Wednesday, 26 March 2025
NEWS

‘เอกนัฏ’ ฟันไม่เว้น!! แก๊งลอบทิ้ง กากอุตสาหกรรม เช็คบิล!! ต้นทางยันปลายทาง โดนคดีอ่วมยกแก๊ง

(15 มี.ค. 68) ‘เอกนัฏ’ สั่งขยายผลขบวนการลอบทิ้งกากอุตสาหกรรมในไร่มันฯ พบขนไปส่ง บ.กำจัดของเสีย แต่ก็จัดการไม่ถูกต้อง-ดำเนินคดีทันที พร้อมสั่งดำเนินคดี 3 บริษัทต้นทางและต้องนำกากอุตฯในไร่มันฯ ไปกำจัดให้ถูกต้อง แย้มหากพบมีการนำเข้าข้อมูลอันเป็นเท็จจะโดนข้อหาหนักพ่วงท้าย ‘ขนส่ง-เจ้าของที่ โดนข้อหาหนักด้วย

นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รมว.อุตสาหกรรม เปิดเผยว่า กระทรวงอุตสาหกรรม ยังคงเดินหน้ากวาดล้างขบวนการลักลอบทิ้งกากของเสียอุตสาหกรรมอย่างเข้มข้นและต่อเนื่อง โดยล่าสุดได้มอบหมายให้ชุดตรวจการณ์สุดซอย กระทรวงอุตสาหกรรม นำโดย น.ส.ฐิติภัสร์ โชติเดชาชัยนันต์ หัวหน้าคณะทำงานรมว.อุตสาหกรรม, น.ส.นวพร สงวนหมู่ ผอ.กองบริหารจัดการกากอุตสาหกรรม, นายบวรวิทย์ อัครจันทโชติ ผอ.กองตรวจราชการ สำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม, สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดชลบุรี และเจ้าหน้าที่กรมโรงงานอุตสาหกรรม ติดตามขยายผลจาก บริษัท ฮิ้ว ทรานสปอร์ต จำกัด ที่เป็นผู้รับจ้างขนย้ายกากอุตสาหกรรมจากบริษัทผู้ก่อกำเนิดของเสีย (Waste Generator) คือ บริษัท ซันโทรี่ เบเวอเรจ แอนด์ ฟู้ด เทรดดิ้ง (ประเทศไทย) จำกัด ตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมปิ่นทอง 2 อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี ไปทิ้งตามไร่มันสำปะหลังในพื้นที่ ต.หนองไผ่แก้ว อ.บ้านบึง จ.ชลบุรี หลายจุด ซึ่งถูกจับกุมดำเนินคดีก่อนหน้านี้ จนสืบทราบไปถึงบริษัทและโรงงานผู้รับกำจัดของเสียอีก 2 แห่ง คือ 1) โรงงานบริษัท เวสต์ แอ็บโซลูท จำกัด ในพื้นที่ ต.วัดสุวรรณ อ.บ่อทอง จ.ชลบุรี ประกอบกิจการฝังกลบสิ่งปฏิกูลหรือวัสดุที่ไม่ใช้แล้วที่ไม่เป็นของเสียอันตราย และ 2) โรงงานบริษัท เวสท์ โอเว่น เซอร์วิส จำกัด ในพื้นที่ ต.มาบข่า อ.นิคมพัฒนา จ.ระยอง ประกอบกิจการนำกากตะกอนจากระบบบำบัดน้ำเสียที่ไม่เป็นอันตราย และอินทรีย์วัตถุที่ไม่ใช้แล้วจากโรงงานมาทำเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ เช่น ปุ๋ยอินทรีย์ สารปรับปรุงดิน

“ทั้ง 2 บริษัทเป็นปลายทางรับของเสียจาก บริษัท ซันโทรี่ เบเวอร์เรจ แอนด์ ฟู้ด (ประเทศไทย) จำกัด ที่เป็นต้นทางของกากของเสียและถูกคำสั่งให้ปรับปรุงแก้ไขตามมาตรา 37 จากการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย รวมทั้งถูกตรวจสอบเพื่อนำไปสู่การดำเนินคดี ซึ่งทั้ง 2 บริษัทจะจดทะเบียนทำธุรกิจกำจัดและบำบัดของเสียอุตสาหกรรม แต่จากการตรวจสอบพบว่า หากมีการดำเนินการที่ขัดต่อระเบียบและกฎหมายต้องแก้ไขปรับปรุงและดำเนินคดีอย่างเด็ดขาด” นายเอกนัฏ ระบุ

น.ส.ฐิติภัสร์ กล่าวเสริมว่า จากการขยายผลและเข้าไปตรวจสอบพบว่า 1) บริษัท เวสต์ แอ็บโซลูท จำกัด ได้รับกากตะกอนจากระบบบำบัดน้ำเสียจาก บริษัท ซันโทรี่ฯ เข้ามาฝังกลบ ตั้งแต่วันที่ 22 ก.พ.-4 มี.ค.68 จำนวน 10 เที่ยว น้ำหนักกว่า 92 ตัน ขณะที่ 2) บริษัท เวสท์ โอเว่น เซอร์วิส จำกัด ได้รับกากตะกอนจากระบบบำบัดน้ำเสียจาก บริษัท ซันโทรี่ฯ เข้ามาทำสารปรับปรุงดิน ตั้งแต่วันที่ 15-21 ก.พ.68 จำนวน 19 เที่ยว น้ำหนักกว่า 152 ตัน ทั้งนี้ หากตรวจสอบข้อมูลและเอกสารที่เกี่ยวข้องทั้งหมดแล้ว พบว่า ทั้ง 2 บริษัทดำเนินการไม่ถูกต้องตามกฎหมายไม่ว่าจะเป็นกฎหมายโรงงานหรือกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง โดยรับของเสียเข้ามาจัดการโดยของเสียยังไม่ได้รับอนุญาตให้นำออกนอกโรงงานของผู้ก่อกำเนิด จะมีความผิดและฝ่าฝืนประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง การจัดการสิ่งปฏิกูลหรือวัสดุที่ไม่ใช้แล้ว พ.ศ.2566 ซึ่งจะตรวจสอบต่อไปด้วยว่า มีการแจ้งข้อมูลเป็นเท็จหรือไม่ ซึ่งหากมีการนำเข้าข้อมูลอันเป็นเท็จ ก็จะถูกดำเนินคดีเพิ่มเติมอีกด้วย

น.ส.ฐิติภัสร์ กล่าวต่อว่า ส่วน บริษัท ซันโทรี่ เบเวอร์เรจ แอนด์ ฟู้ด (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งเป็นโรงงานผู้ก่อกำเนิดของเสีย (Waste Generator) จะถูกดำเนินคดีในข้อหานำกากอุตสาหกรรมออกจากพื้นที่โดยไม่ได้รับอนุญาต และหากพบว่ามีการนำเข้าข้อมูลอันเป็นเท็จในระบบจะถูกดำเนินคดีเพิ่มเติม โดยกระทรวงอุตสาหกรรม ได้สั่งให้ บริษัท ซันโทรี่ฯ ต้องนำกากอุตสาหกรรมที่ขนไปทิ้งในไร่มันสำปะหลังก่อนหน้านี้ไปกำจัดให้ถูกต้องต่อไปด้วย เช่นเดียวกับ บริษัท ฮิ้ว ทรานสปอร์ต จำกัด จ.ชลบุรี ที่เป็นผู้รับจ้างขนส่ง จะถูกดำเนินคดีใช้รถผิดจากที่ได้รับอนุญาต ส่วนความคืบหน้าจุดที่มีการลักลอบทิ้งอีก 1 จุด ที่ ต.หนองอิรุณ อ.บ้านบึง. จ.ชลบุรี ซึ่งปรากฎเป็นภาพข่าวที่พบรถของบริษัท ฮิ้วฯ นำของเสียไปปล่อยทิ้ง นั้น ผลตรวจสอบดินและน้ำเสียในพื้นที่พบค่าโลหะหนักที่เข้าข่ายเป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 3 บริษัท ฮิ้วฯ อาจจะถูกดำเนินคดีร่วมเป็นตัวการในการครอบครองวัตถุอันตรายดังกล่าวโดยไม่ได้รับอนุญาต เป็นเหตุให้ถูกเพิกถอนใบอนุญาตและดำเนินคดีในทุกข้อหาการกระทำผิด ส่วนเจ้าของที่ดิน ต.หนองอิรุณ ทางสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดชลบุรีแจ้งความดำเนินคดีข้อหาครอบครองวัตถุอันตรายแล้ว

“ทั้งนี้ กระทรวงอุตสาหกรรม ได้ให้ความสำคัญในการลักลอบทิ้งกากอุตสาหกรรม เร่งตรวจสอบและขยายผลขบวนการที่เกี่ยวข้องกระจายไปทั่วประเทศจนจบและนำตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษ เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนเกี่ยวกับมาตรการควบคุมจัดการกากอุตสาหกรรมอย่างเข้มงวด โดยกระทรวงอุตสาหกรรมยืนยันจะดำเนินการเชิงรุกอย่างจริงจังต่อไป เพื่อป้องกันการลักลอบนำกากอุตสาหกรรมไปทิ้ง และจัดการไม่ถูกต้อง ลดปัญหาการปนเปื้อนในสิ่งแวดล้อม และสร้างคุณภาพสิ่งแวดล้อมที่ดีให้ประชาชนในทุกพื้นที่ หากประชาชนพบเห็นปัญหาหรือเหตุต้องสงสัยเกี่ยวกับการประกอบการอุตสาหกรรมที่ไม่ถูกต้องหรือสินค้าที่ไม่ผ่านมาตรฐาน มอก. สามารถแจ้งเรื่องร้องเรียนผ่าน ‘แจ้งอุต’ https://landing.traffy.in.th?key=wTmGfkav หรือไลน์ไอดี “traffyfondue” เพื่อกระทรวงฯ จะเร่งส่งทีมสุดซอยลงพื้นที่จัดการกับปัญหาให้ประชาชนในทันที” น.ส.ฐิติภัสร์ กล่าวทิ้งท้าย

‘เคทีซี’ ชวนสัมผัสประสบการณ์!! อิ่ม คุ้ม ครบ จบทริปเดียว ที่เขาใหญ่ เดินทางสะดวก พักสบาย กินอร่อย ใช้งบน้อย ด้วยสิทธิประโยชน์สุดคุ้ม

(15 มี.ค. 68) เคทีซีจับมือพันธมิตรชั้นนำในหมวดกิน ดื่ม พัก เที่ยว ชวนสมาชิกบัตรเครดิตเคทีซีสายเที่ยวใกล้ในประเทศ เปิดประสบการณ์เดินทางสะดวก พักสบาย กินอร่อย ใช้งบน้อย ที่เขาใหญ่ ด้วยสิทธิประโยชน์สุดคุ้มจาก 4 พันธมิตรชั้นนำ ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านการตลาดบัตรเครดิตที่ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ จับมือทีมอินฟลูเอนเซอร์นำร่องสัมผัสประสบการณ์จริงในทริป 2 วัน 1 คืน “KTC Journey, Full of Fun and Flavor in Khao Yai”

สมาชิกบัตรเครดิตเคทีซีสามารถรับสิทธิพิเศษเมื่อเดินทางไปที่เขาใหญ่ และจังหวัดใกล้เคียงจากพันธมิตรร้านค้าต่างๆ ดังนี้

โชคชัย สเต็ค เฮ้าส์ : แลกคะแนนรับเครดิตเงินคืน 10% เมื่อใช้คะแนน KTC FOREVER               เท่ายอดใช้จ่ายผ่านบัตรฯ/เซลส์สลิป (ลงทะเบียนเพื่อรับสิทธิ์ทุกครั้งที่มียอดใช้จ่ายภายในวันเดียวกัน) ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2567 - 31 มีนาคม 2568

เดอะ เภรี โฮเต็ล เขาใหญ่ : รับส่วนลด 10% สำหรับห้องพักจากราคาปกติ เมื่อจองตรงกับโรงแรม หรือแลกรับเครดิตเงินคืน 13% หรือใช้คะแนน KTC FOREVER จำนวนเท่าใดก็ได้ สูงสุดไม่เกินยอดใช้จ่าย ต่อเซลส์สลิป ตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม 2568 - 20 ธันวาคม 2568 

ร้านอาหาร ชาวบ้าน : ส่วนลด 10% ค่าอาหารและเครื่องดื่ม (ไม่รวมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์) หรือแลกรับเครดิตเงินคืน 13% เมื่อใช้คะแนน KTC FOREVER จำนวนเท่าใดก็ได้ สูงสุดไม่เกินยอดใช้จ่ายต่อเซลส์สลิป ตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม 2568 - 20 ธันวาคม 2568

เดอะ ช็อคโกแลต แฟคทอรี่ (สาขาเขาใหญ่) : แลกคะแนนรับเครดิตเงินคืน 10% เมื่อใช้คะแนน KTC FOREVER เท่ายอดใช้จ่ายผ่านบัตรฯ ต่อเซลส์สลิป (ลงทะเบียนเพื่อรับสิทธิ์ทุกครั้งที่มียอด            ใช้จ่ายภายในวันเดียวกัน) ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2568 - 31 กรกฎาคม 2568  

โดยล่าสุดเคทีซีจับมืออินฟลูเอนเซอร์สายไลฟ์สไตล์ ร่วมทริป “KTC Journey, Full of Fun and Flavor in Khao Yai” เติมเต็มทุกโมเมนต์ด้วยสิทธิพิเศษจากพันธมิตรร้านค้าและโรงแรมชั้นนำ เริ่มต้นด้วยการเช็คอินที่ร้านในตำนาน “โชคชัย สเต็ค เฮ้าส์” ร้านสเต็กพรีเมียมสำหรับคนรักเนื้อ พร้อมเมนูที่รังสรรค์ด้วยวัตถุดิบคุณภาพ ร่วมสัมผัสวิถีธรรมชาติที่ “ฟาร์มโชคชัย” สนุกกับการนั่งรถรางชมวิว ชื่นชมชีวิตชนบท และสำรวจฟาร์มในบรรยากาศที่ใกล้ชิดธรรมชาติ พักผ่อนในความสงบที่ “เดอะ เภรี โฮเต็ล   เขาใหญ่” โรงแรมสไตล์โมเดิร์นที่ล้อมรอบด้วยทิวทัศน์เขียวขจี พร้อมบริการสุดประทับใจและห้องพักแสนสบาย ร่วมดินเนอร์สุดโรแมนติกที่ “ร้านอาหารชาวบ้าน” เพลิดเพลินกับอาหารไทย-อีสานฟิวชั่น เมนูสุดสร้างสรรค์และมุมถ่ายรูปเก๋ๆ ปิดท้ายด้วยความหวานที่ “เดอะ ช็อคโกแลต แฟคทอรี่” ดื่มด่ำกับรสชาติอาหารสไตล์ยุโรปและไทยในตำนาน โดดเด่นด้วยรสชาติระดับเชฟมืออาชีพพร้อมวัตถุดิบคุณภาพพรีเมียม ซึ่งกิจกรรมในครั้งนี้ยังตอกย้ำความคุ้มค่ากับแคมเปญ “KTC มื้อนี้มีโปร” “คะแนนน้อยเที่ยวได้” และ  “คุ้มทุกครั้งเมื่อจองตรงกับโรงแรม” ให้ทุกการใช้จ่ายทั้งสนุกและคุ้มค่าในเวลาเดียวกัน

ผู้สนใจสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.ktc.co.th หรือสอบถามที่ KTC PHONE 02 123 5000 สมัครบัตรเครดิตเคทีซีทุกประเภท คลิก https://ktc.today/apply-card หรือศูนย์บริการสมาชิก “เคทีซี ทัช” ทุกสาขาทั่วประเทศ  ทั้งนี้ ผู้ถือบัตรเครดิตควรใช้เท่าที่จำเป็นและชำระคืนเต็มจำนวนตามกำหนด จะได้ไม่เสียดอกเบี้ย 16% ต่อปี 

‘อีซูซุ’ เปิดศึก!! ‘เจ้าแห่งความเร็ว’ ISUZU ONE MAKE RACE 2025

(15 มี.ค. 68) กลุ่มตรีเพชร โดย บริษัท ตรีเพชรอีซูซุเซลส์ จำกัด ร่วมกับ บริษัท ฟาอีส ยูไนเต็ด มอเตอร์สปอร์ต จำกัด บริษัท ต.สยาม คอมเมอร์เชียล จำกัด บริษัท ไพโอเนียร์ เอ็นจิเนียริ่ง อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด บริษัท ริซไวส์มาร์เก็ตติ้ง จำกัด และบริษัท บี.เจ.มอเตอร์พาร์ท จำกัด ร่วมกันระเบิดศึกอีซูซุ ดีแมคซ์ รวม 19 คัน เพื่อชิงตำแหน่งเจ้าแห่งความเร็วในการแข่งขัน ISUZU ONE MAKE RACE 2025 ต่อเนื่องเป็นปีที่ 16 ชิงรางวัลถ้วยประทานจากพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี กรมหมื่น สุทธนารีนาถ พร้อมเงินรางวัลรวม 200,000 บาท

มร. ทาคาชิ ฮาตะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ตรีเพชรอีซูซุเซลส์ จำกัด เผยว่า “การแข่งขัน ISUZU ONE MAKE RACE เป็นการแข่งขันรถยนต์ทางเรียบที่ประสบความสำเร็จมาอย่างต่อเนื่อง โดยเราได้จัดการแข่งขันกันมายาวนาน และต่อเนื่องเป็นปีที่ 16 ซึ่งการแข่งขันในทุกปีที่ผ่านมานั้นได้รับการตอบรับอย่างดีเยี่ยมจากผู้ชมที่ติดตามการแข่งขัน และนักแข่งที่เลือกใช้ “อีซูซุ ดีแมคซ์” เป็นรถคู่ใจในการลงสนามประลองความเร็ว ในปีนี้จะมีการแข่งขันแยกเป็น 2 รุ่น ได้แก่ ISUZU ONE MAKE RACE 3.0 PRODUCTION GROUP “N” จำนวน 12 คัน ซึ่งใช้เครื่องยนต์ที่ผ่านมาตรฐานไอเสียยูโร 5 และ ISUZU ONE MAKE RACE 3.0 SUPER FULL RACE จำนวน 7 คัน รวม 19 คัน โดยมีนักดนตรีและนักแข่งอย่าง “โดม ราชนันทร์ คุณาริยานุกูล” และการกลับมาอีกครั้งของนักแสดงและนักแข่งชื่อดัง “แอนดรูว์ โคนินทร์” เข้าร่วมการแข่งขันในรุ่น ISUZU ONE MAKE RACE 3.0 PRODUCTION GROUP “N” สำหรับไฮไลท์ในปีนี้พิเศษกว่าทุกครั้งเนื่องจากการแข่งขันจัดขึ้นในรูปแบบ “CITY STREET CIRCUIT” ถือเป็นครั้งแรกของ ISUZU ONE MAKE RACE ที่จะนำรถไปวิ่งแข่งขันในสนามเฉพาะกิจกลางเมืองจังหวัดอุตรดิตถ์ โดยการแข่งขันจะจัดขึ้น อีก 2 สนาม คือ สนามพีระ อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต จังหวัดชลบุรี และสนามแก่งกระจานเซอร์กิต จังหวัดเพชรบุรี พบกันครั้งแรกกับรถ Safety Car ISUZU 2.2 Ddi MAXFORCE ใหม่! ขับเคลื่อนด้วยเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด ที่ปรับแต่งความแรงแบบไร้ควัน ให้แรงม้าสูงสุด 250 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 515 นิวตันเมตร นอกจากนี้ขอแสดงความยินดีกับ คุณสุรชัย เพ็งผ่อง จากการคว้าแชมป์ ในรุ่น ISUZU ONE MAKE RACE 3.0 UNLIMIT และ คุณปกรณ์ ธรรมโชติ ที่คว้าแชมป์ในรุ่น ISUZU ONE MAKE RACE 3.0 PRODUCTION GROUP “N” รับถ้วยประทานจากพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี กรมหมื่นสุทธนารีนาถ และเงินรางวัลมูลค่า 100,000 บาท จากการแข่งขัน ISUZU ONE MAKE RACE 2024 ด้วย”

ร่วมพิสูจน์ความมันส์และความแรงสะใจในรายการ “ISUZU ONE MAKE RACE 2025” เพื่อชิงรางวัลถ้วยประทานจากพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี กรมหมื่นสุทธนารีนาถ พร้อมเงินรางวัลรวมมูลค่า 200,000 บาท เริ่มการแข่งขันสนามแรกในวันที่ 28 – 30 มีนาคม 2568 ณ สนามพีระ อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต จังหวัดชลบุรี และจะทำการแข่งขันแบบออนทัวร์เพื่อเก็บคะแนนในแต่ละสนาม และจัดลำดับผู้เข้าแข่งขันในการแข่งขันรอบชิงชนะเลิศอีกครั้งหนึ่ง เพื่อค้นหาที่สุดเจ้าแห่งความเร็วในการแข่งขันรถยนต์ทางเรียบแห่งปี 2025

สำหรับกำหนดการแข่งขันทั้ง 6 สนาม ดังนี้
สนามที่ 1 วันที่ 28 – 30 มีนาคม 2568 สนามพีระ อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต จังหวัดชลบุรี
สนามที่ 2 วันที่ 2 – 4 พฤษภาคม 2568 สนามเฉพาะกิจ สนามกีฬาพระยาพิชัยดาบหัก อุตรดิตถ์
สนามที่ 3 วันที่ 20 – 22 มิถุนายน 2568 สนามพีระ อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต จังหวัดชลบุรี
สนามที่ 4 วันที่ 22 – 24 สิงหาคม 2568 สนามแก่งกระจานเซอร์กิต เพชรบุรี
สนามที่ 5 วันที่ 3 – 5 ตุลาคม 2568 สนามพีระ อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต จังหวัดชลบุรี
สนามที่ 6 วันที่ 12 – 14 ธันวาคม 2568 สนามพีระ อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต จังหวัดชลบุรี

รูปแบบการแข่งขัน ISUZU 3.0 PRODUCTION GROUP “N” 2025 รุ่นใหม่
การแข่งขันแบบ GROUP “N” ตามกติกาสากล บังคับให้ใช้เครื่องยนต์ที่เป็นมาตรฐานเดิมจากโรงงานผู้ผลิต แต่สามารถปรับเปลี่ยนช่วงล่าง เพิ่มเติมความสวยงาม เช่น ติดตั้งสปอยเลอร์หน้า เปลี่ยนฝากระโปรงแบบ VACUUM ซึ่งช่วยสร้างหลักอากาศพลศาสตร์ได้เป็นอย่างดี ในส่วนของการเสริมประสิทธิภาพของระบบช่วงล่างและเบรก เปลี่ยนเบรกทั้งคันเป็นแบบ DISC BRAKE 4 ล้อ ล้อหน้าเป็นคาลิปเปอร์แบบ 8 POT เปลี่ยนข8นาดล้อและยาง โช้คอัพ สปริงหน้าและแหนบ เพื่อให้เหมาะกับการแข่งขัน ทั้งหมดนี้เป็นการเน้นให้เห็นถึงสมรรถนะเครื่องยนต์ที่ให้ความแรงมาตรฐานโรงงาน ปรับแต่งเพียงแค่ช่วงล่างและเบรก แต่ส่งผลให้รถแข่งมีสมรรถนะสูง ความเร็วต่อรอบเทียบเท่ารถแข่งที่มีแรงม้าสูง

รูปแบบการแข่งขัน “ISUZU ONE MAKE RACE 2025”
การแข่งขันรถยนต์ทางเรียบ “ISUZU ONE MAKE RACE 2025” แต่ละสนามจะแบ่งการแข่งขันออกเป็น 3 ขั้นตอน ดังนี้ การควอลิฟายด์, การแข่งขัน RACE 1 และการแข่งขัน RACE 2

การควอลิฟายด์
จะมีขึ้นในวันเสาร์เช้า เป็นการจับเวลาแบบ HOT LAP โดย แข่งขันแยกเป็น 2 รุ่น 2 เรซ คือ ISUZU ONE MAKE RACE 3.0 PRODUCTION GROUP "N" และ ISUZU ONE MAKE RACE 3.0 SUPER FULL RACE การจับเวลาและแบ่งกลุ่มจะทำให้นักแข่งสามารถแข่งขันในรุ่นของตนเองได้เต็มที่ ทำให้การแข่งขันเข้มข้นเร้าใจในทุกช่วงเวลา

การแข่งขัน RACE 1
จะมีขึ้นในวันเสาร์ช่วงบ่าย ลำดับ START ตามผลการจัดลำดับเวลา และผลการแข่งขันใน RACE 1 จะเป็นการจัดอันดับออก START ใน RACE 2 ของวันอาทิตย์ จะมีคะแนนเก็บให้ตามลำดับที่เข้าแข่งขัน

การแข่งขัน RACE 2
จะมีขึ้นในวันอาทิตย์ ลำดับ START จะเป็นแบบ Reverse Grid ผลการแข่งขันยังคงรับถ้วยตามกลุ่มการควอลิฟายด์ RACE 2 นี้จะเป็นการตัดสินในการรับถ้วยรางวัล พร้อมเงินรางวัล (เงินรางวัลรับตามอันดับ OVERALL)

มายเหตุ
- รถแข่งทุกคัน จะต้องจอดรวมอยู่ในสถานที่ที่จัดไว้ให้เท่านั้น
- หลังจบการแข่งขันทุกครั้ง รถที่มีตำแหน่งจะถูกตรวจสภาพ
- กรณีที่ซีลและมาร์คเครื่องหมายต่าง ๆ หลุดลอก จะต้องทำการตรวจสภาพใหม่ทั้งหมด

‘ฮุนได’ ปักหมุดอุบล!! ผุดโชว์รูม ‘ฮุนได ดี ออโต้’ รองรับการเติบโต!! ตลาดรถยนต์ในภาคอีสาน

(15 มี.ค. 68) บริษัท ฮุนได โมบิลิตี้ (ประเทศไทย) จำกัด เดินหน้าขยายบริการสู่ระดับภูมิภาคตามกลยุทธ์ธุรกิจปี 2568 เปิดตัวโชว์รูม ฮุนได ดี ออโต้ อุบลราชธานี รองรับการเติบโตของตลาดรถยนต์ในภาคอีสาน พร้อมมอบประสบการณ์ลูกค้าระดับสากลบนมาตรฐาน Global Dealership Space Identity (GDSI 2.0) ด้วยดีไซน์โชว์รูมที่ครบครันด้วย 3 S Sale, Service, Spare parts โดยเตรียมพร้อมการบริการหลังการขายโดยทีมช่างผู้ผ่านการอบรมโดยผู้เชี่ยวชาญ เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าทั้งกลุ่มรถยนต์สันดาปและรถไฟฟ้า

นายเจ กิว จอง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ฮุนได โมบิลิตี้ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “การขยายเครือข่ายโชว์รูมคือกลยุทธ์หลักของฮุนไดในการเสริมสร้างการเติบโตที่มั่นคงในประเทศไทย ซึ่งอุบลราชธานีถือเป็นหนึ่งในจังหวัดที่มีศักยภาพสูง เราจึงต้องการให้ลูกค้าในพื้นที่นี้สามารถเข้าถึงผลิตภัณฑ์และบริการได้อย่างสะดวกสบายยิ่งขึ้น การลงทุนครั้งนี้ไม่เพียงยกระดับศักยภาพด้านการขาย หากยังตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นของเราในการมอบบริการระดับพรีเมียมและการดูแลหลังการขายที่ดีที่สุดแก่ลูกค้าในเมืองไทย” 

โชว์รูม ฮุนได ดี ออโต้ อุบลราชธานี มีพื้นที่กว้างขวางพร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกลูกค้าในจังหวัดอุบลราชธานีและจังหวัดใกล้เคียงอย่างครบวงจร ศูนย์บริการมาตรฐานขนาดพร้อมรองรับปริมาณงานซ่อมได้มากกว่า 3,000 คันต่อปี ดำเนินงานโดยทีมงานฝ่ายขายและช่างเทคนิคที่ได้รับการฝึกอบรมระดับมืออาชีพ เพื่อสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับบริการหลังการขายในภูมิภาค

นายปัณณพัฒน์ เลาหเธียรประธาน กรรมการผู้จัดการ บริษัท ดี ออโต้ อุบลราชธานี กล่าวว่า “พร้อมให้บริการลูกค้าในภาคอีสานด้วยมาตรฐานโชว์รูมและศูนย์บริการ เรามีทีมงานที่พร้อมนำเสนอประสบการณ์ที่ดีที่สุดด้วยประสบการณ์การดำเนินธุรกิจกว่า 30 ปี ให้แก่ลูกค้า ตั้งแต่การเลือกซื้อรถ ไปจนถึงบริการหลังการขายที่ครบวงจร

นายวัลลภ เฉลิมวงศาเวช กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฮุนได โมบิลิตี้ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวเสริมว่า “เรามุ่งมั่นสร้างสรรค์ประสบการณ์ที่เหนือกว่าให้กับลูกค้าทุกคน และพร้อมขับเคลื่อนฮุนไดให้เป็นแบรนด์ยานยนต์ชั้นนำที่ลูกค้าในประเทศไทยให้ความเชื่อมั่นสูงสุด”

น้องนักเรียน เป็นปลื้ม!! ได้เจอ ‘องคมนตรีลุงตู่’ ขณะมาตรวจเยี่ยมโรงพยาบาล รีบเข้าไป!! ขอถ่ายรูปเซลฟี่ ก่อนส่งให้แม่ ด้วยความประทับใจ ในความเป็นกันเอง

(15 มี.ค. 68) เพจ ‘ขนมหวาน คอฟฟี่’ ได้โพสต์ข้อความประทับใจ เกี่ยวกับ ‘ลุงตู่’ โดยมีใจความว่า …

ส่งรูปมาให้แม่ดู บอกว่าหนูดีใจมากค่ะแม่ที่ได้เซลฟี่กับลุงตู่ค่า ท่านพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา องคมนตรี ประธานกรรมการ และคณะ ตรวจเยี่ยมโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชกุฉินารายณ์ 12 มีนาคม 2568

จเรตำรวจแห่งชาติเดินหน้าลุยต่อ ร่วมกับทางการกัมพูชาปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์คนไทยขายชาติ

วันนี้ (15 มีนาคม 2568) พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จเรตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า ได้รับมอบหมายจากนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ให้เดินทางไปประเทศกัมพูชา เข้าหารือและแลกเปลี่ยนข้อมูลกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง และสำนักงาน กสทช. ของประเทศกัมพูชา เมื่อวันที่ 13 - 14 มกราคม 2568 ที่ผ่านมา โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้

1. ขอบคุณทางการกัมพูชา ที่กวาดล้างแก๊งค์คอลเซ็นเตอร์คนไทยในปอยเปต จำนวน 119 คน และได้แจ้งทางกัมพูชาให้ทราบถึงการดำเนินคดีกับกลุ่มคนไทยเหล่านี้ รวมทั้งหารือในเรื่องการรวบรวมพยานหลักฐานในฝั่งกัมพูชาเพื่อมาดำเนินคดีในฝั่งไทย

2. การแลกเปลี่ยนข้อมูลของแก๊งคอลเซ็นเตอร์คนไทย ที่ลักลอบตั้งอยู่ฝั่งประเทศกัมพูชา เพื่อร่วมกันปราบปรามและส่งตัวคนไทยเหล่านี้มาดำเนินคดีในข้อหาองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติในไทยให้เด็ดขาด และให้หมดไปภายในปีนี้

พล.ต.อ.ธัชชัยฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า การมาหารือในครั้งนี้ยังเป็นการกระชับความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นในการทำงานร่วมกันระหว่างสองประเทศ  และการที่คนไทยแอบลักลอบข้ามช่องธรรมชาติแนวพรมแดนไทย-กัมพูชา ไปตั้งแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่ฝั่งประเทศกัมพูชา มีวัตถุประสงค์เพื่อหลบเลี่ยงข้อกฎหมายไม่ให้ถูกดำเนินคดี โดยกลุ่มคนไทยขายชาติเหล่านี้จะมาหลอกลวงเฉพาะคนไทยแต่ไม่ไปหลอกลวงประชาชนชาวกัมพูชา  โดยเมื่อถูกทางการกัมพูชาทลายแก๊งจับกุม จะถูกดำเนินคดีเพียงแค่ข้อหาหลบหนีเข้าเมือง หรือทำงานโดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งมีโทษที่น้อยมาก เนื่องจากแก๊งคอลเซ็นเตอร์คนไทยไม่ได้หลอกคนกัมพูชาแต่หลอกเฉพาะคนไทย ความผิดไม่ได้เกิดขึ้นที่ประเทศกัมพูชา และเมื่อส่งกลับมาไทย กลุ่มคนไทยขายชาติเหล่านี้จะโกหกและอ้างว่าถูกบังคับขู่เข็ญให้ทำงาน อ้างว่าตนเองเป็นเหยื่อของการค้ามนุษย์ เพื่อจะทำให้ไม่ต้องถูกดำเนินคดีในไทย 

จากการใช้ช่องว่างดังกล่าว ทำให้ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา กลุ่มแก๊งคอลเซ็นเตอร์มีการขยายตัวอย่างรวดเร็ว มีความย่ามใจไม่เกรงกลัวกฎหมาย โทรหลอกคนไทยเป็นจำนวนมาก ไม่จำกัดชนชั้น เพศ วัย เปิดหน้าวิดีโอคอล มีแม้กระทั่งการต่อว่ารุนแรง เยาะเย้ยซ้ำเติมผู้ที่ตกเป็นเหยื่อ รวมทั้งการซ้ำเติมส่งพวงหรีด หรือพูดจาดูถูกกับญาติของผู้เสียชีวิต ที่ฆ่าตัวตายจากการสูญเสียทรัพย์สินจากการหลอกลวงของคนไทยขายชาติเหล่านี้

จากการดำเนินคดีในข้อหาองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติกับคนไทย จำนวน 115 คน จากทั้งหมด 119 คน ที่ทางการกัมพูชาจับกุมทลายแก๊งคอลเซ็นเตอร์คนไทยที่ปอยเปต ในข้อหาองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ อั้งยี่ ซ่องโจร ร่วมกันฉ้อโกง นำเข้าข้อมูลอันเป็นเท็จ รวมทั้งการยึดทรัพย์ นับเป็นก้าวประวัติศาสตร์ เป็นครั้งแรกที่สามารถดำเนินคดีกับแก๊งคอลเซนเตอร์ในข้อหาที่หนักมีโทษจำคุกถึง 15 ปี ไม่ให้กลุ่มคนไทยขายชาติเหล่านี้อาศัยข่องว่างทางกฎหมาย กล่าวอ้างการตกเป็นเหยื่อการค้ามนุษย์อีกต่อไป


นอกจากนี้ พล.ต.อ.ธัชชัยฯ ยืนยันว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติจะทุ่มเททรัพยากร ทั้งในด้านกำลังพล งบประมาณ ในการดูแลไม่ให้คนไทยตกเป็นเหยื่อของแก๊งคอลเซ็นเตอร์อีก รวมทั้งปราบปรามให้หมดไปจากสังคมไทย และร่วมกับทางการกัมพูชาในการนำคนไทยขายขาติเหล่านี้มาดำเนินคดีที่ไทยให้หลาบจำ และไม่ให้ใครนำมาเป็นเยี่ยงอย่างอีกต่อไป
 

ม.รังสิต ผนึกกำลัง 2 สำนักข่าวออนไลน์ THE STATES TIMES - SPUTNIK ระดมผู้เชี่ยวชาญร่วมถ่ายทอดความรู้พัฒนาวงการสื่อสารมวลชนยุค AI

ครั้งแรกในประเทศไทย กับการผนึกกำลังของ 2 หน่วยงานด้านสื่อออนไลน์ ระหว่างสำนักข่าวออนไลน์ THE STATES TIMES จากประเทศไทย กับ สำนักข่าว SPUTNIK ของรัสเซีย พร้อมด้วยวิทยาลัยผู้นำและนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต จัดสัมมนา THE FUTURE JOURNALISM 2025 'AI กับ สื่อสารศาสตร์ยุคใหม่' ร่วมขับเคลื่อนวงการสื่อสารมวลชนไทย

(14 มี.ค. 68) ผศ.ดร. สุริยะใส กตะศิลา คณบดีวิทยาลัยผู้นำและนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต กล่าวว่า อย่างที่เราทราบกันดีว่า AI ได้เข้ามามีบทบาทการทำงานในโลกของสื่อยุคใหม่อย่างต่อเนื่อง โดยจะเห็นได้จากสื่อชั้นนำระดับโลก รวมถึงสื่อไทย ได้นำเทคโนโลยีด้าน AI มาช่วยประมวลผลข้อมูลที่ซับซ้อน รวมไปถึงขั้นที่นำไปสร้างคอนเทนต์ข่าวกันอย่างแพร่หลาย ในวันนี้ เราจะมาร่วมกันเสริมความรู้และแนวทางในการนำเสนอข่าวสารยุคใหม่ไปพร้อม ๆ กัน ซึ่งจะทำให้เราได้เห็นถึงทิศทางการนำเสนอข่าวสารในโลกยุค AI ที่ต้องรู้เท่าทัน เพราะมีความหลากหลายและซับซ้อนในหลาย ๆ ด้าน ทั้งในการเสนอข่าวสารและการรับรู้ข่าวสาร

ด้าน ฯพณฯ นายเยฟกินี โทมิคิน เอกอัครราชทูตแห่งสหพันธรัฐรัสเซีย ประจำราชอาณาจักรไทย กล่าวว่า ขณะนี้เรากำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ในวิธีการสร้างเผยแพร่และบริโภคข้อมูล ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีได้นำมาซึ่งโอกาสใหม่ที่น่าทึ่ง  แต่ขณะเดียวกันก็สร้างความท้าทายที่สำคัญต่อความจริง ความเป็นกลางและจริยธรรมของสื่อมวลชนการเติบโตของสื่อที่สร้างข้อมูลด้วย ai ได้เปิดขอบเขตใหม่ในการเข้าถึงข้อมูล

อย่างไรก็ตามเราไม่ควรมองข้ามภัยคุกคามที่มากับความก้าวหน้าดังกล่าวการแพร่ระบาดของข่าวปลอมวิดีโอที่ใช้เทคโนโลยี deepfakes และการใช้ระบบอัลกอริทึมในการกำหนดเนื้อหาข่าวท้าทายความสามารถของเราที่จะแยกแยะระหว่างข้อเท็จจริงและเรื่องที่แต่งขึ้น 

ทั้งนี้ ในยุคที่ข้อมูลเท็จแพร่กระจายได้เร็วกว่าที่เคยเป็นมาบทบาทของนักข่าวและผู้แสวงหาความจริงจึงมีความสำคัญมากกว่าครั้งไหน ๆ หนึ่งในประเด็นเร่งด่วนที่สุดที่เราต้องเผชิญในวันนี้คือการใช้ข้อมูลเป็น อาวุธ ข่าวปลอมไม่ได้เป็นเพียงผลลัพธ์ของข้อผิดพลาดอีกต่อไปแต่มันได้กลายเป็นเครื่องมือเชิงกลยุทธ์ที่ใช้ในการกำหนดมุมมองมีอิทธิพลต่อความคิดเห็นของสาธารณะและบิดเบือนความเป็นจริงทางภูมิรัฐศาสตร์ ตัวอย่าง เช่น เทคโนโลยี deepfakes ที่ขับเคลื่อนด้วย ai สามารถปลอมแปลงคำพูดของผู้นำโลกบิดเบือนบันทึกทางประวัติศาสตร์และสร้างการบิดเบือนเหตุการณ์ปัจจุบันซึ่งอาจนำไปสู่ผลกระทบร้ายแรงต่อการทูต ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและเสถียรภาพของสังคม

นอกจากนี้เราต้องยอมรับถึงอิทธิพลของสื่อกระแสหลักจากโลกตะวันตกที่ครอบงำการกำหนดกรอบเนื้อหาในระดับสากลหลายครั้งที่เหตุการณ์ระหว่างประเทศถูกนำเสนอผ่านมุมมองเพียงด้านเดียวโดยละเลยความหลากหลายของมุมมองที่มีอยู่ในโลกที่มีหลายขั้วทางอำนาจ  การนำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับความขัดแย้งเศรษฐกิจและการเมืองโดยสื่อกระแสหลักของตะวันตกมักจะสร้างความไม่สมดุลในการรับรู้ของผู้ชม สื่อสารมวลชนจึงควรตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเป็นธรรมความหลากหลายและการเปิดกว้างต่อมุมมองที่แตกต่างกันเพื่อให้เกิดสังคมโลกที่ได้รับข้อมูลอย่างรอบด้าน

“รัสเซียให้ความสำคัญกับหลักการอธิปไตยทางสื่อและความจำเป็นในการมีมุมมองทางเลือกมาโดยตลอด เราเชื่อว่า หาก ai ถูกใช้อย่างเกิดประโยชน์จะสามารถช่วยส่งเสริมความหลากหลายทางสื่อได้ โดยช่วยให้ผู้คนสามารถเข้าถึงแหล่งข้อมูลที่หลากหลายและเปิดโอกาสให้แนวคิดต่างๆไหลเวียนอย่างเสรี แต่การแก้ไขปัญหานี้จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างนักข่าว นักวิชาการ และภาครัฐที่ต้องร่วมมือกันกำหนดแนวทางด้านจริยธรรมสำหรับการใช้เอไอในวงการสื่อมวลชน พร้อมดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงอย่างเข้มข้นและส่งเสริมการรู้เท่าทันสื่อเพื่อให้ประชาชนสามารถป้องกันตัวเองจากข้อมูลเท็จได้ ขณะที่เรากำลังก้าวสู่ยุคใหม่ของการสื่อสาร เราต้องยึดมั่นในความถูกต้องความรับผิดชอบและความเป็นธรรม อนาคตของสื่อสารมวลชนขึ้นอยู่กับความสามารถของเราในการปกป้องความจริงท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีที่รวดเร็ว” 

นายอนุสรณ์ ศรีแก้ว คณบดีกิตติคุณวิทยาลัยนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต กล่าวว่า ปัจจุบันต้องยอมรับว่าเทคโนโลยี AI เข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันเราอย่างมาก รวมทั้งในวงการสื่อสารมวลชนด้วย ดังจะเห็นได้จากการเขียนบทความหรือเขียนข่าว เริ่มใช้ AI กันมากขึ้น แม้บทบาทการตัดสินใจเลือกประเด็นข่าวและกำรตรวจทานเนื้อหา ยังคงเป็นหน้าของบรรณาธิการ แต่กระบวนการเขียน โครงสร้างของบทความล้วนขับเคลื่อนด้วยพลังของ AI แทบทั้งสิ้น

รวมถึงกระบวนการคัดเลือกและจัดเรียงพาดหัวข่าวด้วย ทั้งนี้ เป็นที่น่าสังเกตว่าท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของวงการสื่อ พบว่า สื่อไทยเปิดรับและปรับตัวเข้ากับเทคโนโลยี AI ได้ค่อนข้างไวกว่าประเทศรอบข้าง ดังจะเห็นได้จากผลสำรวจล่าสุดที่สะท้อนมุมมองในแง่ดีของการนำ AI มาใช้ โดยผลสำรวจความคิดเห็นของนักข่าว 70 คนใน 4 ประเทศได้แก่ อินโดนีเซีย เวียดนาม ฟิลิปปินส์และไทย พบว่านักข่าวส่วนใหญ่มีทัศนคติเชิงบวกต่อการนำ AI มาใช้ในวงการสื่อโดยเฉพาะในประเทศไทยที่มีระดับการยอมรับและปรับตัวสูงถึง 95% เป็นรองแค่เพียงเวียดนามเท่านั้นที่ให้การยอมรับถึง 100% โดยผู้ตอบแบบสอบถาม ซึ่งเป็นสื่อในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มองว่า AI ส่งผลดีต่องานของตนถึง 84% ขณะที่ 4% มองว่าไม่มีผลใด ๆ และ 12% มองในแง่ลบ

ทั้งนี้สาเหตุหนึ่งที่นักข่าวไทยมีอัตราการมอง AI ในแง่บวกสูงอาจเป็นเพราะสื่อไทยใช้ภาษาไทยเป็นหลักจึงเกิดความรู้สึกว่า AI อาจคุกคามการทำงานของตนน้อยกว่าประเทศอื่นในภูมิภาค สวนทางกับฟิลิปปินส์ที่มีอัตราการมองในแง่บวกต่ำสุดและมองในแง่ลบสูงสุดเนื่องจากสื่อท้องถิ่นใช้ภาษาอังกฤษกันอย่างแพร่หลายนั่นเอง

อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่าการนำเสนอเทคโนโลยีข่าวสารด้วย AI  ได้นำไปสู่ปัญหาหลายประการที่กระทบต่อหลักจรรยาบรรณวิชาชีพสื่อร้ายแรง ตัวอย่างที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งในต่างประเทศ เช่น ข้อมูลผิดพลาด คำนวณเลขผิดพลาด ใช้ภาษาที่ไม่เหมาะ สมลอกเลียนเนื้อหาจากสำนักข่าวอื่นโดยไม่ใส่ที่อย่างชัดเจน เป็นต้น ดังนั้นความสามารถเฉพาะทางของมนุษย์ยังคงมีความสำคัญและถึงแม้ว่า AI จะเข้ามามีบทบาทในวงการสื่อสารมวลชนมากยิ่งขึ้น แต่ก็ยังไม่สามารถมาทดแทนศักยภาพของมนุษย์ไปได้ โดยเฉพาะในด้านความคิดสร้างสรรค์และการตัดสินใจเชิงจริยธรรมการปรับตัวและพัฒนาทักษะให้เข้ากับยุค AI จึงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้ที่ทำงานในวงการสื่อเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงและโอกาสใหม่ๆ ที่กำลังจะมาถึง

ด้านนายวินท์ สุธีรชัย กรรมการปรับปรุงและยกร่างกฎหมาย กระทรวงพลังงาน กล่าวว่า ในฐานะอยู่ทั้งในแวดวงการเมืองและธุรกิจ มองว่า โลกของข้อมูลข่าวสารในปัจจุบันก้าวไปเร็วไปมากและเปลี่ยนแปลงอย่างไม่หยุดนิ่ง และที่สำคัญมีทั้งข่าวจริงและข่าวปลอม นั่นจึงเป็นเรื่องที่ทำให้ผู้ที่รับข้อมูลข่าวสารต้องเพิ่มความระมัดระวังในการรับรู้ข้อมูล ต้องกรองข่าวนั้นให้ดีก่อนจะเชื่อ อย่าเพิ่งไปเชื่อสิ่งที่เราเห็นในครั้งแรก ต้องหาข้อมูลให้ชัดเจนว่าเป็นเรื่องจริง หรือเป็นสิ่งที่ AI สร้างขึ้นมาเป็นข่าวลวง จากนั้นจึงจะเป็นขั้นต่อไปว่า จะเผยแพร่ต่อหรือนำไปเตือนไปใช้อย่างไรต่อไป 

ขณะที่ นายวาซิลี พุชคอฟ ผู้อำนวยการด้านความร่วมมือระหว่างประเทศของสำนักข่าว SPUTNIK กล่าวว่า ต้องยอมรับว่าอุตสาหกรรมการผลิตข่าวสารในปัจจุบันมีความท้าทายอย่างมาก โดยเฉพาะการที่เทคโนโลยียิ่งมีความรวดเร็วทันสมัยยิ่งทำให้สำนักข่าวต่างๆ ต้องปิดตัวไปจำนวนมากในช่วงหลายปีที่ผ่าน ขณะที่ สำนักข่าว Sputnik เอง ได้พัฒนาตัวเองมาอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ก้าวทันเทคโนโลยีทั้งเว็บไซต์และโมบาย แอปพลิเคชัน และมีการแปลไปถึง 30 ภาษา 

และหากมองถึงในแง่การพัฒนาอุตสาหกรรมข้อมูลข่าวสาร เทียบประเทศไทยกับรัสเซีย จะเห็นว่าประเทศไทยมีความก้าวหน้า แต่ก็ยังมีความเป็นอนุรักษ์นิยมอยู่บ้าง ดังที่เห็นได้จากการยังคงมีหนังสือพิมพ์อยู่ ในขณะที่ในมอสโกแทบจะไม่มีหนังสือพิมพ์วางขายแล้ว โดยเฉพาะหลังจากสถานการณ์โควิดที่สำนักพิมพ์เกือบทั้งหมดยุติการพิมพ์ไปแล้ว

หรือแม้กระทั่งโทรทัศน์ก็แทบจะไม่ดูกันแล้วในรัสเซีย โดยหันมาใช้โปรแกรม Telegram ในการรับรู้ข้อมูลข่าวสารอย่างแพร่หลาย เพราะฉะนั้น ในวงการสื่อสารมวลชนแทบจะไม่มีอะไรแน่นอน และอาจจะไม่คุ้มค่าในการลงทุนใหม่ๆ ในวงการสื่อ อีกทั้งยังพบว่า AI เป็นความท้าทาย โดยเฉพาะการใช้ทำข่าวปลอม ซึ่งหลาย ๆ ประเทศกำลังเผชิญอยู่ ถ้ามองโลกในแง่ดีก็คือการเปลี่ยนผ่านไปสู่สิ่งใหม่ ๆ แต่หากมองในแง่ร้าย ก็ต้องยอมรับว่า สิ่งนี้กำลังจะทำลายวงการสื่อสารมวลชนได้เช่นเดียวกัน

“สำหรับในส่วนของการนำเสนอข่าวของ Sputnik นั้น จะมีการพิจารณาอย่างถี่ถ้วนก่อนจะนำเสนอข่าวออกไป โดยยึดมั่นในข้อเท็จจริงเป็นสิ่งสำคัญ โดยบรรณาธิการข่าวแต่ละคนจะต้องตระหนักในเรื่องเหล่านี้ เพื่อป้องกันการนำเสนอข่าวปลอมที่อาจจะสร้างความเสียหายให้กับผู้ที่รับรู้ข้อมูลข่าวสารนั้นๆ และจะต้องไม่รับฟังแค่ข่าวด้านเดียว ต้องฟังอย่างรอบด้านก่อนจะนำเสนอออกไป และแม้ว่า AI อาจจะส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมสื่ออย่างหนัก แต่เชื่อว่าสิ่งที่มนุษย์เหนือกว่า ก็คือการปรับตัว ซึ่งเป็นสิ่งที่มนุษย์ทำได้เป็นอย่างดีมาตลอด”

‘ศุภชัย’ ยก ศาสตร์พระราชา-เศรษฐกิจพอเพียง Soft Power ที่แท้จริง ย้ำหลัก 'พอเพียง รู้เท่าทัน มีภูมิคุ้มกัน' เป็นสูตรการพัฒนาที่ยั่งยืน

‘ดร.ศุภชัย‘ ยกศาสตร์พระราชา เศรษฐกิจพอเพียงคือ Soft Power ที่แท้จริงของไทย พร้อมย้ำหลัก 'พอเพียง รู้เท่าทัน มีภูมิคุ้มกัน' เป็นสูตรการพัฒนาที่ยั่งยืนที่โลกยอมรับ

ดร.ศุภชัย พานิชภักดิ์ อดีตผู้อำนวยการใหญ่องค์การการค้าโลก (WTO) และอดีตเลขาธิการองค์การสหประชาชาติว่าด้วยการค้าและการพัฒนา (UNCTAD) กล่าวในการให้สัมภาษณ์พิเศษฐานเศรษฐกิจ เกี่ยวกับการผลักดัน Soft Power โดยเห็นว่า Soft Power ที่แท้จริงและทรงพลังของไทยไม่ใช่เพียงแค่มวยไทย หรืออาหารไทย แต่คือศาสตร์พระราชาและปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งได้รับการยอมรับในเวทีระดับโลก

"หัวใจของ Sustainable Development คือ Sufficiency Economy ตามแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 นี่คือ Soft Power ของไทยที่แท้จริง" ดร.ศุภชัย กล่าว

ปรัชญานี้ได้รับการยอมรับจากองค์การนานาชาติ โดยเฉพาะในเวทีสหประชาชาติ ในช่วงที่เป็นเลขาธิการ UNCTAD ได้พยายามผลักดันหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงในเวทีการประชุมระดับโลกมาอย่างต่อเนื่อง เชื่อมั่นว่าหัวใจของเศรษฐกิจที่ยั่งยืนคือเศรษฐกิจพอเพียง และก็ได้รับการยอมรับในระดับโลก โดยเฉพาะการที่สหประชาชาติยกย่องให้วันที่ 5 ธันวาคม เป็นวัน World Soil Day หรือวันดินโลก ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการยอมรับในความเชี่ยวชาญของไทยในเวทีระดับโลก

"ความรู้เรื่องดินของเรามาจากพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 เรานี่ที่หนึ่งในโลกเลย บางประเทศในแอฟริกาก็เคยมาขอให้ไทยไปช่วย" ดร.ศุภชัย กล่าว

นิยาม Soft Power ที่แท้จริงดร.ศุภชัย กล่าวว่าความหมายที่แท้จริงของ Soft Power 'Soft Power' คือการที่คุณมีอำนาจที่ไปหว่านล้อมคนอื่นได้ โดยที่คุณไม่ต้องใช้อะไรไปบังคับเขา ในขณะที่มวยไทย อาหารไทย และวัฒนธรรมบันเทิงอื่น ๆ เป็นส่วนที่ดีในแง่ของความสร้างสรรค์ (Creative) แต่ Soft Power ที่แท้จริงของไทยคือค่านิยม ปรัชญา และองค์ความรู้ที่คนไทยมี โดยเฉพาะหลักการ 'พอเพียง รู้เท่าทัน มีภูมิคุ้มกัน' ซึ่งเป็นสูตรของพระราชาชาวนาที่ควรได้รับการเผยแพร่ในระดับนานาชาติมากยิ่งขึ้น

"คนไทยเรามี 'สูตรของพระราชาชาวนา' ศาสตร์พระราชาของเรานี่เอง 'พอเพียง รู้เท่าทัน มีภูมิคุ้มกัน' อันนี้คือสิ่งที่เราต้องขยายออกไปให้มาก" ดร.ศุภชัย กล่าว

ดร.ศุภชัย ยังให้ความเห็นเกี่ยวกับการวัดความสำเร็จทางเศรษฐกิจว่าไม่ควรยึดติดเพียงตัวเลข GDP เพียงตัวเดียว เพราะการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจไม่ใช่ตัวเลขตัวเดียวในการวัดการพัฒนา ตัวเลขการเติบโตที่สำคัญที่สุดคือการเติบโตของรายได้กลุ่มที่มีรายได้น้อยที่สุด 40% ของประเทศ

ล่าสุดขององค์การสหประชาชาติไม่ได้ใช้ GDP เป็นตัวชี้วัดหลักในการประเมินความสำเร็จทางเศรษฐกิจอีกต่อไป เพราะ GDP ไม่ได้รวมหลายปัจจัยสำคัญ เช่น เศรษฐกิจนอกระบบ ธุรกิจอีคอมเมิร์ซ และงานบ้านที่ไม่ได้รับค่าตอบแทน

ดัชนีชี้วัดการพัฒนาที่สำคัญมันอยู่ที่ Social Indicator อย่างเช่นการศึกษาของเด็กเป็นยังไง ซึ่งสะท้อนแนวคิดการพัฒนาที่ยั่งยืนตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงที่ไม่ได้มุ่งเน้นเพียงความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ แต่ให้ความสำคัญกับมิติทางสังคมและการพัฒนามนุษย์ด้วย

การผสมผสานระหว่างหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงกับแนวคิดการพัฒนาที่ยั่งยืนจะเป็นทางออกสำหรับประเทศไทยและโลกในการรับมือกับความท้าทายในอนาคต และนี่คือ Soft Power ที่แท้จริงของไทยที่ควรได้รับการส่งเสริมและเผยแพร่สู่เวทีโลก

 เชียงใหม่-เชิญร่วมงาน 'วันคารวะดำหัวพี่พยาบาลอาวุโส ประจำปี ๒๕๖๘'

สมาคมพยาบาลแห่งประเทศไทย ฯ สาขาภาคเหนือ ได้มีกำหนดการจัดงาน 'วันคารวะดำหัวพี่พยาบาลอาวุโส ประจำปี ๒๕๖๘'ในวันอาทิตย์ที่ ๒๗ เมษายน ๒๕๖๘ เวลา ๑๓.๐๐-๑๖.๐๐ น.ณ ห้องคุ้มคำหลวง ศูนย์ประชุมนานาชาติคุ้มคำ คุ้มขันโตก อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่

โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อแสดงความกตัญญูกตเวฑิตา ต่อพี่พยาบาลอาวุโสในเขตจังหวัดภาคเหนือ และเป็นการส่งเสริมจริยธรรม ความสามัคคี ในองค์กรวิชาชีพพยาบาล ตลอดจนเป็นการสืบสานอนุรักษ์วัฒนธรรมประเพณี 'การดำหัวผู้อาวุโส' ในโอกาสประเพณีวันสงกรานต์ ของท้องถิ่นล้านนา และของไทยให้คงอยู่สีบไป

ดังนั้นขอเรียนเชิญผู้บริหารทางการพยาบาล ผู้บริหารทางการศึกษา พยาบาล พยาบาลวิชาชีพทั้งภาครัฐและเอกชน นักศึกษาพยาบาลและผู้มีเกียรติทุกท่านในเขตจังหวัดภาคเหนือ เข้าร่วมงานในวัน และเวลาดังกล่าว

กองทัพเรือ ปิดหลักสูตรการฝึกอาชีพให้ทหารกองประจำการ ก่อนปลดประจำการจากกองทัพเรือ

(14 มี.ค.68) พลเรือเอก วิจิตร ตันประภา ประธานคณะกรรมการพัฒนาอาชีพทหารกองประจำการกองทัพเรือ (คพท.) เป็นประธานในพิธีปิดหลักสูตรการฝึกอาชีพ ให้แก่ทหารกองประจำการ รุ่นที่ 2 ประจำปีงบประมาณ 2568 โดยมีผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมมอบวุฒิบัตรและแสดงความยินดีกับผู้ที่สำเร็จหลักสูตร ณ สโมสรสัญญาบัตร ฐานทัพเรือสัตหีบ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี

ตามที่กระทรวงกลาโหม มีข้อตกลงร่วมกับกระทรวงแรงงานในการพัฒนาบุคลากร ในด้านทักษะวิชาชีพให้กับทหารกองประจำการ ก่อนปลดประจำการจากกองทัพเรือ ไปประกอบอาชีพส่วนตัวนั้น คณะอนุกรรมการพัฒนาอาชีพทหารกองประจำการกองทัพเรือ ร่วมกับกรมฝีมือแรงงาสน กระทรวงแรงงาน โดยสถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน 17 ระยอง ได้จัดให้มีการฝึกอาชีพให้แก่ทหารกองประจำการในพื้นที่จังหวัดชลบุรี จำนวน 4 รุ่น โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมเพิ่มพูนความรู้ และประสบการณ์ในวิชาชีพสาขาต่าง ๆ ให้สามารถนำความรู้ไประกอบอาชีพหารายได้เลี้ยงครอบครัว เมื่อปลดประจำการไปแล้ว

สำหรับการฝึกอบรมอาชีพในครั้งนี้เป็นการฝึกอบรมในรุ่นที่ 2 ประจำปีงบประมาณ 68 โดยได้รับสมัครทหารกองประจำการจากหน่วยต่าง ๆ ในพื้นที่สัตหีบ เข้ารับการฝึกอบรมอาชีพช่างทั่วไปและหลักสูตรฝึกอาชีพเสริม ประกอบด้วย หลักสูตรช่างซ่อมรถจักรยานยนต์ หลักสูตรช่างเดินสายไฟฟ้าภายในอาคาร หลักสูตรช่างเชื่อมไฟฟ้าด้วยมือ หลักสูตรการบำรุงรักษารถยนต์ และหลักสูตรนิวไดร์เวอร์ ร่วมกับบริษัท เอสซีจี เจดับเบิ้ลยูดี อะคาเดมี จำกัด โดยมีผู้เข้ารับการฝึกอบรม จำนวน 57 นาย

สมุทรปราการ-ศูนย์เวลเนส วีแคร์ ร่วมงานประชุมวิชาการระดับชาติด้านเวชศาสตร์วิถีชีวิต นำเสนอแนวปฏิบัติทางคลินิกจากงานวิจัยกว่า 500 ฉบับ

ศูนย์เวลเนส วีแคร์ ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในงานประชุมวิชาการระดับชาติด้านเวชศาสตร์วิถีชีวิตและการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม ครั้งที่ 2 ประจำปี 2568 หัวข้อ "HEALTHY LIVING | HEALTHY LONGEVITY เวชศาสตร์วิถีชีวิต จังหวะชีวิตเพื่ออายุที่ยืนยาวอย่างมีคุณภาพชีวิตที่ดี" ซึ่งจัดโดยกรมอนามัย ร่วมกับ สสส. สมาคมเวชศาสตร์วิถีชีวิตไทย สมาคมเวชศาสตร์ป้องกันแห่งประเทศไทย และภาคีเครือข่าย 

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์ ผู้อำนวยการศูนย์เวลเนส วีแคร์ ได้รับเกียรติเป็นวิทยากรบรรยายหลักใน session "แนวทางปฏิบัติทางคลินิกและแพลตฟอร์มดิจิทัลเพื่อเวชศาสตร์วิถีชีวิต" (KALM Series) ทได้นำเสนอแนวปฏิบัติทางคลินิก (Clinical Practice Guidelines: CPG) อันเป็นผลจากการศึกษาวิเคราะห์และทบทวนงานวิจัยอย่างเข้มข้นกว่า 500 บทความวิชาการ ก่อนนำมาสังเคราะห์และพัฒนาเป็นแนวทางปฏิบัติที่เป็นรูปธรรม องค์ความรู้เหล่านี้ไม่เพียงมีฐานทางวิชาการที่แข็งแกร่ง แต่ยังถูกออกแบบให้สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้จริงในระบบสาธารณสุข เพื่อยกระดับการจัดการสุขภาพของประชาชนไทยให้ก้าวสู่การมีคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน 

ในงานนี้ ศูนย์เวลเนส วีแคร์ ยังได้ออกบูธประชาสัมพันธ์โครงการพัฒนาศักยภาพบุคลากรด้านเวชศาสตร์วิถีชีวิต สำหรับองค์กรและบุคลากรสาธารณสุข พร้อมนำเสนอแคมป์สุขภาพที่ทางศูนย์ได้จัดทำขึ้น เพื่อเป็นทางเลือกในการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม ขณะที่เมก้า วีแคร์ บริษัท ได้นำเสนอผลิตภัณฑ์บำรุงสุขภาพคุณภาพสูงในราคามิตรภาพสำหรับบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขที่เข้าร่วมงาน 

การเข้าร่วมงานครั้งนี้สะท้อนวิสัยทัศน์ของศูนย์เวลเนส วีแคร์ ในการเป็นผู้นำด้านเวชศาสตร์วิถีชีวิตและการดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน โดยมุ่งมั่นถ่ายทอดความรู้ ประสบการณ์ และนวัตกรรมด้านสุขภาพ เพื่อร่วมขับเคลื่อนประเทศไทยสู่สังคมสุขภาพดีถ้วนหน้า ซึ่งสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของการประชุมที่มุ่งพัฒนาระบบเวชศาสตร์วิถีชีวิตในประเทศไทยอย่างยั่งยืน 

ผบช.สตม. ลงพื้นที่ชายแดน อ.แม่สอด จ.ตาก สนับสนุนหน่วยความมั่นคง ทหาร-ปกครอง เพิ่มความเข้มตรวจสอบขบวนการลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมาย สกัดกั้นอาชญากรรมข้ามชาติ ขบวนการคอลเซนเตอร์ ส่งตัวกลับไปแล้ว 2,705 ราย

เมื่อวันที่ (13 มี.ค.68) เวลา 16.00 น. ที่ ตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดตาก พล.ต.ท.ภาณุมาศ บุญญลักษม์ ผบช.สตม. วางมาตรการสกัดกั้นขบวนการอาชญากรรมข้ามชาติ แก๊งคอลเซนเตอร์  พร้อมทั้งกำชับให้เข้มงวดในการตรวจสอบเอกสารการเดินทางของกลุ่มสัญชาติเป้าหมายป้องกันการลักลอบไปทำงานเป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์ฝั่งประเทศเพื่อนบ้าน ตามจุดตรวจตลอดแนวแม่น้ำเมย และช่องทางอื่น โดยให้มีผลการปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม

พล.ต.ท.ภาณุมาศ ฯ กล่าวว่า สตม. ได้เพิ่มความเข้มงวดในการกวดขัน ตรวจสอบโดยการตั้งจุดตรวจร่วม จุดสกัด ตามเส้นทางคมนาคมทางบก ก่อนเข้าพื้นที่ อ.แม่สอด จ.ตาก แล้วเดินทางไปยังพื้นที่พรมแดน เพื่อสกัดกั้น ขบวนการนำพาคนต่างด้าว รถยนต์ที่ต้องสงสัยให้เพิ่มการเฝ้าระวังเป็นพิเศษ และมีการจัดเก็บประวัติบุคคลไว้เป็นฐานข้อมูล เพื่อใช้สนับสนุนประโยชน์สำหรับงานสืบสวน หรือติดตามตัวบุคคล ทั้งนี้ได้มีการประชาสัมพันธ์คนต่างชาติที่เดินทางมาที่ อ.แม่สอด จ.ตาก ไม่ให้หลงเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพหลอกลวงไปทำงานแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่ประเทศเพื่อนบ้านอย่างต่อเนื่อง ที่ผ่านมาสามารถคัดกรองและมีผู้สมัครใจเดินกลับไปแล้ว 45 ราย ส่วนภารกิจการรับคน ต่างด้าว จากประเทศเพื่อนบ้านเพื่อผลักดันส่งกลับออกไปนอกราชอาณาจักร ได้กำชับให้ดำเนิการตามนโยบายรัฐบาล และ ข้อสั่งการของ สมช. โดยให้คำนึงถึง พ.ร.บ.คนเข้าเมืองฯ ได้วาง ระเบียบและคำสั่ง ไว้เป็นแนวทาง มีมาตรฐานการปฏิบัติเดียวกัน ที่ผ่านมาตั้งแต่วันที่ 20 ก.พ. สตม. ได้ทำการผลักดันส่งกลับประเทศต้นทางไปแล้วทั้งสิ้น 2,705 ราย แบ่งเป็น สัญชาติจีน 2,040 ราย อินเดีย 549 ราย อินโดนีเซีย 84 ราย มาเลเซีย 25 ราย และ ฮ่องกง 7 ราย  เฉลี่ยรับตัววันละ 500 ราย

ผบช.สตม. กล่าวต่อว่า พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร ผบ.ตร. ได้สั่งการให้ สตม. วางมาตรการป้องกันแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่อาจจะย้ายฐานปฏิบัติการเข้ามาในประเทศไทยจากการปราบปรามกลุ่มทุนสีเทาอย่างหนักในประเทศเมียนมา พร้อมกำชับห้ามมีเจ้าหน้าที่เข้าไปเกี่ยวข้องหากพบจะดำเนินการอย่างเด็ดขาดและขอประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนชาวไทยและชาวต่างชาติอย่าหลงเชื่อกลุ่มมิจฉาชีพชักชวนให้ไปทำงานในประเทศเพื่อนบ้านโดยอ้างว่าจะได้รับผลตอบแทนที่สูง หากประชาชนพบเห็นหรือมีเบาะแสเกี่ยวกับการกระทำความผิด สามารถแจ้งข้อมูลมายัง สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง

📍 ที่อยู่: อาคารเฉลิมพระเกียรติฯ เลขที่ 904 หมู่ที่ 6 ต.บ้านใหม่ อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี 11120
📞 โทรศัพท์: ติดต่อสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดในพื้นที่
🌐 เว็บไซต์: www.immigration.go.th 

'เชียงราย' ไทย-ลาว จับมือแน่น! ขับเคลื่อนแผน 'SEAL STOP SAFE' สกัดยาเสพติดทะลักชายแดน

ภายใต้แผนปฏิบัติการ 'SEAL STOP SAFE' ตามนโยบายรัฐบาลไทย พล.ท.กิตติพงศ์ ชื่นใจชน แม่ทัพน้อยที่ 3/ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการสกัดกั้นและปราบปรามยาเสพติด สารตั้งต้น และเคมีภัณฑ์ ชายแดนภาคเหนือ (ผบ นบ.ยส.35) พร้อมคณะทำงานจากหน่วยงานต่างๆ อาทิ สำนักงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติดภาค 5 (ปปส.ภาค 5) ได้เดินทางเยือนสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) ระหว่างวันที่ 12-13 มีนาคม พ.ศ. 2568 เพื่อเสริมสร้างความร่วมมือในการสกัดกั้นและปราบปรามยาเสพติด

**วันที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2568 ที่ผ่านมาคณะฯ ได้เดินทางไปยังแขวงบ่อแก้ว สปป.ลาว โดยเริ่มจากการตรวจเยี่ยมและประสานการปฏิบัติงาน ณ ด่านสกัดกั้นยาเสพติดร่วมน้ำเกิ๋ง เมืองต้นผึ้ง ซึ่งมี พ.ท.วิไลสัก กิดติมานุรัก รองหัวหน้าด่านน้ำเกิ๋ง ให้การต้อนรับ จากนั้น คณะฯ ได้เข้าพบปะหารือและประสานงานด้านยาเสพติด ณ กองบัญชาการป้องกันความสงบ แขวงบ่อแก้ว โดยมี พล.จ.จันพอนเพ็ด คำสี หัวหน้ากองบัญชาการป้องกันความสงบแขวงบ่อแก้ว ให้การต้อนรับ ทั้งสองฝ่ายได้หารือถึงแนวทางความร่วมมือในการสกัดกั้นยาเสพติด รวมถึงการประสานงานเพื่อจับกุมผู้ต้องหาในคดียาเสพติดที่อาจหลบหนีเข้ามาใน สปป.ลาว นอกจากนี้ ฝ่ายไทยยังได้มอบยุทโธปกรณ์เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ลาวในการสกัดกั้นยาเสพติดในพื้นที่แขวงบ่อแก้ว

**วันที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2568 ที่ผ่านมาคณะฯ ได้เข้าพบปะหารือและประสานงานความร่วมมือด้านยาเสพติดกับ ดร.คำผะหยา พมปันยา รองเจ้าแขวงบ่อแก้ว ณ ห้องว่าการแขวงบ่อแก้ว เมืองห้วยทราย โดยมีผู้แทนจากหน่วยงานต่างๆ ของทั้งสองฝ่ายเข้าร่วมการหารือ อาทิ นบ.ยส.35, อัครราชทูตที่ปรึกษาด้านควบคุมยาเสพติดประจำสถานเอกอัครราชทูตไทย ณ เวียงจันทน์, ปปส.ภาค 5, รอง ผอ.รมน.จว.ช.ร., ฝ่ายปกครองอำเภอพื้นที่ติดแนวชายแดน สปป.ลาว, กองบัญชาการป้องกันความสงบแขวง (ตำรวจ), กองบัญชาการทหารแขวงฯ และแผนกการต่างประเทศแขวง การหารือในครั้งนี้เป็นการแนะนำตัวเพื่อสร้างความสัมพันธ์ แลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร และหารือถึงแนวทางความร่วมมือในการแก้ไขปัญหายาเสพติดร่วมกัน

การเดินทางเยือน สปป.ลาว ในครั้งนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของรัฐบาลไทยในการแก้ไขปัญหายาเสพติด โดยการเสริมสร้างความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อสกัดกั้นและปราบปรามยาเสพติดอย่างจริงจังและมีประสิทธิภาพ

การประชุมครั้งนี้มุ่งเน้นการกระชับความสัมพันธ์ แลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร และกำหนดแนวทางความร่วมมือในการต่อต้านยาเสพติดร่วมกัน โดยทั้งสองฝ่ายได้แสดงเจตนารมณ์อันแน่วแน่ในการทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด เพื่อแก้ไขปัญหายาเสพติดที่ส่งผลกระทบต่อทั้งสองประเทศ

พล.ท.กิตติพงศ์ ชื่นใจชน กล่าวว่า "ความร่วมมือระหว่างไทยและลาวในครั้งนี้ ถือเป็นก้าวสำคัญในการสกัดกั้นและปราบปรามยาเสพติดอย่างจริงจัง เราจะทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด เพื่อปกป้องประชาชนจากภัยร้ายนี้"

ด้าน ดร.คำผะหยา พมปันยา กล่าวว่า "รัฐบาลลาวให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหายาเสพติด และพร้อมที่จะร่วมมือกับประเทศไทยอย่างเต็มที่ เพื่อสร้างความปลอดภัยให้กับประชาชนทั้งสองประเทศ"

การหารือครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของทั้งสองประเทศในการแก้ไขปัญหายาเสพติดอย่างจริงจัง และเป็นสัญญาณที่ดีของความร่วมมือระหว่างประเทศเพื่อนบ้านในการต่อสู้กับภัยร้ายนี้

ศรชล.ภาค 1 หน่วยปกป้อง ป้องกันและปราบปรามการกระทำผิดกฎหมายทางทะเล ครบรอบ 6 ปี

ที่อาคาร ศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล ภาค 1 (ศรชล.) อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี พลเรือโท อาภา ชพานนท์ ผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเลภาค 1 เป็นประธานในพิธี จัดงานวันคล้ายวันสถาปนาหน่วย ศรชล.ภาค 1 ครบรอบ 6 ปี แห่งการก่อตั้ง โดยมีหัวหน้าหน่วยงาน กองทัพเรือ จากภาคส่วนต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและภาคเอกชนให้เกียรติมาแสดงความยินดี 

ซึ่งการจัดงาน เนื่องในวันคล้ายวันสถาปนาฯ ในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อความเป็นสิริมงคลของหน่วยงาน อีกทั้งยังเป็นการสร้างความสามัคคีและความภาคภูมิใจแก่ กำลังพล และเป็นโอกาสในการสร้างความสัมพันธ์อันดีกับหน่วยงานอื่น ๆ ในพื้นที่อีกทางหนึ่งด้วย

พลเรือตรี ไชยนันท์ ชูใหม่ รองผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล ภาค 1 (ศรชล.ภาค 1) ผู้แทน ผอ.ศรชล.ภาค 1 กล่าวว่า ศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล ภาค 1 หรือ ศรชล.ภาค 1 ก่อตั้งขึ้นจากศูนย์ประสานการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล เนื่องจากประเทศไทย มีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับภารกิจทางทะเล อยู่หลายหน่วยงาน อาจมีช่องว่างในการประสานงาน จึงก่อเกิดการบูรณาการการปฏิบัติงานหน่วยงานทางทะเลต่าง ๆ ให้ร่วมกันปกป้อง ป้องกัน ปราบปราม รวมถึงอนุรักษ์ ในรูปแบบของศูนย์ประสานงาน   

ศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล เป็นส่วนราชการรูปแบบเฉพาะ มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล อันพึงได้รับจากกิจกรรมทางทะเล ในรูปแบบต่างๆ อาทิ การพาณิชยนาวี การประมง การท่องเที่ยว การแสวงประโยชน์จากทรัพยากรที่ไม่มีชีวิต การวางสายเคเบิลท่อใต้ทะเล การอนุรักษ์จัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมทางทะเลและชายฝั่ง การป้องกันบรรเทาสาธารณภัย การสำรวจวิจัยวิทยาศาสตร์ทางทะเล ภายใต้การบังคับบัญชาขึ้นตรงต่อ "นายกรัฐมนตรี"

โดยมุ่งเน้นความมั่นคงทางทะเล แบบองค์รวม จึงมีการบูรณาการหน่วยงานหลักของ ศรชล.7 หน่วยงาน ในการบังคับใช้กฎหมายในทะเล และให้ความคุ้มครองและรักษาผลประโยชน์ประโยชน์ของชาติทางทะเล 

สำหรับผลการปฏิบัติงานที่สำคัญ คือ การช่วยเหลือประชาชนและนักท่องเที่ยว การส่งกลับผู้เจ็บป่วยสายแพทย์ การบูรณาการหน่วยงานทางทะเลและหน่วยงานความมั่นคงทั้งในประเทศ และต่างประเทศ ในการสกัดการกระทำความผิดกฎหมายทางทะเล การทำลายสิ่งแวดล้อมทางทะเลและชายฝั่ง การส่งเสริมการท่องเที่ยว การสร้างความตระหนักรู้ผลประโยชน์ของชาติทางทะเล เพื่อตอบสนองภารกิจ การแก้ไขปัญหา เพิ่มขีดความสามารถของหน่วยงานของรัฐในการป้องกัน ปราบปรามการกระทำผิดกฎหมาย ที่มีผลกระทบต่อผลประโยชน์ของชาติทางทะเล 

หลวงปู่มหาศิลา จัดงานพิธีวางศิลาฤกษ์ พระธาตุเจดีย์โนนสาวเอ้ ณ ธรรมอุทยานหลวงปู่ศิลา สิริจันโท คนแห่ร่วมงานนับหมื่น !

(13 มี.ค. 68) เมื่อเวลา 09.00น. หลวงปู่มหาศิลา สิริจันโืท  ได้จัดงานพิธีวางศิลาฤกษ์ “ พระธาตุเจดีย์โนนสาวเอ้ ” ณ ธรรมอุทยานหลวงปู่ศิลา สิริจันโท ต.เชียงเครือ อ.เมืองกาฬสินธุ์ จ.กาฬสินธุ์ 

โดยมีพระเดชพระคุณ เจ้าประคุณสมเด็จพระธีรญาณมุนี กรรมการมหาเถรสมาคม เจ้าอาวาส วัดเทพศิรินทราวาส ราชวรวิหาร กทม. เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ หลวงปู่มหาศิลา สิริจันโท ท่านเจ้าคุณเทียนชัย ชยทีโป วัดเทพสรธรรมาราม จ.ปทุมธานี ท่านเจ้าคุณสุริยันต์ วัดป่าวังน้ำเย็น จ.มหาสารคาม ท่านเจ้าคุณต้อม วัดท่าสะแบง จ.ร้อนเอ็ด พร้อมคณะสงฆ์และ เกจิอาจารย์อีกจำนวนมาก 

โดยมี คุณชายแจ๊ค-หม่อมราชวงศ์ โสรัจจ์ วิสุทธิ บุตรชายคนเล็กของหม่อมเจ้าหญิงสุลัภวัลเลง วิสุทธิ (สกุลเดิม สวัสดวัตน์) พระขนิษฐาของ สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีในรัชกาลที่ 7 เป็นประธานฝ่ายฆราวาส พร้อม ท่านผู้ว่าราชการจังหวัดกาฬสินธุ์ และข้าราชการ ทหาร ตำรวจ หลายหมู่เหลา รวมถึงประชาชนจากทั่วสารทิศ  คณะลูกศิษย์จาก ธรรมอุทยานหลวงปู่มหาศิลา และ คุณครูทับทิม วรา ที่ถือว่าเป็นคนสำคัญที่ หลวงปู่มหาศิลา ได้เลือกให้เป็นคนนำสร้าง พระธาตุเจดีย์ โนนสาวเอ้ ร่วมถึงประชาชนที่เดินทางมาร่วมงานพิธีหลายพันคน

โดยก่อนหน้านี้2 วันได้เกิดฝนตกตลอดทั้งคืนทั้งวันจนถึงวันงานพิธีช่วงเช้าเกิดฟ้าครึ้มฝนตกเป็นละออง จนช่วงเวลาทำพิธีวางศิลาฤกษ์ หลวงปู่มหาศิลา ท่านมองขึ้นไปบนท้องฟ้าพร้อมกับชี้นิ้วขึ้นไปแล้วก้มหน้าท่องอะไรบางอย่าง จากนั้นท้องฟ้าที่มืดครึ้มก็เกิดสว่างขึ้นแสงแดดเริ่มออก พร้อมทั้งเกิดปรากฏการณ์พระอาทิตย์ทรงกรด จนทำให้ผู้ที่มาร่วมงานกล่าวคำว่าสาธุ ซึ่งหลวงปู่ศิลาก็ยิ้มและหัวเราะอย่าง อารมณ์ดีใจซึ่งทำให้เหล่าศิษย์ยานุศิษย์ที่มาร่วมงานต่างๆ ต่างมองดูบนท้องฟ้า ในสิ่งมหัศจรรย์ที่เกิดขึ้นต่อหน้าคนหลายพันคน ภายหลังจากเสร็จพิธีวางศิลาฤกษ์  คุณจารุณี จอมทรักษ์ พร้อมทีมงานธรรมอุทยานหลวงปู่ศิลา ศิริจันโท ได้น้อมถวาย ทองคำแท่ง น้ำหนัก 20 บาท แด่หลวงปู่ศิลา พร้อมถวายทองคำแท่งน้ำหนัก 10 บาท ถวายแด่พระอาจารย์สุริยันต์ โฆสปัญโญ  เจ้าอาวาสวัดป่าวังน้ำเย็น จ. มหาสารคาม  และน้อมถวายทองคำแท่งน้ำหนัก 10 บาท แด่ พระอาจารย์ต้อม วัดท่าสะแบง จ.ร้อยเอ็ด 

จากนั้นท่านเจ้าประคุณ สมเด็จ พระธีรญาณมุนี หลวงปู่ศิลา และพระเกจิอาจารย์ รวมถึงข้าราชการทุกหมู่เหล่า ได้ร่วมกันปลูกต้นไม้มงคล หลังจากนั้นท้องฟ้าที่มืดครึ้มก้อนเมฆก็จางหายไปแสงแดดกลับมาสว่างจ้าเหมือนเดิม 

โดยในการสร้าง พระธาตุเจดีย์ โนนสาวเอ้ หลวงปู่มหาศิลา ได้บอกไว้ว่าต้องให้ครูทับทิม หรือ คุณครูทับทิม วรา ทำถึงจะสำเร็จ สำหรับท่านใดที่สนใจจะร่วมบุญเพื่อสร้างพระธาตุเจดีย์  โนนสาวเอ้ และปรับภูมิทัศน์ภายในธรรมะอุทยานหลวงปู่มหาศิลาสามารถร่วมบุญได้ที่บัญชี

ธนาคารกรุงไทย หมายเลขบัญชี 404-357378-2
ชื่อบัญชี : มูลนิธิธรรมอุทยานหลวงปู่ศิลา สิริจันโท เพื่อสร้างพระธาตุเจดีย์และปรับภูมิทัศน์ ( บัญชีนี้ บัญชีเดียว เท่านั้น )


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top