Wednesday, 18 September 2024
NEWS

ประชาธิปัตย์ยุคใหม่เพิ่มบทบาทระหว่างประเทศ ผนึกพรรคการเมืองในเอเชียลดขัดแย้งร่วมมือแบบสร้างสรรค์ส่งเสริมประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชน

(15 ก.ย. 67) นายอลงกรณ์ พลบุตร รองประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ อดีตรัฐมนตรีและส.ส. พรรคประชาธิปัตย์เปิดเผยภายหลังการเยือนประเทศญี่ปุ่นวันนี้ว่า ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ได้มอบหมายให้เป็นตัวแทนพรรคในฐานะที่ตนเคยเป็นเลขาธิการและเป็นหนึ่งในผู้ริเริ่มก่อตั้ง CALD เข้าร่วมภารกิจและการประชุมคณะกรรมการบริหารของสภาพรรคการเมืองเสรีนิยมประชาธิปไตยแห่งเอเชีย(CALD : Council for Asian Liberals and Democrats) ที่ประเทศญี่ปุ่นเพื่อเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศตอบโจทย์อนาคตในปัญหาความท้าทายใหม่โดยได้มีการกำหนดบทบาทร่วมกันโดยเฉพาะการส่งเสริมคุณค่าประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชน เสรีภาพและหลักนิติรัฐนิติธรรม รวมทั้งการเพิ่มบทบาทของสตรีและเยาวชนคนรุ่นใหม่ทางการเมือง การยกระดับศักยภาพพรรคการเมือง ตลอดจนปัญหาปัจจุบันเช่น ประเด็น ผลกระทบจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน อิสราเอล-ปาเลสไตน์ ความตึงเครียดในทะเลจีนใต้รวมถึงปัญหาเศรษฐกิจโลก สังคมสูงวัย เทคโนโลยีดิสรัปชั่น ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

นอกจากนี้ภายหลังการเยือนรัฐสภาญี่ปุ่น ผู้แทนพรรครัฐธรรมนูญประชาธิปไตย(Constitutional Democratic Party)ซึ่งเป็นพรรคการเมืองใหญ่อันดับ2ของญี่ปุ่นได้หารือสถานการณ์ในประเทศเมียนมาร์ และขอความร่วมมือพรรคประชาธิปัตย์ในด้านการช่วยเหลือชาวเมียนมาร์ด้านมนุษยธรรมที่ได้รับผลกระทบจากการสู้รบภายในประเทศซึ่งตนได้ตอบรับและแจ้งว่า รัฐบาลไทยมีแนวทางการช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมภายใต้“แนวทางระเบียงมนุษยธรรม”(Humanitarian Corridor)พร้อมสนับสนุนและร่วมมือกับทุกฝ่าย ทั้งนี้ในระหว่างการเยือนญี่ปุ่นยังได้แลกเปลี่ยนแนวทางความร่วมมือกับพรรครัฐธรรมนูญประชาธิปไตย ศูนย์ความร่วมมือแลกเปลี่ยนนานาชาติแห่งญี่ปุ่น(Japan Center for International Exchang)และองค์กร ศูนย์กลางเอ็นจีโอ.ความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น(Japan NGO Center for International Cooperation)เป็นต้น “การเพิ่มบทบาทในการขยายความร่วมมือกับพรรคการเมืองและองค์กรระหว่างประเทศในเอเซียและภูมิภาคต่างๆทั่วโลกของพรรคประชาธิปัตย์ถือเป็นนโยบายใหม่และเป็นภารกิจสำคัญในการส่งเสริมอุดมการณ์ประชาธิปไตย ความเสมอภาค สิทธิเสรีภาพและสิทธิมนุษยชน การลดความขัดแย้งและเพิ่มความร่วมมืออย่างสร้างสรรค์ในยุคสมัยแห่งความผันผวนของโลกปัจจุบัน” นายอลงกรณ์กล่าวในที่สุด สำหรับสภาพรรคการเมืองเสรีนิยมประชาธิปไตยแห่งเอเชียก่อตั้งที่กรุงเทพเมื่อ31ปีที่แล้วมีพรรคการเมืองในประเทศต่างๆเป็นสมาชิกเช่น อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ สิงค์โปร์ มาเลเซีย ศรีลังกา มองโกเลีย กัมพูชา ญี่ปุ่น ไทย ฯลฯ

‘อนุชา บูรพชัยศรี’ ย้ำ!! ร่างพรบ.ระเบียงเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้ จะสร้างความเจริญ พร้อมชู!! ‘เศรษฐกิจ BCG’ ควบคู่อุตสาหกรรม New S-Cruve

(15 ก.ย. 67) นายอนุชา บูรพชัยศรี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แบบบัญชีรายชื่อ พรรครวมไทยสร้างชาติ ได้อภิปรายในการแถลงนโยบายต่อรัฐสภาของคณะรัฐมนตรี ว่า

ร่างพระราชบัญญัติระเบียงเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้ หรือ SEC ซึ่งเป็นแนวคิดจากของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ต้องการสร้างยุทธศาสตร์การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนให้กับภาคใต้ 

ร่างพระราชบัญญัติระเบียงเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้นี้จะเป็นการสร้างอุตสาหกรรมใหม่ให้กับภาคใต้โดยเฉพาะอุตสาหกรรม BGC ซึ่งจะเป็นการสร้าง New S-Cruve ให้กับทั้งภาคใต้และประเทศไทย จากเดิมที่เศรษฐกิจหลักมาจากภาคการเกษตรและการประมง 

และขอฝากไปยังรัฐบาลว่า นโยบาย ภารกิจ หรือโครงการต่าง ๆ ของรัฐนั้นไม่ได้เป็นของพรรคใด พรรคหนึ่ง หรือนายกรัฐมนตรีท่านใดท่านหนึ่ง สิ่งใดที่ส่งผลดีต่อประเทศและประชาชนจะต้องมีการดำเนินการต่อเนื่อง รวมถึงพัฒนาและสานต่อ ยกตัวอย่างเช่น กองทุนกู้ยืมทางการศึกษาหรือ กยศ. และ 30 บาทรักษาทุกโรค 

หากมีการแบ่งแยกนโยบาย การพัฒนาประเทศคงเป็นเปลี่ยนแปลงทุก ๆ 4 ปี แล้วประชาชนจะคาดหวังได้อย่างไรว่าการเมืองที่ขาดเสถียรภาพและความยั่งยืนเช่นที่กล่าวมาจะสามารถแก้ไขปัญหาให้กับประชาชนได้

คุณยายวัย 72 สู้ชีวิต ขายโดนัทชิ้นละ 10 บาท หลังถูกไล่ออกจากบ้าน ไม่เคยท้อแท้!! ยิ้มสู้และมีความหวัง เชื่อมั่นว่าการพึ่งพาตัวเองนั้นดีที่สุด

(15 ก.ย. 67) เพจเฟซบุ๊ก ‘แรงงานเพื่อสังคม’ ได้โพสต์ข้อความโดยระบุว่า …

คุณยายใหม่อายุ 72 ปี ต้องเผชิญกับความยากลำบากในชีวิต เมื่อไม่มีลูกหลานดูแล แถมยังถูกไล่ออกจากบ้านเช่า แต่ด้วยจิตใจที่เข้มแข็ง คุณยายไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตา หันมาพึ่งพาตัวเองด้วยการขายโดนัทชิ้นละ 10 บาท เพื่อหาเลี้ยงชีพ ( พิกัดขายแถวจรัญฯ 25 ครับ )

คุณยายใหม่อาจจะไม่มีครอบครัวคอยดูแล แต่เธอก็ไม่เคยคิดท้อแท้หรือขอพึ่งใคร เธอเชื่อมั่นว่าการพึ่งพาตัวเองนั้นดีที่สุด แม้จะต้องต่อสู้กับความยากลำบากเพียงลำพัง แต่คุณยายก็ยังคงยิ้มสู้และมีความหวัง

เรื่องราวของคุณยายใหม่เป็นแรงบันดาลใจให้กับใครหลายๆ คน ที่กำลังเผชิญกับปัญหาและอุปสรรคในชีวิต แสดงให้เห็นว่า ไม่ว่าจะอายุเท่าไหร่ หรือต้องเจอกับสถานการณ์ใด หากมีความมุ่งมั่นและไม่ยอมแพ้ ก็สามารถผ่านพ้นไปได้เสมอ

‘ก.พลังงาน-กฟผ.’ เคียงข้างคนไทยทุกวิกฤต เร่งช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ที่เชียงราย ส่งมอบ ‘ถุงยังชีพ-น้ำดื่ม’ กว่า 3,000 ชุด พร้อมประเมินสถานการณ์ น้ำในเขื่อน

(14 ก.ย.67) นายจรัญ คำเงิน รองผู้ว่าการผลิตไฟฟ้า การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) พร้อมด้วย นายธวัชชัย สำราญวานิช รองผู้ว่าการยุทธศาสตร์ กฟผ. นายปรศักดิ์ งามสมภาค พลังงานจังหวัดเชียงราย และคณะผู้บริหาร กฟผ. ลงพื้นที่ช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ในพื้นที่อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย โดยส่งมอบถุงยังชีพ 1,000 ชุด พร้อมน้ำดื่มน้ำใจ กฟผ. จำนวน 1,000 แพ็ก แจกจ่ายบรรเทาความเดือดร้อนประชาชนในพื้นที่อำเภอแม่สาย วัดพรหมวิหาร หมู่บ้านปิยพร ม.13 ชุมชนบ้านยาง ม.6 บ้านเหมืองแดง หมู่ 1 บ้านเวียงหอม ม.4 และบ้านป่าซาง

นอกจากนี้ จะทยอยส่งมอบถุงยังชีพ และน้ำดื่มน้ำใจ กฟผ. อีกกว่า 2,000 ชุด ดังนี้ 1) วันที่ 16 กันยายน 2567 มอบถุงยังชีพและน้ำดื่ม 500 ชุด แก่พื้นที่อำเภอแม่จัน 2) วันที่ 16 กันยายน 2567 มอบถุงยังชีพและน้ำดื่ม 500 ชุด แก่พื้นที่อำเภอแม่ฟ้าหลวง และ 3) วันที่ 17 กันยายน 2567 มอบถุงยังชีพและน้ำดื่ม 1,000 ชุด แก่พื้นที่อำเภอเมืองเชียงราย และยังคงช่วยเหลืออย่างต่อเนื่องต่อไป

กฟผ. ได้ติดตามและประเมินสถานการณ์น้ำร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิด เพื่อวางแผนการระบายน้ำที่เหมาะสม ต่อการป้องกันและบรรเทาอุทกภัย โดยสถานการณ์น้ำเขื่อนภูมิพล จังหวัดตาก ณ วันที่ 14 กันยายน 2567 มีปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำอยู่ที่ 6,843 ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ 51 ของความจุอ่าง ยังสามารถรับน้ำได้อีก 6,619 ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ 49

ซึ่ง กฟผ. ได้ระบายน้ำขั้นต่ำที่สุดเพื่อให้เพียงพอต่อการอุปโภคบริโภค และการรักษาระบบนิเวศท้ายเขื่อน วันละ 3 ล้านลูกบาศก์เมตร

ด้านเขื่อนสิริกิติ์ จังหวัดอุตรดิตถ์ มีปริมาณน้ำไหลเข้าอ่างเก็บน้ำเพิ่มขึ้น มีปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำอยู่ที่ 7,826 ร้อยละ 18 มีแผนการระบายน้ำวันละ 14 ล้านลูกบาศก์เมตร 

ทั้งนี้ สามารถติดตามข้อมูลสถานการณ์น้ำในอ่างเก็บน้ำของ กฟผ. ได้จาก https://water.egat.co.th/ หรือทางแอปพลิเคชัน EGAT One

‘สว.นครศรีธรรมราช’ อภิปรายในสภาฯ ชี้!! ปัญหาบริหารจัดการขยะ หลังมีชาวบ้านมาร้องเรียน ย้ำ!! นี่คือปัญหาระดับชาติ ที่ต้องเร่งแก้ไข

(14 ก.ย.67) นายณัฐกิตติ์ หนูรอด สมาชิกวุฒิสภา จ.นครศรีธรรมราช ได้นำเรื่องที่ได้รับการร้องเรียนจากชาวบ้าน กรณีปัญหาบ่อขยะ ต.ช้างซ้าย อ.พระพรพม จ.นครศรีธรรมราช ไปอภิปรายในสภา เพื่อให้กระทรวงมหาดไทยลงไปตรวจสอบ และสอบถามความคิดเห็นจากประชาชน โดยณัฐกิตติ์ อภิปรายว่า มีเรื่องราวชาวบ้านร้องทุกข์การบริหารจัดการขยะ ซึ่งถือว่าไม่ใช่เป็นปัญหาระดับท้องถิ่น แต่เป็นปัญหาระดับชาติ โดยตนได้รับการร้องเรียนจากนายสมชาย เต็มดวง ผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 5 ต.ท่าเรือ อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช พร้อมแนบรายชื่อผู้ได้รับความเดือดร้อน และคัดค้านโครงการ 600 คน สาระสำคัญของหนังสือร้องเรียนคือ

ในขณะนี้มีบริษัทแห่งหนึ่ง ได้เข้าไปขุดบ่อขนาดใหญ่ เพื่อก่อสร้างบ่อกำจัดขยะแบบฝังกลบ บริเวณ ม.8 ต.ช้างซ้าย อ.พระพรหม ทำให้ประชาชนในพื้นที่ และในพื้นที่หมู่ 4,5,15 และ 19 ต.ท่าเรือ และต.ดอนตรอ ต.ทางพูน อ.เฉลิมพระเกียรติ์ ได้รับผลกระทบทั้งด้านสิ่งแวดล้อม และสุขภาพ ซึ่งตอนนี้มีบุคคลที่ได้รับผลกระทบร่วมลงชื่อมาแล้ว 2000 คน

ณัฐกิตติ์ อภิปรายย้ำว่า การบริหารจัดการขยะ มีทั้งด้านบวก และลบ อยากให้กระทรวงมหาดไทยลงไปตรวจสอบ และสอบถามความคิดเห็นประชาชนในพื้นที่ เพื่อหาแนวทางในการช่วยเหลือ และแก้ไขปัญหา เพื่อจะได้รับรู้ร่วมกัน แก้ไขปัญหาร่วมกัน

กล่าวสำหรับบ่อกำจัดขยะช้างซ้าย ดำเนินโครงการโดยบริษัทเอกชน ในนามบริษัท ช้างซ้าย กรีน จำกัด ด้วยทุนจดทะเบียน 1 ล้านบาท มีตระกูลดังทางการเมืองท้องถิ่น และระดับชาติถือหุ้น รับกำจัดขยะจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทุกแห่งในจังหวัดนครศรีธรรมราช และ/หรือจังหวัดข้างเคียง ด้วยวิธีฝังกลบบนเนื้อที่เกือบ 200 ไร่

โครงการเริ่มมีการขุดบ่อ ยกระดับถนนเข้าพื้นที่ และอยู่ระหว่างการเดินสำรวจรังวัด เพื่อออกเอกสารสิทธิ์ในที่ดิน (โฉนด) เนื่องจากที่ดินส่วนใหญ่เป็นที่ดินว่างเปล่า และมีชาวบ้านอยู่อาศัยบางส่วนโดยไม่มีเอกสารสิทธิ์

สภาพพื้นที่เป็นป่าพรุน้ำท่วมซ้ำซากทุกปี เป็นแหล่งรับน้ำและไหลลงสู่ลำคลองต่าง ๆ หลายสาย ผลกระทบ มีบ้านชาวบ้านที่อยู่ใกล้ที่สุดคือ 20 เมตรอยู่บริเวณปากบ่อได้รับผลกระทบทางด้านสุขภาพกลิ่นแมลงหนอน ซึ่งเป็นผลกระทบด้านสุขภาพและสิ่งแวดล้อม

ชุมชนที่อยู่ใกล้สุดประมาณ 300 เมตรโรงเรียน 600 เมตร วัด 700 เมตร แหล่งน้ำดิบสำหรับการใช้ทำประปาหมู่บ้านของอบต.ท่าเรือประมาณ 600 เมตร

ชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบทั้งในปัจจุบัน และคาดว่าจะได้รับผลกระทบในอนาคต รวมตัวกันคัดค้านมาแล้วหลายครั้ง และวันที่ 15 กันยายน เวลา 09.00 น.ชาวบ้านก็นัดมารวมตัวคัดค้านอีกครั้ง เพื่อให้ข้อมูล แลกเปลี่ยนข้อมูลซึ่งกันและกัน

ล่าสุดผู้บริหารบริษัท ช้างซ้าย กรีน จำกัด ได้แจ้งขอยกเลิกการขออนุญาตสร้างบ่อกำจัดขยะกับทางองค์การบริหารส่วนตำบลช้างซ้ายแล้ว จนกว่าจะได้รับความยินยอมจากชาวบ้าน

การใช้คำว่า จนกว่าจะได้รับความยินยอมจากชาวบ้าน ทำให้ชาวบ้านคลางแคลงใจว่า บริษัทยังมีความพยายามต่อไปในการสร้างบ่อกำจัดขยะ

ในส่วนของการเดินสำรวจรังวัดเพื่อออกเอกสารสิทธิ์นั้น สำนักงานที่ดินเตรียมแจกเอกสารสิทธิ์แล้ว แต่ชาวบ้านร้องค้านไว้ทัน การแจกเอกสารสิทธิ์จึงต้องชะลอไว้ก่อน

กล่าวสำหรับการผลักดันบ่อกำจัดขยะโดยเอกชนเกิดขึ้นไล่เลี่ยกับบ่อกำจัดขยะทุ่งท่าลาดล้นเป็นภูเขาขยะ จนสภาทนายความโดยสมพร ดำพริก และคณะได้ยื่นฟ้องหน่วยงานของรัฐ 10 กว่าหน่วยงานต่อศาลปกครอง ให้ศาลมีคำสั่งแก้ไขปัญหา ศาลปกครองสั่งคุ้มครองชั่วคราว และให้แก้ไขปัญหา 2 ประการ แต่จนถึงขณะนี้ทางเทศบาลนครนครศรีธรรมราชก็ยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ และในที่สุดทางเทศบาลนครนครศรีธรรมราชได้สั่งปิดบ่อกำจัดขยะทุ่งท่าลาด มีผล 1 ตุลาคมนี้เป็นต้นไป

ประเด็นปัญหาคือ เมื่อบ่อกำจัดขยะทุ่งท่าลาดปิดตัวลง บ่อขยะใหม่ของเทศบาล หรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอื่นที่มีศักยภาพ ก็ไม่มี บ่อกำจัดขยะของเอกชนก็ยังไม่เกิด

นครศรีธรรมราชจะกลายเป็นเมืองที่มีปัญหา ‘วิกฤตขยะ’ แน่นอน

'สำนักงานตำรวจแห่งชาติ' เปิดศูนย์ช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย จัดที่พักและอาหาร ช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย 'จังหวัดเชียงราย'

กรณีอุทกภัยที่ส่งผลกระทบต่อพี่น้องประชาชนในหลายพื้นที่ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) มีความห่วงใยประชาชน จึงได้มอบหมายให้ พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข ผู้ช่วย ผบ.ตร.รรท.รอง ผบ.ตร. กำกับดูแลและสั่งการให้ตำรวจทุกหน่วยช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากอุทุกภัย รักษาความสงบเรียบร้อยและความปลอดภัยของประชาชน จัดระบบการจราจรในพื้นที่ที่ประสบภัยและพื้นที่ใกล้เคียง เพิ่มความเข้มในการตรวจตราและระวังป้องกันคนร้ายอาศัยโอกาสในช่วงอุทกภัย ก่อเหตุประทุษร้ายต่อชีวิต ร่างกายและทรัพย์สิน อันเป็นการซ้ำเติมความเดือดร้อนแก่ประชาชนผู้ประสบภัย ตลอดจนให้ความสำคัญในการร่วมบูรณาการกับทุกภาคส่วนอย่างใกล้ชิด เพื่อช่วยเหลือและบรรเทาสาธารณภัยในพื้นที่ที่ประสบอุทกภัย

พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข ผู้ช่วย ผบ.ตร.รรท.รอง ผบ.ตร. ได้สั่งการให้ ภ.จว.เชียงราย ประสานความร่วมมือและร่วมบูรณาการกับผู้ประกอบการในพื้นที่ จัดตั้ง 'ศูนย์ช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ' ณ โรงแรมศิลามณี รีสอร์ท แอนด์ สปา อ.แม่สาย จ.เชียงราย เพื่อช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนให้กับพี่น้องประชาชนผู้ประสบอุทกภัย โดยได้จัดเตรียมห้องพักเพื่อรองรับให้ประชาชนผู้ประสบอุทกภัยได้เข้าพัก จำนวน 160 ห้อง พร้อมอาหารและน้ำดื่ม 3 มื้อ โดยไม่มีค่าใช้จ่าย ซึ่งในปัจจุบัน มีประชาชนผู้ได้รับความเดือดร้อนจากอุทกภัยเข้าพักแล้ว จำนวน 100 ห้อง โดยจะเปิดดำเนินการไปตลอด จนกว่าสถานการณ์อุทกภัยจะคลี่คลาย

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พร้อมระดมสรรพกำลัง เพื่อช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากสถานการณ์อุทกภัยอย่างเต็มกำลัง เพื่อบำบัดทุกข์ บำรุงสุขให้ประชาชนอย่างแท้จริง

สตม.รวบ 2 หนุ่มรับเหมาสุดแสบ เปิดบริษัทรับเหมาก่อสร้างบังหน้าลักลอบเป็นนายหน้าจัดหาแรงงานแถมพร้อมเอกสารทำงานปลอมให้เบ็ดเสร็จ

กก.สส.บก.ตม.1 จับกุม
1. นายเก่ง (นามสมมติ) อายุ 45 ปี สัญชาติไทย โดยกล่าวหาว่าปลอมเอกสารราชการและโดยรู้อยู่แล้วว่าคนต่างด้าวคนใดเข้ามาโดยฝ่าฝืน พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ.2522 ให้เข้าพักอาศัย ซ่อนเร้น หรือช่วยด้วยประการใด ๆ เพื่อให้รอดพ้นจากการจับกุม
2. นายออฟ (นามสมมติ) อายุ 44 ปี สัญชาติไทย โดยกล่าวหาว่าโดยรู้อยู่แล้วว่าคนต่างด้าวคนใดเข้ามาโดยฝ่าฝืน พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ.2522 ให้เข้าพักอาศัย ซ่อนเร้น หรือช่วยด้วยประการใด ๆ เพื่อให้รอดพ้นจากการจับกุม
3. นายนาย (นามสมมติ) อายุ 22 ปี สัญชาติเมียนมา กับพวกรวม 5 คน โดยกล่าวหาว่าใช้เอกสารราชการปลอมและเป็นคนต่างด้าวเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต
4. นายเนียง (นามสมมติ) อายุ 36 ปี สัญชาติเมียนมา กับพวกรวม 3 คน โดยกล่าวหาว่าเป็นคนต่างด้าวเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต
5. นายอ่อง (นามสมมติ) อายุ 29 ปี สัญชาติเมียนมา โดยกล่าวหาว่า เป็นคนต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด

นำตัวส่งพนักงานสอบสวน กลุ่มงานสอบสวน บก.สส.สตม. ดำเนินคดีตามกฎหมาย สถานที่จับกุมบริษัทตั้งอยู่ในซอยกาญจนาภิเษก 8 แขวงบางแค เขตบางแค กรุงเทพฯ    

กก.สืบสวน บก.ตม.1 ได้สืบทราบว่ามีการลักลอบนำคนต่างด้าวผิดกฎหมายมาพักไว้ที่บริษัทแห่งหนึ่งย่านบางแค กรุงเทพฯ เพื่อรอให้มีนายจ้างที่ต้องการใช้แรงงานติดต่อว่าจ้างงานและเมื่อได้งานจะมีการทำเอกสารทะเบียนใบอนุญาตทำงานของคนต่างด้าวตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2566 ปลอมให้แล้วจึงให้รถมารับเพื่อไปทำงานกับนายจ้างที่ได้ติดต่อไว้ 

โดยได้รับค่านายหน้าตอบแทนจึงได้เดินทางไปสืบสวนหาข่าวบริเวณบริษัทดังกล่าว พบรถกระบะตู้ทึบมีคนลักษณะคล้ายคนต่างด้าวโดยสารอยู่ในกระบะตู้ทึบและรถคันดังกล่าวกำลังขับออกจากบริษัท จึงได้แสดงตัวเพื่อขอตรวจสอบเอกสารคนต่างด้าวที่โดยสารอยู่ในกระบะตู้ทึบ เบื้องต้นได้นำเอกสารทะเบียนใบอนุญาตทำงานของคนต่างด้าวตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2566 มาแสดงต่อเจ้าหน้าที่เพื่อทำการตรวจสอบแต่เมื่อเจ้าหน้าที่ได้ทำการตรวจสอบโดยการสแกนคิวอาร์โค้ดที่อยู่ตรงบริเวณมุมขวาล่างของเอกสารที่ผู้ถูกจับมาแสดงพบความผิดปกติ กล่าวคือ ปกติเมื่อทำการสแกนคิวอาร์โค้ดดังกล่าวจะปรากฏข้อมูลของผู้ขออนุญาตทำงานแต่ของผู้ถูกจับกลับเป็น me-qr./com 

ซึ่งไม่ใช่เว็ปไซต์ของทางราชการ จึงได้ทำการตรวจสอบกับเจ้าหน้าที่จัดหางานเบื้องต้นพบว่าข้อมูลอัตลักษณ์บุคคลไม่ตรงกัน เชื่อได้ว่าเอกสารดังกล่าวเป็นเอกสารที่ทำปลอมขึ้นและจากการสอบถามคนขับรถได้แจ้งกับเจ้าหน้าที่ว่าได้รับคนต่างด้าวมาจากบริษัทดังกล่าวและยังมีคนต่างด้าวอีกจำนวนหนึ่งพักอยู่ด้านบนบริษัท จึงได้เดินทางไปตรวจสอบ เมื่อเดินทางไปถึงพบนาย เก่ง (นามสมมติ) และนาย ออฟ (นามสมมติ) อยู่ในที่เกิดเหตุ 

จึงได้แสดงตนเป็นเจ้าพนักงานตรวจคนเข้าเมืองและแจ้งวัตถุประสงค์เพื่อทำการตรวจสอบภายในบริษัทดังกล่าว ผลการตรวจสอบพบคนต่างด้าว 4 ราย หลบซ่อนตัวอยู่ภายในอาคารบริษัทดังกล่าว ซึ่งคนต่างด้าว 3 ราย ไม่สามารถแสดงเอกสารใด ๆ ได้ ส่วนอีก 1 ราย แสดงหนังสือเดินทางประเทศเมียนมา เมื่อตรวจสอบพบว่าการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรสิ้นสุดลงเมื่อวันที่ 31 ก.ค.2566 โดยไม่ปรากฏว่าได้ขออนุญาตอยู่ต่อในราชอาณาจักรอีกแต่อย่างใด 

จึงได้แจ้งข้อกล่าวหาและสิทธิให้ทราบ ในขณะเดียวกันเจ้าหน้าที่ชุดจับกุมได้ทำการตรวจสอบบริเวณภายในที่ทำการสำนักงานพบเอกสารทะเบียนใบอนุญาตทำงานของคนต่างด้าวตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2566 อยู่บริเวณโต๊ะทำงานของนายเก่ง จำนวน 58 ชุด และเมื่อทำการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่าข้อมูลอัตลักษณ์ไม่ตรงกับข้อมูลในเอกสารจึงได้ทำการตรวจยึดเอกสารดังกล่าว และเมื่อตรวจสอบคอมพิวเตอร์ในสำนักงาน พบว่ามีไฟล์เอกสารเกี่ยวการทำงานของต่างด้าวอยู่ในเครื่องมีการใช้โปรแกรมแก้ไขข้อมูลอัตลักษณ์ให้กับคนต่างด้าวที่ประสงค์จะมีเอกสารดังกล่าวไว้ใช้เพื่อแสดงต่อเจ้าหน้าที่ และมีการส่งข้อมูลไฟล์เอกสารที่ได้ทำการแก้ไขแล้วให้กับลูกค้าทางแอปพลิเคชันไลน์ จึงได้ทำการตรวจยึดหลักฐานและเอกสารประกอบการจับกุมทั้งหมดไว้ดำเนินคดี

‘มาสด้า’ เดินหน้าสานฝันเยาวชนไทย ให้โดดเด่นด้านกีฬา จัดการแข่งขันกอล์ฟรายการใหญ่ ปูทางสู่ความเป็น ‘มืออาชีพ’

(14 ก.ย.67) มาสด้าเปิดตัวโครงการ ‘MAZDA U.S. COLLEGE PREP JUNIOR GOLF CHAMPIONSHIP 2024’ ซึ่งเป็นโครงการชั้นแนวหน้าในระดับสากลที่จัดขึ้นแบบเอ็กซ์คลูซีพให้กับลูกค้าผู้ใช้รถยนต์มาสด้าและครอบครัว เพื่อเฟ้นหาและผลักดันเยาวชนไทยที่ชื่นชอบในกีฬากอล์ฟ ให้มีโอกาสไปโลดแล่นบนเวทีการแข่งขันระดับโลก ลุ้นรับทุนการศึกษา เพื่อก้าวสู่เส้นทางโปรกอล์ฟมืออาชีพ พร้อมเปิดตัว ‘MAZDA EXCLUSIVE TOURNAMENT 2024’ อีกหนึ่งโครงการที่จัดขึ้นเพื่อมอบเอกสิทธิ์สำหรับมาสด้าแฟมิลี่ในการเข้าร่วมสนุกออกรอบเล่นกอล์ฟ พร้อมมอบสิทธิประโยชน์มากมายให้กับลูกค้า โดยทั้งสองโครงการจะจัดการแข่งขันขึ้น ในวันที่ 4 ตุลาคม 2567 นี้ ณ สนาม Alpine Golf Club ซึ่งงานแถลงข่าวครั้งนี้ มีเยาวชนทั้งชายและหญิง พันธมิตรผู้สนับสนุนการแข่งขัน ตัวแทนสมาคมกีฬากอล์ฟแห่งประเทศไทย โปรกอล์ฟ และแขกผู้มีเกียรติเข้าร่วมงานอย่างคับคั่ง ณ สนาม Alpine Golf Club จังหวัดปทุมธานี

นายธีร์ เพิ่มพงศ์พันธ์ รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า โครงการ MAZDA U.S. COLLEGE PREP JUNIOR GOLF CHAMPIONSHIP 2024 เป็นโครงการที่ถือกำเนิดขึ้นจากแรงบันดาลใจของมาสด้า ที่ต้องการต่อเติมเสริมความฝันให้กับเยาวชนไทยทั้งชายและหญิงที่ชื่นชอบในกีฬากอล์ฟ มีโอกาสแสดงศักยภาพของตนเองได้อย่างเต็มที่บนสนามแข่งขันชั้นนำระดับโลก พร้อมผลักดันขีดความสามารถให้ก้าวไปข้างหน้าได้อย่างไม่หยุดยั้ง พร้อมทั้งริเริ่มโครงการ MAZDA EXCLUSIVE TOURNAMENT 2024 เพื่อมอบสิทธิประโยชน์แบบเอ็กซ์คลูซีฟให้กับลูกค้าครอบครัวมาสด้าได้เข้าร่วมการแข่งขันกอล์ฟทัวร์นาเม้นต์พิเศษ ซึ่งเป็นกิจกรรมที่มาสด้ามุ่งมั่นตั้งใจจัดขึ้นเพื่อแทนคำขอบคุณลูกค้า ที่เลือกใช้รถยนต์มาสด้าเป็นยานพาหนะคู่ใจไปตลอดการเดินทาง

การส่งเสริมและยกระดับศักยภาพของผู้คน โดยเฉพาะเยาวชนให้มีโอกาสได้ทำในสิ่งที่ตนเองรัก โดยเฉพาะด้านกีฬาคือสิ่งที่มาสด้าให้ความสำคัญตลอดมา มีวัตถุประสงค์เพื่อผลักดันให้เยาวชนที่ต้องการเดินตามความฝัน ได้มีโอกาสแสดงศักยภาพของตนเองอย่างเต็มที่เพื่อก้าวไปสู่การแข่งขันในระดับโลก และนำเอาความรู้ทักษะที่ได้รับจากการแข่งขันไปฝึกฝนพัฒนาต่อยอดเป็นนักกีฬาอาชีพต่อไปในอนาคต เช่นเดียวกับการริเริ่มโครงการในครั้งนี้ เพื่อผลักดันเยาวชนคนไทยทั้งชายและหญิงที่มีความสามารถ ให้ก้าวไปสู่เส้นทางการเป็นนักกอล์ฟอาชีพที่ทัดเทียมกับนานาชาติ มาสด้าเล็งเห็นว่าเยาวชนไทยก็มีความสามารถไม่แพ้นักกีฬาจากประเทศอื่น ๆ ดังนั้น ถ้าหากเรามอบโอกาสและพื้นที่ในการแสดงศักยภาพให้กับเยาวชนกลุ่มนี้ ก็จะมีส่วนช่วยผลักดันให้พวกเขาประสบความสำเร็จบนเส้นทางที่เขาเลือกได้ในอนาคต

โครงการ ‘MAZDA U.S. COLLEGE PREP JUNIOR GOLF CHAMPIONSHIP 2024’ เป็นโครงการที่มาสด้าจัดขึ้นร่วมกับพันธมิตร เพื่อมอบสิทธิประโยชน์แบบเอ็กซ์คลูซีฟให้กับมาสด้าแฟมิลี่ที่ชื่นชอบในกีฬากอล์ฟ ได้มีโอกาสเดินตามความฝันและมุ่งสู่การเป็นนักกอล์ฟมืออาชีพ โดย เปิดรับสมัครเยาวชนจำนวน 39 คน เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา (แบ่งเป็นชาย 25 คน และหญิง 14 คน) เพื่อเข้าร่วมการแข่งขัน ‘รอบคัดเลือก’ เตรียมจัดขึ้นในวันศุกร์ที่ 4 ตุลาคม 2567 ณ สนาม Alpine Golf Club จังหวัดปทุมธานี โดยผู้ชนะเลิศและทำผลงานดีที่สุด 16 อันดับแรกของแต่ละประเภท จะได้รับสิทธิ์เข้าสู่การแข่งขันรอบสุดท้ายในโครงการ ‘MAZDA U.S. COLLEGE PREP JUNIOR GOLF CHAMPIONSHIP 2024’ ในเดือนพฤศจิกายน 2567 ที่สำคัญ ในวันแข่งขันจะมีโค้ชจากมหาวิทยาลัยชั้นนำจากสหรัฐอเมริกาเดินทางมาร่วมสังเกตทักษะฝีมือการเล่นของแต่ละบุคคล ซึ่งเยาวชนที่มีความสามารถโดดเด่นจะมีโอกาสได้รับการเสนอทุนการศึกษา เพื่อปูทางสู่การเป็นนักกอล์ฟมืออาชีพ นอกจากนั้น นักกอล์ฟจำนวนครึ่งหนึ่งที่เข้าแข่งขันในรอบ CHAMPIONSHIP ที่ทำผลงานได้ดีที่สุดจะได้รับคัดเลือกเพื่อเดินทางไปเข้าร่วมการแข่งขันที่ประเทศสหรัฐอเมริกาต่อไป

นอกจากจะมอบโอกาสให้เยาวชน ได้มีโอกาสก้าวสู่การเป็นนักกอล์ฟมืออาชีพในระดับโลกแล้ว มาสด้ายังได้เปิดตัวอีกหนึ่งโครงการพิเศษ เพื่อมอบสิทธิพิเศษให้กับมาสด้าแฟมิลี่โดยเฉพาะ ด้วยการเชิญชวนลูกค้าผู้ใช้รถยนต์มาสด้าและครอบครัว เข้าร่วมสนุกออกรอบเล่นกอล์ฟเป็น ก๊วน พร้อมร่วมกิจกรรมสุดเอ็กซ์คลูซีฟ ภายใต้โครงการ ‘MAZDA EXCLUSIVE TOURNAMENT 2024’ ซึ่งมาสด้าได้เปิดรับสมัครนักกอล์ฟลูกค้าเจ้าของรถยนต์มาสด้าจำนวน 46 คัน จำนวนนักกอล์ฟ 89 คน เข้าร่วมการแข่งขันในวันศุกร์ที่ 4 ตุลาคม 2567 ณ สนามกอล์ฟ Alpine Golf Club จังหวัดปทุมธานี โดยตั้งแต่เปิดรับสมัครไปเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา มีลูกค้าผู้ใช้รถยนต์มาสด้าให้ความสนใจเข้าร่วมกิจกรรมในครั้งนี้มากกว่า 100 คัน และได้มีการประกาศรายชื่อผู้ที่ผ่านการคัดเลือกเพื่อเข้าร่วมการแข่งขันทั้งหมดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

“ทั้งสองโครงการนี้ เกิดขึ้นจากความมุ่งมั่นตั้งใจจริงของมาสด้าที่ต้องการยกระดับประสบการณ์และสร้างความสัมพันธ์อันดีกับลูกค้า เพื่อขอบคุณที่เลือกใช้รถยนต์มาสด้าเป็นพาหนะคู่ใจของทุกคนในครอบครัวไปตลอดการเดินทาง ซึ่งนอกจากลูกค้าจะได้รับโอกาสเพื่อออกเดินทางตามความฝันในการเป็นนักกอล์ฟอาชีพในระดับสากลแล้ว ยังได้รับความรู้และสัมผัสประสบการณ์ความสนุกจากการเล่นกอล์ฟออกรอบเป็นก๊วนอีกด้วย ซึ่งถือเป็นกิจกรรมที่จัดขึ้นเพื่อดูแลลูกค้าและส่งเสริมให้ได้ทำในสิ่งที่ตนเองรัก โดยมาสด้าให้ความสำคัญกับการเอาใจใส่ดูแลลูกค้ามาเป็นอันดับหนึ่ง ภายใต้ Customer Experience Management (CXM) หรือการจัดการประสบการณ์ลูกค้า เน้นสร้างความพึงพอใจสูงสุดเพื่อสร้างรากฐานให้มั่นคง รวมถึงมุ่งมั่นสร้างแบรนด์ผ่านกลยุทธ์ Brand Value Management (BVM) หรือ การสร้างมูลค่าของแบรนด์ เพื่อสร้างการเติบโตให้มั่นคงและยั่งยืนในระยะยาว ซึ่งเป็นสิ่งที่มาสด้าตั้งใจมอบให้กับลูกค้าทุกคน” นายธีร์ กล่าวเพิ่มเติม

ภายในงานฯ มาสด้ายังได้ร่วมมือกับพันธมิตร ประกอบด้วย Adidas, Taylormade, สิงห์ คอร์ปอเรชั่น และ บริษัท AR รวมทั้ง โปรแพรว ภัทราพร ศรีภัทรประสิทธิ์ นักกอล์ฟสาวไทยดีกรีไม่ธรรมดา เพราะเป็นถึงเจ้าของตำแหน่ง มิสทัวริซึ่ม ไทยแลนด์ 2020 ร่วมกันจัดกิจกรรม Mazda Golf Clinic ให้กับเยาวชนที่มาร่วมงานแถลงข่าวโดยมีโปรกอล์ฟอาชีพเป็นผู้มอบความรู้และสอนทักษะทั้งการไดร์ฟกอล์ฟ และการพัตต์กอล์ฟ พร้อมทั้งมีการจัดกิจกรรมให้คำแนะนำโดย US College ให้กับนักกีฬา เพื่อให้ข้อมูลรายละเอียดเกี่ยวกับโครงการ สิทธิประโยชน์สำหรับผู้เข้าแข่งขันและผู้ชนะเลิศในการเข้าสู่การแข่งขัน JWCI (Junior World Cup Invitational 2025) พร้อมทั้งให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการแข่งขัน MAZDA U.S. COLLEGE PREP JUNIOR GOLF CHAMPIONSHIP 2024 เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมสำหรับการแข่งขันรอบคัดเลือกที่จะถึงในวันศุกร์ที่ 4 ตุลาคม 2567 นี้

มาสด้าเชื่อมั่นในศักยภาพของคนไทยที่มี Challenger Spirit เฉกเช่นเดียวกับแบรนด์มาสด้า ที่ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคและพร้อมที่จะก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง ซึ่งมาสด้าจะยังคงเดินหน้าส่งมอบคุณค่าที่มากกว่าคุณค่าที่ได้จากรถยนต์ให้กับลูกค้าทุกคน ด้วยการมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดในทุกช่วงเวลา เพื่อให้มาสด้ากลายเป็นส่วนหนึ่งในทุกประสบการณ์ความสุข และเพื่อแทนคำมั่นสัญญาว่า มาสด้าจะเป็นแบรนด์หนึ่งเดียวที่มอบความสุขและสร้างรอยยิ้มให้กับลูกค้ากับ Joy Drives Lives แทนคำขอบคุณที่ลูกค้าไว้วางใจและเลือกใช้รถมาสด้าให้เป็นรถคู่ใจไปตลอดการเดินทาง

ทั้งนี้ มาสด้ายังคงเดินหน้าตามแผนการดำเนินธุรกิจสู่ความยั่งยืน Retention Business Model ซึ่งเป็นกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจรูปแบบใหม่ แต่เพิ่มเติมเป้าหมายใหม่ที่ท้าทายยิ่งขึ้น มุ่งสู่การเป็นแบรนด์อันดับหนึ่งด้าน Customer Retention และเป็นแบรนด์ที่ลูกค้าเลือก คือ Top Retention Brand ให้บริการที่ลูกค้าพึงพอใจ Top Service Retention นำเสนอคุณค่าของแบรนด์ผ่านประสบการณ์และความพึงพอใจสูงสุดของลูกค้า ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่มาสด้ามุ่งมั่นให้ความสำคัญกับการสร้างมูลค่าแบรนด์ (Brand Value Management) ก้าวสู่การเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต

มาสด้ายังคงยึดมั่นแนวทางในการสร้างแบรนด์ให้แข็งแกร่งและยั่งยืนในประเทศไทย เพื่อมุ่งสู่การเป็นแบรนด์อันดับหนึ่งในด้าน Customer Retention และ Service Retention เพื่อแทนคำมั่นสัญญาว่ามาสด้าจะเป็นแบรนด์หนึ่งเดียว ที่มอบความสุขและสร้างรอยยิ้มให้กับลูกค้าทุกคน แทนคำขอบคุณที่ลูกค้าไว้วางใจและเลือกใช้รถมาสด้าให้เป็นพาหนะคู่ใจไปตลอดการเดินทาง นับจากวันนี้และตลอดไป

‘เอ็มจี’ เดินหน้าส่งมอบรถยนต์ ‘ALL NEW MG3 HYBRID+’ ให้ลูกค้า พร้อมลุยการตลาด!! จัดกิจกรรมสัญจรทั่วประเทศ เน้นการทดลองขับจริง

(14 ก.ย.67) ซีพี จำกัด และ บริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและผู้จำหน่ายรถยนต์เอ็มจีในประเทศไทย ทยอยส่งมอบ ALL NEW MG3 HYBRID+ จากสายการผลิตในประเทศไทย ถึงมือลูกค้าทั่วประเทศ โดยผู้ที่สนใจสามารถชมและทดลองขับ ALL NEW MG3 HYBRID+ พร้อมพบกับแคมเปญพิเศษได้ที่โชว์รูม เอ็มจี และกิจกรรมสัญจรทั่วประเทศตั้งแต่กลางเดือนกันยายนนี้เป็นต้นไป

นายพงษ์ศักดิ์ เลิศฤดีวัฒนวงศ์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “ในช่วงปี 2024 เอ็มจี ตั้งใจที่จะนำนวัตกรรมไฮบริดรุ่นนี้เข้ามาสร้างประสบการณ์ใหม่ให้กับตลาด ด้วยระดับราคาที่เข้าถึงได้ง่าย โดย ALL NEW MG3 HYBRID+ มีความโดดเด่นด้านการตัดต่อกำลังระหว่างเครื่องยนต์ กับระบบไฟฟ้า ทำให้สมรรถนะใกล้เคียงกับรถยนต์ไฟฟ้าแต่ยังได้ความรู้สึกการขับรถน้ำมัน และจุดเด่นที่สำคัญ คือการบริโภคเชื้อเพลิงที่ประหยัด โดยอัตราสิ้นเปลืองที่ทำได้สูงสุดถึง 26.3 กิโลเมตรต่อลิตร* ซึ่งสื่อมวลชนได้ทำระยะทางได้ไกลสูงสุดมากกว่า 800 กิโลเมตร แต่ยังให้สมรรถนะการขับขี่ที่เร้าใจ โดยราคาจำหน่ายอย่างเป็นทางการของ ALL NEW MG3 HYBRID+ รุ่นเริ่มต้นหรือรุ่น D อยู่ที่ 579,900 บาท และรุ่น X ในราคา 619,900 บาท พิเศษ! ราคาในช่วงแนะนำจะลดลงจากราคาตั้ง รุ่นละ 20,000 บาท ซึ่งจะสิ้นสุดเร็วๆ นี้ ทั้งนี้ เอ็มจี ได้ทยอยส่งมอบรถยนต์ ALL NEW MG3 HYBRID+ ให้กับลูกค้าที่จองเข้ามาแล้ว”

สำหรับลูกค้าที่สนใจสามารถสัมผัสประสบการณ์ไฮบริดครั้งใหม่กับ ALL NEW MG3 HYBRID+ โดย เอ็มจี ได้เตรียมจัดกิจกรรมสัญจรทั่วประเทศ ตั้งแต่กลางเดือนกันยายนจนถึงสิ้นเดือนพฤศจิกายนนี้

• ศูนย์การค้าเซ็นทรัล นครปฐม วันที่ 12-18 กันยายน 2567
• อยุธยาซิตี้พาร์ค อยุธยา วันที่ 28 กันยายน 2567 – 6 ตุลาคม 2567
• ศูนย์การค้าแฟชั่น ไอส์แลนด์ รามอินทรา (Fashion Island) วันที่ 27 กันยายน – 6 ตุลาคม 2567
• ศูนย์การค้าเซ็นทรัล พิษณุโลก วันที่ 1-7 ตุลาคม 2567
• ศูนย์การค้าเซ็นทรัล เวสต์เกต (Central Westgate) วันที่ 25- 31 ตุลาคม 2567
• ศูนย์การค้าเซ็นทรัล ขอนแก่น วันที่ 1-7 พฤศจิกายน 2567
• ศูนย์การค้าเซ็นทรัล ภูเก็ต วันที่ 21-27 พฤศจิกายน 2567

สามารถติดตามข้อมูลและรายละเอียดเกี่ยวกับกิจกรรมต่างๆ ได้ในช่องทาง FACEBOOK: MGTHAILAND

ลูกค้าที่สนใจสามารถชมข้อมูลตัวรถ ALL NEW MG3 HYBRID+ เพิ่มเติมได้ https://new-mg3.mgcars.com/en/cars/all-new-mg3-hybrid-plus 

หรือสามารถชมและทดลองขับได้ที่โชว์รูม เอ็มจี กว่า 150 แห่ง ทั่วประเทศ โดยสามารถจองขับได้ที่ลิงก์ https://hellohybridplus.mgcars.com/

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ MG CALL CENTRE โทร. 1267

สตม. ทลายโกดังจีน ปลอมเครื่องสำอางแบรนด์ดังและเครื่องสำอางเถื่อน มูลค่ากว่า 4 ล้านบาท 

ตามนโยบายของ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ธนา ชูวงศ์ รอง ผบ.ตร./ผอ.ศูนย์ปราบปรามคนร้ายข้ามชาติและเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ, พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข ผู้ช่วย ผบ.ตร.รรท.รอง ผบ.ตร. ได้สั่งการให้ สตม. สกัดกั้น ตรวจสอบ ระดมจับกุมคนต่างด้าวที่เข้ามาประกอบธุรกิจผิดกฎหมายในประเทศไทย รวมทั้งให้ดำเนินการตรวจสอบ ชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม ในขณะที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทย กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ หรือ กลุ่มคนร้ายข้ามชาติที่เข้ามา แฝงตัวอยู่ก่อเหตุ หรือโดยใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการกระทำความผิด   

ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.อิทธิพล อิทธิสารรณชัย ผบช.สตม., พล.ต.ท.ชูฉัตร ธารีฉัตร ผทค.พิเศษ ตร.รรท.รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.ประสาธน์ เขมะประสิทธิ์ ผบก.ตม.1, พล.ต.ต.ณัฐกร ประภายนต์ ผบก.ตม.3, พล.ต.ต.ประพันธ์ศักดิ์ ประสานสุข ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.รัฐโชติ โชติคุณ รอง ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.เพลิน กลิ่นพยอม รอง ผบก.ตม.3, พ.ต.อ.ปริญญา กลิ่นเกษร รอง ผบก.ตม.1, พ.ต.อ.กาจภณ ปฐมัง ผกก.สส.บก.ตม.1, พ.ต.อ.รัฐพงศ์ แก้วยอด ผกก.4 บก.สส.สตม., พ.ต.อ.ปกฉัตร ชัยสุกวัฒน์. ผกก.ตม.จว.สมุทรสาคร ร่วมแถลงข่าวการจับกุมผู้ต้องหารายสำคัญ ดังนี้

ตม.จว.สมุทรสาคร ร่วมกับ กก.สส.บก.ตม.3, สภ.เมืองสมุทรสาคร, เจ้าหน้าที่สาธารณสุขสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสมุทรสาคร, สำนักงานจัดหางานจังหวัดสมุทรสาคร และฝ่ายปกครองอำเภอเมืองสมุทรสาครจับกุม นางยู (สงวนนามสกุล) อายุ 30 ปี สัญชาติจีน โดยกล่าวหาว่าเป็นคนต่างด้าวทำงานนอกเหนือจากที่มีสิทธิจะทำได้, รับคนต่างด้าว ที่ไม่มีใบอนุญาตทำงานเข้าทำงาน, มีไว้เพื่อขายซึ่งผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางที่แสดงฉลากไม่ถูกต้อง และช่วยซ่อนเร้น รับไว้ โดยประการใดซึ่งของอันตนพึงรู้ว่าเป็นของอันเนื่องด้วยความผิดตามมาตรา 242 ตามมาตรา 246 แห่ง พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ.2560 และจับกุมนายหวัง (สงวนนามสกุล) อายุ 38 ปี, นายซู (สงวนนามสกุล) อายุ 30 ปี, นายเหลียง (สงวนนามสกุล) อายุ 32 ปี และนายกวน (สงวนนามสกุล) อายุ 35 ปี สัญชาติจีน โดยกล่าวหาว่า เป็นคนต่างด้าวทำงานโดยไม่มีใบอนุญาตทำงาน นำตัวส่งพนักงานสอบสวน สภ.เมืองสมุทรสาคร ดำเนินคดีตามกฎหมาย สถานที่จับกุม โกดังตั้งอยู่ในพื้นที่ ต.ท่าทราย อ.เมืองสมุทรสาคร จว.สมุทรสาคร

ก่อนการจับกุมเจ้าหน้าที่ชุดจับกุมได้รับแจ้งจากสายลับว่าที่โกดังแห่งหนึ่ง ต.ท่าทราย อ.เมือง จว.สมุทรสาคร มีคนต่างด้าวสัญชาติจีน ลักลอบทำงานขายสินค้าประเภทเครื่องสำอางที่ผิดกฎหมาย เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมจึงได้รายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบและเข้าทำการตรวจสอบพบคนต่างด้าวสัญชาติจีน จำนวน 5 คน กำลังนั่งทำงาน แพ็คของ ยกของ เรียงสินค้า อยู่ภายในโกดัง โดยมี นางยู (สงวนนามสกุล) สัญชาติจีน แสดงตัวเป็นผู้ดูแลโกดัง และพบว่าโกดังดังกล่าวเป็นสถานที่จัดเก็บและกระจายสินค้า ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีเลขที่จดแจ้ง และไม่แสดงฉลากภาษาไทย จึงได้ตรวจยึดและอายัดของกลางรวม 8 รายการ จำนวน 6,000 ชิ้น มูลค่า 3,739,300 บาท โดยเป็นเครื่องสำอางต้องสงสัยว่าเป็นเครื่องสำอางปลอมและเป็นเครื่องสำอางไม่มีเลขที่ใบรับจดแจ้งและเครื่องสำอางไม่แสดงฉลากภาษาไทย จำนวน 8 รายการ ดังนี้

1.เครื่องสำอาง Cetaphil Cleanser 400  ชิ้น
2.เครื่องสำอาง Cetaphil Moisture 550  ชิ้น
3.เครื่องสำอาง CeraVe Lotion 3,000  ชิ้น
4.เครื่องสำอาง CeraVe Cleanser 1,000  ชิ้น
5.เครื่องสำอาง CeraVe Serum 300  ชิ้น
6.เครื่องสำอาง Biore UV 400  ชิ้น
7.เครื่องสำอาง Rtopr cream 200  ชิ้น
8.เครื่องสำอาง Dermatrix Ultra Gel 150  ชิ้น

จากการสืบสวนเพิ่มเติมพบว่าโกดังเก็บสินค้าดังกล่าว มีการบริหารจัดการในลักษณะ 'เก็บ แพ็ค ส่ง' หรือ Fulfillment โดยพนักงานแจ้งว่าสถานที่ดังกล่าวเป็นโกดังกระจายสินค้า โดยกลุ่มนายทุนชาวจีนดังกล่าว จะเปิดร้านค้าบนแพลตฟอร์มออนไลน์เพื่อใช้โฆษณาสินค้าเป็นจำนวนมากเพื่อกระจายการโฆษณาจากนั้นจะส่งออเดอร์ – ที่อยู่การจัดส่งผ่านระบบโปรแกรมบริหารคลังสินค้าแล้วให้พนักงานทำการแพ็คบรรจุ และส่งให้กับลูกค้าชาวไทย โดยมียอดการส่งสินค้ากว่า 1,000 ชิ้น/วัน เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมจึงได้จับกุมคนต่างด้าวทั้ง 5 ราย ดำเนินคดีในข้อหาดังกล่าว

‘หมออั้ม’ โพสต์เฟซ ‘3 ประโยค’ ได้ใจชาวเชียงราย ชี้!! ‘อุ๊งอิ๊ง’ มี วุฒิภาวะนายกรัฐมนตรี

เมื่อวานนี้ (13 ก.ย.67)  ‘หมออั้ม’ อิราวัต อารีกิจ อดีตนักร้องชื่อดังและนักเคลื่อนไหวทางการเมือง โพสต์คลิปผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวพร้อมระบุข้อความว่า ...

‘เอามือลง ไม่ต้องไหว้’
‘ไม่เหลืออะไร ยังเหลือชีวิต’
‘ทุกคนส่งกำลังใจมา ทั้งรัฐบาลและฝ่ายค้าน’
นี่คือ 'วุฒิภาวะนายกรัฐมนตรี'

โคตรแตกต่าง กับอ้ายอีหน้าคีย์บอร์ด
ที่ทำแบบนางไม่ได้ ‘ทุกตรง..ของชีวิต’
แต่คอยหาเรื่องแซะด่าเขา คอยด่าลับหลัง
แม้แต่แคปชันมินิฮาร์ท ที่นักข่าวถ่าย ยังเอาไปแขวะ

อันนี้น่าสมเพชนะ ดูสันดานคนออกเลย

นักวิชาการ จี้รัฐ!! เร่งแก้ปัญหาแรงงานต่างด้าว ‘เมียนมา’ แย่ง!! อาชีพคนไทย-ตั้งธนาคารเอง-ตั้งตัวเป็นเจ้าของตลาด

เมื่อวานนี้ (13 ก.ย.67) นักวิชาการด้านเศรษฐกิจ และฝ่ายความมั่นคง เห็นตรงกันว่า ปัญหาแรงงานต่างด้าวเป็นภาระด้านงบประมาณของประเทศ โดยเฉพาะด้านสาธารณสุขและการศึกษา ซึ่ง สพฐ.ต้องให้เด็กต่างด้าวเรียนฟรีถึง 15 ปี อีกทั้งเข้ามาแย่งสารพัดอาชีพของไทย ผันตัวสู่เจ้าของธุรกิจ เดินรถสองแถว รับเหมาก่อสร้าง ปล่อยเช่าคอนโด ‘พล.ท.นันทเดช’ เผย ‘เมียนมา’ ล้ำเส้น ถึงขั้นตั้งธนาคาร มีกำนัน-ผู้ใหญ่บ้านของตัวเอง ตั้งตัวเป็นเจ้าของตลาด แถมมี สส.บางพรรค อยู่เบื้องหลังการเคลื่อนไหว ด้าน ‘รศ.ดร.อัทธ์’ แนะ เร่งจัดระเบียบ ขึ้นทะเบียน จัดทำฐานข้อมูล เพื่อง่ายต่อการควบคุมและจัดเก็บภาษี

กล่าวได้ว่าปัญหาแรงงานต่างด้าวกลายเป็นประเด็นร้อนต่อเนื่องมานานนับเดือน โดยเฉพาะแรงงานเมียนมาที่ออกมาเคลื่อนไหวเรียกร้องเกินขอบเขต บ้างก็รวมตัวจัดกิจกรรมระดมทุนโดยไม่ขออนุญาต บ้างก็โชว์กร่างข่มขู่คุกคามคนไทย ขณะที่บางพื้นที่มีการลักลอบเปิดโรงเรียน อีกทั้งยังร้องเพลงชาติเมียนมาแบบไม่เกรงใจเจ้าของประเทศ จนเริ่มเกิดกระแสต่อต้านจากคนไทยถึงขั้นที่อยากให้ผลักดันแรงงานเหล่านี้ออกจากประเทศ จนหลายฝ่ายเกรงว่าจะกลายเป็นปัญหาลุกลามบานปลาย และเรียกร้องให้รัฐบาลลงมาจัดการก่อนที่จะสายเกินไป

ส่วนว่าปัญหาแรงงานต่างด้าวที่เกิดขึ้นในขณะนี้จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและความมั่นคงของไทยอย่างไร รวมทั้งจะมีหนทางในการแก้ไขปัญหาดังกล่าวหรือไม่นั้น คงต้องไปฟังความเห็นจะผู้เชี่ยวชาญในเรื่องนี้

รศ.ดร.อัทธ์ พิศาลวานิช นักวิชาการด้านเศรษฐกิจระหว่างประเทศ ให้ข้อมูลที่น่าสนใจว่า ขณะนี้แรงงานต่างด้าว ทั้งเมียนมา ลาว กัมพูชา เวียดนาม และจีน ที่เข้ามาทำงานและอยู่อาศัยในประเทศไทยมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น และรวมกันเป็นชุมชนที่ใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้ยากต่อการควบคุม โดยปัจจุบันคาดว่ามีแรงงานเมียนมาเข้ามาอยู่ในประเทศไทยประมาณ 3-5 ล้านคน รองลงมาคือ แรงงานกัมพูชา 1-2 ล้านคน ตามด้วยแรงงานลาวไม่เกิน 1 ล้านคน ขณะที่แรงงานเวียดนามอยู่ที่ประมาณ 4-5 แสนคน ซึ่งแรงงานที่เริ่มสร้างปัญหาคือแรงงานเมียนมาเนื่องจากจับกลุ่มกันเป็นจำนวนมาก จึงเริ่มมีการชุมนุมเคลื่อนไหวที่นั่นที่นี่ มีการนัดรวมกลุ่มกันทำกิจกรรมที่อาจจะเกี่ยวข้องกับการเมือง บ้างทำตัวเป็นมาเฟีย เกะกะระราน ทำให้เกิดปัญหาสังคมและอาชญากรรมตามมา

ซึ่งแรงงานต่างชาติที่เข้ามาทำงานในไทยนั้นมีทั้งที่ขึ้นทะเบียนถูกกฎหมายและลักลอบทำงาน แน่นอนว่าคนที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนก็ไม่อยู่ในระบบภาษี ไม่ต้องเสียภาษี อีกทั้งต่างด้าวที่ลับลอบทำธุรกิจในไทยก็ไม่ต้องเสียภาษี แต่เขาใช้ระบบสาธารณูปโภคของไทย ใช้บริการการแพทย์ของไทย แรงงานเหล่านี้เมื่อเข้ามาอยู่แล้วบางคนก็จะมีลูกมีหลาน ซึ่งถือเป็นปัญหาใหญ่ทั้งในปัจจุบันและในอนาคต เพราะหากเจ็บป่วย เด็กเหล่านี้ก็เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลของไทย และเมื่อถึงวัยเรียนก็มีสิทธิเข้าเรียนในระบบการศึกษาของไทย เนื่องจากสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.) มีนโยบายให้เด็กต่างด้าวสามารถเข้ารับการศึกษาได้ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย ตามนโยบายเรียนฟรี 15 ปี ซึ่งถือเป็นภาระด้านงบประมาณของไทยอย่างมาก

สอดคล้องกับ พล.ท.นันทเดช เมฆสวัสดิ์ อดีตหัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการพิเศษ ศูนย์รักษาความปลอดภัยแห่งชาติ (ศรภ.) ซึ่งระบุว่า การที่ชาวเมียนมาเข้ามาอยู่ในประเทศไทยจำนวนมากนั้นส่งผลกระทบต่องบประมาณและการบริการด้านสาธารณสุขของไทย เพราะเรามีการจัดสรรงบประมาณด้านสาธารณสุขไว้จำนวนหนึ่ง เมื่อชาวเมียนมาที่เข้ามาอยู่ในไทยใช้บริการสาธารณสุขที่เราเตรียมไว้เพื่อดูแลคนไทย งบประมาณและบุคลากรการแพทย์ของไทยก็จะถูกแบ่งไปดูแลแรงงานต่างด้าวเหล่านี้รวมถึงลูกหลานที่เกิดขึ้นมา เพราะแม้แรงงานต่างด้าวที่ขึ้นทะเบียนถูกต้องจะใช้สิทธิการรักษาตามระบบประกันสังคมที่เขาส่งเงินสมทบ แต่ก็มีแรงงานอีกส่วนหนึ่งที่เข้ามาแบบผิดกฎหมาย รวมถึงบรรดาลูกหลานของแรงงานต่างด้าวที่ไม่ได้ส่งเงินสมทบแต่ใช้บริการสาธารณสุขด้วยเหมือนกัน ทำให้คนไทยได้รับบริการไม่เต็มที่ แม้แต่ชาวเมียนมาที่อยู่ในพม่าเมื่อเจ็บป่วยหรือจะคลอดบุตรก็เข้ามารักษาและทำคลอดที่โรงพยาบาลในประเทศไทย มาใช้ระบบสาธารณสุขในไทย ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงมาก

นอกจากนั้นแรงงานเหล่านี้ยังพยายามเรียกร้องให้แรงงานเมียนมาสามารถขอต่อใบอนุญาตทำงานของแรงงานต่างด้าวในประเทศไทย(Work Permit) โดยไม่ต้องเดินทางกลับประเทศต้นทางคือประเทศเมียนมาก่อน ซึ่งไม่สามารถทำได้เช่นกัน เพราะขัดกับระเบียบของไทย และเชื่อว่าจะมีปัญหาอื่น ๆ เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆเพราะชาวเมียนมากำลังเรียกร้องให้มีการขึ้นค่าแรงเป็น 400 บาทต่อวัน ซึ่งเมื่อประกาศขึ้นค่าแรงไปแล้วผลประโยชน์ไม่ได้ตกอยู่กับแรงงานไทย เพราะงานที่ไม่ได้ใช้ทักษะฝีมือนั้นแรงงานส่วนใหญ่ไม่ใช่คนไทย ขณะเดียวกันผลกระทบที่ตามมาคือภาระต้นทุนที่เพิ่มขึ้นของผู้ประกอบการ ทำให้สินค้าไทยไม่สามารถแข่งขันกับประเทศอื่น ๆ ได้ ไม่ว่าจะเป็น จีน หรือเวียดนาม อีกทั้งคนไทยยังต้องเผชิญกับค่าครองชีพที่เพิ่มขึ้นเนื่องจากราคาสินปรับตัวสูงขึ้น

“ปัญหาที่หนักมากในขณะนี้คือชาวเมียนมาเข้ามาประกอบอาชีพต่าง ๆ แข่งกับคนไทย ไม่ว่าจะเป็นเปิดร้านขายอาหาร ขายสินค้าต่าง ๆ ตลาดสดบางแห่งพ่อค้าแม่ค้ามีแต่คนเมียนมา บางพื้นที่เจ้าของตลาดเป็นเมียนมา ซึ่งสิ่งเหล่านี้มันผิดกฎหมายของไทย แต่ขบวนการควบคุมแรงงานต่างด้าวของเรามันล้าหลังมาก เจ้าหน้าที่ตำรวจอยู่ใต้อิทธิพลของชาวเมียนมา เพราะเขาจ่ายเงินให้” พล.ท.นันทเดช กล่าว

สำหรับปัญหาที่ต่างด้าวเข้ามาแย่งอาชีพคนไทย โดยเฉพาะแรงงานเมียนมานั้น 'รศ.ดร.อัทธ์' มองว่า ชาวเมียนมาที่เข้ามาทำงานในประเทศไทยในปัจจุบันได้เปลี่ยนรูปแบบไปจากเดิม โดยยุคแรกจะเป็นแรงงานที่เข้ามาทำงานในภาคการผลิต โดยเฉพาะกิจการที่คนไทยไม่นิยมทำ เช่น ประมง ก่อสร้าง โรงงานอุตสาหกรรม ยุคที่สองแรงงานเมียนมาเริ่มเข้าไปสู่ภาคบริการ เช่น พนักงานเสิร์ฟ พนักงานปั๊มน้ำมัน แม่บ้าน ลูกจ้างขายของ และปัจจุบัน คือยุคที่สาม ได้ขยายไปสู่การเป็นเจ้าของกิจการ ซึ่งแบ่งเป็น 1.ธุรกิจที่คนไทยทำอยู่แล้ว เช่น เปิดร้านขายของ เปิดบริษัททัวร์ รับเหมาก่อสร้าง บริษัทรับจัดสวนตัดแต่งต้นไม้ 2.ธุรกิจที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเมียนมา เช่น เปิดร้านขายสินค้าให้ชาวเมียนมาโดยเฉพาะ ขับรถสองแถวรับส่งชาวเมียนมาในไทย ซื้อคอนโดฯและปล่อยให้นักธุรกิจชาวเมียนมาเช่า ธุรกิจค้าส่งค้าปลีกระหว่างไทยกับเมียนมา ธุรกิจท่องเที่ยว และ 3.ธุรกิจที่ใช้ประเทศไทยเป็นฐานเพื่อทำธุรกิจกับประเทศอื่น

“นักธุรกิจเมียนมาจะเข้ามาหลายรูปแบบ บ้างก็เข้ามาแต่งงานกับคนไทยและหาลู่ทางทำธุรกิจ บางคนก็เข้ามาทำธุรกิจโดยตรง เช่น เข้ามาซื้อคอนโดเพื่อปล่อยเช่า เนื่องจากกฎหมายของไทยอนุญาตให้ชาวต่างชาติสามารถเป็นเจ้าของคอนโดได้ 49% ของพื้นที่ขายทั้งหมด และตอนนี้เรากำลังจะแก้สัดส่วนให้ซื้อได้ถึง 75% ของพื้นที่ ต่างด้าวบางคนก็เปิดบริษัทรับเหมาก่อสร้างโดยซับงานจากผู้รับเหมาไทยอีกที พวกนี้มีทั้งที่เป็นเมียนมาและกัมพูชา บ้างก็เปิดบริษัทรับทำความสะอาดและรับจัดสวนแบบเหมาทำทั้งหมู่บ้านเลย ซึ่งบางธุรกิจอาจจะผิดกฎหมายแต่เขามีวิธีซิกแซ็ก และให้บริการในราคาที่ถูกกว่าของไทย หรือบางธุรกิจคนไทยก็ไม่ทำ” รศ.ดร.อัทธ์ กล่าว

ขณะที่ พล.ท.นันทเดช ชี้ว่า ปัจจุบันมิติของแรงงานต่างด้าวไม่ได้อยู่แค่ปัญหาแรงงานแต่ขยายไปยังเรื่องอื่นๆ ด้วยโดยเฉพาะแรงงานเมียนมาซึ่งขณะนี้ได้ออกมาเคลื่อนไหวเรียกร้องในหลายประเด็น เช่น เรียกร้องให้รัฐบาลให้สัญชาติไทยแก่เด็กเมียนมาที่เกิดในไทย ซึ่งเรื่องนี้ไม่สามารถทำได้ อีกทั้งปัญหาแรงงานเมียนมาอาจจะนำไปสู่ปัญหาทางการเมืองระหว่างประเทศ เนื่องจากไทย เมียนมา และ สปป.ลาว นั้นมีสัญญาชัดเจนว่าจะไม่เข้าไปแทรกแซงกิจการภายในระหว่างกัน แต่แรงงานเมียนมาที่เข้ามาอยู่ในไทยส่วนใหญ่จะต่อต้านรัฐบาลทหารพม่า อีกทั้งยังตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของพรรคการเมืองไทยบางพรรค โดยมี สส.ของพรรคดังกล่าวเข้าไปยุยงแรงงานเมียนมาให้ลุกขึ้นมาเคลื่อนไหว และมีการเรียกร้องสิทธิต่าง ๆ

“เรามีชาวเมียนมาที่เข้ามาทำงานแบบไม่ถูกต้องตามกฎหมายนับล้านคน พอมีลูกก็พยายามจะเรียกร้องสิทธิให้ลูก อยากให้ลูกได้สัญชาติไทย บางส่วนก็ออกเคลื่อนไหวต่อต้านรัฐบาลทหารเมียนมา มีการรวมกลุ่มเคลื่อนไหว ระดมทุน ขณะเดียวกันในชุมชนที่มีแรงงานเมียนมาอยู่เยอะๆก็จะมีธนาคารของตัวเอง โดยมีคนที่เป็นโต้โผรับฝาก-ถอนเงิน มีตลาดซื้อขายสินค้าของตัวเอง อย่างเช่นที่ตลาดพระโขนง นอกจากนั้นยังมีกำนันผู้ใหญ่บ้านของตัวเอง เช่น ที่ จ.สมุทรสาคร โดยจะมีไลน์กลุ่มชาวเมียนมา คนเมียนมาไปทำงานที่ไหน เขาเข้าไปดูแลหมด” พล.ท.นันทเดช ระบุ

ส่วนกรณีที่หลายฝ่ายเห็นว่ารัฐบาลควรเร่งแก้ปัญหาแรงงานต่างด้าวนั้น 'รศ.ดร.อัทธ์' กล่าวว่า ตนเห็นด้วยอย่างยิ่งว่าถึงเวลาที่รัฐบาลจะจัดระเบียบแรงงานต่างด้าวทั้งหมด เนื่องจากปัจจุบันเราไม่รู้ว่าแรงงานแต่ละคนทำงานที่ไหน อย่างไร และพักอยู่ที่ไหน เราจึงต้องมีการสำรวจ ขึ้นทะเบียน และจัดทำฐานข้อมูลว่าปัจจุบันมีแรงงานประเทศใดเข้ามาในไทยบ้าง จำนวนเท่าไหร่ ทำงานอะไรหรือเข้ามาทำธุรกิจอะไร พักอยู่ที่ไหน มีลูกหรือเปล่า ซึ่งนอกจากจะทำให้สามารถจัดเก็บภาษีได้เต็มเม็ดเต็มหน่วยแล้ว หากแรงงานเหล่านี้สร้างปัญหาอะไรหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะได้สามารถจัดการได้ทัน

โดยเฉพาะในส่วนของแรงงานเมียนมานั้นรัฐควรจะแยกกลุ่มให้ชัดเจน โดยแบ่งเป็น 3 กลุ่ม คือ 1.แรงงานไร้ฝีมือ ซึ่งต้องสำรวจให้ชัดเจนว่ามีจำนวนเท่าไหร่ อยู่ในอุตสาหกรรมใดบ้าง 2.แรงงานที่มีทักษะฝีมือ จบปริญญาตรี กลุ่มนี้สามารถบรรจุเข้าไปในสายงานที่ไทยขาดแคลนแรงงานเพื่อเพิ่มศักยภาพให้ระบบเศรษฐกิจไทยและช่วยพัฒนาประเทศ และ 3.กลุ่มนักธุรกิจที่มีเงิน ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นคลื่นลูกที่สามของเศรษฐกิจเมียนมา กลุ่มนี้มีศักยภาพด้านเงินทุนแต่ต้องมาจัดระเบียบว่าธุรกิจอะไรที่ทำได้หรือทำไม่ได้ เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะธุรกิจ SME ซึ่งหากแต่ละกลุ่มเข้าสู่ระบบภาษีที่ชัดเจนจะทำให้รัฐสามารถจัดเก็บรายได้ได้มากขึ้น

“เมื่อแรงงานเหล่านี้มีจำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ก็จะมีพลังในการเคลื่อนไหวเรียกร้องเรื่องต่างๆ จึงจำเป็นที่รัฐต้องเร่งจัดระเบียบ ไม่อย่างงั้นเละแน่ ๆ ส่วนแรงงานที่ชอบเคลื่อนไหวหรือยุ่งเกี่ยวกับการเมืองนั้นเมื่อจัดระบบแล้ว เราก็จะสามารถติดตามพฤติกรรมได้ง่ายขึ้น หากพบว่ามีการกระทำผิดก็สามารถดำเนินการได้ เพื่อป้องกันไม่ให้เป็นประเด็นที่จะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศได้” รศ.ดร.อัทธ์ กล่าว

ด้าน ‘พล.ท.นันทเดช’ เห็นว่า เจ้าหน้าที่ควรเข้าไปดูแลและควบคุมแรงงานเมียนมาที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม หากไม่จัดการก็จะลุกลามไปยังแรงงานกลุ่มอื่นๆ โดยเฉพาะแรงงานกัมพูชา ส่วนแรงงานจาก สปป.ลาวนั้นไม่น่าจะมีปัญหาเพราะเขาอยู่ในกรอบกฎหมายของไทย ซึ่งในยุค 20 ปีก่อนไทยเคยมี 'หน่วยปฏิบัติงานพิเศษ' ที่ทำหน้าที่ควบคุมชาวเมียนที่อยู่ในประเทศไทย เป็นการทำงานรูปแบบหนึ่งของหน่วยข่าวกรอง โดยชาวเมียนมาทุกคนต้องมารายงานตัวต่อหน่วยงานดังกล่าวว่าเข้ามาทำอะไรในประเทศไทย พักอยู่ที่ไหน หน่วยงานนี้จะรู้หมดว่ามีชาวเมียนมาเข้ามาในไทยกี่คน อยู่ที่ไหนบ้าง เราสามารถลงไปตรวจว่ายังอยู่ที่เดิมไหม สร้างปัญหาอะไรหรือเปล่า ทำให้เรามีฐานข้อมูลที่ชัดเจนและสามารถควบคุมแรงงานเหล่านี้ได้ แต่ภายหลังได้ยกเลิกไป โดยปัจจุบันหน่วยงานที่ทำงานด้านข่าวกรองของไทยไม่ได้เป็นหน่วยงานอิสระ แต่เป็นหน่วยงานที่ทำงานเพื่อตอบสนองฝ่ายการเมือง จึงละเลยเรื่องความมั่นคง ต่างจากเมื่อก่อนที่ทำงานโดยยึดเรื่องความมั่นคงเป็นหลัก

“แนวทางในการแก้ไขปัญหาแรงงานต่างด้าวนั้นรัฐบาลไทยสามารถดำเนินการในรูปแบบเดียวกับที่สหรัฐอเมริกาทำ คือออกกฎหมายให้ต่างด้าวที่เข้ามาในประเทศไทยทุกคนต้องแจ้งต่อหน่วยงานความมั่นคงภายใน 7 วัน ทำให้รัฐมีฐานข้อมูลเกี่ยวกับแรงงานต่างด้าว สามารถส่งเจ้าหน้าที่ลงไปตรวจสอบว่าเข้าอยู่แล้วได้ทำงานไหม ทำงานอะไร ใบอนุญาตทำงานหมดอายุหรือยัง ถ้าไม่มีใบอนุญาตก็ต้องผลักดันออกนอกประเทศ” พล.ท.นันทเดช กล่าว

สตม.รวบ 3 เครือข่ายแก๊ง East Coast อยู่เกินกำหนดอนุญาต พบประวัติก่อคดีแทงเพื่อนร่วมชาติปางตาย

กก.4 บก.สส.สตม. จับกุม นายโมฮัมเหม็ด (สงวนนามสกุล) อายุ 28 ปี สัญชาติมัลดีฟส์, นายอาชแซม (สงวนนามสกุล) อายุ 26 ปี สัญชาติมัลดีฟส์ และนายอับดุลลา อายุ 19 ปี สัญชาติมัลดีฟส์ โดยกล่าวหาว่าเป็นคนต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด นำตัวส่งพนักงานสอบสวน กลุ่มงานสอบสวน บก.สส.สตม. ดำเนินคดีตามกฎหมาย สถานที่จับกุม คอนโดมิเนียมย่าน ถ.รามคำแหง แขวงหัวหมาก เขตบางกะปิ กรุงเทพฯ 

พฤติการณ์การจับกุม จากการสืบสวนของ กก.4 บก.สส.สตม. พบว่ามีคนต่างด้าวสัญชาติมัลดีฟส์ จำนวน 3 ราย  ได้เข้าพักอาศัยอยู่ที่ คอนโดมิเนียมย่าน ถ.รามคำแหง แขวงหัวหมาก เขตบางกะปิ กรุงเทพฯ มีพฤติการณ์ต้องสงสัย จึงได้วางกำลังซุ่มสังเกตการณ์กระทั่งเวลาต่อมาพบชาวต่างชาติมีลักษณะท่าทางมีพิรุธเดินอยู่บริเวณคอนโดดังกล่าว จึงแสดงตนขอตรวจสอบหนังสือเดินทาง จากการสอบถามทราบชื่อว่านายโมฮัมเหม็ดแต่ไม่สามารถนำหนังสือเดินทางมาแสดงต่อเจ้าหน้าที่ได้โดยแจ้งแก่เจ้าหน้าที่ว่าหนังสือเดินทางของตนนั้นอยู่ภายในห้องพักและได้นำเจ้าหน้าที่ชุดจับกุมขึ้นไปยังห้องพักพบนายอาชแซม และนายอับดุลลา ลักษณะท่าทางมีพิรุธ อยู่ภายในห้องพักดังกล่าว จึงตรวจสอบหนังสือเดินทางพบว่า คนต่างด้าวทั้ง 3 ราย การอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรสิ้นสุดลงแล้ว จึงได้จับกุมนำตัวส่งพนักงานสอบสวน กลุ่มงานสอบสวน บก.สส.สตม. ดำเนินคดีตามกฎหมาย

จากการตรวจสอบเพิ่มเติมพบว่าทั้งสามรายมีประวัติกระทำความผิดในประเทศมัลดีฟส์ในข้อหาร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้อื่นด้วยสิ่งแหลมคมและข่มขู่ผู้อื่นด้วยสิ่งแหลมคม โดยร่วมกันใช้อาวุธแทงผู้เสียหายบริเวณศีรษะ ใบหน้า และร่างกายจนได้รับบาดเจ็บสาหัสและอยู่ในกลุ่มเครือข่าย East Coast Gang อาชญากรรมท้องถิ่นของ มัลดิฟส์ ซึ่งเป็นกลุ่ม ที่ใช้ความรุนแรง และเกี่ยวข้องกับการจำหน่ายยาเสพติด และเป็นบุคคลที่องค์การตำรวจสากลได้ออกประกาศสีแดง (INTERPOL RED NOTICE)  

‘กองทัพเรือภาคที่ 3’ รวมน้ำใจ ชาวภูเก็ต ภาครัฐ-เอกชน ส่ง!! ของกิน-ของใช้-กำลังใจ ช่วยผู้ประสบภัยน้ำท่วมเชียงราย

(14 ก.ย.67) เพจเฟซบุ๊ก ‘เสียงจากทหารเรือ’ ได้โพสต์เรื่องราวดีดี เกี่ยวกับความมีน้ำใจของคนใต้ โดยได้ระบุว่า ...

กองทัพเรือภาคที่ 3 ได้จัดกำลังพลร่วมภาครัฐ และเอกชนในพื้นที่จังหวัดภูเก็ตส่งกำลังใจ และสิ่งของอุปโภค บริโภค ที่ประชาชนชาวภูเก็ตได้นำมาบริจาคเพื่อส่งไปช่วยผู้ประสบภัยน้ำท่วมที่จังหวัดเชียงราย ซึ่งมูลนิธิกุศลธรรมภูเก็ต ได้เปิดรับบริจาคมาตั้งแต่ 09.00 ของวันที่ 12 กันยายน จนถึงเวลา 18.30 น.

ซึ่งกำลังพลทัพเรือภาคที่ 3 ร่วมช่วยลำเลียงสิ่งของอุปโภค บริโภคขึ้นรถหกล้อ เพื่อออกเดินทางไปยังจังหวัดเชียงราย เพื่อส่งมอบให้กับชาวจังหวัดเชียงราย ที่ได้รับความเดือดร้อนจากเหตุอุทกภัยในครั้งนี้

ทั้งนี้ ข้าราชการ พนักงานราช ลูกจ้าง และทหารกองประจำการ ขอส่งมอบกำลังใจให้แกพี่น้องชาวจังหวัดเชียงรายที่ได้รับความเดือดร้อน ให้ผ่านสถานการณ์นี้ไปได้อย่างปลอดภัย

สมุทรปราการ- 'สุริยะ' สั่งเปิดศูนย์คมนาคมร่วมใจ ช่วยเหลือผู้โดยสาร ณ ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย และ ทช. ทล.ร่วมจัดรถ รับ-ส่ง ผู้โดยสารจนถึง 4 ทุ่ม 'กีรติ' เผย วันนี้มีเที่ยวบินให้บริการ 8 ไฟลต์

นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้สั่งการให้ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย (ทชร.) เป็นฐานบัญชาการในการให้ความช่วยเหลือผู้โดยสารและผู้ประสบอุทกภัย โดย บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (AOT) ได้ดำเนินการจัดตั้ง 'ศูนย์คมนาคมร่วมใจ ช่วยเหลือผู้โดยสาร' ณ ทชร.เรียบร้อยแล้ว โดยหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องร่วมประจำศูนย์ฯ เช่น กรมทางหลวง กรมทางหลวงชนบท ฯลฯ เพื่อประสานความร่วมมือในการให้ความช่วยเหลือผู้โดยสารและผู้ประสบอุทกภัย ตลอดจนติดตามด้านการข่าว การประเมินสถานการณ์ เป็นต้น 

ด้าน ดร.กีรติ กิจมานะวัฒน์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ AOT กล่าวเพิ่มเติมว่า เมื่อวานนี้วันนี้ (13 ก.ย.67) มีสายการบิน 4 แห่ง ทำการบิน 8 เที่ยวบิน ได้แก่ (1) สายการบินไทย จำนวน 2 เที่ยวบิน คือ เที่ยวบิน TG130 และ TG132 (2) สายการบินนกแอร์ จำนวน 2 เที่ยวบิน คือ เที่ยวบิน DD102 และ DD104 (3) สายการบินไทยไลอ้อนแอร์ จำนวน 2 เที่ยวบิน คือ เที่ยวบิน SL538 และ SL544 และ (4) สายการบินไทยแอร์เอเชีย จำนวน 2 เที่ยวบิน 

คือ เที่ยวบิน FD3199 และ FD3209 นอกจากนี้ ทชร.ร่วมกับกรมทางหลวง และกรมทางหลวงชนบท ได้จัดรถบรรทุกเพื่ออำนวยความสะดวกในการรับ-ส่งผู้โดยสารจาก ทชร.ไปยังบิ๊กซี (สาขาบ้านดู่) ระหว่างเวลา 08.30 – 22.00 น. โดยมีจุดจอดรถบริเวณหน้าชานชาลาอาคารผู้โดยสาร ประตู 2 ทชร.และบริเวณประตูทางออกฝั่ง KFC บิ๊กซี (สาขาบ้านดู่) ทั้งนี้ สามารถสอบถามข้อมูลการให้บริการของ ทชร.และติดต่อ 'ศูนย์คมนาคมร่วมใจ ช่วยเหลือผู้โดยสาร' ได้ที่ประชาสัมพันธ์ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย หมายเลขโทรศัพท์ 053 798 000


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top