Wednesday, 19 February 2025
NEWS

(สุรินทร์) กกล.สุรนารี ทำหนังสือเตือนทหารฝ่ายกัมพูชา ฉบับที่ 2 หลังมีเหตุการณ์ ผบ.พลน้อย.ร.42นำคณะแม่บ้าน จำนวน 25 คน ขึ้นมาเยี่ยมชมปราสาทตาเมือนธม พร้อมร่วมร้องเพลงปลุกใจชาติ

พลตรีสมภพ ภาระเวช ผู้บัญชาการกองกำลังสุรนารี ลงพื้นที่บริเวณปราสาทตาเมือน โดยตรวจเข้มบริเวณโดยรอบตัวปราสาท พร้อมย้ำกำลังพลในพื้นที่ ห้ามมิให้เกิดเหตุการณ์ เช่น เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2568 ที่ผ่านมา ที่มีทหารชาวกัมพูชาพาคณะแม่บ้าน จำนวนกว่า 25 คน ขึ้นมาเยี่ยมชมตัวปราสาทตาเมือน แล้วร่วมกันร้องเพลงชาติ หรือเพลงปลุกใจของชาวกัมพูชา ใดๆ ทั้งสิ้น 

โดยกองกำลังสุรนารีเผยว่า กองทัพภาคที่ 2 ได้สั่งการทำหนังสือประท้วงการกระทำที่ไม่เหมาะสมไปยังผู้บัญชาการภูมิภาคทหาร ที่ 4 ประเทศกัมพูชา และถือว่าเป็นหนังสือประท้วงถึงการกระทำที่ไม่เหมาะสมเป็นฉบับที่ 2 เนื่องจากเคยมีเหตุการณ์คล้ายลักษณะดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2567 โดยทางกองทัพก็ได้ทำหนังสือประท้วงไปยังผู้บัญชาการภูมิภาคทหาร ที่ 4 ประเทศกัมพูชา แล้วครั้งที่ 1 และนี้ถือว่าเป็นเหตุการณ์เดิมๆ เป็นครั้งที่ 2

โดยหนังสือประท้วงมีเนื้อหาดังนี้ “ด้วยเมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2568 กองกำลังสุรนารี ได้ตรวจพบว่ามีประชาชน ทหารกัมพูชา ทำการรวมกลุ่มยืนร้องเพลงบริเวณปราสาทตาเมือนธม อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ ซึ่งต่อมาเจ้าหน้าที่ฝ่ายไทยได้เข้าห้ามปรามไม่ให้กระทำในลักษณะดังกล่าว ซึ่งเป็นการปฏิบัติที่ไม่เป็นไปตามข้อตกลงเดิม ที่ทั้งสองฝ่ายได้กำหนดถึงการปฏิบัติของทั้งสองฝ่ายในการเยี่ยมชมปราสาทตาเมือนธม “กองกำลังสุรนารี จึงขอแสดงความไม่สบายใจต่อการกระทำของฝ่ายกัมพูชาในครั้งนี้ ซึ่งอาจกระทบต่อความสัมพันธ์อันดีในระดับพื้นที่ เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบที่รุนแรงขึ้นในอนาคต 

จึงขอให้ท่านแจ้งเจ้าหน้าที่ ให้ชี้แจงถึงการปฏิบัติในการเยี่ยมชมปราสาทตาเมือนธม ให้กับประชาชน หรือนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางมายังปราสาทตาเมือนธม ไม่ให้กระทำการในลักษณะดังกล่าวอีก ทั้งนี้เพื่อแสดงถึงความจริงใจ และความพยายามในการแก้ไขปัญหาร่วมกัน ทั้งเป็นการรักษาความสัมพันธ์อันดีของทั้งสองประเทศต่อไป 

ทั้งนี้นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม ยังได้กล่าวถึงกรณีมีชาวกัมพูชาจำนวนหนึ่งขึ้นไปร้องเพลงปลุกใจ บริเวณปราสาทตาเมือนธม อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ ว่า จริงๆ พื้นที่ตรงนี้อยู่ในประเทศไทย แต่ยังมีเส้นที่ยังแบ่งกันไม่ชัดเจน ยังเป็นเรื่องค้างคาอยู่ ซึ่งเราก็เปิดให้ฝ่ายกัมพูชา ประชาชนขึ้นไปสักการะสิ่งต่างๆ ได้เป็นปกติ แต่การขึ้นไปร้องเพลง หรือแสดงเชิงสัญลักษณ์แบบนี้ เราไม่สบายใจ ทางผู้บัญชาการทหารที่เกี่ยวข้องทำเรื่องประท้วงไปแล้ว
โดยล่าสุดสถานการณ์ในพื้นที่โดยรอบบริเวณปราสาทตาเมือนธม ยังคงมีการเฝ้าระวังของทหารทั้งสองฝ่าย โดยล่าสุดจะมีการหารือพูดคุยระหว่างผู้นำทหารทั้งสองฝ่ายอีกครั้งในเร็วๆนี้
 

สตูล ผู้บังคับบัญชาห่วงใยหน่วยที่ห่างไกล สร้างขวัญและกำลังใจได้เดินทางไปเยี่ยมเยือน

(17 ก.พ. 68) ที่ผ่านมา นาวาเอก จรัญ  ดิศอรุณ ผู้บังคับการกรมต่อสู้อากาศยานที่ 2 พร้อมด้วยนาวาเอก รุ่งโรจน์ อินตรา รองผู้บังคับการกรมต่อสู้อากาศยานที่ 2 (1) นาวาเอก ชุติกร วงศ์ปรีดี รองผู้บังคับการกรมต่อสู้อากาศยานที่ 2 (2)และนาวาโท น้ำน่าน บุนนาค เสนาธิการกรมต่อสู้อากาศยานที่ 2 เดินทางมาตรวจเยี่ยมบำรุงขวัญ หน่วยปฏิบัติการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่งที่ 452 ได้ตรวจเยี่ยมสถานีเรดาร์ตรวจการณ์ทางทะเลเกาะปูยู ตำบลเกาะปูยู อำเภอเมือง จังหวัดสตูล โดยมี นาวาโท ธนภูมิ ประทีป ผู้บังคับหน่วยปฏิบัติการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่งที่ 452 ,พร้อมด้วย เรือโท สุโภชน์ ทองย้อย รองผู้บังคับหน่วยปฏิบัติการต่อสู้อากาศและรักษาฝั่งที่ 452 และกำลังพล ให้การต้อนรับและบรรยายสรุปการปฏิบัติภารกิจของหน่วย พร้อมทั้งนำตรวจอาคารสถานที่ภายในหน่วย ในการนี้ผู้บังคับการกรมต่อสู้อากาศยานที่ 2 ได้กล่าวโอวาทและมอบนโยบายแก่กำลังพลถึงแนวทางการปฏิบัติเพื่อให้การปฏิบัติสัมฤทธิ์ผลบรรลุตามวัตถุประสงค์ของหน่วยเหนือและกองทัพเรือ หลังจากนั้นได้เดินตรวจแถวทักทายกำลังพลสอบถามความเป็นอยู่ด้วยความห่วงใยใส่ใจผู้ใต้บังคับบัญชาเป็นการสร้างขวัญและกำลังใจแก่กำลังพลทั้งขอขอบคุณกำลังพลที่ได้ตั้งใจปฏิบัติงานและในการต้อนรับ พร้อมทั้งรับทราบอุปสรรคข้อขัดข้องเพื่อแก้ไขต่อไป

นิตยา  แสงมณี  //  ผู้สื่อข่าวภูมิภาคประจำจังหวัดสตูล

'ดร.เฉลิมชัย รมว.ทส.' มอบสมุดที่ดินทำกินป่าสงวนแห่งชาติ ใน 5 อำเภอ จ.ปัตตานี

ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (รมว.ทส.) เดินทางไปโรงเรียนดรุณศาสน์วิทยา อ.สายบุรี จ.ปัตตานี เพื่อมอบสมุดประจำตัวผู้ได้รับสิทธิที่ดินทำกินในป่าสงวนแห่งชาติ ลุ่มน้ำชั้น 1 และ 2 ให้ประชาชน 454 ราย รวมพื้นที่ 2,300 ไร่  ได้อยู่อาศัยทำกินได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย ครอบคลุม 5 อำเภอ ในจังหวัดปัตตานี (สายบุรี  โคกโพธิ์ อำเภอทุ่งยางแดง ยะรัง อำเภอกะพ้อ)

โดยมี นายยูนัยดี วาบา สส.ปัตตานี พลตำรวจตรี สุรินทร์ ปาลาเร่ สส.สงขลา  นาวาตรี สุธรรม ระหงษ์  เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม   เเละรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรฯ นายสุรชัย อจลบุญ อธิบดีกรมป่าไม้ และผู้บริหารกรมป่าไม้ ร่วมเดินทางไปด้วย

ดร.เฉลิมชัย ย้ำถึงความสำคัญของการเร่งรัดกระบวนการช่วยเหลือที่ดินทำกินเพื่อความเป็นธรรมและพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชน พร้อมส่งเสริมการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน

“ที่ดินทำกินเป็นสิ่งที่มีค่ามากที่สุดสำหรับประชาชน กระทรวงทรัพยากรฯ จึงมุ่งมั่นในการดำเนินการช่วยเหลือประชาชนให้เร็วที่สุด ผมมอบนโยบายให้กรมป่าไม้เร่งดำเนินการ เพราะความล่าช้าคือความอยุติธรรมอย่างหนึ่ง สิ่งที่เราจะช่วยเหลือประชาชนได้ ก็คือทำให้เร็วขึ้นให้ถึงมือประชาชนมากที่สุดและเร็วที่สุด เพราะที่ดินทำกินจะเป็นขวัญและกำลังใจที่ดีให้กับประชาชน” ดร.เฉลิมชัย กล่าว

ดร.เฉลิมชัย ยังกล่าวเพิ่มเติมว่า เมื่อที่ดินถูกต้องตามกฎหมายแล้ว หน่วยงานต่างๆ จะสามารถเข้าไปพัฒนาสาธารณูปโภคได้ ทำให้พี่น้องประชาชน ได้มีถนน ไฟฟ้า และมีน้ำประปาใช้ ซึ่งส่งผลให้คุณภาพชีวิตดีขึ้น

ในโอกาสนี้ กรมป่าไม้ยังแจกจ่ายกล้าไม้มีค่าให้ประชาชนปลูกเพิ่มพื้นที่สีเขียวและช่วยฟื้นฟูป่าไม้ในพื้นที่ต้นน้ำ โดยขอความร่วมมือประชาชนร่วมดูแลรักษาป่าไม่ให้ถูกบุกรุก 

ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติขีดเส้น 7 วันตรวจสอบคนต่างด้าวใน อ.ปาย จ.แม่ฮ่องสอน เตรียมเปิดปฏิบัติการเชิงรุกให้เห็นผลเป็นรูปธรรม สั่งทุกหน่วยคุมเข้มมาตรการคนต่างด้าว

(18 ก.พ.68) พล.ต.ท.อาชยน ไกรทอง โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้สั่งการเข้มให้หน่วยเร่งตรวจสอบ พฤติกรรมกลุ่มคนต่างด้าวในพื้นที่รับผิดชอบ เนื่องจากปรากฎข้อมูลข่าวสารว่ามีกลุ่มคนต่างด้าวในหลายพื้นที่มีพฤติกรรมที่อาจขัดต่อความสงบของสังคม ฝ่าฝืนกฎหมายบ้านเมืองก่อความวุ่นวายหรือความเดือดร้อนรำคาญในที่สาธารณะต่อพี่น้องประชาชน ตลอดจนการรวมกลุ่มแสดงออกหรือจัดกิจกรรมในลักษณะที่กระทบภาพลักษณ์และความมั่นคงของประเทศ 

ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติจึงสั่งการให้หน่วยต่าง ๆ ดำเนินการ โดยให้กองบัญชาการตำรวจนครบาล และตำรวจภูธรภาค 1-9 เป็นหน่วยปฏิบัติหลักร่วมกับสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง จัดทำข้อมูลท้องถิ่น ตรวจสอบกลุ่มคนต่างด้าวสัญชาติต่าง ๆ ที่มีพฤติกรรมในการรวมกลุ่มในพื้นที่รับผิดชอบ แกนนำต่างด้าวที่มีพฤติกรรมในการแสดงออกที่ไม่เหมาะสม หรือฝ่าฝืนกฎหมาย หรือมีการกระทำใดๆ ที่ส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของประเทศ แล้วรายงานข้อมูลให้ ศูนย์ปราบปรามคนร้ายข้ามชาติและเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปชก.ตร.) เพื่อกำหนดแผนระดมกวาดล้างและเปิดปฏิบัติการในภาพรวม 

กรณีที่พบเหตุคนต่างด้าวฝ่าฝืนกฎหมาย หรือกระทำกรณีที่ไม่เหมาะสม ให้เข้าเผชิญเหตุ ระงับ ยับยั้ง บังคับใช้กฎหมายโดยทันที อย่าให้เหตุลุกลามหรือส่งผลกระทบต่อพี่น้องประชาชนในภาพรวม และกรณีที่มีการดำเนินคดีกับคนต่างด้าวให้ทุกสถานีตำรวจดำเนินการสืบสวนทุกมิติ รวมทั้งการขยายผลดำเนินการกับผู้เกี่ยวข้อง 

ส่วนสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ให้ตรวจสอบสถานะของคนต่างด้าว พฤติการณ์ที่สมควรเพิกถอนหรือไม่ตรวจอนุญาตต่อไป ในกรณีที่พบว่าคนต่างด้าวที่เข้ามามีพฤติการณ์ในลักษณะที่แอบแฝงกระทำความผิดในลักษณะที่เป็นภัยต่อสังคม กระทบต่อความสงบสุข ความปลอดภัยของพี่น้องประชาชน  ความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร หรือมีพฤติการณ์ที่ส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ให้ดำเนินคดีตามกฎหมายและพิจารณาเพิกถอนการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรอย่างเคร่งครัด 

ให้กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว ประชาสัมพันธ์เชิงรุก ชี้แจงนักท่องเที่ยวในพื้นที่ สร้างการรับรู้ภาพลักษณ์ที่ดีในการท่องเที่ยว ส่วนกองบัญชาการตำรวจสันติบาล รับผิดชอบด้านการข่าวความมั่นคง ข้อมูลคนต่างด้าวและสัญชาติที่มีแนวโน้มจะส่งผลกระทบต่อความมั่นคง และให้วิเคราะห์สถานการณ์คนต่างด้าวในระดับพื้นที่จังหวัด กำหนดพื้นที่เฝ้าระวัง พร้อมยังสั่งการให้ กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง และกองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน สนับสนุนการปฏิบัติภายในอำนาจและหน้าที่ ประสานและบูรณาการกับหน่วยงานความมั่นคงในพื้นที่อย่างใกล้ชิด

นอกจากนี้ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า สำหรับกรณีที่ปรากฏข้อมูลข่าวสารกลุ่มคนต่างด้าวในพื้นที่ อ.ปาย จ.แม่ฮ่องสอน นั้น ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติสั่งการให้ดำเนินการตรวจสอบและรายงานผลการปฏิบัติให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติทราบ ภายใน 7 วัน มอบหมายให้ พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นผู้ควบคุมการปฏิบัติ โดยให้เปิดปฏิบัติการบูรณาการกำลังทุกหน่วยร่วมปฏิบัติดำเนินการเชิงรุกให้ปรากฎผลอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้พี่น้องประชาชนและนักท่องเที่ยวทันที

‘ชาวเน็ต’ เปิดข้อมูลแจงปมชาวอิสราเอล 31,735 คน ยึด 'ปาย' ชี้ เป็นตัวเลข นทท.ตลอดทั้งปี 67 ส่วนที่ยังมีอยู่มีเพียง 1,800 เท่านั้น

(18 ก.พ. 68) นายนิธิพัฒน์ พันธุ์ธุมจินดา นักธุรกิจฟาร์มปลาสวยงาม โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว Nitipat Bhandhumachinda ว่า ตามกระแสข่าวที่ว่ามีชาวอิสราเอลมาพำนักกันอยู่ที่อำเภอปาย ที่ว่ากันว่ามีจำนวนถึงสามหมื่นกว่าคน จนสร้างความหวาดกลัวกันในสังคมไทยนั้น

ตัวเลขดังกล่าวจริงๆ แล้ว เป็นตัวเลขผู้มาท่องเที่ยวชาวอิสราเอลทั้งหมด ตลอดปี พ.ศ. 2567 ซึ่งเดินทางมาพักเที่ยวเมืองปาย เป็นจำนวนทั้งสิ้น 31,735 คน 

ซึ่งก็หมายความว่า เมืองปายเป็นที่เที่ยวยอดฮิตของชาวอิสราเอลจริง

แต่ไม่ได้หมายความว่า ณ ปัจจุบัน มีคนอิสราเอลอาศัยกันเต็มเมืองปาย ร่วม ๆ สามหมื่นกว่าคนอย่างที่เข้าใจ

เพราะส่วนใหญ่ก็เป็นการมาเที่ยวแล้วก็เดินทางกลับภูมิลำเนาบ้านเขาตามเดิม และเท่าที่ทราบนั้น มีชาวอิสราเอลขอพำนักชั่วคราวที่ อำเภอปาย ณ วันนี้จำนวนทั้งสิ้น 1,857 ราย และมีนักท่องเที่ยวชาวอิสราเอลเดินทางมาเที่ยวไปกลับเหมือนนักท่องเที่ยวชาติอื่นๆ ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาจำนวนทั้งสิ้น 4,446 คน

และที่มีพวกเกเรเกตุงสร้างความวุ่นวาย จนโดนไล่กลับประเทศนั้นก็เป็นเรื่องจริง

แต่จะเอารูปถ่ายการร่วมพิธีกรรมทางศาสนาของเขา ซึ่งน่าจะไม่ได้เกี่ยวข้องหรือสอดคล้องใดๆ กับพฤติกรรมเกเรเหล่านั้น ผมก็มองว่าเป็นการตั้งแง่ ด้วยการเจาะจงที่เชื้อชาติของเขาแบบเหมารวมอย่างไม่ยุติธรรมนัก

ที่นำมาเล่าก็ด้วยเห็นเพื่อนๆ หวั่นวิตกกันมาก ก็เลยไปหาข้อเท็จจริง มาอธิบายให้ฟัง

ก็น่าจะเฝ้าสังเกตสักนิดว่าแนวโน้มจะเป็นเช่นไร เพราะเหมือนเขาจะชื่นชมการมาเที่ยวเมืองปายกันมาก

แต่ก็ไม่ควรจะไปตื่นตระหนกจนเกินเหตุไปจากเหตุการณ์ที่ยังไม่ได้เกิดขึ้นจริงๆ นะครับ

จำคุก 5 ปี ไม่รอลงอาญา ‘เอกลาภ ยิ้มวิไล’ อดีตผู้บริหาร ‘ซิปเม็กซ์ ฐานฉ้อโกงประชาชน เสียหายกว่า 1 พันล้านบาท

ศาลสั่งจำคุก 5 ปี ไม่รอลงอาญา ‘เอกลาภ ยิ้มวิไล’ อดีตผู้บริหาร ‘ซิปเม็กซ์’  ฐานฉ้อโกงประชาชน เสียหายกว่า 1 พันล้านบาท

เมื่อวันที่ (17 ก.พ. 68) ศาลอาญากรุงเทพใต้ อ่านคำพิพากษาคดีที่มีผู้เสียหายเป็นโจทก์ยื่นฟ้อง บริษัท ซิปเม็กซ์ จำกัด ซึ่งเคยเป็นผู้ให้บริการด้านสินทรัพย์ดิจิทัลที่โด่งดังและเป็นที่นิยมมากที่สุดรายหนึ่งของประเทศไทย และ นายเอกลาภ ยิ้มวิไล ผู้ร่วมก่อตั้งและเป็นอดีตกรรมการและผู้บริหารบริษัท ซิปเม็กซ์ฯ เป็นจำเลยที่ 1-2

ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานและพิพากษาให้จำเลยทั้งสองมีความผิดฐานฉ้อโกงประชาชนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 343 และมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาตรา 14 วรรคหนึ่ง (1) ประกอบ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 พิพากษาลงโทษปรับบริษัท ซิปเม็กซ์ฯ เป็นเงิน 100,000 บาท และ ลงโทษจำคุกนายเอกลาภ ยิ้มวิไล เป็นเวลา 5 ปี โดยไม่รอลงอาญา ส่วนข้อหาอื่นให้ยกฟ้อง

ต่อมา จำเลยที่ 2 ยื่นขอประกันตนเองในชั้นอุทธรณ์คดี โดยเสนอหลักประกันเดิมชั้นพิจารณา จำนวน 10,000,000 บาท และขอวางหลักประกันเพิ่มอีกในวันนี้ จำนวน 5,000,000 บาท รวมหลักประกันยื่นขอปล่อยชั่วคราวชั้นอุทธรณ์คดี จำนวน 15,000,000 บาท โดยศาลอาญากรุงเทพใต้ ซึ่งเป็นศาลชั้นต้น มีคำสั่งให้ส่งคำร้องขอปล่อยชั่วคราวดังกล่าว ให้ศาลอุทธรณ์เป็นผู้พิจารณา

ภายหลัง นายกิจจา จงขวัญยืน ตัวแทนผู้เสียหายกลุ่ม ‘ร่วมสู้ Zipmex’ ซึ่งได้ส่งทีมกฎหมายเข้าสังเกตการณ์ฟังคำพิพากษาวันนี้ เปิดเผยว่า ขอบคุณศาลที่ให้ความเป็นธรรมต่อประชาชนตัวเล็กๆ ที่ลุกขึ้นสู้กับคนที่พวกพ้องมีอำนาจใหญ่โต และต้องขอบคุณเพื่อนผู้เสียหายและทีมทนายของผู้เสียหายที่เสียสละเดินหน้าฟ้องคดีอาญาไปก่อนจนทำให้เกิดความคืบหน้าวันนี้ โดยปัจจุบันมีผู้เสียหายรวมตัวกันแล้ว กว่า 700 ราย มูลค่าความเสียหายไม่ต่ำกว่า 2,000 ล้านบาท และทางกลุ่มได้ร่วมมือกันยื่นฟ้องคดีผู้บริโภคแบบกลุ่ม (consumer class action) โดยฟ้องจำเลย 23 ราย ทั้งในไทยและนอกประเทศเพื่อเรียกค่าเสียหายเพื่อการลงโทษรวมไม่ต่ำกว่า 5,000 ล้านบาท

ด้านนายวีรพัฒน์ ปริยวงศ์ ผู้ก่อตั้งสำนักกฎหมาย VLA ผู้รับมอบอำนาจโจทก์ตัวแทนกลุ่มร่วมสู้ Zipmex ที่ยื่นฟ้องคดีแพ่งแบบกลุ่มเปิดเผยว่า คดีนี้มีประชาชนเสียหายเป็นหมื่นราย แต่เรื่องผ่านมาเกือบสามปีกลับต้องให้ประชาชนไปแบกภาระฟ้องคดีอาญาเองจนชนะคดีในที่สุด แต่ก็เป็นผลคดีเฉพาะราย จึงขอให้ภาครัฐโดยเฉพาะสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (กลต.) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และกรมสอบสวนคดีพิเศษ เร่งดำเนินคดีอาญาแผ่นดินเอาผิดผู้เกี่ยวข้องซึ่งไม่ได้มีเพียงแค่สองราย และเรียกความเป็นธรรมให้ผู้เสียหายทุกคนโดยเร็วที่สุด

“เรามีหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่ามีผู้เกี่ยวข้องทั้งในและต่างประเทศร่วมมือกันหลอกลวงประชาชนให้หลงเข้าใจว่าสินทรัพย์ดิจิทัลของลูกค้าซิปเม็กซ์ได้รับการดูแลอย่างปลอดภัย และไม่มีการนำไปใช้ในทางที่เสี่ยง แต่แท้จริงกลับนำสินทรัพย์ของผู้เสียหายไปใช้ในการกู้ยืมเงินในต่างประเทศโดยผิดกฎหมายเพื่อหวังกอบโกยประโยชน์ทางธุรกิจของพวกพ้อง จนลูกค้ากว่าหมื่นรายเสียหายร้ายแรง ผู้เกี่ยวข้องรายใดที่สำนึกผิด ขอให้รีบแสดงความจริงใจช่วยเหลือเยียวยาผู้เสียหายให้เร็วที่สุด” นายวีรพัฒน์ กล่าว

จเรตำรวจแห่งชาติมอบนโยบายงานจเรตำรวจ เน้นย้ำชื่นชมตำรวจทำดี ลงโทษตำรวจนอกรีต ทำผิด ลงโทษ ไม่มีซูเอี๋ย เพื่อสร้างวัฒนธรรม “culture of lawfulness”

(18 ก.พ. 68) เวลา 11.30 น. พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จเรตำรวจแห่งชาติ เป็นประธานการประชุมมอบนโยบายงานจเรตำรวจ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2568 โดยมี พล.ต.ท.อิทธิพล อัจฉริยะประดิษฐ์ และ พล.ต.ท.ธนพล ศรีโสภา รองจเรตำรวจแห่งชาติ พร้อมด้วย จตร.(หน.จต.) , จตร. , รอง จตร. และผู้บังคับการในสังกัดสำนักงานจเรตำรวจ ร่วมประชุมรับมอบนโยบาย ณ ห้องประชุม ชั้น 4 สำนักงานตรวจสอบภายใน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

จเรตำรวจแห่งชาติมอบนโยบายเข้มงวดในการสร้างขวัญกำลังใจ ให้รางวัลแก่ตำรวจน้ำดี และพิจารณาลงโทษตำรวจที่ทำไม่ดีอย่างเด็ดขาด ตามนโยบายการบริหารราชการของ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เน้นย้ำข้าราชการตำรวจรายใดทำผิด จะต้องลงโทษทั้งทางวินัยและอาญา ไม่มีซูเอี๋ย เข้าข้าง หรือให้ความช่วยเหลืออย่างเด็ดขาด ส่วนข้าราชการตำรวจที่ทำดี เป็นประโยชน์ต่อประชาชนและสังคม ต้องได้รับคำชมเชยหรือรางวัลอย่างเหมาะสมเพื่อเป็นขวัญกำลังใจการปฏิบัติหน้าที่ที่ดีต่อไป ทั้งนี้ เพื่อมุ่งแก้ปัญหาข้าราชการตำรวจในเรื่องของระบบงาน รวมทั้งเสริมสร้างคุณธรรมและจริยธรรม เพื่อสร้างวัฒนธรรมที่เรียกว่า culture of lawfulness หรือวัฒนธรรมแห่งการเคารพกติกาและกฎหมาย

ผบช.ทท. ประชุมขับเคลื่อน ศปทท.ภ.2 ยกระดับมาตรการดูแลความปลอดภัยนักท่องเที่ยว สร้างความเชื่อมั่น รองรับสถานการณ์ในทุกมิติ 

ตามนโยบายของรัฐบาล โดยกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ในการส่งเสริมให้ทุกเมืองในประเทศไทยเป็นเมืองน่าเที่ยว มุ่งหวังให้ประเทศไทยก้าวสู่การเป็นผู้นำการท่องเที่ยวระดับโลก และเป็นการผลักดันให้เศรษฐกิจไทยเติบโตอย่างยั่งยืน และความปลอดภัยของการท่องเที่ยวเป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจของนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางมาท่องเที่ยวยังประเทศไทย ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ จึงได้ยกระดับการดูแลรักษาความปลอดภัยและอำนวยความสะดวกให้แก่นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและโดยเฉพาะชาวต่างชาติ เพื่อสอดรับกับนโยบายของรัฐบาล จึงได้จัดตั้ง "ศูนย์ปฏิบัติการรักษาความปลอดภัยนักท่องเที่ยว สำนักงานตำรวจแห่งชาติ" (ศปทท.ตร.) ประสานการปฏิบัติร่วมกันระหว่างกองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว กับหน่วยปฏิบัติในพื้นที่ที่เกี่ยวข้องรวมถึงการบูรณาการขอความร่วมมือกับหน่วยงาน องค์กรภาครัฐและเอกชนจากทุกภาคส่วน เพื่อยกระดับการดูแลรักษาความปลอดภัย สร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักท่องเที่ยว

ล่าสุดวันนี้ (17 ก.พ.68 ) พล.ต.ท.ศักย์ศิรา เผือกอ่ำ ผบช.ทท.ในฐานะหัวหน้าส่วนอำนวยการ ศปทท.ตร. เป็นประธานการประชุม ขับเคลื่อนศูนย์ปฏิบัติการรักษาความปลอดภัยนักท่องเที่ยว ตำรวจภูธรภาค 2 (ศปทท.ภ.2) ณ ห้องประชุม สภ.เมืองพัทยา โดย ผู้เข้าร่วมประชุม ประกอบไปด้วย พล.ต.ต.มล.สันธิกร วรวรรณ รอง ผบช.ทท. , พล.ต.ต.นันทวุฒิ สุวรรณละออง รอง ผบช.ภ.2 ในฐานะหัวหน้า ศปทท.ภ.2 , พล.ต.ต.นรเศรษฐ์ สุวรรณนิกขะ ผบก.ทท.1 , พล.ต.ต.ธวัชเกียรติ จินดาควรสนอง ผบก.ภ.จว.ชลบุรี  , พ.ต.อ.พาติกรณ์ ศรชัย รอง ผบก.ภ.จว.ชลบุรี/หน.ศปทท.ภ.จว.ชลบุรี พร้อมด้วย รอง ผบก.ในสังกัด ภ.2 ผ่านระบบทางไกลผ่านจอภาพ และผู้แทนคณะทำงานหน่วยงานภาครัฐ และภาคเอกชน ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุม

พล.ต.ท.ศักย์ศิรา เผือกอ่ำ ผบช.ทท.ในฐานะหัวหน้าส่วนอำนวยการ ศปทท.ตร. เปิดเผยหลังประชุม ว่า ด้วยสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยพล.ต.อ. กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์. ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้มีการจัดตั้ง 'ศูนย์ปฏิบัติการรักษาความปลอดภัยนักท่องเที่ยว สำนักงานตำรวจแห่งชาติ' (ศปทท.ตร.) เพื่อดูแลยกระดับการรักษาความปลอดภัยให้แก่นักท่องเที่ยวแบบครบวงจร ซึ่งอาศัยการบูณาการความร่วมมือ ระหว่าง ตำรวจท่องเที่ยว ตำรวจภูธร ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง ตำรวจน้ำ กรมการปกครอง กรมเจ้าท่า ท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัด การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย นายทะเบียนธุรกิจนำเที่ยว และภาคเอกชน อาทิ เช่น สมาคมนักธุรกิจและการท่องเที่ยวเมืองพัทยา ประธานชุมชนวอล์คกิ้งสตรีท นายกสมาคมผู้ประกอบการสถานบันเทิงเมืองพัทยา และประธานผู้ประกอบการกลางคืนเมืองพัทยา โดยได้จัดทำข้อมูลท้องถิ่นในแหล่งท่องเที่ยวสำคัญตามวงจรการท่องเที่ยว เพื่อนำมากำหนดจุดตรวจ เพื่อเป็นการยกระดับมาตรฐานการดูเเลความปลอดภัยให้แก่นักท่องเที่ยว รองรับกับสถานการณ์ในทุกรูปแบบต่อไป

โดยวันนี้ได้ลงพื้นมาที่กองบัญชาการตำรวจภูธร ภาค 2 เพื่อประสานจ้อมูลท้องถิ่นด้านวงจรการท่องเที่ยว ไม่จะเป็นที่กิน ที่พัก แหล่งท่องเที่ยว และแหล่งจับจ่ายใช้สอยของนักท่องเที่ยว รวมถึงจุดเสี่ยงและจุดที่เกิดปัญหาอาชญากรรมขึ้นบ่อย เพื่อบูรณาการร่วมกันภายใต้ Police 4.0 ในจุดตรวจ และการรับแจ้งเหตุในการติดตามช่วยเหลือกับนักท่องเที่ยว ซึ่งมีศูนย์ 1155 ส่วนของภูธรจังหวัดชลบุรีจะเป็น ศูนย์ 191 ซึ่งขณะนี้สามารถลิ้งเข้าร่วมกันทั้ง 3 สาย จากผู้แจ้งที่เป็นชาวต่างชาติเมื่อโทรมาที่ 191 ของจังหวัดสามารถติดต่อตามภาษาของนักท่องเที่ยวมาที่ ศูนย์ 1155 ก็จะติดต่อประสานการช่วยเหลือนักท่องเที่ยวได้ ทั้งหมดถือเป็นความร่วมมือของภาครัฐและเอกชน ซึ่งที่ผ่านมาการจับเคลื่อนศูนย์ดังกล่าวในพื้นพัทยาถือว่าได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดี ทำให้ปัญหาการก่อเหตุการ์ดทำร้ายนักท่องเที่ยวลดลง ปัญหาอาชญากรรมในแหล่งท่องเที่ยวลดลงจากความร่วมมือ แต่จะมีในส่วนเหตุที่นักท่องเที่ยวกับนักท่องเที่ยวด้วยกัน โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจจะต้องใช้มาตรการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มข้น รวมถึงกรณีที่มีนักท่องเที่ยวเข้ามาแล้วเข้าหลักกเกณฑ์การพิกถอนวีซ่า จากนี้จะให้คณะทำงานภูธรจังหวัดชลบุรีในการพิจารณาพิกถอนวีซ่ากับนักท่องเที่ยวที่เข้าก่อเหตุและเข้าหลักเกณฑ์

ซึ่งหลังจากนั้นเสร็จสิ้นการประชุม ตำรวจท่องเที่ยว ได้มีการบูรณาการร่วมกับ สภ.เมืองพัทยา และ ตม.ชลบุรี ออกตรวจสอบ กวาดล้างบุคคลต่างด้าวที่เข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรโดยผิดกฎหมายและทำงานโดยไม่ได้รับอนุญาต ในพื้นที่เมืองพัทยา ซึ่งผลการปฏิบัติสามารถจับกุม บุคคลต่างด้าวหลบหนีเข้าเมือง โอเวอร์สเตย์ และทำงานโดยไม่ได้รับอนุญาต รวม 26 ราย

สมาคมนักเรียนไทย-จีนจัดงาน China Fair 2025 ฉลอง 50 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-จีน

เมื่อวันที่ 15-16 ก.พ. 68 สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี ทรงเสด็จเปิดงาน China Fair 2025 by TCSA : Study-Work-Travel ฉลองครบรอบ 50 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-จีน ณ ลานชั้น 9 อาคาร SIAM SCAPE เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร ซึ่งงานดังกล่าวจัดโดยสมาคมนักเรียนไทย-จีน ภายใต้การสนับสนุนของสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำราชอาณาจักรไทย มีวัตถุประสงค์เพื่อแนะแนวด้านการศึกษาต่อที่ประเทศจีน โอกาสการทำงาน และการท่องเที่ยวจีนให้แก่เยาวชนคนรุ่นใหม่ นอกจากนี้ ยังมุ่งส่งเสริมการเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างไทย-จีนในด้านต่างๆ เพื่อร่วมเฉลิมฉลองครบรอบ 50 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตไทย–จีน

สำหรับแขกผู้มีเกียรติที่เข้าร่วมพิธีเปิดงาน อาทิ นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร, นายอู๋ จื้ออู่ อัครราชทูต สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย, มาดามหวัง ฮวน ภริยา เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำราชอาณาจักรไทย, นางสาวสุชาดา ซาง แทนทรัพย์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์และนวัตกรรม, รองศาสตราจารย์ยุทธนา ฉัพพรรณรัตน์ รองอธิการบดี ด้านศิลปะวัฒนธรรม เครือข่ายการเรียนรู้ และ LLL จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, นายฐาปณัฐ อุดมศรี รองผู้อำนายการกลุ่มวิจัยและพัฒนาองค์กรแห่งการเรียนรู้, นายปารเมศ วิทยารักษ์สรรค์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร, คุณธนากร เสรีบุรี รองประธานกรรมการอาวุโส เครือเจริญโภคภัณฑ์ และ ดร.ริชาร์ด หวัง ผู้อำนวยการบริหาร สถาบันบัณฑิตวิทยาศาสตร์จีน (กรุงเทพ)

ระหว่างพิธีเปิด ผู้แทนจากสมาคมนักเรียนไทย-จีน ได้เข้าเฝ้าถวายเงินโดยเสด็จพระกุศลตามพระอัธยาศัย ทั้งนี้ ผู้บริหารสมาคมฯ และผู้มีอุปการคุณในการจัดงานฯ จำนวน 30 คน ได้เข้ารับพระราชทานเข็มที่ระลึก ในวาระครบรอบ 50 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-จีน

งาน "China Fair 2025 by TCSA : Study-Work-Treavel" เป็นการนำเสนอบูธขององค์กรด้านการศึกษา และบริษัทชั้นนำด้านอุตสาหกรรมและการท่องเที่ยว 28 แห่ง มาแนะนำและแนะแนวเพื่อเปิดโอกาสในนักเรียน, นักศึกษา, ผู้ที่กำลังหางาน และผู้ที่สนใจเดินทางไปท่องเที่ยวในประเทศจีนได้รับข้อมูลอย่างถูกต้องครบถ้วนจากผู้ทรงคุณวุฒิที่มีประสบการณ์ ครอบคลุมทั้งด้านทุนการศึกษา การสมัครเรียนต่อจีน ตั้งแต่ชั้นมัธยมศึกษา จนถึงระดับปริญญาเอก, การแนะแนวอาชีพ และการทำงานกับองค์กรในจีนพร้อมทั้งมีการเปิดรับสมัครงานจากองค์กรที่ต้องการบุคลากรที่มีความสามารถด้านภาษาจีน ตลอดจนบริการด้านการท่องเที่ยว เช่น ตั๋วเครื่องบิน ประกันภัย เอเยนซี แพลต์ฟอร์มออนไลน์บริการวีพีเอ็น บริการด้านเอกสารวีซ่า ฯลฯ นอกจากนี้ ยังมีการแสดงศิลปะวัฒนธรรมไทย-จีน และการชิงตั๋วเครื่องบินไป-กลับกรุงเทพฯ- กว่างโจวจากสายการบินไชนาอีสเทิร์นแอร์ไลน์อีกด้วย

ทั้งนี้ ยังมีการจัดเวทีเสวนาแบ่งปันประสบการณ์ แนะแนวการศึกษาโดยรุ่นพี่จากมหาวิทยาลัยชั้นนำในประเทศจีนที่เรียนทั้งสาขาวิชาด้านวิทยาศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ และรัฐศาสตร์ ฯลฯใน Seesion การแชร์ประสบการณ์จากรุ่นพี่ “Fit to Fly to China” ในวันที่ 15 ก.พ. 68 ประกอบด้วย ดร.กฤตนัย ต่อศรี สถาบันบัณฑิตวิทยาศาสตร์จีน(UCAS), ดร.สรสิช ผดุงรัชดากิจ มหาวิทยาลัยเศรษฐศาสตร์และการค้าระหว่างประเทศ (UIBE), ผศ.ดร.วุฒิชัย บุญพุก มหาวิทยาลัยเป่ยหาง(BUAA), ดร.ณฐพร คงจินดามุนี มหาวิทยาลัยซุนยัดเซน (SYSU) และน.ส.จิรัชญา ภิญโญวรกุลมหาวิทยาลัยฟู่ตั้น (FDU)

นอกจากประเด็นการศึกษาแล้ว ในวันที่ 16 ก.พ. 68 ยังมี Session การแบ่งปันข้อมูลประสบการณ์การทำงานโดยผู้นำและผู้เชี่ยวชาญที่มีบทบาทสำคัญในการเชื่อมความสัมพันธ์ไทย-จีน ในช่วง Exclusive Talk with the Leaders โดยได้รับเกียรติจาก คุณโจ ฮอร์น พัธโนทัย กรรมการอำนวยการ บริษัท Strategy613 จำกัด, หม่อมหลวงสุภาพ ปราโมช พร้อมด้วยคุณอภิญญา ปราโมช นายกสมาคมการค้าไทย-จีนและเศรษฐกิจอาเซียน, ดร.วิทย์ สิทธิเวคิน ผู้ดำเนินรายการ 8 Minute History และ Morning Wealthและคุณเจตยา วรปัญญาสกุล Head of Learning Excellent Center บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย

งาน China Fair 2025 by TCSA สำเร็จลุล่วงอย่างราบรื่น และเป็นที่ประทับใจของผู้มาร่วมงาน โดยเฉพาะสำหรับนักเรียนนักศึกษาและผู้ปกครอง เพราะถือเป็นช่องทางที่ดีในการเปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่ได้เพิ่มความเข้าใจเกี่ยวกับความเป็นจีน และความสัมพันธ์ไทย-จีน ทั้งด้านวัฒนธรรม การศึกษา การทำงาน และการท่องเที่ยวในจีนมากยิ่งขึ้น กิจกรรมนี้ยังมีส่วนช่วยส่งเสริมการเชื่อมต่อระหว่างไทย-จีน ซึ่งสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของการจัดงาน China Fair by TCSA และเป็นไปตามเจตนารมณ์ของสมาคมนักเรียนไทย-จีน ที่จะช่วยรวบรวมนักศึกษาไทยในจีนและนักศึกษาจีนในไทย เพื่ออนาคตความสัมพันธ์ไทย-จีน

มหันตภัย...บุหรี่ไฟฟ้า #1 อย่าปล่อยให้ ‘บุหรี่ไฟฟ้า’ ถูกกฎหมาย

(17 ก.พ. 68) ปัจจุบัน ประเทศไทยมีกฎหมายที่เข้มงวดในการห้ามนำเข้าและจำหน่าย ‘บุหรี่ไฟฟ้า’ ซึ่งถือเป็นประเทศแรก ๆ ของโลก จนมีประเทศต่าง ๆ ราว 40 ประเทศที่เดินตามมาในแนวทางนี้ แต่ทว่า ประเทศไทยกลับกำลังจะถอยหลังเข้าคลอง ด้วยมีความพยายามที่จะ “ปลดล็อก” การห้าม ‘บุหรี่ไฟฟ้า’ เพื่อให้สามารถนำเข้า หรือจำหน่ายได้แบบไม่ผิดกฎหมาย โดยสภาผู้แทนราษฎรได้มีการตั้งอนุกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษากฎหมายและมาตรการควบคุมกำกับบุหรี่ไฟฟ้าในประเทศไทย ได้มีการจัดทำข้อสรุปออกมาเป็น 3 แนวทาง คือ แบนบุหรี่ไฟฟ้าเหมือนปัจจุบัน อนุญาตนำเข้าเฉพาะ HTP และยกเลิกกฎหมายแบนบุหรี่ไฟฟ้า

ศาสตราจารย์ แพทย์หญิง สุวรรณา เรืองกาญจนเศรษฐ์ รองผู้อำนวยการ ศูนย์วิจัยและจัดการความรู้เพื่อการควบคุมยาสูบ (ศจย.) ได้วิเคราะห์ข้อดีข้อเสียของ 3 แนวทางตามมาตรการด้านกฎหมายเพื่อควบคุมกำกับบุหรี่ไฟฟ้าในประเทศไทย ไว้ดังนี้ 

แนวทางที่ 1 การกำหนดให้บุหรี่ไฟฟ้าเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมาย (แบนบุหรี่ไฟฟ้าเด็ดขาด) 
ข้อดี
1. กฎหมายปราบปรามบุหรี่ไฟฟ้าที่มีผลใช้บังคับอยู่ในปัจจุบันทั้ง 3 ฉบับ เป็นกฎหมายที่เหมาะสมกับบริบทของประเทศไทยและของโลก ที่มีการเพิ่มจำนวนประเทศที่แบนเป็น 40 ประเทศ อย่างรวดเร็ว
2. ตอบสนองต่อนโยบายของรัฐบาลในการปราบปรามยาเสพติด ซึ่งบุหรี่ไฟฟ้าเป็นสารเสพติด และเป็นช่องทาง (gateway) นำไปสู่การใช้สารเสพติดอื่น ๆ
3. สามารถป้องกันการเข้าถึงบุหรี่ไฟฟ้าเพื่อไม่ให้เข้าสู่การเสพติดนิโคติน โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กและเยาวชน ซึ่งต้องได้รับการปกป้อง ตาม พ.ร.บ. คุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 จากประสบการณ์ของต่างประเทศที่พบว่าประเทศที่แบนจะมีอัตราการสูบบุหรี่ไฟฟ้าของเยาวชนต่ำกว่าประเทศที่ไม่แบน

แนวทางที่ 2 คงกฎหมายห้ามนำเข้าบุหรี่ไฟฟ้า ยกเว้น Heat not burn Tobacco Product (HTP) ข้อดี
1. HTP เป็น Electronic Nicotine Delivery Device ชนิดที่เป็น solid คือ นำใบยาสูบมาหั่นฝอย โดยจะใช้ความร้อนจากอุปกรณ์มากกว่า 300 องศาเซลเซียส แต่ไม่เกิน 600 องศาเซลเซียสเหมือนการเผาไหม้บุหรี่ทั่วไป
2. มีการเผาไหม้เป็นไอ ไม่มีเถ้า ไม่มีควัน (น้ำมันดิน) ไม่มีน้ำยาบุหรี่ไฟฟ้า ใช้ใบยาสูบซึ่งให้นิโคตินธรรมชาติ
ข้อเสีย 
1. ยังคงมีนิโคติน ผลิตภัณฑ์ HTP จะต้องมีคำเตือนว่า เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีนิโคติน ซึ่งเป็นสารเสพติด และองค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา (FDA) ยังไม่อนุญาต ซึ่งผู้ผลิต IQOS ก็ยอมรับว่าเป็นอันตรายต่อสุขภาพ และไม่ได้ลดความเสี่ยงเมื่อเปลี่ยนมาใช้ HTP

แนวทาง 3 ยกเลิกกฎหมายห้ามบุหรี่ไฟฟ้า
ข้อดีที่กล่าวอ้างคือ
1. ทันสมัย เทียบเคียงได้กับประเทศที่พัฒนาแล้ว
2. จะได้ควบคุมอัตราการสูบบุหรี่ไฟฟ้าในเด็กและเยาวชนไทย
3. จัดเก็บรายได้จากการเก็บภาษีได้เพิ่ม
4. เป็นการให้สิทธิเสรีภาพแก่ประชาชนในการเลือกเสพ

แต่ข้อเท็จจริงของของการเปิดเสรี ‘บุหรี่ไฟฟ้า’ คือ
1. ในประเทศที่เคยแบน แล้วควบคุมได้ดี เปลี่ยนมาเป็นอนุญาตให้ขายได้ เกิดการระบาดเพิ่ม 2-5 เท่า เช่น แคนาดา นิวซีแลนด์
2. ในประเทศที่อนุญาตให้ขายได้ถูกกฎหมาย โดยห้ามขายในเยาวชน 18-21 ปี ยังคงระบาดหนักในเยาวชน เช่น สหราชอาณาจักร สหรัฐอเมริกา และแคนาดา

จากการสรุป 3 แนวทางของอนุกรรมาธิการฯ 
- แนวทางที่ 1 การคงกฎหมายห้ามนำเข้าและการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด จะสามารถลดอัตราการสูบบุหรี่ไฟฟ้าของเด็กและเยาวชนไทยลงได้ 
- แนวทางที่ 2 และแนวทางที่ 3 ข้อดีไม่ชัดเจน แต่จะทำให้อัตราการสูบบุหรี่ไฟฟ้าของเด็กและเยาวชนเพิ่มมากขึ้นอย่างแน่นอน

ร่วมเป็น 1 เสียง ปกป้องเด็กและเยาวชนจากบุหรี่ไฟฟ้า ร่วมลงชื่อที่ https://shorturl.at/ADMRJ

ทหารเขมร ร้องเพลงชาติกัมพูชาบน 'แผ่นดินไทย' หวิดปะทะเดือดที่ปราสาทตาเมือนธม

(17 ก.พ. 68) สถานการณ์ตึงเครียดเกิดขึ้นบริเวณปราสาทตาเมือนทม อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ เมื่อคณะทหารกัมพูชาจำนวนหนึ่งเดินทางขึ้นมายังพื้นที่ดังกล่าว พร้อมร้องเพลงชาติของตนและมีการโต้เถียงกับทหารไทยอย่างดุเดือด  

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2568 เวลาประมาณ 12.30 น. โดยมีการบันทึกคลิปวิดีโอจากฝั่งทหารไทย ขณะที่ผู้นำทหารกัมพูชาในชุดแขนยาวสีขาว กล่าวถ้อยคำในเชิงข่มขู่เป็นภาษาไทยและภาษาเขมร โดยระบุว่า "ห้ามทหารไทยเหยียบพื้นที่นี้แม้แต่ก้าวเดียว ถ้าจะยิงก็ยิง" 

ด้านทหารไทยได้ตอบกลับอย่างใจเย็นว่า "ผมมายืนตรงนี้เพราะได้รับคำสั่งจากผู้บังคับบัญชา" แต่ผู้นำทหารกัมพูชาได้สวนกลับด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าวว่า "เดี๋ยวกูก็จะสั่งลูกน้องกูเหมือนกัน" ก่อนจะเดินทางกลับไปยังฝั่งกัมพูชา  

อย่างไรก็ตาม ยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัดว่าทำไมทหารกัมพูชาจึงขึ้นมาร้องเพลงชาติบนพื้นที่ดังกล่าว และใช้ถ้อยคำแข็งกร้าวต่อทหารไทย 

ขณะเดียวกันด้าน แม่ทัพภาคที่ 2 ชี้แจงกรณีทหารกัมพูชาร้องเพลงชาติบนแผ่นดินไทย ยืนยันทำไม่ได้แน่นอน

พล.ท. บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ชี้แจงกรณีทหารกัมพูชาจำนวนหนึ่งขึ้นมาร้องเพลงชาติบริเวณปราสาทตาเมือนธม อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ ซึ่งเป็นดินแดนของประเทศไทย เหตุการณ์ดังกล่าวนำไปสู่การโต้เถียงระหว่างทหารทั้งสองฝ่าย โดยต่างฝ่ายต่างถ่ายคลิปไว้เป็นหลักฐาน ยืนยันว่าปราสาทตาเมือนธมอยู่ในเขตแดนไทย แม้จะเป็นพื้นที่ที่ยังไม่มีการปักปันแน่ชัด ทั้งนี้ ฝ่ายไทยอนุโลมให้ชาวกัมพูชาขึ้นมาสักการะได้ แต่ต้องไม่แสดงออกเชิงสัญลักษณ์ใดๆ  

แม่ทัพภาคที่ 2 ระบุว่า การร้องเพลงชาติบนพื้นที่ดังกล่าวเป็นสิ่งที่ทำไม่ได้** ฝ่ายไทยจึงเข้าไปตักเตือนและท้วงติงเพื่อป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต โดยเฉพาะการใช้ภาพถ่ายหรือคลิปไปเป็นหลักฐานกล่าวอ้าง นอกจากนี้ ฝ่ายไทยยังได้ประสานพูดคุยกับผู้บังคับบัญชาทหารกัมพูชาผ่านช่องทางคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาคไทย-กัมพูชา (RBC) ปัจจุบันสถานการณ์ได้คลี่คลายลงแล้ว และกองกำลังสุรนารีได้ดำเนินการทำหนังสือประท้วงอย่างเป็นทางการ

กลุ่มเซ็นทรัล ส่งมอบบ้าน 72 หลัง ให้กลุ่มเปราะบาง ร่วมเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

(17 ก.พ. 68) พลเอก ทรงวิทย์ หนุนภักดี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด เป็นประธานในพิธีรับมอบทุนสนับสนุนโครงการปรับปรุงซ่อมแซมบ้านพักอาศัยให้ประชาชนกลุ่มเปราะบาง เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 พร้อมทั้ง ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการทหารพัฒนาผู้แทนกองทัพบก ผู้แทนกองทัพเรือ ผู้แทนกองทัพอากาศ คุณปริญญ์ จิราธิวัฒน์ รองประธานและกรรมการบริหาร บริษัทกลุ่มเซ็นทรัล คุณวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ กรรมการ มูลนิธิอาสาเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) ยามยาก สภากาชาดไทย และคุณสนธยา บุณยภูษิต หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เข้าร่วมพิธีฯ ณ ห้องรับรอง 11 กองบัญชาการกองทัพไทย

สำหรับการจัดพิธีรับมอบทุนสนับสนุนโครงการปรับปรุงซ่อมแซมบ้านพักอาศัยให้ประชาชนกลุ่มเปราะบาง เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 เป็นความร่วมมือกันระหว่าง กองทัพไทย ประกอบด้วย กองบัญชาการกองทัพไทย กองทัพบก กองทัพเรือ  กองทัพอากาศ บริษัท กลุ่มเซ็นทรัล จำกัด มูลนิธิอาสาเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) ยามยาก สภากาชาดไทย และกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ โดยคณะอนุกรรมการกลั่นกรองโครงการและกิจกรรมฯ ได้พิจารณาเห็นชอบให้เป็นโครงการเฉลิมพระเกียรติฯ 

โดยน้อมนำพระราชปณิธานที่ทรงมีความห่วงใยและทรงให้ความสำคัญในความเป็นอยู่และที่อยู่อาศัยของราษฎร มาเป็นแนวทางในการจัดทำโครงการฯ มีกำหนดปรับปรุงซ่อมแซมบ้าน จำนวน 72 หลัง ซึ่ง บริษัท กลุ่มเซ็นทรัล จำกัด ให้การสนับสนุนวัสดุอุปกรณ์ในการก่อสร้างตามโครงการฯ ให้กับ กองบัญชาการกองทัพไทย และเหล่าทัพ นำไปซ่อมแซมบ้านเรือนช่วยเหลือประชาชนกลุ่มเปราะบาง ประกอบด้วย ผู้สูงอายุ ผู้พิการ หรือบุคคลไร้ที่พึ่ง ที่ได้รับความเดือดร้อนด้านบ้านพักอาศัยในพื้นที่กรุงเทพมหานคร และปริมณฑล จำนวน 53 หลัง และจังหวัดนราธิวาส จำนวน 19 หลัง ที่บ้านปารีย์ อ.สุคิริน จ.นราธิวาส ซึ่งเป็นพื้นที่ของเครือข่ายเตือนภัยพิบัติชุมชนเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) ชายแดนใต้ ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุอุทกภัยปลายปี 2566

‘บอสณวัฒน์’ คว้าลิขสิทธิ์ ’มิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์‘ พร้อมเปิดตัวเลขถือครอง 5 ปี มูลค่า 180 ล้าน

เมื่อวันที่ (17 ก.พ. 68) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เพจเฟซบุ๊ก “ณวัฒน์ อิสรไกรศีล - Mr.Nawat Itsaragrisil” โพสต์ภาพ นายณวัฒน์ อิสรไกรศีล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มิสแกรนด์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) กับป้าย MISS UNIVERSE พร้อมข้อความ MGI ผู้ถือลิขสิทธิ์ อย่างเป็นทางการ

นอกจากนี้ ยังมีการส่งหมายเชิญสื่อมวลชนร่วมงานแถลงข่าวด่วนในวันที่ 18 กุมภาพันธ์ ว่า บริษัท มิสแกรนด์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) ผู้ถือสิทธิ์ในการจัดประกวด “MISS UNIVERSE THAILAND” โดย คุณณวัฒน์ อิสรไกรศีล และ คุณแอน จักรพงษ์ จักราจุฑาธิบดิ์ จะร่วมแถลงข่าว วันอังคารที่ 18 กุมภาพันธ์ 2568 ณ MGI HALL ชั้น 6 ศูนย์การค้า Bravo BKK (Show DC เดิม) พร้อมตอบทุกเรื่องที่คุณอยากรู้!!

เป็นอันแน่นอนแล้วว่า ลิขสิทธิ์การจัดประกวดมิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ในปีนี้ได้หลุดจากมือ ปุ้ย–ปิยาภรณ์ แสนโกศิก กรรมการผู้จัดการ บริษัท พีเอ็น โกลบอล จำกัด มาสู่มือบอสณวัฒน์เป็นที่เรียบร้อย

ทั้งนี้ มีข้อมูลระบุว่า บริษัท มิสแกรนด์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) ได้แจ้งมติที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท ครั้งที่ 2/2568 ต่อตลาดหลักทัพย์ ว่า

ลักษณะการลงทุน “บริษัทเข้าซื้อลิขสิทธิ์การจัดการประกวดมิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ (MUT) สำหรับปี 2568 ถึงปี 2572 รวมทั้งสิ้น 5 ปี จาก JKN Global Content Pte. Ltd. ซึ่งเป็นบริษัทจดทะเบียนในประเทศสิงคโปร์ ถือหุ้นทั้งหมดโดยบริษัท เจเคเอ็น โกลบอลกรุ๊ป จำกัด (มหาชน)”
มูลค่าเงินลงทุน “บริษัทจะต้องชำระค่าลิขสิทธิ์เป็นจำนวนเงินรวมทั้งสิ้น 180 ล้านบาท ให้กับ JKN Global Content Pte. Ltd.“

‘ต๊ะ พลัฏฐ์’ โพสต์เฟซ ฟาด!! การศึกษาไทย ยิ่งแก้ยิ่งแย่ แก้ปัญหาไม่ตรงจุด ทำลาย!! ชีวิตวัยรุ่นของเด็กไทย ทำให้ผู้ปกครองต้องเสียเงิน เกินเหตุ

เมื่อวานนี้ (16 ก.พ. 68) นายพลัฏฐ์ ศิริกุลพิสุทธิ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ และอดีตผู้สมัคร สส. กรุงเทพมหานคร เขต 1 พรรครวมไทยสร้างชาติ ได้โพสต์ข้อความระบุว่า ...

การศึกษาไทย ยิ่งแก้ยิ่งแย่

ผมช่วยลูก 3 คนได้เข้าเรียนที่ดีๆ

เป็นมหาวิทยาลัยชั้นนำ

ลูกสาวคนเล็ก ที่เคยเรียนระบบสวิส อยากเรียนแพทย์ เราเลยต้องเปลี่ยนระบบมาเรียน รร. สาธิต แห่งหนึ่งที่มีการสอนเป็นภาษาอังกฤษ
ผมต้องกลับมาช่วยลูกวางแผนการเตรียมตัวเข้ามหาวิทยาลัยอีกครั้ง แล้วพบว่า 

ระบบ TCAS ที่ดึงรูปแบบมาจาก UKAS ของอังกฤษ พี่ไทยเราสร้างความปั่นป่วนให้เด็กไทยเรียกว่าระบบคัดกรองเรายุ่งยากและเข้มข้นกว่าอังกฤษ 
ระบบที่ว่า ได้ทำลายชีวิตวัยรุ่นของเด็กไทย แทนที่จะมีความสุขกับการเรียน ทำกิจกรรมที่ตนเองชอบ และมีทักษะชีวิต เพราะมหาวิทยาลัยต่างสร้างวิธีการคัดกรองที่ยิ่งนับวันยิ่งซับซ้อน จนเด็กต้องเอาเวลาไปทำให้ตัวเองผ่านความต้องการคัดเลือกไปจนไม่มีเวลาใช้ชีวิต

ถ้าคุณจะสอบเข้าแพทย์ในระบบอังกฤษ ที่เราลอกแบบเขามา สิ่งที่นักเรียนต้องทำคือ 
1.สอบภาษาอังกฤษให้ผ่านเกณฑ์
2.ทำคะแนนวิชาที่ต้องผ่านเช่น คณิต เคมี ชีวะ และหรือ อีก 1 วิชา เป็นทางเลือกให้ดีพอ
3.ถ้าหากเรียนมหาวิทยาลัยชั้นนำ เช่น Oxford ต้องสอบอีกนิดหน่อย
4.ทำให้มหาวิทยาลัยรู้ว่า ทำไมคุณอยากเรียนแพทย์ และคุณเรียนแล้วจะไปทำอะไร

ส่วนที่ประเทศไทย ซึ่งมีมหาวิทยาลัยและที่เรียนเยอะมากๆ คณะแพทย์อาจจะมีน้อยหน่อย แต่ก็มีมากขึ้นเยอะมาก คณะอื่นๆหลายที่มีที่เรียนมากกว่านักเรียน เพราะเด็กเราเกิดน้อยลงเยอะมาก แต่ระบบคัดกรองยิ่งนับวันยิ่งทรมาณเด็ก

คุณต้องเรียนเยอะมากๆในหลายวิชาที่ไม่ได้ใช้ตอนโต และต้องทำเกรดเฉลี่ยให้ดี ต้องสอบแล้วสอบอีก ที่สำคัญ ต้องทำ Portfolio ที่ทำระบบผิดเพี้ยนไปจากเจตนาของการคัดกรองต้นแบบ ที่สำคัญเมื่อคุณผ่านทุกอย่างเราก็เข้าไปเรียนในมหาวิทยาลัยที่อยู่ต่ำกว่า 100 ของโลก 

ถ้าหากเราใช้ระบบเดียวกัน คะแนนเท่ากันเด็กที่ส่งใบสมัครไปต่างประเทศ เชื่อไหมครับหลายคนที่พลาดหวังจากไทยจะได้เรียนมหาวิทยาลัยระดับโลก และเด็กจะเหนื่อยน้อยกว่าการเตรียมเข้ามหาวิทยาลัยในไทย 

ขอวิงวอนให้ที่ประชุมอธิการบดี มหาวิทยาลัยทบทวนระบบคัดกรองใหม่ และคืนชีวิตวัยรุ่นให้เด็กไทย โตมาอย่างมีคุณภาพมีประสบการณ์ชีวิตที่หลากหลาย 

ต๊ะ พลัฏฐ์

จเรตำรวจแห่งชาติหารือเอกอัครราชทูต 5 ประเทศ และผู้แทนสถานเอกอัครราชทูต 18 ประเทศ , UNODC และ HSI ประสานความร่วมมือแลกเปลี่ยนข้อมูล เพื่อเดินหน้าปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และช่วยเหลือคัดแยกเหยื่อ

(17 ก.พ. 68) เวลา 10.30 น. พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จเรตำรวจแห่งชาติ ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ต่อต้านการค้ามนุษย์ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และผู้อำนวยการศูนย์ป้องกันปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (จตช./ผอ.ศตคม.ตร./ผอ.ศปอส.ตร.) เป็นประธานการประชุมความร่วมมือในการแก้ไขปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ครั้งที่ 2 โดยมี พล.ต.ต พงษ์สยาม มีขันทอง รอง ผบช.ทท. และคณะ พร้อมด้วยเอกอัครราชทูต 5 ประเทศ , ผู้แทนจากสถานเอกอัครราชทูต 18 ประเทศ , สำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (United Nations Office on Drugs and Crime, UNODC) และสำนักงานสืบสวนความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ (Homeland Security Investigations, HSI) ร่วมประชุม ณ ห้องศรียานนท์ อาคาร 1 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

ในการประชุมครั้งนี้ เป็นการแจ้งผลการปฏิบัติภายหลังการประชุมร่วมกันในครั้งแรก โดยได้มีการดำเนินการตาม 7 มาตรการเข้มของ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในการซักถามคัดกรองนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางเข้าไปยังพื้นที่ อ.แม่สอด จ.ตาก เพื่อป้องกันผู้ที่ถูกหลอกลวงข้ามแดนไปยังฝั่งเมียวดี ประเทศเมียนมา ซึ่งพบว่ามาตรการดังกล่าวเห็นผลอย่างเป็นรูปธรรม ที่ผ่านมาพบว่ามีนักท่องเที่ยวสัญชาติต่างๆ จำนวน 58 คน ที่เปลี่ยนใจไม่เดินทางไปยัง อ.แม่สอด ประกอบกับมาตรการของรัฐบาลไทย โดย น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในการตัดไฟฟ้า-อินเทอร์เน็ต-น้ำมันเชื้อเพลิง ไปยังฝั่งเมียวดี พบว่าสามารถกดดันแก๊งคอลเซ็นเตอร์อย่างได้ผล มีการปล่อยตัวคนกลับออกมาจำนวนมาก และสามารถจับกุมผู้กระทำผิดได้บางส่วน ซึ่งสถานทูตประเทศต่างๆ ชื่นชมและขอบคุณรัฐบาลและสำนักงานตำรวจแห่งชาติในการดำเนินการตามมาตรการดังกล่าวอย่างเข้มข้น

พล.ต.อ.ธัชชัยฯ เปิดเผยว่า ในการประชุมครั้งนี้ ได้ประสานความร่วมมือกับสถานทูตทุกประเทศในการแลกเปลี่ยนข้อมูลเชิงลึก และ IP Address เพื่อจะได้สามารถตรวจสอบจุดที่เป็นที่ตั้งของกลุ่มแก๊งดังกล่าว ซึ่งต้องประสานความร่วมมือกับประเทศต่างๆ ว่ายังมีคนที่ถูกหลอกจากพื้นที่เมียวดีอีกหรือไม่ รวมทั้งเพื่อมีข้อมูลเชิงลึกในการคัดแยกเหยื่อ และสืบสวนจับกุมผู้กระทำผิด โดยทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้สร้างแพลตฟอร์มสำหรับแลกเปลี่ยนข้อมูลกับทางสถานทูตประเทศต่างๆ ไว้แล้ว เพื่อสะดวกในการทำงานร่วมกันต่อไป

นอกจากนี้ พล.ต.อ.ธัชชัยฯ กล่าวว่า สถานการณ์ในปัจจุบัน ทางการไทยและสำนักงานตำรวจแห่งชาติของไทยยินดีช่วยเหลือประเทศเพื่อนบ้านในการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และยินดีช่วยเหลือเหยื่อที่ถูกหลอกลวงไป ซึ่งจะต้องเข้าสู่กระบวนการกลไกการคัดแยกเหยื่อ และกลไกลการส่งต่อระดับชาติ หรือ NRM โดยการปฏิบัตินี้ การแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกันของสถานทูตประเทศต่างๆ และ UNODC มีความจำเป็นและเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง สำนักงานตำรวจแห่งชาติจึงมีการประชุมหารือร่วมกันในครั้งนี้ และจะได้มีการประสานการทำงานอย่างใกล้ชิดอย่างต่อเนื่องต่อไป ซึ่งทุกประเทศขอบคุณทางการไทยและสำนักงานตำรวจแห่งชาติอย่างยิ่ง และทุกประเทศยินดีให้ความร่วมมือในการประสานแลกเปลี่ยนข้อมูลอย่างใกล้ชิด เพื่อการเดินหน้าปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และการช่วยเหลือเหยื่อ ตลอดจนการส่งตัวกลับประเทศ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top