างสาธารณูปโภค สิ่งอำนวยความสะดวก และใช้จ่ายเพื่อให้ส่วนรวมทั้งหมดสามารถใช้ชีวิตได้อย่างสะดวก ปลอดภัย และได้รับการดูแลตามสมควร แต่การเสียภาษี ไม่ได้หมายความว่าผู้เสียภาษีจะสามารถทำอะไรกับสิ่งที่สร้างขึ้นมาจากเงินงบประมาณแผ่นดินก็ได้ตามใจชอบ เพราะทุกอย่างมีกติกา มีกฎเกณฑ์ เพื่อประโยขน์สุขของส่วนรวม จึงไม่มีใครสามารถทำอะไรตามอำเภอใจได้อย่างไม่มีขอบเขต

‘เทพมนตรี’ แฉ!! แผนล้มสถาบัน ‘การเมือง-ขรก.-สื่อ’ ส่อหนุน ฝาก 'ลุงตู่-ป้อม-พี่หนูอนุทิน-ลูกท็อป' ช่วยธำรงหัวใจคนไทย

(25 ม.ค. 66) นายเทพมนตรี ลิมปพยอม นักประวัติศาสตร์ โพสต์เฟซบุ๊ก ‘Thepmontri Limpaphayorm’ มีเนื้อหาดังนี้...

“สำคัญเหลือเกิน

เรื่องคดีมาตรา 112 ของปิยบุตรกว่าจะมาถึงจุดที่เป็นความหวังของประชาชนผู้รักรัฐธรรมนูญ รักประชาธิปไตย รักระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข รู้หน้าที่ในฐานะปวงชนชาวไทย ใช้สิทธิทางกฎหมายที่จะฟ้องร้องดำเนินคดีกับผู้ละเมิดอย่างเขาได้ ใช้เวลานาน เหตุเพราะเจ้าหน้าที่บ้านเมืองต้องสืบสวนสอบสวน มีความรอบคอบ และต้องค้นคว้าหาหลักฐาน ที่ออกมาพูดว่าผู้กระทำผิดมาตรา 112 ถูกกลั่นแกล้งทางการเมือง ถูกใส่ร้ายป้ายสี หรือตัวกฎบทกฎหมายไม่มีความเป็นธรรมนั้นไม่จริง

เกาะความสำเร็จลัทธิ 3 นิ้ว ผลิต 'เยาวชน' ต่อต้าน 'สถาบันฯ-ล้ม ม.112'  ไม่เคยมียุคใดที่คนในสังคมไทยมีตรรกะที่ผิดเพี้ยนเช่นนี้

(3 ก.ค. 66) รศ.หริรักษ์ สูตะบุตร อดีตรองอธิการบดีฝ่ายบริหารบุคคล มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Harirak Sutabutr ระบุข้อความว่า...

เมื่อวานเห็นข่าวด้อมส้มที่มีทั้งหญิงทั้งชายกลุ่มหนึ่ง ดูแล้วหน้าตาคุ้น ๆ ล้วนยังเป็นเยาวชน ไปที่ตลาดเสรี 2 ซึ่งเป็นของคุณเสรี สุวรรณภานนนท์ นำใบปลิวซึ่งมีข้อความว่าเป็นประกาศจับและมีรูปของ สว.หลายคนที่ไม่ลงมติให้ความเห็นชอบ หรือลงมติไม่เห็นชอบให้คุณพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นนายกรัฐมนตรี ไปติดตามที่ต่าง ๆ ในตลาด สีหน้าท่าทางแต่ละคนแสดงว่า มีความเชื่อมั่นว่าสิ่งที่ตัวเองทำเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ทั้งที่เป็นการละเมิดสิทธิ์ผู้อื่นอย่างชัดแจ้ง

นี่คือสิ่งที่น่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง ที่เยาวชนที่จะเป็นอนาคตของชาติมีทัศนคติ มีความเชื่อว่าการกระทำเช่นนี้เป็นเสรีภาพที่ต้องกระทำได้ ลองมองย้อนไปในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา เยาวชนที่เป็นสาวกของลัทธิ 3 นิ้ว ล้วนมีพฤติกรรมและความเชื่อแบบนี้ ที่หนักหนาสาหัสคือมีผู้ใหญ่ที่เป็นนักวิชาการบางคนให้ความเห็นที่ผิดเพี้ยน เช่น การที่ม็อบเผาทรัพย์สินสาธารณะไม่ใช่ความรุนแรง แต่เป็นการแสดงออกเชิงสัญญลักษณ์เท่านั้น ผู้นำลัทธิ 3 นิ้วบางคนแสดงความเห็นว่า การเผาพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีความผิดเพียงเป็นการเผาทรัพย์เท่านั้น เป็นต้น

ไม่เคยมียุคใดที่คนในสังคมไทยมีความคิดและตรรกะที่ผิดเพี้ยนเช่นนี้ เรื่องนี้ไม่น่าเชื่อว่าจะเกิดขึ้นจากความบังเอิญ แต่เกิดจากการวางแผนและมีการดำเนินการมากันเวลานาน เริ่มจากการแทรกซึมในมหาวิทยาลัยและสถาบันการศึกษาต่าง ๆ โดยอาศัยแนวร่วมที่เป็นนักวิชาการในมหาวิทยาลัยต่าง ๆ และแทรกซึมเข้าไปในองค์กรนิสิตนักศึกษาต่าง ๆ อบรมบ่มเพาะด้วยการใส่ชุดความคิดที่พวกเขาต้องการ ต่อมาจึงลงไปแทรกซึมถึงระดับโรงเรียน ทำกันมานานจนกระทั่งมีหลายคนที่เกิดจากการบ่มเพาะแบบนี้ได้เข้าไปเป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัยต่าง ๆ และเป็นแนวร่วมอย่างแข็งขัน

เมื่อมี Social Media การปั่นและบ่มเพาะความคิดแบบนี้ยิ่งทำได้สะดวกและเกิดผลเป็นวงกว้างมากขึ้น บรรดาแกนนำม็อบ 3 นิ้ว และม็อบกลุ่มต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในระยะ 3-4 ปีที่ผ่านมา สส.บางคน รวมทั้งเยาวชนอย่าง 'หยก' ก็น่าจะเป็นผลผลิตของขบวนการนี้

2-3 วันมานี้เห็นโปสเตอร์โฆษณาหลักสูตรอบรมเยาวชนก้าวหน้า ของ Progressive Academy รับผู้เข้ารับการอบรมอายุ 15-25 ปี โดยไม่มีค่าใช้จ่าย ใช้เวลาอบรมถึง 62 ชั่วโมง มีการบรรยาย กิจกรรมกระตุ้นการเรียนรู้ กิจกรรมเชิงปฏิบัติการ ทัศนศึกษา และการค้นคว้าอิสระ ซึ่งทำกันมา 2 รุ่นแล้ว ดูรายชื่อวิทยากรแล้วส่วนใหญ่มีทัศนคติคล้าย ๆ กันต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ และก็พอจะคาดเดาได้ว่า หลักสูตรนี้ต้องการใส่ความคิดแบบใดให้กับเยาวชนที่เข้ารับการอบรม นี่น่าจะเป็นเรื่องใหม่ ที่ขบวนการนี้ไม่เพียงใช้วิธีแทรกซีมอยู่ในมหาวิทยาลัย และสถาบันการศีกษาเท่านั้น แต่เปิดการอบรมกันตรง ๆ อย่างเปิดเผยไปเลย

การที่มีผู้ทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และถูกดำเนินคดีเป็นจำนวนมากอย่างไม่เคยมีมาก่อน ในระยะ 3 ปีที่ผ่านมา เป็นเพราะผลผลิตที่มาจากขบวนการนี้ สังเกตว่าเริ่มมีตั้งแต่พรรคอนาคตใหม่ถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้ยุบพรรค และมากขึ้นเรื่อยๆ ตลอดมาจนถึงปัจจุบัน พวกเขาอ้างว่ามาตรา 112 ถูกใช้เป็นเครื่องมือเพื่อกลั่นแกล้งต่อผู้เห็นต่างทางการเมือง ดังนั้นต้องยกเลิกมาตรา 112 และเมื่อถูกแรงต้านมากขึ้นก็เปลี่ยนมาเป็นแก้ไข โดยนำออกจากหมวดความมั่นคง ซึ่งเท่ากับเป็นการบอกว่า สถาบันพระมหากษัตริย์ไม่มีความเกี่ยวข้องกับความมั่นคงของประเทศ และลดโทษให้ต่ำลงเท่ากับการหมิ่นประมาทบุคคลธรรมดา และมีเงื่อนไขที่ไม่ต้องถูกลงโทษหากทำด้วยความบริสุทธิ์ใจ หรือสิ่งที่วิพากษ์วิจารณ์เป็นความจริง

การสร้างความเกลียดชังต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ และความพยายามในการแก้มาตรา 112 เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของขบวนการนี้ เป้าหมายสุดท้ายของพวกเขาคือพยายามทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์ไม่เป็นที่ต้องการของคนส่วนใหญ่ ทำให้อ่อนแอลง ถ้ายังจำเป็นต้องคงอยู่ก็ให้คงอยู่อย่างไม่มีบทบาทใดๆ เป้าหมายสูงสุดก็คือ การเปลี่ยนประเทศให้เป็นไปอย่างที่พวกเขาต้องการ

การจัดหลักสูตรอบรมเยาวชนก้าวหน้า แสดงว่าขบวนการนี้ยังดำเนินต่อไป ไม่ว่าพวกเขาจะมีอำนาจรัฐอยู่ในมือหรือไม่ แม้ว่าจะเป็นการสร้างความขัดแย้งอย่างไร ครอบครัว ญาติพี่น้องแตกแยกกันอย่างไร ล้วนไม่นำพา พวกเขายังมุ่งมั่นดำเนินการต่อไป จนกว่าจะบรรลุเป้าหมายสูงสุดที่ต้องการ

น่าสนใจว่า รัฐบาลใหม่ที่มีพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำ จะยอมรับหรือไม่ว่ามีขบวนการนี้อยู่ ถ้ายอมรับจะมีแนวทางจัดการกับขบวนการนี้หรือไม่อย่างไร จะจัดการได้ดีกว่ารัฐบาลพลเอก ประยุทธ์หรือไม่ หรือเพียงขอให้ได้เป็นรัฐบาลเป็นพอ ทั้งหมดได้แต่ปล่อยให้เป็นไปตามยถากรรม

อดไม่ได้!! เมื่อ 'เด็กสามนิ้ว' ต้องหมดอนาคตในคุกตาราง แล้วใครกันที่ควรร่วมรับผิดชอบชีวิตที่แหลกสลายนี้?

ผมเชื่อว่าคนไทยทุกคนที่รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ แม้จะเอือมระอากับพฤติกรรมของ 'เด็กสามนิ้ว' ที่ดาหน้ากันออกมาก่อกวนสังคม และจาบจ้วงสถาบันเบื้องสูงไม่หยุดหย่อน ราวกับว่าสถาบันอันเป็นที่รักยิ่งของคนไทย เป็นสิ่งที่ต้องล้มล้างทำลายให้หายไป

แต่เมื่อเราเห็นเด็กหนุ่มเด็กสาวต้องโดนคดี 112 ต้องเข้าไปใช้ชีวิตในเรือนจำ ต้องหมดอนาคตลงทันทีอย่างน่าเสียดาย บางอารมณ์ก็คงจะอดสงสารไม่ได้ และคงมีคำถามผุดขึ้นในใจมากมายว่าใครกันบ้างที่ใจอำมหิต มีส่วนทำให้ 'เด็กหนุ่มเด็กสาวสามนิ้ว' เหล่านี้ ต้องลงเอยที่คุกตาราง?

1.) พ่อ แม่ ที่ไม่เคยห้ามปรามลูก ไม่เคยสั่งสอนให้ลูกของตัวเองตั้งใจศึกษาเล่าเรียน ใช้ชีวิตอยู่ในกรอบสังคมที่ดีงาม หากพ่อแม่มีความละเอียดอ่อนในการดำเนินชีวิต คิดดี คิดเป็น ลูกของตัวเองจะไม่มีทางตกเป็นเครื่องมือของพรรคการเมืองที่นิยมการล้างสมองเด็ก ให้ออกหน้ามากระทำการอันชั่วร้ายแทน พ่อแม่ที่ดีจะสั่งสอนอบรมลูกไม่ให้จาบจ้วงล่วงละเมิดสถาบันกษัตริย์ และไม่กระทำการใด ๆ ที่เสี่ยงต่อการทำผิดกฎหมายทั้งปวง 

2.) พรรคการเมืองที่มีความคิดอยากล้มล้างสถาบัน พรรคการเมืองพรรคนี้ถนัดแต่ 'ซุกกระโปรงเด็ก' เลือกหลอกใช้เด็กที่มีความกล้า ปนความคิดที่อยากได้รับการยอมรับในแบบที่แตกต่างจากเด็กรุ่นเดียวกันมาเป็นเครื่องมือ เพื่อจะบรรลุเป้าหมายชั่ว ๆ ของตัวเอง แต่เมื่อถึงคราวที่เด็กถูกดำเนินคดี สังคมคนส่วนใหญ่ลุกฮือขึ้นมาปกป้องสถาบัน พรรคการเมืองพรรคนี้ก็ทอดทิ้งชีวิตของ 'เด็กสามนิ้ว' ให้ไปเผชิญชะตากรรมร้ายในคุกโดยลำพัง

3.) สื่อที่มีแนวคิดเป็นลบกับสถาบัน มีซุกซ่อนอยู่ในสังคมไทยยุคสมัยนี้ไม่น้อย ถือเป็น 'สื่ออีแอบ' ที่มักจะสนับสนุน 'เด็กสามนิ้ว' ให้ดูเป็นฮีโร่ของสังคม เชิดชูและยกย่องเวลาที่เด็กสามนิ้วแสดงความใจกล้าในทางที่ผิด แต่ในเวลาที่เด็กสามนิ้วต้องถูกดำเนินคดี ก็จะใช้วิธีเขียนข่าวว่าเด็กถูกกลั่นแกล้งจากมาตรา 112 ทั้ง ๆ ที่กฎหมายอยู่ของมันเฉย ๆ 

4.) ผู้คนในสังคมที่ไม่ลงลึกกับที่มาที่ไป มักนิยมสิ่งที่ถูกใจมากกว่าจะรักษาสิ่งที่ถูกต้อง โหมใช้สื่อโซเชียลในแต่ละวันของตัวเองสนับสนุนการกระทำของ 'เด็กสามนิ้ว' จนกลายเป็นเด็กที่มีตัวตน เป็น 'ไอดอลกลวง ๆ กาก ๆ' ของเด็กรุ่นใหม่ จนมีความกล้าออกมาทำสิ่งที่ท้าทายอำนาจรัฐ 

ถ้า 'เด็กสามนิ้ว' สักคนต้องจบชีวิตลงในคุก คนในข่าย 4 ข้อนี้แหละครับสมควรต้องรับผิดชอบ ไม่ใช่ความผิดของกฎหมายมาตราใดเลย

‘อ.เจษฎ์’ ชี้!! ‘เซาะกร่อนบ่อนทำลาย’ คือกรอบใหญ่ที่พรรคก้าวไกลใช้ล้มล้างสถาบัน

จากรายการ ‘เข้มข่าวใหญ่’ ช่อง PPTV HD 36 ออกอากาศเมื่อวันที่ 16 ก.พ. 67 รศ.ดร.เจษฎ์ โทณะวณิก อาจารย์คณะนิติศาสตร์ วิทยาลัยบัณฑิตเอเซีย ได้แสดงความคิดเห็นต่อกรณีแก๊งทะลุวังป่วนขบวนเสด็จ และปฏิกิริยาของพรรคก้าวไกลต่อกรณีนี้

โดยบางช่วงบางตอน รศ.ดร.เจษฎ์ กล่าวว่า “แต่ละคนถือจิ๊กซอว์ และมีคนจำนวนหนึ่งทำกรอบไว้ให้ สังเกตเวลาเราต่อจิ๊กซอว์ ภาพมันจะไม่สมบูรณ์ ถ้ามันไม่มีกรอบ…”

เหตุการณ์แก๊งทะลุวังป่วนขบวนเสด็จ คำแถลงของพรรคก้าวไกล หรือสิ่งที่นายปิยบุตร แสงกนกกุล ได้ออกมาพูด ล้วนแล้วแต่เป็น ‘จิ๊กซอว์’ ชิ้นเล็ก ๆ ในความหมายของ รศ.ดร.เจษฎ์

รศ.ดร.เจษฎ์ กล่าวเพิ่มว่า ทั้งหมดนี้ได้ร่วมกันทำกรอบไว้แล้ว เป็นคำตามที่ศาลรัฐธรรมนูญกล่าวไว้ นั่นคือ ‘เซาะกร่อนบ่อนทำลาย’ ทุกสิ่งที่ทำ ที่เกิดขึ้น เช่น การพยายามเข้าหาขบวนเสด็จ แล้วพรรคก้าวไกลก็เรียงหน้ากันออกมา ร้อยเรียงถ้อยวาจา อ้างเสรีภาพอย่างนั้น อย่าล่าแม่หมดอย่างนี้ แต่ทั้งหมดนี้ร้อยเรียงกันแล้วแปลว่า ท่านไม่ได้ปราบบรรดาคนของท่าน แต่ท่านกำลังข่มขู่สังคม”

นอกจากนี้ รศ.ดร.เจษฎ์ ยังได้หยิบยกถ้อยคำของนายทักษิณ ชินวัตร ที่พูดไว้เมื่อครั้งที่พรรคก้าวไกลชนะการเลือกตั้ง และเพื่อไทยพ่ายแพ้พรรคก้าวไกล ระบุว่า “คุณทักษิณกล่าวว่า ก้าวไกลใช้สิ่งที่เรียกว่าปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI แล้วทำปฏิบัติการข้อมูล หรือ IO นี่คืออาวุธของพรรคก้าวไกลในทุกวันนี้”


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top