Thursday, 8 June 2023
NEWS

ดร.สามารถ ราชพลสิทธิ์ ชำแหละการประมูลรถไฟฟ้าสายสีส้ม หนุนใช้ ‘เกณฑ์เดิม’ ดีกว่า ‘เกณฑ์ใหม่’ เพราะเป็นโครงการที่มีเส้นทางใต้ดินผ่านศูนย์การค้าขนาดใหญ่ พื้นที่เกาะรัตนโกสินทร์ ลอดใต้แม่น้ำเจ้าพระยา ที่มีความซับซ้อน ต้องใช้เทคโนโลยีชั้นสูง

ดร.สามารถ ราชพลสิทธิ์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบขนส่งมวลชน โพสต์ข้อความในเพจเฟซบุ๊กส่วนตัว ‘ดร.สามารถ ราชพลสิทธิ์ – Dr.Samart Ratchapolsitte’ โดยระบุว่า

ประมูลรถไฟฟ้าสายสีส้ม

เกณฑ์เดิม "ดีกว่า" เกณฑ์ใหม่

คาดว่าการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) จะใช้เกณฑ์ใหม่ในการประมูลคัดเลือกเอกชนเข้าร่วมลงทุนในโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มครั้งใหม่แทนการประมูลเดิมที่ถูก รฟม.ยกเลิกไป แต่ผมมั่นใจว่าเกณฑ์ใหม่สู้เกณฑ์เดิมไม่ได้ เพราะอะไร?

รฟม.อ้างว่าเหตุที่ต้องใช้เกณฑ์ใหม่เพราะการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีส้มต้องใช้เทคโนโลยีชั้นสูง เนื่องจากจะต้องก่อสร้างอุโมงค์ใต้ศูนย์การค้าขนาดใหญ่ที่ยังคงเปิดให้บริการ จะต้องตัดเสาเข็มสะพานลอยโดยไม่ปิดการจราจร และที่สำคัญ จะต้องก่อสร้างอุโมงค์ใต้พื้นที่เกาะรัตนโกสินทร์ซึ่งมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ และใต้แม่น้ำเจ้าพระยา ถือว่าเป็นการก่อสร้างที่ซับซ้อน มีความเสี่ยงสูง จะใช้เกณฑ์เดิมไม่ได้

เกณฑ์เดิมไม่ดีจริงหรือ?

ตามเกณฑ์เดิมเอกชนจะยื่นข้อเสนอ 4 ซอง ดังนี้

ซองที่ 1 ข้อเสนอด้านคุณสมบัติ

คณะกรรมการคัดเลือกจะประเมินข้อเสนอด้านคุณสมบัติว่ามีครบถ้วน ถูกต้องหรือไม่ จะให้ผ่านหรือไม่ผ่าน หากไม่ผ่านก็ไม่ต้องเปิดซองที่ 2 แต่หากผ่านก็ต้องเปิดซองที่ 2 เพื่อพิจารณาต่อไป

ซองที่ 2 ข้อเสนอด้านเทคนิค

มีคะแนนเต็ม 100% แบ่งเป็น 5 หมวด ผู้ยื่นข้อเสนอจะต้องได้คะแนนในแต่ละหมวดไม่น้อยกว่า 80% และจะต้องได้คะแนนรวมของทุกหมวดไม่น้อยกว่า 85% หากไม่ผ่านก็ไม่ต้องเปิดซองที่ 3 แต่หากผ่านก็ต้องเปิดซองที่ 3 เพื่อพิจารณาต่อไป

ซองที่ 3 ข้อเสนอด้านผลตอบแทน

ผู้ยื่นข้อเสนอที่เสนอผลตอบแทนให้แก่ รฟม.มากที่สุดจะเป็นผู้ชนะการประมูล แล้วจึงเปิดซองที่ 4 ของผู้ชนะการประมูลต่อไป

ซองที่ 4 ข้อเสนออื่นๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อ รฟม.

แต่หลังจากปิดการขายเอกสารสำหรับคัดเลือกเอกชน (RFP) แล้ว รฟม.ประกาศเปลี่ยนการใช้เกณฑ์ประเมินเป็นเกณฑ์ใหม่ โดยอ้างว่าเกณฑ์เดิมคัดเลือกผู้ชนะโดยการดูเฉพาะคะแนนผลตอบแทนเท่านั้น หากเอกชนรายใดรายหนึ่งเสนอผลตอบแทนให้ รฟม.ต่ำกว่าอีกรายเพียงเล็กน้อย

แต่เอกชนรายนั้นได้คะแนนด้านเทคนิคสูงกว่า จะทำให้ รฟม.เสียโอกาสในการได้เอกชนที่มีความสามารถด้านเทคนิคสูง ซึ่งมีความจำเป็นสำหรับโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มที่มีเส้นทางใต้ดินผ่านศูนย์การค้าขนาดใหญ่ พื้นที่เกาะรัตนโกสินทร์ และใต้แม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งมีความซับซ้อน ต้องใช้เทคโนโลยีชั้นสูง

แต่ผมไม่เห็นด้วย เนื่องจากเกณฑ์เดิมได้ให้ความสำคัญด้านเทคนิคไว้สูงสุดแล้ว เพราะให้คะแนนไว้เต็ม 100% พร้อมทั้งกำหนดคะแนนขั้นต่ำไว้ 85% นั่นหมายความว่าผู้ยื่นข้อเสนอจะต้องได้ไม่น้อยกว่า 85% จึงจะสอบผ่าน และจะต้องได้คะแนนในหมวดย่อยอีก 5 หมวด หมวดละไม่น้อยกว่า 80% ผู้ยื่นข้อเสนอที่สอบผ่านถือว่ามีความสามารถด้านเทคนิคสูงมาก สามารถทำการก่อสร้างงานประเภทไหนก็ได้

การกำหนดคะแนนรวมด้านเทคนิคไว้ 85% ถือว่าสูงมากเมื่อเปรียบเทียบกับโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินส่วนต่อขยายจากหัวลำโพง-ท่าพระ มีเส้นทางผ่านเยาวราชซึ่งเป็นย่านธุรกิจที่สำคัญ และต้องลอดใต้แม่น้ำเจ้าพระยา แต่ รฟม.กำหนดคะแนนด้านเทคนิคไว้เพียง 70% เท่านั้น แม้กำหนดคะแนนสอบผ่านด้านเทคนิคไว้เพียง 70% แต่ผู้รับเหมาที่ชนะการประมูลก็สามารถทำการก่อสร้างได้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี

ด้วยเหตุนี้ ผมจึงฟันธงว่าเกณฑ์เดิมดีมากอยู่แล้ว รฟม.ไม่ควรยกเลิกแล้วเปลี่ยนไปใช้เกณฑ์ใหม่

เกณฑ์ใหม่ดีจริงหรือ?

เกณฑ์ใหม่พิจารณาซองที่ 1 (คุณสมบัติ) เช่นเดียวกับเกณฑ์เดิม แต่พิจารณาซองที่ 2 (ด้านเทคนิค) และซองที่ 3 (ด้านผลตอบแทน) พร้อมๆกัน โดยให้คะแนนรวมซองที่ 2 และซองที่ 3 เท่ากับ 100% แบ่งเป็นคะแนนซองที่ 2 (ด้านเทคนิค) 30% และคะแนนซองที่ 3 (ด้านผลตอบแทน) 70% สำหรับคะแนนด้านเทคนิคนั้น รฟม.ไม่ได้กำหนดคะแนนขั้นต่ำไว้

นั่นหมายความว่าผู้ยื่นข้อเสนอจะได้คะแนนด้านเทคนิคต่ำเพียงใดก็ถือว่าสอบผ่าน อีกทั้ง การให้คะแนนด้านเทคนิคไว้เพียง 30% เป็นการลดความสำคัญด้านเทคนิคลงมา ซึ่งขัดแย้งกับวัตถุประสงค์ของ รฟม.ที่ต้องการใช้เกณฑ์ใหม่ โดยอ้างว่าจะทำให้ได้ผู้ยื่นข้อเสนอที่มีความสามารถด้านเทคนิคสูง เหมาะสมกับงานก่อสร้างที่มีความซับซ้อน ต้องใช้เทคโนโลยีชั้นสูง

เกณฑ์ใหม่ที่ รฟม.ต้องใช้เป็นเกณฑ์ที่ รฟม.เคยใช้มาแล้วในอดีตนานกว่า 20 ปีแล้ว แต่ รฟม.คงเห็นว่าไม่เหมาะสมกับงานก่อสร้างที่ซับซ้อน จึงทำให้ รฟม.เลิกใช้เกณฑ์นี้หันมาใช้เกณฑ์เดิม (แยกซองเทคนิคออกจากซองผลตอบแทน) หรือเกณฑ์ที่ประกาศใช้ในการประมูลโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มครั้งแรก

สรุป

เกณฑ์ใหม่ที่ รฟม.ต้องการใช้ไม่เหมาะสมกับงานก่อสร้างโครงการรถไฟฟาสายสีส้มที่มีเส้นทางส่วนใหญ่อยู่ใต้ดิน วิ่งผ่านใต้สะพานลอย (ต้องตัดเสาเข็มที่รองรับสะพานลอย) ใต้ศูนย์การค้าขนาดใหญ่ ใต้พื้นที่เกาะรัตนโกสินทร์ และใต้แม่น้ำเจ้าพระยา

เกณฑ์เดิมจะทำให้ รฟม.คัดเลือกได้เอกชนที่มีความสามารถด้านเทคนิคสูงเหมาะสมกับงานก่อสร้างโครงการนี้ และจะทำให้ รฟม.ได้รับผลตอบแทนสูงสุดที่ควรจะได้อีกด้วย

ด้วยเหตุนี้ รฟม.จึงควรพิจารณาใช้เกณฑ์เดิมในการเปิดประมูลครั้งใหม่


ที่มา : https://www.facebook.com/232025966942314/posts/2282528178558739/?sfnsn=mo&_rdc=1&_rdrhttp://https://www.facebook.com/232025966942314/posts/2282528178558739/?sfnsn=mo&_rdc=1&_rdr

สถานการณ์โควิด - 19 ประเทศไทยและอาเซียน ประจำวันที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2564

สถานการณ์โควิด - 19 ประเทศไทยและอาเซียน ประจำวันที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2564

ททท.คาดบรรยากาศท่องเที่ยวช่วงตรุษจีนปีนี้เงียบเหงา แม้รัฐบาลประกาศเป็นวันหยุดยาวกรณีพิเศษ คาดมีคนเดินทางท่องเที่ยวเพียง 2.3 แสนคน สร้างเม็ดเงินหมุนเวียนแค่ 602 ล้านบาท

นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยบรรยากาศการเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศของคนไทยในช่วงเทศกาลตรุษจีนปี 2564 ซึ่งเป็นวันหยุดยาวกรณีพิเศษ ระหว่างวันที่ 12-14 ก.พ. 2564 ว่า บรรยากาศโดยรวมของการท่องเที่ยวในช่วงเทศกาลตรุษจีนปีนี้ค่อนข้างเงียบเหงา โดยจากการสำรวจพบว่า มีคนเดินทาง 2.35 แสนคน-ครั้ง สร้างรายได้หมุนเวียนแค่ 602.20 ล้านบาท โดยทั่วประเทศมีอัตราการเข้าพักเฉลี่ยเพียง 15% เท่านั้น

ทั้งนี้เป็นผลมาจากการระบาดของไวรัสโควิด-19 ระลอกใหม่ ที่ไม่เพียงกระทบต่อความเชื่อมั่น และความปลอดภัย ทำให้ต้องงดหรือชะลอการเดินทางท่องเที่ยว แต่ยังฉุดให้เศรษฐกิจทุกภาคส่วนกลับมาซบเซาอีกครั้ง ส่งผลต่อรายได้ที่ลดลงและหนี้ครัวเรือนเพิ่มสูงขึ้น เพราะประชาชนส่วนใหญ่ระมัดระวังการใช้จ่ายค่อนข้างมาก  

ททท. ด้วยประเมินว่า หากสถานการณ์การแพร่ระบาดในหลายๆ พื้นที่มีแนวโน้มลดลง และภาครัฐมีมาตรการผ่อนคลายพื้นที่ ทำให้ 60 จังหวัดเมืองหลัก และเมืองรอง มีความพร้อมรองรับการเดินทางท่องเที่ยวในพื้นที่ในช่วงเทศกาลตรุษจีนประมาณ 65.38% แต่เนื่องจากประชาชนส่วนใหญ่ยังไม่มั่นใจ รวมทั้งภาวะเศรษฐกิจที่ยังชะลอตัว กำลังซื้อของนักท่องเที่ยวมีจำกัด 

ดังนั้นการเดินทางท่องเที่ยวในช่วงเทศกาลตรุษจีนจึงน่าจะเป็นการเดินทางระยะใกล้ และเน้นกิจกรรมตามวิถีแห่งศรัทธาด้วยการไหว้พระ เทพเจ้า ขอพร และแก้ปีชงเพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ชีวิตตามความเชื่อของคนไทยเชื้อสายจีน โดยจากการวิเคราะห์การพูดคุยในสังคมออนไลน์ ระหว่างวันที่ 30 ม.ค. – 6 ก.พ. 64 เกี่ยวกับการเดินทางท่องเที่ยวในช่วงเทศกาลตรุษจีนปีนี้ พบว่า จังหวัดที่โดดเด่นมีการพูดถึงค่อนข้างมากคือ นครนายก ประจวบคีรีขันธ์ เพชรบุรี เนื่องจากเป็นแหล่งท่องเที่ยวระยะใกล้ใช้เวลาเดินทางไม่นาน เหมาะกับการเดินทางแบบกลุ่มครอบครัว

'บิ๊กตู่' ตบอก! ลั่นพร้อมทุกวันรับมือศึกซักฟอก โยนถาม 'ไพบูลย์' ปมยื่นศาลรัฐธรรมนูญตีความญัตติฝ่ายค้าน เชื่อรัฐมนตรีทุกคนชี้แจงได้

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม กล่าวถึงกรณีที่นายไพบูลย์ นิติตะวัน รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ(พปชร.) เตรียมเสนอญัตติด่วนให้สภาผู้แทนราษฎรมีมติขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับอำนาจและหน้าที่ของสภาผู้แทนราษฎร ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจที่ญัตติดังกล่าวได้นำสถาบันเข้ามาเกี่ยวข้อง โดยนายกฯ กล่าวว่า ให้ไปถามนายไพบูลย์ เอง

เมื่อถามย้ำว่า เห็นควรเลื่อนหรือไม่ เพราะอาจถูกมองว่าเป็นการคว่ำการอภิปราย พล.อ.ประยุทธ์ ปฏิเสธตอบพร้อมส่ายหัว และกล่าวเพียงว่า "ผมพร้อมที่จะอภิปราย"

ผู้สื่อข่าวถามว่า นายกฯ พร้อมไปติวกับพรรคพลังประชารัฐร่วมกับ 10 รัฐมนตรีที่ถูกซักฟอก ระหว่างวันที่ 13 - 14 ก.พ.หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า "ผมคงไปติวให้เขามากกว่า อย่างไรก็ตามข้อมูล ชี้แจงไปหมดแล้ว ใครทำอะไรไว้คิดดี ๆ แล้วชี้แจงไป เขาว่ามาก็ชี้แจงไป ผมเชื่อว่าชี้แจงได้ในหลายๆ เรื่อง เพราะอยู่ที่ผลงานมากกว่า ส่วนในเรื่องกฎหมายก็ให้ว่ากันมา และก็ต้องทน เพราะในสภาเขาพูดอะไรก็ได้ แต่ระวังอย่าให้มีปัญหาก็แล้วกัน"

เมื่อถามย้ำถึงกรณีนายไพบูลย์ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า "ไม่มีความเห็น เขาทำได้หรือไม่ ใครทำได้ก็ทำไป ถ้าเขาไปยื่นศาลก็ฟังศาลแล้วกัน แต่ผมเองไม่มีปัญหาอะไรผมเองไม่มีปัญหากับการไม่ไว้วางใจไว้วางใจ" ก่อนตบที่หน้าอกตัวเองแล้วยืนยืนกับสื่อว่า "พร้อมตลอด พร้อมทุกวัน"

‘บิ๊กป้อม’ หนุน ‘ไพบูลย์ นิติตะวัน’ ยื่นศาลรัฐธรรมนูญตีความญัตติอภิปรายเกี่ยวข้องสถาบัน ลั่นไม่เจตนาดึงเวลาซักฟอก แค่เป็นห่วงประเด็นกระทบสถาบัน รอศาลตัดสินแล้วว่ากันต่อ

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ให้สัมภาษณ์ก่อนประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.)กรณีที่นายไพบูลย์ นิติตะวัน รองหัวหน้าพรรคพปชร.เตรียมเสนอญัตติด่วนให้สภาผู้แทนราษฎรมีมติขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับอำนาจและหน้าที่ของสภาผู้แทนราษฎรในการอภิปรายไม่ไว้วางใจที่ญัตติดังกล่าวได้นำสถาบันเข้ามาเกี่ยวข้อง ว่าเรื่องที่ยื่นไปเป็นเพราะเขากังวลว่าจะเป็นการนำสถาบันเข้ามายุ่งกับการเมือง แต่ไม่ทราบว่าจะยื่นทันหรือไม่ เรื่องนี้นายไพบูลย์ ทำของเขาเอง ไม่ได้มาปรึกษา

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงใช่หรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ก็น่าห่วง ดังนั้นจึงอยากให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความดีกว่า

เมื่อถามว่าเรื่องดังกล่าวอาจถูกมองว่ามีเจตนาคว่ำการอภิปรายไม่ไว้วางใจ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ยืนยันว่าไม่ใช่เป็นการคว่ำการอภิปรายไม่ไว้วางใจ แต่อาจจะเลื่อนออกไปหน่อย เพื่อให้ศาลรัฐธรรมนูญดูเสียก่อน เมื่อถามถึงกรณีที่ นายวิรัช รัตนเศรษฐ ประธานวิปรัฐบาล เตรียมติวรัฐมนตรีที่ถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า พรรคพลังประชารัฐ ได้นัดกันไว้ในวันที่ 13-14 ก.พ.นี้ และตนจะไปเข้าร่วมด้วย

เมื่อถามถึงเหตุระเบิดบริเวณใต้สถานีรถไฟฟ้าเซนต์หลุยส์ เมื่อวันที่ 9 ก.พ.ที่ผ่านมา พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า "จะทำอย่างไรได้ ก็มันปา"

Top 10 สุดยอดเมืองที่ปลอดภัย และ อันตรายที่สุดในสหรัฐอเมริกา ‘ความยากจน - การว่างงาน - การศึกษา - ความเหลื่อมล้ำ’ ยังเป็นปัญหาใหญ่ในสังคมสหรัฐ

เมื่อไม่นานมานี้ เว็บไซท์ safewise.com ได้จัดอันดับ Top 10 เมืองที่มีความน่าอยู่ ปลอดภัยที่สุดในสหรัฐอเมริกา และในขณะเดียวกันก็ได้จัดอันดับเมืองที่อันตรายที่สุดมาด้วยเช่นกัน โดยใช้ข้อมูลจากอัตราการเกิดคดีอาชญากรรมจากฐานข้อมูลที่เปิดเผยได้ของ FBI ในรอบปีที่ผ่านมา

โดยใช้ค่าเฉลี่ยจากคดีความรุนแรงที่เกิดขึ้นในพื้นที่ต่อประชากร 1,000 คน เป็นเกณฑ์จัดอันดับสูงต่ำตามคะแนนที่ได้

และเมืองที่ชนะเลิศ เข้าเกณฑ์เมืองที่ปลอดภัยน่าอยู่สุดๆในสหรัฐอเมริกา ได้แก่

1. เมืองบอร์ดวิว ไฮทส์ รัฐโอไฮโอ

2. เมืองฮอพคินตัน รัฐแมสซาชูเซสส์

3. เมืองโอ๊คแลนด์ ทาวน์ชิพ รัฐมิชิแกน

4. เมืองริดจ์ฟิลด์ รัฐคอนเนตทิคัต

5. เมืองเบอร์เกนฟิลด์ รัฐนิวเจอร์ซี

6. เมืองนิวแคสเซิล ทาวน์ รัฐนิวยอร์ค

7. เมืองแฟรงคลิน รัฐแมสซาชูเซสส์

8. เมืองเบดฟอร์ด ทาวน์ รัฐนิวยอร์ค

9. เมืองโชรส์เบอรี รัฐแมสซาชูเซสส์

10. เมืองเบอร์นาร์ดส ทาวน์ชิพ รัฐนิวเจอร์ซี

เมื่อมีเมืองในฝันที่สวยหรู ก็ต้องมีเมืองแห่งโลกความจริงอันโหดร้าย กับเมืองที่จัดว่าอันตรายที่สุดในสหรัฐอเมริกา 10 อันดับได้แก่

1. เมืองแองเคอเรจ รัฐอะลาสก้า

2. เมืองอัลบูเคอร์คี รัฐนิวเม็กซิโก

3. เมืองเมมฟิส รัฐเทนเนสซี

4. เมืองวิชิทา รัฐแคนซัส

5. เมืองลับบ็อก รัฐเท็กซัส

6. เมืองดีทรอยท์-เดียร์บอร์น-ลิวอนเนีย รัฐมิชิแกน

7. เมืองสโปแคน-สโปแคน วัลลีย์ รัฐวอชิงตัน

8. เมืองชรีฟพอร์ต-บอสซิเออร์ซิตี้ รัฐลุยเซียนา

9. เมืองคอร์ปัส คริสตี รัฐเท็กซัส

10. เมืองโมบิล รัฐอลาบามา

แต่การใช้ความถี่ของคดีอาชญากรรมในพื้นที่เป็นเครื่องวัดความน่าอยู่ ปลอดภัยของแต่ละเมือง ก็เป็นเพียงแค่ข้อมูลส่วนเดียว ผู้จัดทำข้อมูลจึงได้หาข้อมูลปัจจัยอื่นๆที่จะวัดถึงความปลอดภัยในแต่ละเมือง โดยใช้เกณฑ์อื่น ๆ เช่น

- ค่าเฉลี่ยรายได้และความยากจน

- ระดับการศึกษาของคนในเมือง

- การจัดโซนนิ่งที่อยู่อาศัยจากสีผิว เชื้อชาติ

- การเข้าถึงอินเตอร์เนตความเร็วสูง

- การจัดสรรงบประมาณพัฒนาชุมชน และอัตราการว่างงาน

และก็พบความสัมพันธ์ระหว่างเมืองที่มีปัญหาอาชญากรรมสูง กับ ปัจจัยการเข้าถึงสวัสดิการพื้นฐาน ระดับการศึกษาของชาวเมือง และความเหลื่อมล้ำทางสังคมอย่างไม่น่าเชื่อ

ในแง่รายได้เฉลี่ย พบว่ากว่า 90% ของเมืองที่มีความไม่ปลอดภัย มักมีรายได้ต่อครัวเรือนต่ำกว่าค่าเกณฑ์มาตรฐาน จากการประเมินรายได้ต่อครัวเรือนของสหรัฐเฉลี่ยอยู่ที่ 61,937 เหรียญต่อปี ซึ่งกว่า 87% ของชาวเมืองที่อาศัยในเมืองที่มีความปลอดภัยน้อยมักมีรายได้ต่อครัวเรือนต่ำกว่าค่าเฉลี่ยนี้

ยิ่งมาดูที่เส้นความยากจน ก็จะพบว่าประชากรที่อยู่ในเมืองที่อันตรายสูง มีถึง 16.3% ที่มีรายได้อยู่ต่ำกว่าเส้นความยากจน ยกเว้นเมือง เมืองแองเคอเรจ ในรัฐอะลาสก้า แม้จะมีคดีอาชญากรรมสูงแต่ประชากรส่วนใหญ่มีรายได้สูงกว่าเฉลี่ยของประเทศ แต่ก็เป็นเมืองที่มีประชากรอาศัยอย่างเบาบาง

และมากกว่าครึ่งของเมืองที่มีคดีอาชญากรรมสูง มักมีประวัติศาสตร์การแบ่งเขตโซนนิ่งที่เคยกีดกันคนบางกลุ่มเข้าถึงเงินกู้เพื่อที่อยู่อาศัย ชาวเมืองมีรายได้เหลื่อมล้ำ มีอัตราการจบการศึกษาขั้นพื้นฐานน้อยกว่า เข้าถึงสวัสดิการรัฐบาล หรือเทคโนโลยีอินเตอร์เน็ตความเร็วสูงได้ไม่เท่ากับเมืองอื่น ๆ ที่มีความปลอดภัยมากกว่า

ดังนั้นการจัดอันดับสุดยอดเมืองที่มีความปลอดภัย หรือไม่ปลอดภัย ก็เป็นเครื่องชี้ให้เห็นว่า แม้แต่ในสหรัฐอเมริกา ก็ยังมีเมืองที่ยังเต็มไปด้วยปัญหาสังคม ที่ส่งผลกระทบถึงคุณภาพชีวิต และความปลอดภัยของประชาชน ซึ่งเป็นข้อบกพร่องที่รัฐบาลท้องถิ่นในแต่ละพื้นที่ควรเร่งแก้ไข เพื่อให้ทุกเมืองเป็นสถานที่ปลอดภัย น่าอยู่เหมือนกันทุกพื้นที่ทั่วประเทศนั่นเอง


อ้างอิง

https://www.safewise.com/blog/most-dangerous-cities/

https://www.safewise.com/safest-cities-america/

หอการค้าไทย คาดบรรยากาศตรุษจีนปีนี้ไม่คึกคัก คาดเงินสะพัดต่ำสุดในรอบ 13 ปี ลดจากปีก่อนราว 12,000 ล้านบาท เหตุพิษโควิด-19 ระบาด ส่งผลคนส่วนใหญ่ระมัดระวังการจับจ่ายใช้สอย

นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดี มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และ ประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยภาพรวมเทศกาลตรุษจีนในปี 2564 ว่า บรรยากาศการจับจ่ายใช้สอยในช่วงเทศกาลตรุษจีนปีนี้คงจะไม่คึกคักมากนัก

โดยจากการสำรวจพบว่า จะมีเงินสะพัดในช่วงเทศกาลปีนี้เพียง 44,939 .67 ล้านบาทถือว่าต่ำสุดในรอบ 13 ปี ลงลง 21.85% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันปีก่อน มีสาเหตุมาจากความกังวลต่อปัญหาโควิด-19 ที่ยังไม่สามารถจะท่องเที่ยวได้มากนัก และประชาชนยังระระมัดระวังการจับจ่ายใช้สอย จึงทำให้การใช้จ่ายซื้อสินค้าเซ่นไหว้ในช่วงตรุษจีนกันไม่มากนัก

สำหรับเหตุผลที่การจับจ่ายน้อยลงมา ส่วนใหญ่มาจากปัญหาการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด -19 ทั้งรอบเก่าและรอบใหม่รวมไปถึงปัญหาทางเศรษฐกิจ ส่งผลให้ประชาชนมีกำลังการจับจ่ายใช้สอยลดลง โดยจากการสำรวจ พบว่า คนจะนำเงินจากที่ได้รับการช่วยเหลือผ่านโครงการของรัฐมาดำเนินการใช้จ่ายในช่วงเทศกาลตรุษจีนที่จะนำมาซื้อของเซ่นไหว้

นายธนวรรธน์ กล่าวว่า "แม้เทศกาลตรุษจีนในปีนี้จะติดลบมากกว่าร้อยละ 21 หรือมีเงินหายจากระบบเมื่อเทียบกับตรุษจีนของปีที่ผ่านมากว่า 12,000 ล้านบาท แต่ก็เชื่อว่า จะมีเงินอัดฉีดผ่านโครงการภาครัฐอีกหลายโครงการ

โดยต้องติดตามโครงการไทยชนะและโครงการเรารักกัน โครงการคนละครึ่งที่จะมีเม็ดเงินรวมกันรวมกว่า 330,000 ล้านบาทที่จะอัดฉีดเข้าระบบได้ต่อเนื่องไปอีก จึงเชื่อว่าจะมีส่วนสนับสนุนให้เศรษฐกิจไทยกลับมาเป็นบวกได้ในช่วงปลายไตรมาสที่ 2 ของปี 2564"

ระหว่าง ‘น้ำใจ’ กับ ‘กฎระเบียบ’ บางครั้งก็เป็นเรื่องที่แยกออกกันยาก เหมือนกับ Bryan Johnston หนุ่มพนักงานร้าน Dunkin’ Donuts วัย 16 ปี ที่ดวงซวยต้องถูกไล่ออกจากงาน หลังจากถ่ายคลิปแจกโดนัท และเครื่องดื่มจำนวนมากให้คนไร้บ้าน

Bryan Johnston ทำงานที่ร้าน Dunkin’ Donuts แห่งหนึ่งเป็นเวลา 5 เดือน ทุก ๆ การทิ้งโดนัท นับเป็นความเจ็บปวดของเขา ที่ต้องทิ้งสิ่งที่ตัวเองทำขึ้น ด้วยปริมาณที่เยอะเกิน ทำให้วันหนึ่งเขาได้ทำตาม follower บน Tiktok โดยให้นำไปแจกคนเร่ร่อนแถวนั้นแทน

และเขาก็ทำเช่นนั้น แต่นั่นเป็นการผิดกฎของบริษัทอย่างร้ายแรง จึงทำให้เขาถูกไล่ออกในเวลาไม่กี่วันหลังจากนั้น

Bryan บอกว่าเขาประหลาดใจมากเมื่อพบว่าเขาถูกไล่ออก “มันยังยากมากที่จะมองย้อนกลับไปเมื่อฉันย้อนดูสถานการณ์ทั้งหมดในหัวของฉัน รู้สึกราวกับว่าผู้จัดการของฉันไม่สนใจที่ฉันทำงานที่นั่นเป็นเวลา 5 เดือนและเธอก็ไม่ได้พูดอะไร เช่น เสียใจที่ได้เห็นคุณจากไป หรือ ขอบคุณที่เป็นส่วนหนึ่งของทีม”

แม้ว่า Bryan จะถูกไล่ออกเพราะเขาแจกโดนัทให้กับคนไร้บ้านแทนที่จะทิ้งมันไป แต่ก็มีเรื่องดี ๆ เกิดขึ้นกับเขาเช่นกัน โดยเขาได้รับการสนับสนุนมากมายจากทุกคนทางออนไลน์และบางคนยังบริจาคเงินให้เขา เพื่อส่งต่อความตั้งใจดี ๆ เหล่านี้สะท้อนไปสู่สังคมต่าง ๆ แต่ที่แสบหน่อย คือ ไม่นานหลังจากนั้น เขาก็ได้ลงคลิปยูทูปโดยซื้อโดนัทของคู่แข่งมากินและแจกจ่ายให้กับพนักงานที่ทำงานในโรงพยาบาลด้วย เรียกว่าประชดขั้นสุดจริง ๆ

ทั้งนี้หลังจากคลิปของ Bryan ถูกแชร์ไปในวงกว้าง Dunkin 'Donuts ก็ได้ออกมาชี้แจงว่า จะสนับสนุนให้แฟรนไชส์ของตนสนับสนุนชุมชนท้องถิ่นของตน แต่ก็ขึ้นอยู่กับเจ้าของแฟรนไชส์แต่ละรายว่าต้องการบริจาคอาหารเหลือหรือไม่

เพราะตามกฎแล้ว การห้ามเอาอาหารไปขายหรือแจกต่อนี้ มีไว้เพื่อเอาไว้ป้องกัน หากว่าอาหารที่ทิ้งเหล่านี้ไม่ได้มาตราฐาน มีคนกินแล้วท้องเสียอาจสร้างความเสียหายให้กับร้านและบริษัทได้นั่นเอง เฉกเช่นเดียวกันกับแฟรนไชส์บริษัทไก่ทอดเจ้าดัง ก็มีกฏแบบนี้ เพื่อป้องกันการทอดอาหารเกินปริมาณ แล้วจะทำให้พนักงานเก็บกลับบ้าน นำไปแจก นำไปขาย

เรื่องนี้น่าจะเป็นสิ่งที่หาคำตอบแบบผิดถูกได้ยาก เพราะธุรกิจก็ต้องแยกความเมตตา ออกจากอาชีพ การงาน ไม่งั้นมันก็เสียระบบกันหมดน่ะเซ่


ที่มา:

https://www.facebook.com/208675086547938/posts/910487676366672/

https://www.boredpanda.com/dunkin-employee-fired.../

https://board.postjung.com/1272748

รมว.สาธารณสุข ‘อนุทิน ชาญวีรกูล’ มั่นใจฝีมือทีมจัดหาวัคซีนโควิดไทย ยังมีความหวังได้วัคซีนตามกำหนด หลังผู้ผลิตจากประเทศจีน ส่งสัญญาณจะพยายามผลิตวัคซีนให้ไทยตามข้อตกลง 2 ล้านโดส แต่จะมาก่อน 2 แสนโดสภายในเดือนก.พ.นี้

นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า เรายังมีความหวังที่จะได้วัคซีนโควิด-19 ในเดือนกุมภาพันธ์ 2564 ซึ่งเป็นไปตามแผนเสริม ที่เพิ่มเติมขึ้นมาจากแผนหลัก ล่าสุด ทางผู้ผลิตจากประเทศจีนได้สัญญาว่าจะพยายามอย่างเต็มที่ ที่จะส่งวัคซีนให้ไทย ตามที่ได้ตกลงกันไว้จำนวน 2 ล้านโดส

แบ่งเป็นส่งมอบในเดือนกุมภาพันธ์ 2 แสนโดน และจะตามมาหลังจากนั้นอีก 1.8 ล้านโดส ซึ่งจะสอดคล้องกับที่ทางโรงงานในไทย สามารถผลิตได้เอง ภายในช่วงกลางปี ทั้งนี้ ทางผู้ผลิตจากจีนยังกล่าวอีกว่า หากไทยต้องการเพิ่มขึ้น ก็พร้อมดูแลจัดหามา

เท่ากับว่า แผนการวัคซีนของไทยนั้น ไม่ได้ให้ผู้ผลิตเจ้าเดียวมาผูกขาด อย่างไรก็ตาม สำหรับการขึ้นทะเบียนนั้น ขึ้นกับความสมัครใจของผู้ผลิต ทางการไทยไม่มีปิดกั้น แต่จะขึ้นทะเบียนได้หรือไม่ขึ้นกับเงื่อนไขด้วย ทั้ง 2 ฝ่ายต้องยอมรับกันได้

หากการขึ้นทะเบียน ต้องตามมาด้วยการบังคับซื้อ ประเทศไทย ก็ต้องชะลอไปก่อน ไทยมีอิสระในการตัดสินใจ เช่นเดียวกัน ในเรื่องการจองซื้อวัคซีน ก็ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ ถ้าซื้อแล้ว ต้องได้วัคซีนในช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุด มิใช่ว่าต้องรอถึงปลายปี เป็นต้น

คิดว่าการจัดหาวัคซีนนั้น มาได้ล่าช้า เบื้องหลังการบริหารจัดการคือคณะแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่อยู่ในคณะกรรมการ ซึ่งระดมสมอง หาทางออกให้ประเทศไทย แน่นอนว่า ส่วนตัวมั่นใจความรู้ ความสามารถของทุกท่าน มั่นใจว่าท่านทำงานหนักมาก และทุกท่านมีความเป็นกลาง คิด และตัดสินใจตามหลักวิชาการอย่างรอบคอบ ขอให้คนไทยเชื่อมั่นในทีมประเทศไทย ให้กำลังใจกัน ดีกว่าการคอยแต่วิพากษ์วิจารณ์ สร้างความสับสนให้แก่สังคม ทั้งยัง ทำลายขวัญกำลังใจคนทำงาน

นายอนุทิน กล่าวด้วยว่า "ขณะนี้ สถานการณ์โรคโควิด 19 ภาพรวมมีการบริหารจัดการได้ดี ควบคุมโรคได้แล้ว ส่วนจังหวัดสมุทรสาคร ตาก และกทม. ยังพบผู้ติดเชื้อรายใหม่บ้าง อยู่ในระดับที่ควบคุมได้ ซึ่งตลอดระยะเวลาเกือบ 2 เดือนที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่สาธารณสุข บุคลากรทางการแพทย์ อสม.

และทุกภาคส่วน ทั้งรัฐ และเอกชน ได้ร่วมมือกันทำงานอย่างหนัก ทั้งการลงพื้นที่สอบสวนโรคและควบคุมการระบาด วางแผนการจัดการกับสถานการณ์ระบาด จัดตั้งโรงพยาบาลสนามเพียงพอ และ Bubble and Sealed Factory-Accommodation Quarantine ในจังหวัดสมุทรสาคร ให้อยู่ในพื้นที่ แยกผู้ติดเชื้อออกมารักษา ถือว่าสถานการณ์ควบคุมได้ รวมทั้ง ศบค.ได้ออกประกาศผ่อนคลายมาตรการควบคุมโรคตั้งแต่ 1 กุมภาพันธ์ เป็นต้นมา หากการเฝ้าระวังป้องกันโรคพบว่าผู้ติดเชื้อลดลงมากขึ้น กระทรวงสาธารณสุข จะได้เสนอมาตรการผ่อนคลายต่อ ศบค.เพิ่มขึ้น ทั้งนี้ ขึ้นกับสถานการณ์ในแต่ละห้วงเวลา ซึ่งทุกภาคส่วนยังต้องเฝ้าระวัง ป้องกันควบคุมโรคอย่างต่อเนื่อง"

ทั้งนี้ คณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ ได้เห็นชอบแผนกลยุทธ์การบริหารจัดการการให้วัคซีนโควิด 19 พ.ศ.2564 ซึ่งมี 2 ระยะ โดยในระยะแรกที่วัคซีนมีปริมาณจำกัด เพื่อลดการป่วยรุนแรงและเสียชีวิตจากโควิด 19 รักษาระบบสุขภาพของประเทศ ฉีดให้ 5 กลุ่ม ได้แก่

บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขด่านหน้าทั้งภาครัฐและเอกชน, ประชาชนที่มีโรคประจำตัว ได้แก่ โรคทางเดินหายใจเรื้อรังรุนแรง โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคไตวายเรื้อรัง โรคหลอดเลือดสมอง มะเร็งที่อยู่ในระหว่างเคมีบำบัด รังสีบำบัด ภูมิคุ้มกันบำบัด โรคเบาหวาน โรคอ้วน น้ำหนักมากกว่า 100 กิโลกรัมหรือ BMI มากกว่า 35 กิโลกรัมต่อตารางเมตร, ประชาชนที่มีอายุ 60 ขึ้นไป เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมโรคโควิด 19 ที่มีโอกาสสัมผัสผู้ป่วย รวมทั้งประชาชนทั่วไปและแรงงานในพื้นที่ระบาดของโควิด 19

และระยะที่ 2 เมื่อวัคซีนมากขึ้นและเพียงพอ เพื่อรักษาเศรษฐกิจ สังคม และความมั่นคงของประเทศ สร้างภูมิคุ้มกันในระดับประชากรและฟื้นฟูประเทศให้กลับเข้าสู่ภาวะปกติ ฉีดให้กับ 7 กลุ่ม ได้แก่ ประชาชนทั่วไป, แรงงานในภาคอุตสาหกรรม, ผู้ประกอบอาชีพด้านการท่องเที่ยว เช่น พนักงานโรงแรม สถานบันเทิง มัคคุเทศก์, ผู้เดินทางระหว่างประเทศ เช่น นักบิน/ ลูกเรือ นักธุรกิจระหว่างประเทศ, นักการทูต เจ้าหน้าที่องค์กรระหว่างประเทศ, กลุ่มเป้าหมายระยะที่ 1 ในจังหวัดที่เหลือ และบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขอื่น ๆ

นอกจากนี้ ได้เห็นชอบแผนการกระจายวัคซีนโควิด 19 ระยะแรก เดือนกุมภาพันธ์ถึงพฤษภาคม 2564 จำนวน 2 ล้านโดส ฉีดให้กับกลุ่มเป้าหมายในจังหวัดควบคุมสูงสุดและเข้มงวด คือ จังหวัดสมุทรสาคร และจังหวัดที่ยังพบผู้ป่วย ได้แก่ กรุงเทพมหานคร สมุทรปราการ นนทบุรี ปทุมธานี ระยอง ชลบุรี จันทบุรี ตราด และตาก ระยะที่ 2 เดือนมิถุนายนถึงธันวาคม 2564 จำนวน 61 ล้านโดส โดยมีโรงพยาบาลรัฐและเอกชนให้บริการกว่า 1,000 แห่ง วางแผนฉีดวัคซีนเดือนละ 10 ล้านโดส เพื่อฉีดวัคซีนให้ครบทั้ง 63 ล้านโดส ภายในปี 2564

พีค of the week EP.5

สัปดาห์ก่อน ยุ่งชุลมุนกันไปทุกวงการ การเมืองต่างประเทศที่พม่าก็ระอุตั้งแต่เปิดต้นเดือนกุมภาพันธ์กันมาเลย ส่วนที่เมืองไทยบ้านเราก็ไม่เบา มีเหตุการณ์ปะทะกันหลายวง ทั้งวงม็อบปะทะเจ้าหน้าที่ วงการเมือง ‘หมอวรงค์ปะทะธนาธร’ หรือแม้แต่วงบันเทิง ‘อ. ปะทะ ณ.’ แถมท้ายด้วยประโยคเด็ดประจำสัปดาห์ ‘อาวุธคือทิชชู่’ พีคกันซะขนาดนี้ ตามไปดูเรื่องราวกันในอีพีนี้กันได้เลย Let’s go!!

.

รายงานสถานการณ์จากพม่าเกี่ยวกับการต่อต้านรัฐประหารของหมอในประเทศล่าสุด จากเพจ LOOK Myanmar ได้เผยว่า...

แอดมินได้รับรายงานเรื่องแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ไม่มาทำงานเพราะต่อต้านรัฐประหาร โดยเมื่อวานมีรายงานจากคนพม่าว่าที่โรงพยาบาล Yangon General มีแพทย์ใน ER แค่ 4 ท่าน ซึ่งจากเดิมมีเป็นสิบ ก็แทบจะงานล้นมือแล้ว เหตุผลเนื่องจากมาจากแพทย์หลายท่านมาทำงานในโรงพยาบาลเอกชนช้า เพราะไปประท้วง

แอดคิดในใจว่า เอ้า!! ถ้าคนไข้ผ่าตัดมีความเป็นตายเท่ากัน แล้วคนไข้นั้นเป็นญาติหมอคนหนึ่ง แต่หมอเจ้าของไข้ไม่รักษา เพราะไปประท้วงหรือขอมาผ่าช้าไปชั่วโมงนึง เนื่องจากไปประท้วงก่อน แอดว่านี่ไม่ใช่ละ

ตอนนี้หลายเสียง จากหลายภูมิภาค เริ่มส่งเสียงสะท้อนออกมาว่า มากกว่าการเรียกร้องประชาธิปไตย คือ แพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ ควรมีจรรยาบรรณทางการแพทย์หรือไม่?

วิกฤติศรัทธาทางการแพทย์เริ่มก่อตัวขึ้นอย่างช้าๆ และเชื่อได้ว่ามันจะเพิ่มมากขึ้นเมื่อมีการประท้วงและมีคนบาดเจ็บ

แอดหวังว่าบทความนี้ของแอดจะถูกส่งต่อให้บุคลากรทางการแพทย์ในเมียนมาให้คำนึงถึงจรรยาบรรณทางการแพทย์ในการรักษาคนไข้ด้วย

แอดเคารพการตัดสินใจของแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ทุกท่านในเมียนมาและหวังว่าท่านจะมีจรรยาบรรณดังแพทย์ทั่วโลกพึงกระทำเช่นกัน

#แอดหม่อง


ที่มา: https://www.facebook.com/621374414597386/posts/3686812931386837/

‘บิ๊กตู่’ มอบนโยบาย ด้านยาเสพติด สั่งเร่งพัฒนาบุคลากร - เตรียมความพร้อมด้านเทคโนโลยี และแก้กฎหมายให้ทันสมัย เพื่อไล่ล่าเช็คบิลยึดทรัพย์นักค้ายา ด้าน ‘สมศักดิ์ เทพสุทิน’ เผย 4 เดือนจับ 33 เครือข่าย ยึดแล้ว 1,987 ล้านบาท ตั้งเป้า ปี 64 ยึด 6,000 ล้านบาท

นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ในฐานะประธานกรรมการศูนย์อำนวยการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการอำนวยการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2564 โดยมีนายวิชัย ไชยมงคล เลขาธิการ ป.ป.ส. ทำหน้าที่กรรมการและเลขานุการ พร้อมด้วย คณะกรรมการอำนวยการ ศอ.ปส. และผู้บริหารจากหน่วยงานต่าง ๆ จำนวน 30 คน ร่วมประชุมณ ห้องประชุมชิดชัย วรรณสถิตย์ อาคาร 2 ชั้น 3 สำนักงาน ป.ป.ส. (ดินแดง)

เมื่อเข้าสู่วาระการประชุม พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้บันทึกวีดีโอการมอบนโยบายยาเสพติดเพื่อเปิดในที่ประชุม โดยมีเนื้อหาว่า การป้องกันและปราบปรามยาเสพติดถือเป็นวาระสำคัญแห่งชาติ ที่รัฐบาลให้ความสำคัญในการแก้ไขเป็นลำดับต้น ที่ผ่านมาทุกหน่วยงานได้บูรณาการทำงานร่วมกันในการตัดวงจรยาเสพติดเพื่อให้ได้ทรัพย์สิน รวมถึง การปราบปรามอย่างเข้มข้น โดยในปี 2564 นี้รัฐบาลได้กำหนดเป้าหมายขยายผล อายัดทรัพย์สินเป็นมูลค่า 6,000 ล้านบาท

เพื่อให้บรรลุเป้าหมายเราต้องเดินหน้าใน 3 เรื่องหลักคือ 1.) การพัฒนาบุคลากรให้มีความรู้ความสามารถทั้งด้านการสืบสวนสอบสวน รวมไปถึงความสามารถของการใช้เครื่องมือและเทคโนโลยีในการติดตามผู้กระทำความผิด 2.) ความพร้อมของเครื่องมือและเทคโนโลยีต่างๆ เพื่อให้การปฏิบัติงานมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากยิ่งขึ้น และ 3.) การปรับปรุงกฎระเบียบข้อกฎหมายต่างๆ ให้มีความทันสมัยสอดคล้องกับสภาวะปัจจุบัน

ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการแก้ไขประมวลร่างกฎหมายยาเสพติด รวมทั้งแก้ไขข้อจำกัดทางกฎหมายที่เป็นอุปสรรค ในการปฏิบัติงานโดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวกับการยึดทรัพย์ยาเสพติด ดังนั้นผมขอให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องเร่งรัดติดตามเพื่อให้มีผลบังคับใช้โดยเร็วที่สุด

ด้านนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวอีกว่า รัฐบาลและกระทรวงยุติธรรมได้มุ่งมั่นอย่างเต็มที่ และขับเคลื่อนการดำเนินงานอย่างรอบด้านเพื่อแก้ไขปัญหายาเสพติด โดยมุ่งเน้นไปที่การยึดทรัพย์สินตัดวงจรยาเสพติด

โดยขณะนี้การทำงานในงบประมาณปี 2564 ระยะเวลา 4 เดือน ตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2563 จนถึง 31 มกราคม 2564 สามารถดำเนินการจับกุม ขยายผลยึดทรัพย์ 33 เครือข่าย ได้ทรัพย์สินแล้วกว่า 1,987 ล้านบาท ต้องยอมรับการทำงานเพื่อให้ไปถึงเป้าหมายนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เราจะไม่ย่อท้อ และจะนำแนวทางทั้ง 3 ของนายกรัฐมนตรีมอบให้ไปเร่งดำเนินการ ซึ่งขณะนี้กระทรวงยุติธรรมได้พยายามผลักดันร่างประมวลกฎหมายยาเสพติดฉบับใหม่ ที่หากพิจารณาแล้วเสร็จและมีผลบังคับใช้ ก็จะทำให้เจ้าหน้าที่ดำเนินงานได้ง่ายมากขึ้น นำไปสู่การแก้ไขปัญหายาเสพติดได้อย่างเป็นรูปธรรมและมั่นคง

นายสมศักดิ์ กล่าวต่อถึงสาระสำคัญในการประชุมครั้งนี้ ว่ามีวัตถุประสงค์เพื่อพิจารณาการดำเนินงานของศูนย์ปฏิบัติการยึดทรัพย์เครือข่ายยาเสพติด และแนวทางการดำเนินงานขยายผลยึดทรัพย์ ตัดวงจรยาเสพติด โดยกำหนดเป็นมูลค่าการยึดทรัพย์สินกระจายลงสู่ระดับจังหวัด ซึ่งพิจารณาจากขนาดปัญหาและงบประมาณที่จัดสรรแต่ละพื้นที่ กำหนดเป็น 3 ขนาด คือ

- ขนาดใหญ่ จำนวน 27 จังหวัด กำหนดเป้าหมายมูลค่าการยึดทรัพย์สินเครือข่ายยาเสพติดให้ได้จังหวัดละ 90 ล้านบาท รวมมูลค่าทั้งสิ้น 2,430 ล้านบาท

- ขนาดกลาง จำนวน 31 จังหวัด กำหนดเป้าหมายมูลค่าการยึดทรัพย์สินเครือข่ายยาเสพติด ให้ได้จังหวัดละ 70 ล้านบาท รวมมูลค่าทั้งสิ้น 2,170ล้านบาท

- ขนาดเล็ก จำนวน 18 จังหวัด กำหนดเป้าหมายมูลค่าการยึดทรัพย์สินเครือข่ายยาเสพติดให้ได้จังหวัดละ 50 ล้านบาท รวมมูลค่าทั้งสิ้น 900ล้านบาท

- กรุงเทพมหานคร กำหนดเป้าหมายมูลค่าการยึดทรัพย์สินเครือข่ายยาเสพติดให้ได้ 500ล้านบาท และกำหนดเป็นตัวชี้วัดเพื่อกำกับ ติดตามการดำเนินงาน ใช้เป็นเครื่องมือในการขับเคลื่อนการดำเนินงาน จำนวน 2 ตัวชี้วัด คือ ตัวชี้วัดระดับความสำเร็จของการตรวจสอบทรัพย์สินคดียาเสพติด และตัวชี้วัดระดับความสำเร็จของการดำเนินการในคดีความผิดฐานสมคบ สนับสนุนช่วยเหลือในคดียาเสพติด

นายวิชัย ไชยมงคล เลขาธิการ ป.ป.ส. กล่าวว่า “สำนักงาน ป.ป.ส. ได้เสนอการแก้ไขกฎหมายให้สอดคล้องกับนโยบายนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม คือ 1.) การกำหนดให้ศาลมีอำนาจพิจารณาคดีทรัพย์สินที่เกี่ยวเนื่องกับการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดต่อไปได้ แม้ว่าพนักงานอัยการจะมีคำสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้องคดี หรือศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดให้ยกฟ้องจำเลยในคดีอาญา

และหากศาลพิจารณาแล้วเห็นว่าทรัพย์สินดังกล่าวเกี่ยวเนื่องกับการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดก็ให้ศาลมีอำนาจพิพากษาให้ทรัพย์สินนั้นตกเป็นของกองทุนป้องกันและปราบปรามยาเสพติดได้ 2.) การกำหนดให้นำหลักการในการ “ริบทรัพย์สินตามมูลค่า (Value – based Confiscation) มาใช้ในคดีความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการริบทรัพย์สินของผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับคดียาเสพติด

ทั้งนี้ ยังรวมถึงการสนับสนุนเครื่องมือที่ทันสมัยให้กับหน่วยงานหลักอย่าง บช.ปส.DSI เพื่อส่งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการขยายผล ยึดทรัพย์สินที่ได้มาจากการค้ายาเสพติด ตลอดจนการอบรมการใช้เครื่องมือเทคโนโลยีให้เกิดประโยชน์สูงสุด และสกุลเงินดิจิทัล (Cryptocurrency) รวมถึงการประสานความร่วมมือกับหน่วยงานต่างประเทศ เพื่อให้บุคลากรที่ปฏิบัติงานด้านการปราบปรามนำองค์ความรู้ที่ได้ไปใช้ในการปราบปรามยาเสพติดให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น”

เมื่อวันอาทิตย์ที่ 7 กุมภาพันธ์ คณะกรรมการต่อต้านการผูกขาด ภายใต้รัฐบาลจีน มีมติผ่านร่างกฎหมายว่าด้วยเรื่องระเบียบการค้าใหม่ ที่ป้องกันการผูกขาดของผู้ประกอบการรายใหญ่ โดยย้ำว่าจะใช้กฎหมายนี้ในทุก ๆ อุตสาหกรรม

แม้จะไม่มีการเอ่ยตรงๆ แต่ก็เชื่อได้ว่าเป็นการสกัดกลุ่มธุรกิจ e-Commerce ในกลุ่ม Big Tech ของจีนโดยเฉพาะ เพราะกำลังเป็นกลุ่มธุรกิจที่ทรงอิทธิพลอย่างมากในจีน หากมองในแง่มุมของการครอบครองข้อมูลฐานลูกค้าหลายล้านรายทั่วประเทศ

โดยร่างกฎหมายฉบับใหม่ มีกฏข้อห้ามในการตั้งราคาขายในกลุ่มลูกค้าที่แตกต่างกัน ซึ่งอาจมีผลต่อการทำโปรโมชั่นเพื่อทุ่มตลาด รวมถึงการผูกขาดให้ใช้เฉพาะช่องทางการชำระเงินของบางบริษัท ที่กีดกันบริการคู่แข่ง และการใช้ประโยชน์จากฐานข้อมูลลูกค้าเพื่อความได้เปรียบทางตลาด

สำหรับธุรกิจที่จะโดนผลกระทบเต็มๆ จากร่างกฎหมายต่อต้านการผู้ขาดฉบับล่าสุด จะมีตั้งแต่เว็บ Alibaba, Taobao, Tmall, JD.com รวมถึงแอปพลิเคชันในให้บริการทางการเงินอย่าง AliPay, WeChat หรือแม้แต่เว็บไซต์โซเชียลมีเดีย และผู้ให้บริการส่งอาหาร เรียกรถแท็กซี่ ที่จะไม่มีข้อยกเว้น

ทั้งนี้ สำนักงานบริหารจัดการกฎระเบียบตลาดแห่งรัฐ ได้ไห้ความเห็นว่า ร่างกฎหมายใหม่จะป้องกันกลยุทธ์เพื่อผูกขาดตลาดของบริษัทใหญ่ผ่านแพลตฟอร์มทางธุรกิจต่าง ๆ เพื่อให้เกิดการแข่งขันที่ยุติธรรมมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม เป้าหมายที่ค่อนข้างชัดเจนจากรัฐบาลจีนในการใช้กฎหมายใหม่ น่าจะเน้นไปที่การจำกัดการใช้กลยุทธ์ด้านราคา หรือเทคโนโลยีในการจัดการฐานข้อมูลขนาดใหญ่ หรือใช้ระบบอัลกอริธึมในการควบคุมตลาด ซึ่งตอนนี้อยู่ในมือบริษัทที่มีดิจิตัลแพลตฟอร์มขนาดใหญ่ อย่าง Alibaba และ Tencent ซึ่งบริษัทเหล่านี้กำลังเป็นบริษัทเงินทุนสุดทรงอิทธิพลอย่างมากในเศรษฐกิจของจีน และนี่ก็เป็นสิ่งที่รัฐบาลจีนไม่อาจมองข้ามได้

รัฐบาลจีนส่งสัญญาณชัดเจนในเรื่องนี้ ตั้งแต่ที่ ‘แจ็ค หม่า’ ประกาศตั้งบริษัท Ant Group เสนอนวัตกรรมผู้ให้บริการด้านการเงินแบบใหม่ โดยใช้ฐานลูกค้า Alibaba ในการพิจารณาสินเชื่อ แทนการกู้ในระบบธนาคารรัฐ ที่แจ็ค หม่า เคยวิจารณ์ว่าเป็นระบบที่ล้าหลังไม่ต่างจากโรงรับจำนำ

การกำเนิดของ Ant Group สร้างความฮือฮาในวงการการเงินทั้งใน และต่างประเทศเป็นอย่างมาก และคาดการณ์ว่าราคา IPO ของ Ant Group จะสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ แต่แล้วทางรัฐบาลจีนก็ออกคำสั่งด่วน สกัดการเข้าตลาดหลักทรัพย์ของ Ant Group ตามมาด้วยข่าวการร่างกฎหมายต่อต้านการผูกขาดตลาดใหม่ และเข้าสอบสวนเครือบริษัท Alibaba ว่าเข้าข่ายกระทำผิดกฎหมายการผูกขาดหรือไม่

เมื่อเดินหน้าแล้ว รัฐบาลจีนก็ไม่หยุดแค่ Alibaba แต่จัดระเบียบกับผู้ให้บริการด้านดิจิทัลทั้งหมด ด้วยกฎหมายเดียวกัน เพื่อเป็นการตัดไฟแต่ต้นลม

แต่ทั้งนี้ การเข้าถึงฐานข้อมูลขนาดใหญ่ หรือ Big Data ก็เริ่มเป็นสร้างความกังวลใจให้กับรัฐบาลหลายประเทศ ที่จำเป็นต้องเข้ามาจัดการก่อนสายเกินไป

ดังอย่างเช่น รัฐบาลกลางสหรัฐได้ยื่นฟ้องบริษัท Big Tech ยักษ์ใหญ่ ทั้ง Google และ Facebook ในข้อหาผิดกฎหมายผูกขาดด้านการตลาด ที่ตอนนี้กำลังพิจารณาในชั้นศาล

และรัฐบาลออสเตรเลีย ตัดสินใจผ่านกฎหมายคุ้มครองสื่อในประเทศ ยื่นฟ้องทั้ง Facebook และ Google ต้องจ่ายค่าคอนเท้นท์ให้แก่สำนักข่าวท้องถิ่นของออสเตรเลียเมื่อมีการอ้างอิงเนื้อหาบนแพลตฟอร์ม ที่ทำให้ Google ออกมาขู่ระงับการใช้งานในออสเตรเลีย และกลายเป็นประเด็นที่ทั่วโลกกำลังจับตาว่า บริษัท Big Tech อาจมีอิทธิพลเหนือกว่ารัฐบาลทั่วโลกแล้วในขณะนี้

ส่วนรัฐบาลกลางของสหภาพยุโรปได้เคยยื่นฟ้องร้องคดีการผู้ขาดตลาดกับ Google ให้จ่ายค่าปรับไม่น้อยกว่า 9.5 พันล้านเหรียญมาแล้วตั้งแต่ปี 2017

เรื่องการผูกขาดตลาดในโลกดิจิทัลที่เกือบจะไร้พรมแดนเพื่อครอบครอง Big Data อาจเป็นเรื่องที่จริงจังกว่าที่เราคิดก็ได้


อ้างอิง:

https://www.globaltimes.cn/page/202102/1215210.shtml

https://www.usnews.com/news/world/articles/2021-02-07/china-issues-new-anti-monopoly-rules-targeting-its-tech-giants

https://www.cnbc.com/2021/02/08/asia-markets-shares-of-china-tech-giants-alibaba-tencent-coronavirus-currencies-oil.html

วิถีชีวิตแบบชุมชน ถ้าถอดรหัสความแข็งแกร่ง และปั้นออกมาต่อยอดในเชิงธุรกิจได้ ก็มีโอกาสสร้างโอกาสทางการท่องเที่ยวและรายได้ให้แก่คนพื้นที่ได้อย่างมาก

ล่าสุดโรงเรียนบ้านเขาเฒ่า หมู่ 3 ต.บางเตย อ.เมืองพังงา ได้เปิดสถานที่ท่องเที่ยวจุดเช็คอินแห่งใหม่ ‘ทุ่งดอกปอเทือง’ ที่กำลังชูช่อบานสีเหลืองสวยงาม ทำให้มีนชาวบ้านในพื้นที่และใกล้เคียง รวมถึงนักท่องเที่ยวต่างแวะเวียนเข้ามาเยี่ยมชม บันทึกภาพสวย ๆ ลงในสื่อโซเชียลต่าง ๆ โดยปัจจุบันสถานที่ดังกล่าวเริ่มได้รับความสนใจ และมีผู้คนแวะเข้ามาเยี่ยมชมมากกว่า100 คน

ที่น่ารักไปกว่านั้น คือ ที่นี่จะให้เด็กนักเรียนเป็นมัคคุเทศน์น้อย พาเที่ยวชมตามจุดต่างๆ แถมยังทำหน้าที่เป็นช่างภาพถ่ายรูปให้กับนักท่องเที่ยวที่มาเยือน ตามจุดถ่ายรูปต่าง ๆ ที่สร้างสรรค์จากธรรมชาติและของเหลือใช้ในชุมชน จนสร้างความประทับใจให้กับผู้มาเยือนเป็นอย่างมาก

นายนิกรณ์ โยมเนียม ผอ.โรงเรียนบ้านเขาเฒ่า เปิดเผยว่า “โรงเรียนบ้านเขาเฒ่าใช้แนวคิด Happy school Model โดยเริ่มต้นจากการทำโรงเรียนให้เหมือนบ้านสร้างความสุข จากคุณครูและบุคลากรทางการศึกษา รวมถึงลูกๆนักเรียน

“จากนั้นก็ขยายผลไปสู่ชุมชนผ่านอุทยานการเรียนรู้ Happy school ซึ่งแต่เดิมพิกัดดังกล่าวเป็นสนามกีฬาขนาดใหญ่ แต่ด้วยจำนวนเด็กนักเรียนที่ลดน้อยลง จึงไม่ได้ประโยชน์เต็มพื้นที่ จนกลายเป็นทุ่งหญ้าเลี้ยงวัวของชาวบ้าน ทางโรงเรียนจึงเกิดไอเดียว่า ถ้าเรานำทุ่งหญ้าเลี้ยงวัวมาทำให้เกิดประโยชน์สร้างรายได้ให้กับโรงเรียนและชุมชน โดยให้นักเรียนมีส่วนร่วมน่าจะดี จึงได้ทำการปรับภูมิทัศน์พร้อมกับปลูกต้นปอเทืองเมื่อปลายปี 2563

“ขณะเดียวกัน ก็ได้มีการอบรมเด็กนักเรียนให้มีความพร้อมที่จะดูแลนักท่องเที่ยวที่เข้ามาเที่ยวในโรงเรียน โดยเมื่อช่วงปลายเดือนมกราคมที่ผ่านมา ต้นปอเทือง ได้เริ่มออกดอกบานสะพรั่งเป็นสีเหลืองสวยงาม จึงกลายเป็นจุดเช็คอินแห่งใหม่ในพื้นที่ ขณะเดียวกันภายในโรงเรียน ยังมีการจัดมุมเรียนรู้ในการทำการเกษตรวิถีใหม่รับการท่องเที่ยว ซึ่งเชื่อว่าจะช่วยเพิ่มรายได้ให้กับเกษตรกรในอนาคตควบคู่กันไป

“อย่างไรก็ตามอุทยานการเรียนรู้ Happy school นี้ ไม่ใช่เป็นแค่แหล่งท่องเที่ยวอย่างเดียว แต่เป็นห้องเรียนธรรมชาติให้กับนักเรียนที่เป็นห้องเรียนแห่งใหม่ ที่เด็กนักเรียนสามารถเรียนรู้อยู่กับธรรมชาติในทุกรายวิชา

ทั้งนี้เพื่อก่อให้เกิดรายได้ต่อชุมชนรอบข้าง ทางโรงเรียนยังได้เปิดโอกาสให้ผู้ปกครองในพื้นที่ เข้ามาขายของกินของใช้ให้กับนักท่องเที่ยวที่เข้ามาเที่ยวชมดอกปอเทือง เพื่อเป็นการสร้างรายได้ให้กับชุมชนอีกทางหนึ่ง และทางโรงเรียนได้มีการเก็บค่าเข้าชมทุ่งดอกปอเทืองคนละ 20 บาท เพื่อนำรายได้รายได้มาเป็นทุนการศึกษาของเด็กนักเรียนและเป็นค่าใช้จ่ายในโรงเรียน

สำหรับจุดเช็คอินทุ่งปอเทืองเปิดให้บริการทุกวันตั้งแต่เวลา 08.00 - 17.00น. สามารถติดต่อสอบถามข้อมูลได้ที่เพจเฟสบุ๊ค ‘โรงเรียนบ้านเขาเฒ่า’ หรือหมายเลขโทรศัพท์ 082-803-3503


ที่มา: อโนทัย งานดี / พังงา / 081-0836530

อำนาจเจริญ ปลูกกัญชาเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์แห่งที่ 2 ต่อยอด ‘อำนาจเจริญโมเดล’ สร้างต้นแบบวิจัยและผลิตกัญชารักษาโรค เพิ่มโอกาสเข้าถึงการรักษาด้วยยากัญชาอย่างปลอดภัยและถูกกฎหมาย

คุณสุขสมรวย วันทนียกุล เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นประธานปลูกกัญชาเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์ ที่โรงเรือนกัญชาโรงพยาบาลชานุมาน ซึ่งเป็นแห่งที่ 2 ของ จ.อำนาจเจริญ พร้อมติดตามความคืบหน้าการปลูกกัญชาเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์ โรงพยาบาลชานุมาน โดยมี นพ.ประภาส วีระพล นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดอำนาจเจริญ นพ.ปฐมพงษ์ ปรุโปร่ง รองนายแพทย์สาธารณสุขฯ รัฐวิสาหกิจชุมชน รายงานผลการดำเนินงานความคืบหน้า

ตามที่กระทรวงสาธารณสุข โดยนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ยกให้จังหวัดอำนาจเจริญ เป็นจังหวัดนำร่องปลูกกัญชาเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์ เพิ่มการเข้าถึงในการรักษาด้วยยากัญชาอย่างปลอดภัยและถูกกฎหมาย ซึ่งมี รพ.สต. โรงพยาบาล ร่วมกับวิสาหกิจชุมชน ดำเนินการ 2แห่ง คือ 1.) โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพโนนดู่ ต.สร้างนกทา อ.เมือง จ.อำนาจเจริญ 2.)โรงพยาบาลชานุมาน เพื่อวิจัยการผลิตกัญชาประโยชน์ทางการแพทย์ ภายในโรงเรือนระบบปิดตามมาตรฐานสากล เพื่อผลิตวัตถุดิบกัญชา การตรวจสอบคุณภาพ การใช้พื้นที่แปรรูป เพื่อใช้ผลิตยาสมุนไพรไทยต่อไป

พร้อมกันนี้ ยังได้เยี่ยมชมอาคารระบบตากแห้งพลังงานแสงอาทิตย์ โรงพยาบาลชานุมาน ณ นิคมเกษตรกรรมทหารผ่านศึกชานุมาน อ.ชานุมาน จ.อำนาจเจริญ อีกด้วย


ภาพ : บัณฑิต สนุกพันธ์

ข่าว : ประวัติ นิธิเตชะยศสกุล


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top