Wednesday, 2 July 2025
NEWS

มันมีเส้นแบ่งบางๆ ระหว่าง การทูตเชิงบวก เน้นสันติภาพ กับ การทูตหน่อมแน้ม

(15 มิ.ย. 68) รองศาสตราจารย์ ดร.อักษรศรี พานิชสาส์น อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้โพสต์เฟซบุ๊ก Aksornsri Phanishsarn ระบุว่า ...

มันมีเส้นแบ่งบางๆ ระหว่าง การทูตเชิงบวก เน้นสันติภาพ กับ การทูตหน่อมแน้ม

#การทูตหน่อมแน้ม ในยุคที่รัฐบาลข้างบ้าน #ขวาจัดสุดโต่ง กระหน่ำซัดเราอย่างหนักรายวัน

'ฮุนเซน' ยืนกรานนำ 4 ข้อพิพาทขึ้นศาลโลกแน่นอน ชี้ คุยกันเอง 100 ปีก็ไม่จบ ต้องยุติความขัดแย้งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตผ่านกระบวนการยุติธรรม ยกตัวอย่างหลายประเทศในอาเซียนยอมรับกติกาศาลโลก ทำให้ความสัมพันธ์ดีขึ้น

เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2568 ก่อนการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมเขตแดนไทย-กัมพูชา #JBC ครั้งที่ 6 จะมีขึ้น ณ กรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา สมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภา โพสต์ข้อความถึงชาวกัมพูชาและมิตรสหายชาวต่างชาติ

สมเด็จฮุน เซน กล่าวว่า ตนเชื่อมาโดยตลอดว่า วันหนึ่งประเทศไทยอาจกระทำการบางอย่างซ้ำรอยกับเหตุการณ์ระหว่างปี 2008 ถึง 2011 และในวันนี้ เราเริ่มเห็นพฤติกรรมที่ละเมิดต่อกฎหมายระหว่างประเทศ และมีลักษณะรุกรานอย่างชัดเจน ดังนั้น การตัดสินใจของตนในขณะนั้น จึงสามารถเข้าใจได้ในบริบทของชุมชนนานาชาติที่ยึดมั่นในหลักนิติธรรม รวมถึงในบริบทของความสัมพันธ์ระหว่างกัมพูชากับประเทศไทยในอนาคต

"กัมพูชาขอเรียกร้องให้ประเทศต่างๆ ที่ยึดมั่นในนโยบายต่างประเทศภายใต้หลักนิติธรรม สนับสนุนให้ทั้งสองฝ่ายเจรจาแก้ไขข้อพิพาทอย่างสันติ และเป็นไปตามกฎหมายระหว่างประเทศ กัมพูชา ขอให้ประเทศที่เคารพกฎหมายระหว่างประเทศ สนับสนุนให้ประเทศไทยแก้ไขข้อพิพาทเขตแดนร่วมกับกัมพูชาผ่านกระบวนการของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) โดยเฉพาะใน 4 ประเด็นสำคัญ ได้แก่:

1. พื้นที่สามเหลี่ยมมรกต หรือช่องบก ซึ่งเป็นรอยต่อระหว่างกัมพูชา ลาว และไทย

2. ปราสาทตาเมือนธม

3. ปราสาทตาเมือนโต๊ด

4. ปราสาทตาควาย

สมเด็จฮุน เซน กล่าวว่า กัมพูชาไม่ได้ร้องขออาวุธหรือกระสุนที่นำไปสู่การนองเลือดกับประเทศไทย แต่กัมพูชาต้องการการสนับสนุนให้หันหน้าเข้าสู่แนวทางสันติวิธี ผ่านการเจรจาทวิภาคีและกระบวนการทางกฎหมาย

"เส้นเขตแดนระหว่างกัมพูชา-ไทยมีความยาวมากกว่า 800 กิโลเมตร แต่กัมพูชาเพียงขอให้พิจารณา 4 พื้นที่ ซึ่งเป็นจุดเสี่ยงต่อความขัดแย้งทางทหารในอนาคต และต้องได้รับการแก้ไขล่วงหน้าผ่านกระบวนการศาล เพราะปัญหาเหล่านี้ไม่สามารถแก้ไขได้แม้ภายใน 100 ปีหากอาศัยเพียง #กลไกทวิภาคี ดังนั้น มีเพียง #ศาลโลก เท่านั้นที่สามารถตัดสินข้อพิพาทเหล่านี้ได้อย่างเด็ดขาด"

ลำพูน-ผบช.ภ.5 แถลงข่าวจับกุมคนร้ายวิ่งราวทรัพย์ร้านทองป่าซาง พร้อมทำแผน

วันอาทิตย์ที่ 15 มิถุนายน 2568 เวลา 10.00 น. พล.ต.ท. กฤตธาพล  ยี่สาคร ผบช.ภ.5 เป็นประธานการแถลงข่าว ผลการจับกุมผู้ต้องหาคดีวิ่งราวทรัพย์ร้านทองเหตุเกิดในพื้นที่ สภ.ป่าซาง จ.ลำพูน ณ ห้องประชุมสภ.ป่าซาง จ.ลำพูน จัดทำแผนประกอบคำรับสารภาพ ณ ร้านทองที่เกิดเหตุ

ด้วยเมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 2568เวลาประมาณ 11.40 น.ได้รับแจ้งว่ามีเหตุวิ่งราวทรัพย์ที่ร้านทองเยาวราช แยกตลาดป่าซาง ม.1 ต.ป่าซาง อ.ป่าซาง จ.ลำพูน พ.ต.อ.วีรชาติ ระตะเจริญ ผกก.สภ.ป่าซาง,พ.ต.ท.ชาญวิทย์ ทนันชัย รอง ผกก.สส.สภ. อ.ป่าซาง, พ.ต.ท กฤตธัช ศรีคำมูล สว.สส.สภ.ป่าซาง พร้อมด้วยชุดสืบสวน สภ.ป่าซาง จว.ลำพูน และพนักงานสอบสวนเดินทางไปตรวจสอบที่เกิดเหตุพบว่าคนร้ายได้วิ่งราวทรัพย์เป็นทองรูปพรรณจำนวน 2 เส้น น้ำหนักเส้นละ 5 บาท มูลค่าประมาณ 500,000 กว่าบาท จึงได้ ประสาน พฐ.จังหวัดลำพูน ร่วมตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุและตรวจยึดหลักฐานที่คนร้ายทิ้งไว้ในที่เกิดเหตุไว้เป็นหลักฐาน

ต่อมาจากการสืบสวนสอบสวนทราบว่าก่อนเกิดเหตุคนร้ายได้ไปลักทรัพย์รถจักรยานยนต์ที่ตลาดนัด
ทุ่งฟ้าบด อ.สันป่าตอง จ.เชียงใหม่ และได้ใช้ใช้รถจักรยานยนต์คันดังกล่าว มาก่อเหตุวิ่งราวทรัพย์ในพื้นที่
อ.ป่าซาง จว.ลำพูน โดยการอำนวยการของ พล.ต.ท.กฤตธาพล ยี่สาคร ผบช.ภ.5, พล.ต.ต.ธวัชชัย พงษ์วิวัฒนชัย
รอง ผบช.ภ.5.(สส), พล.ต.ต.วรพงษ์ คำลือ ผบก.สส.ภ.5, พล.ต.ต.บุณยวัต เกิดกล่ำ ผบก.ภ.จว.ลำพูน,
พล.ต.ต.ยุทธนา แก่นจันทร์ ผบก.ภ.จว.เชียงใหม่,พ.ต.อ.พงศกร รัศมีโรจน์สกุล รอง ผบก.ภ.จว.ลำพูน,
พ.ต.อ.ดนัย ใจกล่ำ ผกก.สส.ภ.จว.ลำพูน ได้สั่งการให้ ชุดสืบสวน สส.1.บก.สส.ภ.5, กก.สส.จว.เชียงใหม่,
กก.สส.จว.ลำพูน, ชุดสืบสวน สภ.ป่าซางและชุดสืบสวน สภ.สันป่าตอง จว.เชียงใหม่ บูรณาการร่วมกันทำการ
ติดตามจับกุมคนร้ายให้จงได้ 

ต่อมาได้สืบทราบว่าคนร้าย คือ นายประกร(นามสมมุติ) อายุ47 ปีบ้านเบขที่8/87 ม.6 ต.หนองปรือ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี จึงได้ขออำนาจศาลจังหวัดลำพูนออกหมายจับ และศาลได้อนุมัติหมายจับที่ 265 /2568 ลงวันที่11 มิ.ย.2568 ในข้อหา "วิ่งราวทรัพย์โดยใช้ยานพาหนะเพื่อสะดวกแก่การ
กระทำผิดหรือการพาทรัพย์นั้นไปหรือเพื่อให้พ้นจากการจับกุม" และในวันที่ 14 มิ.ย. 2568สามารถจับกุม
ตัวได้พื้นที่ สภ.เมืองพัทยา จว.ชลบุรี และได้นำตัวมาดำเนินคดีที่ สภ.ป่าซางจว.ลำพูน ต่อไป

ตำรวจภูธรภาค 5 โดย พล.ต.ท.กฤตธาพล ยี่สาคร ผบช.ภ.5 ได้วางมาตรการให้ สภ.ในพื้นที่กวดขัน
และประชาสัมพันธ์ให้กับร้านค้าทองคำเกี่ยวกับการขอความร่วมมือ เจ้าของร้านทองให้ลูกค้าที่มาติดต่อร้าน
ถอดหมวก, หน้ากากอนามัย, แว่นกันแดดหรือสิ่งปกปิดใบหน้า และให้ทำการติดตั้งแผงกั้นหรือประตูกระจก
นิรภัยล็อคอัตโนมัติ รวมถึงการติดตั้งกล้อง CCTV เพิ่มเติมให้หันกล้องไปในทิศทางที่เป็นประโยชน์ในการ
มองเห็นผู้เข้ามาใช้บริการร้านอย่างชัดเจน เพื่อสร้างความปลออดภัยในชีวิตและทรัพย์สินโดยรวม

-แม่ทัพภาคที่ 4 เยี่ยมให้กำลังใจทหารพรานบาดเจ็บจากเหตุลอบวางระเบิดที่นราธิวาส ย้ำเร่งช่วยเหลือ-ติดตามตัวคนร้าย

(15 มิ.ย. 68) เวลา 09.00 น. พลโท ไพศาล หนูสังข์ แม่ทัพภาคที่ 4/ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 เดินทางเข้าเยี่ยมให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ทหารพราน กองร้อย ทพ.4916 ที่ได้รับบาดเจ็บจากเหตุลอบวางระเบิดขณะปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่ ม.2 ต.ศรีบรรพต อ.ศรีสาคร จ.นราธิวาส เมื่อคืนวันที่ 14 มิถุนายน ที่ผ่านมา

จากเหตุการณ์ดังกล่าว มีเจ้าหน้าที่ได้รับบาดเจ็บ 5 นาย และเสียชีวิต 1 นาย ได้แก่ อส.ทพ.ฮัมรู สะมะแอ ส่วนผู้บาดเจ็บ อส.ทพ.อับดุลรอมัน จิใจ ,อส.ทพ.อังศกร สุขสมาน ,อส.ทพ.อินทรี โตมร ,อส.ทพ.ศราวุฒิ เลี่ยนเส้ง ,อส.ทพ.นันทวัฒน์ รงรักษ์ อยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์โรงพยาบาลนราธิวาสราชนครินทร์อย่างใกล้ชิดและอาการพ้นขีดอันตรายแล้ว

โดยแม่ทัพภาคที่ 4 ได้นำกระเช้าเยี่ยมจาก พลเอก พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผู้บัญชาการทหารบก และเงินบำรุงขวัญมอบให้ผู้บาดเจ็บ พร้อมสอบถามเหตุการณ์และกล่าวชื่นชมในความกล้าหาญ เสียสละของกำลังพล และย้ำว่า รัฐบาลและผู้บังคับบัญชาทุกระดับพร้อมให้การช่วยเหลืออย่างเต็มที่ ทั้งเรื่องสิทธิ สวัสดิการ และการดูแลฟื้นฟูสภาพร่างกายและจิตใจ พร้อมกันนี้ ได้สั่งการให้หน่วยที่เกี่ยวข้องเร่งติดตามสถานการณ์ นำผู้ก่อเหตุมาดำเนินคดีตามกฎหมาย และขอความร่วมมือประชาชนร่วมแจ้งเบาะแสผ่านสายตรงแม่ทัพภาคที่ 4 โทร. 061-1732999 หรือสายด่วน กอ.รมน.ภาค 4 สน. โทร. 1341 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง
กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า ยืนยันเดินหน้าดูแลความปลอดภัยในพื้นที่อย่างเต็มที่ เพื่อสร้างสันติสุขให้เกิดขึ้นอย่างยั่งยืนในจังหวัดชายแดนภาคใต้

ข่าว.แวดาโอ๊ะ หะไร จ.นราธิวาส

ททท. เปิดตัวโครงการ Green Getaway: เที่ยวไป กรีนไป จัดหนักส่วนลดสนับสนุนผู้ประกอบการสีเขียวที่ได้มาตรฐาน  พร้อมทำภารกิจร่วม “ฟื้นฟู” เปลี่ยนแปลงโลกให้น่าอยู่ยิ่งขึ้น กับกิจกรรมเที่ยวด้วยช่วยได้ “Make Your Holiday Worthwhile” 

(15 มิ.ย. 68) การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ชวนทุกคนร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ! ก้าวสู่ยุคใหม่ของการเดินทางท่องเที่ยวสไตล์ Green Generation กับโครงการ Green Getaway: เที่ยวไป กรีนไป ภายใต้แนวคิดการท่องเที่ยวแบบฟื้นฟู (Regenerative Tourism) ที่เชื่อว่าพลังเล็ก ๆ จากนักเดินทางสามารถช่วยเยียวยาธรรมชาติ สร้างโอกาสให้ชุมชน และหล่อเลี้ยงเศรษฐกิจไทยได้อย่างยั่งยืน

จากวิกฤตสิ่งแวดล้อมในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ มลพิษทางอากาศ พื้นที่ป่าไม้ลดลง ปัญหาขยะที่เพิ่มขึ้น ฯลฯ ล้วนเป็นสัญญาณเตือนว่าธรรมชาติไม่สามารถฟื้นฟูตัวเองได้เท่าทันจังหวะการใช้ชีวิตของมนุษย์ และถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องมีส่วนร่วมรับผิดชอบต่อโลกที่อยู่อาศัยอย่างจริงจัง

คุณกนกกิตติกา กฤตย์วุฒิกร  ผู้อำนวยการภูมิภาคภาคตะวันออก การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวว่า “การเปิดตัวโครงการ Green Getaway: เที่ยวไป กรีนไป จะเป็นกลไกที่ช่วยเปิดมุมมองใหม่ ๆ สร้างความเข้าใจว่าทุกคนควรมีบทบาทในการเยียวยาโลก และการท่องเที่ยวในวันนี้ต้องคำนึงมากกว่าการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม  หรือการรักษาสิ่งแวดล้อม จึงได้นำเสนอแนวคิดการท่องเที่ยวแบบฟื้นฟู (Regenerative Tourism) ซึ่งต่อยอดมาจากการท่องเที่ยวแบบยั่งยืน (Sustainable Tourism) โดยมุ่งหวังให้ทุกภาคส่วน ทั้งนักท่องเที่ยว ผู้ประกอบการ และชุมชนได้มีส่วนร่วมในประสบการณ์ท่องเที่ยวสีเขียวไปด้วยกัน”

“ททท. ได้คัดสรรสินค้า บริการ และกิจกรรมการท่องเที่ยวจากทุกภูมิภาคของไทย ซึ่งได้รับการันตีว่ามีการดำเนินงานอย่างใส่ใจสิ่งแวดล้อม ด้วยรางวัล มาตรฐาน หรือตราสัญลักษณ์ที่เชื่อถือได้จากทั้งในระดับประเทศและระดับสากล อาทิ รางวัลอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย มาตรฐานการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน STGs , CF-Hotels มาตรฐาน Earth Check การรับรอง Travelife Sustainability in Tourism การรับรอง Green Hotel และอีกมากมาย เพื่อเติมเต็มประสบการณ์การเดินทางที่มีความหมายลึกซึ้งสำหรับนักท่องเที่ยวสายกรีน”  
 
“ไม่เพียงเท่านั้น ททท. ยังได้จับมือพันธมิตร ทั้งแพลตฟอร์มการท่องเที่ยวชั้นนำ ผู้ประกอบการท่องเที่ยว รวมทั้งกลุ่มธุรกิจไลฟ์สไตล์และ Member Club ต่าง ๆ เข้ามาร่วมจัดทำแคมเปญ มอบสิทธิประโยชน์ ส่วนลด ของที่ระลึก ฯลฯ เพื่อเป็นแรงจูงใจและรางวัลในการออกเดินทางไปฟื้นฟูธรรมชาติอีกด้วย” คุณกนกกิตติกา กล่าวเสริม

สำหรับดีลพิเศษเอาใจสายกรีนได้แก่ เมื่อจองที่พักผ่านเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชัน Traveloka รับโค้ดส่วนลด 200 บาท และพิเศษสำหรับลูกค้าชำระผ่านบัตรเครดิต KTC ใช้คะแนนแลกรับเครดิตเงินคืนสูงสุด 13% - เช่ารถยนต์ไฟฟ้ากับ Chic Car Rent รับส่วนลดสูงสุด 400 บาท  -  สำหรับนักท่องเที่ยวเป็นกลุ่ม ต้องการเที่ยวไป กรีนไป จองรถบัสกับ Eagle The Tour 30 ที่นั่งขึ้นไป รับส่วนลดทันที 10%  - Local Alike จัดทำเส้นทางท่องเที่ยวสายกรีน 10 เส้นทาง ท่องเที่ยวชุมชน ฟื้นฟูป่า สนับสนุนและกระจายรายได้สู่ชุมชน  อนุรักษ์และปกป้องสัตว์ป่า พร้อมชมความงดงามของธรรมชาติ พร้อมมอบส่วนลดจองทริปสูงสุด 10% 

นอกจากนี้ ยังได้มีการจัดกิจกรรม Green Getaway “Make Your Holiday Worthwhile จังหวัดระยอง” ในวันที่ 6–7 มิถุนายน 2568 ที่ผ่านมา ร่วมกับพันธมิตร อาทิ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน), Centara Q Resort Rayong, Chic Car Rent, Eagle the tour, KTC และ Local Alike  เชิญชวนนักท่องเที่ยวสายกรีน จิตอาสา และคนรักสิ่งแวดล้อม มาร่วมเปลี่ยนวันหยุดธรรมดา ให้กลายเป็นการให้ที่ยิ่งใหญ่ โดยมีไฮไลต์ อาทิ Beach Clean Up ชายหาดแหลมแม่พิมพ์ อีเวนต์สุดชิลล์ริมชายหาดที่มัดรวมไว้ทั้งการเรียนรู้เรื่องสิ่งแวดล้อมและเวิร์กช็อปสร้างสรรค์ การปล่อยปูคืนสู่ทะเล ฯลฯ

การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) มุ่งหวังให้โครงการ Green Getaway: เที่ยวไป กรีนไป เป็นมากกว่าการเดินทางท่องเที่ยว แต่คือภารกิจร่วม “ฟื้นฟู” และเปลี่ยนแปลงโลกใบนี้ให้น่าอยู่ยิ่งขึ้น ติดตามรายละเอียดและกิจกรรมการท่องเที่ยวสีเขียวได้ทาง Facebook Page: Green Getaway เที่ยวไป กรีนไป

#GreenGetaway #เที่ยวไปกรีนไป #MakeYourHolidayWorthwhile #Amazingthailand 

Fast Auto Show Thailand 2025 จัดใหญ่!! 2 - 6 ก.ค.นี้ ที่ไบเทค บางนา

(14 มิ.ย. 68) คิง ออฟ ออโต้ โปรดักท์ฯ ผู้จัดงานมหกรรมจำหน่ายรถยนต์ครบวงจร 'Fast Auto Show Thailand' เดินหน้าความพร้อมงาน 'Fast Auto Show Thailand 2025' ผนึกพันธมิตรค่ายรถใหม่หลากแบรนด์ และผู้ประกอบการรถยนต์ใช้แล้วชั้นนำ ร่วมชูคอนเซพท์ “รถใหม่โปรโดนใจ รถมือสองไมล์แท้รับประกันซื้อคืน” ย้ำ “เลือกคันที่ชอบ ถอยคันที่ใช่” ไม่จำเป็นต้องรอ

พัฒนเดช อาสาสรรพกิจ ประธานจัดงาน 'Fast Auto Show Thailand 2025' เปิดเผยว่า Fast Auto Show Thailand 2025 เป็นงานซื้อ-ขายรถยนต์ครบวงจรที่จัดขึ้นในช่วงกลางปี ซึ่งจัดต่อเนื่องเป็นครั้งที่ 13 ทำหน้าที่เป็นเครื่องมือทางการตลาดระดับคุณภาพสำหรับพันธมิตร ทั้งค่ายรถใหม่ และผู้ประกอบการรถยนต์ใช้แล้วชั้นนำ ในการกระตุ้นให้เกิดแรงซื้อ-ขาย และสร้างโอกาสในการฟื้นตัวของภาคอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย หนึ่งในอุตสาหกรรมหลักที่สำคัญของประเทศ ด้วยการผนึกกำลังจัดโปรโมชันที่จูงใจสำหรับรถใหม่ และเงื่อนไขการรับประกันที่เพิ่มความอุ่นใจสำหรับรถยนต์ใช้แล้ว ด้วยคอนเซพท์ “รถใหม่โปรโดนใจ รถมือสองไมล์แท้รับประกันซื้อคืน” เพื่อเป็นประโยชน์ต่อการจัดการต้นทุนในครัวเรือนให้สอดคล้องกับสภาวะเศรษฐกิจ ให้ความสะดวก และประหยัดเวลาในการ “เลือกคันที่ชอบ ถอยคันที่ใช่” สามารถเปรียบเทียบคุณภาพ การให้บริการ และราคาที่ตรงใจได้ในงานเดียว ซึ่งปีนี้ได้รับการตอบรับด้วยดีเช่นเคยจากกลุ่มธุรกิจยานยนต์รถใหม่ มาครบทั้งรถสันดาป รถไฟฟ้า และรถพลังงานทางเลือกอื่นๆ ที่มาพร้อมโปรโมชันแบบดุดัน และสำหรับรถยนต์ใช้แล้วคุณภาพดี ปีนี้เรายังเป็นงานแรก และงานเดียวในประเทศไทยที่เพิ่มเติมการการันตีไมล์แท้ของรถยนต์ใช้แล้วทุกคันในงาน หากพบว่าไม่ถูกต้อง รับประกันซื้อคืน 100 % นอกจากนี้ เพื่อสร้างบรรยากาศแห่งความสุข ภายในงานยังเปิดให้เป็นพื้นที่ Pet Friendly สามารถนำสัตว์เลี้ยงคู่ใจมาร่วมชมงานได้ และจัดแข่งขัน Strider Racing @Fast Auto Show Thailand 2025 สำหรับนักซิ่งรุ่นจิ๋ว วัย 2-4 ปี โดยจะยกสนามแข่งมาตรฐานมาไว้ในฮอลล์ ซึ่งจะเปิดให้ฝึกซ้อมในวันธรรมดา และแข่งขันชิงรางวัล ในวันเสาร์ที่ 5 และวันอาทิตย์ที่ 6 กรกฎาคม 2568

'Fast Auto Show Thailand 2025' เป็นงานที่ผสานความร่วมมือของ 3 ค่ายสื่อยานยนต์ที่มีประสบการณ์ในงานจัดแสดงรถระดับประเทศมายาวนาน ได้แก่ กรังด์ปรีซ์ฯ-มอเตอร์โชว์, สื่อสากลฯ-Motor Expo และ วี.เอ แอนด์ ซันส์ฯ ที่คร่ำหวอดในวงการรถยนต์ใช้แล้วมากว่า 15 ปี

ชลัทชัย ปภัสร์พงษ์ รองประธานจัดงาน เผยว่า ปี 2568 เป็นปีที่ท้าทายของอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยต่อเนื่องจากปีที่แล้ว แม้ว่าภาคเศรษฐกิจกำลังอยู่ในช่วงของการฟื้นตัว แต่การที่รถยนต์ใหม่หลากรุ่นจ่อคิวทยอยเปิดตัวต่อเนื่องนับตั้งแต่ต้นปี เป็นสิ่งยืนยันว่าประเทศไทยยังคงเป็นตลาดสำคัญที่มีศักยภาพ และยัง “เนื้อหอม” เป็นที่หมายปองของต่างชาติในการเป็นฐานผลิต จึงเป็นปีที่น่าจับตาว่า เจ้าตลาดดั้งเดิมแต่ละแบรนด์จะขยับตัวอย่างไร เพื่อรับมือกับการตลาดของรถแบรนด์จีน และการมาของรถพลังงานทางเลือกอื่นๆ ที่รักษ์โลกใกล้เคียงกับรถไฟฟ้า ก็ทำให้ตลาดน่าสนใจยิ่งขึ้น จึงเป็นโอกาสให้ผู้บริโภคได้เลือกใช้รถยนต์ที่ต้องการในราคาที่สมเหตุสมผลมากขึ้น สำหรับแบรนด์รถใหม่ที่ตอบรับเข้าร่วมในงาน “Fast Auto Show Thailand 2025” ณ เวลานี้รวม 10 แบรนด์ ได้แก่ Isuzu, Toyota, Honda, Mitsubishi, Volvo, Mercedes-Benz, MG, Zeekr, Deepal และ Aion ที่จะมาพร้อมแคมเปญโปรโมชันโดนใจอย่างแน่นอน

อัษฎาวุธ อาสาสรรพกิจ รองประธานจัดงาน กล่าวว่า ผมมักจะโดนถามเสมอว่า ทำไมคนถึงต้องมาซื้อรถมือสองในงาน 'Fast Auto Show Thailand' คำตอบง่ายๆ คือ 1. มีรถยนต์สภาพนางฟ้าเลขไมล์น้อยให้เลือกหลากหลายรุ่น ครบทุกเซกเมนท์ 2. ผู้ประกอบการที่เข้าร่วมงานต่างเป็นพาร์ทเนอร์กันมานาน มีมาตรฐานที่เชื่อถือได้ 3. รถทุกคันที่เข้างานต้องผ่านการตรวจสอบจากทีมงานมืออาชีพว่าเป็นรถที่เข้าเงื่อนไขเบื้องต้น 5 ข้อ คือ ไม่ไฟไหม้ ไม่จมน้ำ ไม่ตัดต่อ ไม่ชนหนัก และจดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมายได้ หากผิดเงื่อนไขข้อใดข้อหนึ่ง รับประกันซื้อคืน 100 % ซึ่งทั้งหมดนี้ช่วยตอกย้ำความมั่นใจของลูกค้าว่าจะได้รถมือสองชั้นดีจากในงาน และสำหรับปีนี้เรายังมี 2 ไฮไลท์สำหรับผู้ที่สนใจรถกลุ่มนี้ คือ เราเป็นงานแรก และงานเดียวในประเทศไทยที่การันตี “ไมล์แท้รับประกันซื้อคืน” เพิ่มขึ้นมา และยังจัดหา “ดอกเบี้ยรถมือสอง และเงื่อนไขที่ดีที่สุดในประเทศไทย” เพื่อให้บริการอีกด้วย ทั้งนี้ ผู้ประกอบการรถยนต์ใช้แล้วที่เข้าร่วมงานปีนี้มีจำนวน 5 ราย ประกอบด้วย DDS คาร์เซ็นเตอร์, ดาศรีนครินทร์, โย รัชดา, เบนซ์ เค้งหงษ์ทอง และ Volvo Selekt Approved Used Cars

อโณทัย เอี่ยมลำเนา รองประธานจัดงาน ซึ่งดูแลด้านกิจกรรมในงานได้ให้ข้อมูลว่า นอกเหนือจากรถโชว์แล้ว 'Fast Auto Show Thailand 2025' ได้จัดสรรพื้นที่โดยคำนึงถึงบรรยากาศแห่งความสุขของผู้ที่เข้ามาชมงาน อาทิ โซนรถตกแต่งพิเศษ สวยเท่ คูล ใช้งานได้จริง เพื่อสร้างแรงบันดาลใจสำหรับผู้ใช้รถรุ่นใหม่ที่ต้องการสไตล์เป็นของตัวเอง ส่วนไฮไลท์ปีนี้ คือ Fast Auto Show ได้ร่วมกับ Strider Thailand จัดการแข่งขัน Strider Racing @Fast Auto Show Thailand 2025 สนามใหม่ เพื่อการแข่งขันสุดมันสำหรับนักปั่นตัวน้อย เชิญชวนเหล่านักซิ่งรุ่นเยาว์ อายุ 2-4 ปี ลงสมัครประลองความสามารถทั้งแบบปั่น และแบบไถ รวม 14 รุ่น ชิงรางวัลมากมาย มาร่วมลุ้น และเชียร์กัน ในวันเสาร์ที่ 5 และวันอาทิตย์ที่ 6 กรกฎาคม 2568 ตั้งแต่ 10.00-17.00 น. สนใจสมัคร และติดตามรายละเอียดได้ที่ https://form.jotform.com/251512312965453

นอกจากนี้ ภายในงานยังมีพื้นที่จัดแสดงรถดัดแปลงหลากหลายรูปแบบ เหมาะกับผู้ประกอบการ SME เพื่อจำหน่ายอาหาร และเครื่องดื่ม รวมทั้งให้บริการต่าง ๆ เป็นการนำเสนอไอเดียให้แก่ผู้ประกอบการ และผู้บริโภคที่กำลังมองหาโอกาสเริ่มต้นธุรกิจใหม่ หรือต่อยอดธุรกิจ และยังมีบูธของกรุงเทพประกันภัย เพื่อให้คำปรึกษา และนำเสนอประกันภัยรถที่คุ้มค่าสำหรับผู้สนใจ

ในส่วนของกิจกรรม 'ซื้อรถ ลุ้นรับ' ในปีนี้ ผู้จองรถ และซื้อรถทุกคันในงาน ไม่เพียงได้สิทธิ์ลุ้นรับรางวัลใหญ่เป็นเก้าอี้นวดไฟฟ้ารุ่น Robo 8989 Massage Chair จาก Amaxs แบรนด์เก้าอี้นวดไฟฟ้า และเครื่องออกกำลังกายที่ส่งเสริมสุขภาพที่ดีแบบองค์รวม ด้วยเทคโนโลยี และนวัตกรรมที่ส่งเสริมสุขภาพ มูลค่า 279,000 บาท จำนวน 1 รางวัล และของรางวัลอีกมากมายหลังจบงานเท่านั้น แต่ยังได้สิทธิ์ลุ้นรับรางวัลประจำวันเป็นสกูเตอร์ไฟฟ้า Segway รุ่น Ninebot KickScooterD18W มูลค่า 16,900 บาท จาก Monowheel จำนวน 5 รางวัล หรือแค่แวะมาชมงาน และร่วมสนุกกับกิจกรรม 'แชร์มา รับไป' เพื่อลุ้นรับรางวัลอีกมากมาย ติดตามรายละเอียดได้ที่ Facebook: FAST AUTO SHOW

ทั้งนี้ งาน 'Fast Auto Show Thailand 2025' ยังเป็นพื้นที่ Pet Friendly สามารถนำสัตว์เลี้ยงแสนรักที่ได้รับอนุญาตตามข้อกำหนดเข้ามาชมงานได้อีกด้วย

'Fast Auto Show Thailand 2025' จัดขึ้นระหว่างวันที่ 2-6 กรกฎาคม ศกนี้ ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา ฮอลล์ 102-103 โดยรวบรวมยนตรกรรมมากคุณภาพหลากหลายแนวมาให้ผู้บริโภคได้เปรียบเทียบความคุ้มค่า ครบทุกเซกเมนท์ “เลือกคันที่ชอบ ถอยคันที่ใช่” ในแบบที่คุ้มค่าเงินสูงสุด ภายใต้คอนเซพท์ “รถใหม่โปรโดนใจ รถมือสองไมล์แท้รับประกันซื้อคืน” ครบจบในงานเดียว เข้าชมฟรี ! ไม่มีค่าใช้จ่าย แถมลุ้นรับโชคตลอด 5 วันเต็ม โดยได้รับการสนับสนุนจาก สิงห์ คอร์เปอเรชั่นฯ, ผลิตภัณฑ์ดูแลรักษารถยนต์ มันวาว และศูนย์บริการรถยนต์ครบวงจร บี-ควิก ติดตามรายละเอียดของงานได้ที่ Facebook: FAST AUTO SHOW

‘ดร.ไชยันต์’ โพสต์ย้ำ!! วิทยานิพนธ์มีปัญหา ‘จุฬาฯ’ ไม่เปิดเผยผลตรวจสอบ ลั่น!! ‘สกว.’ ให้ทุน จากภาษีปชช. ไปค้นคว้า แต่กลับมาเขียนปั้นเรื่อง บิดเบือน

(14 มิ.ย. 68) ศ.ดร.ไชยันต์ ไชยพร อาจารย์ประจำภาควิชาการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้โพสต์ข้อความลงบนเฟซบุ๊ก Chaiyan Chaiyaporn ระบุว่า …

โพสต์ทุกวัน กัน (สภาจุฬาฯ) ลืม!!

(วันที่ยี่สิบแปด 28)

วิทยานิพนธ์ที่มีปัญหา และจุฬาฯไม่เปิดเผยผลตรวจสอบ!!

‘สกว.’ ให้ทุนกาญจนาภิเษก (ภาษีประชาชน) แก่นิสิตนักศึกษาปริญญาเอกไปค้นคว้าทำวิจัยในมหาวิทยาลัยต่างประเทศ ณัฐพล ใจจริง ได้ทุนดังกล่าวไปค้นข้อมูลที่หอจดหมายเหตุในต่างประเทศ

แต่กลับมาเขียนปั้นเรื่อง บิดเบือนแหล่งอ้างอิง หลอกประชาชนที่เสียภาษี โดยแหล่งอ้างอิงต่างประเทศนั้น คนที่ไม่มีโอกาสไปต่างประเทศ ไม่สามารถตรวจสอบได้ อย่างนี้ ประชาชนผู้เสียหายและเสียภาษี ไม่เรียกร้องอะไรเลยหรือครับ ??

เพื่อประโยชน์สาธารณะ ความรับผิดชอบและความถูกต้องทางวิชาการ ผมขอนำจุดต่างๆที่มีปัญหาในวิทยานิพนธ์ของณัฐพล ใจจริง มาให้สังคมได้รับรู้ จะได้ไม่มีส่วนในการอ้างอิง และ เผยแพร่ จุดผิดพลาดให้ขยายวงต่อ ๆ ไป สร้างความเข้าใจผิด เกิดความเสียหายต่อบุคคลต่าง ๆ

สมุทรปราการ-ดร.ยงยุทธ สุวรรณบุตร ส่งเสริมการศึกษามอบทุนแก่เด็กเรียนดีได้เรียนต่อในระดับปริญญาตรี

เทศบาลตำบลแพรกษาภายใต้การกำกับดูแลของ นางอรัญญา สุวรรณบุตร นายกเทศมนตรีตำบลแพรกษา และ ดร.ยงยุทธ สุวรรณบุตร สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดสมุทรปราการ สมัยที่ 25 และที่ปรึกษากิตติมศักดิ์นายกเทศมนตรีตำบลแพรกษา ได้ให้การสนับสนุนทุนการศึกษาแก่เด็กที่เรียนดี และเด็กที่ฐานะยากจน มาอย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งส่งเสริมด้านการศึกษามาโดยตลอด

โดยในวันนี้ ดร.ยงยุทธ สุวรรณบุตร สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดสมุทรปราการ สมัยที่ 25 และที่ปรึกษากิตติมศักดิ์นายกเทศมนตรีตำบลแพรกษา ได้ให้เกียรติมอบทุนการศึกษาเพื่อศึกษาต่อในระดับปริญญาตรี ให้แก่นักเรียนที่มีผลการเรียนดีของโรงเรียนมัธยมแพรกษาวิเทศศึกษา สังกัดเทศบาลตำบลแพรกษา

โดยมี คณะผู้บริหารเทศบาลตำบลแพรกษา พร้อมด้วย คณะผู้บริหารโรงเรียนแพรกษาวิเทศศึกษา (PWS) คณะครู ร่วมเป็นเกียรติ 

โดยในปีนี้ซึ่งถือเป็น ปีแรกของการจัดมอบทุนดังกล่าว และผู้ที่ได้รับทุนการศึกษา คือ นางสาวพีรดา สมศรี นักเรียนผู้มีความวิริยะอุตสาหะ มุ่งมั่นในด้านการเรียน และมีผลการเรียนดีเป็นที่ประจักษ์

ซึ่งทุนการศึกษาดังกล่าวนี้เป็นส่วนหนึ่งของการส่งเสริมการศึกษาและสนับสนุนเยาวชนในพื้นที่ ให้มีโอกาสทางการศึกษาอย่างเท่าเทียม พร้อมก้าวสู่การเป็นบุคลากรที่มีคุณภาพในอนาคต

ด้าน ดร.ยงยุทธ สุวรรณบุตร ได้ให้โอวาทแก่เด็กนักเรียนพร้อมทั้งกล่าวว่า “เยาวชนคือกำลังสำคัญของชาติ หากเราเปิดโอกาสให้เด็กที่มีความสามารถได้เรียนต่ออย่างเต็มที่ นั่นเท่ากับเรากำลังสร้างรากฐานที่มั่นคงให้กับประเทศในวันข้างหน้า” และจะมอบทุนปริญญาตรี ให้กับลูกๆ PWS ในทุกๆ ปี 

บรรยากาศภายในงานเต็มไปด้วยความชื่นชมและความปลื้มปีติยินดีจากผู้บริหาร ครู ผู้ปกครอง และนักเรียนรุ่นน้องที่มาร่วมแสดงความยินดีในโอกาสสำคัญนี้ 

‘ใบตองแห้ง’ ลั่น!! ‘ทหาร’ มีหน้าที่ตายตามคำสั่ง ‘รัฐบาล’ ชี้!! ไม่มีอำนาจ หน้าที่ กำหนดเส้นเขตแดนของประเทศ

(14 มิ.ย. 68) นายอธึกกิต แสวงสุข หรือที่หลายคนรู้จักในนาม 'ใบตองแห้ง' คอลัมนิสต์ที่คร่ำหวอดในแวดวงสื่อมวลชนมานาน ได้โพสต์ข้อความ โดยระบุว่า ...

ทหารไม่มีอำนาจหน้าที่กำหนดเส้นเขตแดน

ว่าตรงไหนเป็น 'แผ่นดินกู'

เป็นอำนาจหน้าที่ของรัฐบาล ภายใต้สนธิสัญญา ข้อตกลง ตามกฎหมายระหว่างประเทศ ที่จะกำหนดเส้นเขตแดน

จากนั้น ถ้ามีการรุกล้ำ ทหารจึงมีหน้าที่สู้รบตามคำสั่งรัฐบาล

มีหน้าที่ตายตามคำสั่งอะ ไม่ได้มีอำนาจสั่ง!!

เชียงใหม่-กองบิน 41 จัดกิจกรรมแนะแนวการศึกษาต่อในรั้วกองทัพอากาศ และให้ความรู้พิษภัยยาเสพติด ประจำปี 2568

เมื่อวานนี้ (13 มิ.ย. 68) กองบิน 41 จัดกิจกรรมแนะแนวการศึกษาต่อในสถาบันการศึกษาของกองทัพอากาศ และกิจกรรมบรรยายให้ความรู้เกี่ยวกับยาเสพติด ประจำปี 2568 เพื่อส่งเสริมโอกาสทางการศึกษาและสร้างภูมิคุ้มกันเยาวชนจากภัยยาเสพติด โดยมี นาวาอากาศเอก ปรธร จีนะวัฒน์ ผู้บังคับการกองบิน 41 เป็นประธานในพิธี ซึ่งมีนักเรียนเข้าร่วมกิจกรรม 200 กว่าคน ณ หอประชุมเฉลิมพระเกียรติ 84 พรรษา โรงเรียนวัฒโนทัยพายัพ อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่

กิจกรรมในครั้งนี้ จัดขึ้นมีวัตถุประสงค์ เพื่อแนะแนวการศึกษาต่อในสถาบันการศึกษาของกองทัพอากาศ เพื่อเผยแพร่ข้อมูลและประชาสัมพันธ์แนวทางการศึกษาต่อในโรงเรียนนายเรืออากาศนวมินทกษัตริยาธิราช, โรงเรียนจ่าอากาศ, และสถาบันการศึกษาอื่นๆ ภายใต้สังกัดกองทัพอากาศ โดยมี นักบินจากฝูง 411 กองบิน 41, รองผู้บังคับกองพันทหารอากาศโยธิน กองบิน 41, แพทย์ พยาบาล จากโรงพยาบาลกองบิน 41 และเจ้าหน้าที่แผนกกำลังพล ให้คำแนะนำเกี่ยวกับการเตรียมตัวสอบ, หลักสูตรการเรียนการสอน, โอกาสในการทำงานในอนาคต และชีวิตการเป็นนักเรียนทหารอากาศ เพื่อเป็นแรงบันดาลใจและทางเลือกให้กับเยาวชนที่มีความใฝ่ฝันอยากรับใช้ชาติในรั้วกองทัพอากาศ

อีกทั้งมีการบรรยายให้ความรู้เกี่ยวกับยาเสพติด เพื่อสร้างความตระหนักรู้ถึงพิษภัยและผลกระทบของยาเสพติดในรูปแบบต่างๆ ทั้งต่อตนเอง ครอบครัว และสังคม โดยได้รับเกียรติจาก คุณทิพากร  ชีวสกุลยง  นักวิเคราะห์นโยบายและแผน หัวหน้ากลุ่มงานวิชาการ และคุณเอมอัจฉรา คำเวียง นักวิเคราะห์นโยบายและแผน ชำนาญการ มาให้ความรู้เกี่ยวกับการแพร่ระบาดของยาเสพติดชนิดใหม่, ช่องทางการเข้าถึง, อาการของผู้เสพ, ผลกระทบทางกฎหมาย และแนวทางการป้องกันตนเองจากยาเสพติด ตลอดจนให้คำแนะนำหากพบเห็นผู้ที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด

กองบิน 41 เล็งเห็นถึงความสำคัญของการพัฒนาเยาวชนให้เป็นกำลังสำคัญของชาติในอนาคต จึงได้จัดกิจกรรมในลักษณะนี้ขึ้นเป็นประจำทุกปี เพื่อเป็นการส่งเสริมโอกาสทางการศึกษา สร้างภูมิคุ้มกันทางสังคม และร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนสังคมให้ห่างไกลจากยาเสพติดได้อย่างยั่งยืน

ทัพเรือภาคที่ 1 ร่วมกิจกรรมเก็บขยะชายหาดกับกลุ่ม “ใจถึงใจ คนไทยไม่ทิ้งกัน” ในโอกาสครบรอบการจัดตั้ง  กลุ่มอาสาสมัครใจถึงใจคนไทยไม่ทิ้งกันครบ 11 ปี  ต่อเนื่องจากกิจกรรมเก็บขยะชายหาดครั้งที่ 10 เนื่องในวันทะเลโลก

(14 มิ.ย. 68) ทัพเรือภาคที่ 1 จัดกำลังพลร่วมกับอาสาสมัครจากกลุ่ม “ใจถึงใจ คนไทยไม่ทิ้งกัน” โดยมี นายฝันเด่น จรรยาธนากร (พี่เล็ก) นำทีมเก็บขยะและเคลียร์พื้นที่บริเวณชายหาดหน้าหมู่เรือรักษาการณ์วังไกลกังวล อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งเป็นการดำเนินการต่อเนื่องจากกิจกรรมเก็บขยะชายหาดครั้งที่ 10 เนื่องในวันทะเลโลก จากการเก็บขยะทั้งสองครั้ง มีปริมาณขยะรวมกว่า 6 ตัน สะท้อนถึงปัญหาขยะทะเลที่ยังคงทวีความรุนแรง และต้องการความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในการแก้ไขอย่างจริงจัง

ทัพเรือภาคที่ 1 ยังคงมุ่งมั่นในการดำเนินกิจกรรมเพื่อสังคมและสิ่งแวดล้อม โดยให้การสนับสนุนหน่วยงานและเครือข่ายจิตอาสาอย่างต่อเนื่อง เพื่อร่วมกันอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติทางทะเลให้ยั่งยืน

 

‘เบนซ์ไพรม์มัส’ เปิดมิติใหม่!! สุดลักชูรีย์ ในงาน Mercedes-Benz Driving Events

(14 มิ.ย. 68) 'เบนซ์ไพรม์มัส' เปิดมิติแห่งความหรูหราครั้งใหม่ กับ 2 กิจกรรมสุดลักชูรีย์ 'ล่องเรือยอร์ช ปล่อยปลาฉลาม' ผสาน “ขับสปอร์ตหรู บนสนามแข่งระดับตำนาน 'พีระ เซอร์กิต' พัทยา ในงาน Mercedes-Benz Driving Events” 

จิระพล รุจิวิพัฒน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไพรม์มัส ออโต้เฮาส์ จำกัด และบริษัทในเครือ ไพรม์มัส กรุ๊ป กล่าวว่า “ด้วยนโยบายของ 'เบนซ์ไพรม์มัส' ที่มุ่งตอบรับความพึงพอใจสูงสุดให้แก่ลูกค้า ทั้งด้านงานขายและบริการหลังการขาย รวมถึงการมอบประสบการณ์ที่แตกต่างเหนือระดับ พร้อมการดูแลเอาใจใส่ระดับลักชูรีย์ เพื่อตอบสนองความชื่นชอบของลูกค้าอย่างแท้จริง” 

ล่าสุด 'เบนซ์ไพรม์มัส' ได้ร่วมกับ 'เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย)' ชวนลูกค้าคนสำคัญร่วมกิจกรรมสุดเอ็กซ์คลูซีฟ 'ล่องเรือยอร์ช ปล่อยปลาฉลาม' พร้อมสัมผัสความท้าทายกับสปอร์ตตัวแรงจากยานยนต์ระดับโลก Mercedes-Benz และ Mercedes-AMG บนสนามแข่งรถแห่งแรกของประเทศไทย 'พีระ อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต' ในงาน 'Mercedes-Benz Driving Events' พัทยา จ.ชลบุรี 

วันแรก นัดรวมพลกันที่โชว์รูมรถยนต์ Mercedes-Benz สาขาไพรม์มัส พัทยา โดยมี ผู้บริหารระดับสูง 'จิระพล รุจิวิพัฒน์' ให้การต้อนรับและกล่าวเปิดงานอย่างเป็นทางการ ก่อนออกเดินทางมุ่งหน้าไปยังท่าเรือ Ocean Marina Yacht Club เพื่อร่วมกิจกรรมท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ธรรมชาติ ด้วยการปล่อยปลาฉลามคืนสู่ท้องทะเลไทย บนเรือยอร์ชสุดหรูลำใหญ่ ที่พาชมความงดงามของธรรมชาติทะเลอ่าวไทย โดยมุ่งหน้าไปยังเกาะครามน้อย เกาะที่มีหาดทรายขาวละเอียดทอดตัวยาวขนานกับเส้นขอบฟ้าอย่างสวยงาม

จากนั้นเข้าสู่ช่วงสำคัญ นั่นคือ การปล่อย 'ปลาฉลาม' กลับสู่ท้องทะเล เพื่อร่วมอนุรักษ์ธรรมชาติและรักษาระบบนิเวศของทะเลไทย โดยมีวิทยากร บรรยายความรู้เกี่ยวกับปลาฉลาม และสัตว์น้ำทะเล พร้อมวิธีการปล่อยปลาฉลามให้ถูกวิธี จากนั้นแต่ละครอบครัวได้ร่วมปล่อย 'ปลาฉลาม' กลับคืนสู่ท้องทะเลไทย ด้วยความสนุกสนาน และอิ่มเอมใจที่ร่วมปล่อยนักอนุรักษ์ตัวน้อยกลับคืนสู่ธรรมชาติเสร็จสมบูรณ์

ต่อด้วยการเดินทางเข้าสู่ที่พัก Melia Pattaya Hotel โรงแรมหรูระดับดาว 5 ใหม่ล่าสุด เพื่อเช็กอิน และพักผ่อนตามอัธยาศัย ก่อนเข้าสู่ช่วงงานเลี้ยง 'Exclusive Dinner Party' ร่วมลิ้มรสอาหารและเครื่องดื่มที่จัดสรรมาอย่างดี พร้อมเพลิดเพลินกับเสียงเพลงที่สนุก เร้าใจ ทำให้ค่ำคืนนี้เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะแห่งความสุขของทุกคน

วันที่ 2 เริ่มต้นกิจกรรมความตื่นเต้นกับการขับสปอร์ตตัวแรงของ Mercedes-Benz และ Mercedes-AMG ที่บริษัทแม่ 'เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย)' คัดสรรมาอย่างเต็มพิกัดเกือบ 20 คัน อาทิ Mercedes-AMG G 63, Mercedes-AMG SL 43, Mercedes-AMG EQE 53 4MATIC+, Mercedes-AMG GLE 53 Hybrid 4MATIC+ เป็นต้น เพื่อเปิดบทพิสูจน์สมรรถนะความเร็ว และความแรง ในสนาม 'พีระ อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต' พัทยา

เมื่อเข้าสู่โหมดการขับขี่ ทางทีมงาน Driving Instructor ได้ให้คำแนะนำด้านเทคนิคการขับรถยนต์เบื้องต้น เพื่อเตรียมความพร้อมก่อนลงสนามจริง เริ่มตั้งแต่การจับพวงมาลัย การวางตำแหน่งมือ การปรับเบาะ และการใช้งานฟังก์ชั่นต่าง ๆ ของอุปกรณ์ภายในรถยนต์ 

ส่วนการทดลองขับแบ่งออกเป็น 4  สถานี ได้แก่ สถานีการขับขี่บนถนนเปียก, การขับขี่แบบสลาลอม, การเบรกหลบสิ่งกีดขวาง, การขับขี่แบบ HOT LAP ที่เน้นเวลาและความเร็วสูงสุดในการขับรอบสนาม รวมทั้งการขับขี่บนท้องถนนจริง ทำให้ผู้ร่วมกิจกรรมสัมผัสสมรรถนะของรถยนต์ที่ชื่นชอบทั้งในสนามแข่งและนอกสนามแข่งได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ เพิ่มเติมความรู้และทักษะการควบคุมรถยนต์ในสถานการณ์ต่างๆ ทำให้ขับขี่รถยนต์ด้วยความมั่นใจ ปลอดภัยสำหรับการใช้งานในชีวิตประจำวัน และเมื่อเกิดสถานการณ์ฉุกเฉิน

ปิดท้ายกิจกรรม ด้วยการมอบประกาศนียบัตรแห่งความภาคภูมิใจให้แก่ลูกค้าคนสำคัญ ในการเปิดประสบการณ์ที่แตกต่าง เหนือระดับกับครอบครัว “เบนซ์ไพรม์มัส ” ในงาน Mercedes-Benz Driving Events ครั้งนี้ ที่เปี่ยมด้วยคุณค่าและความประทับใจ

‘มูลนิธิอินเตอร์ลิ้งค์ให้ใจ’ เดินหน้าสานต่อ ภารกิจตอบแทนสังคม เพิ่มโอกาสทางการศึกษา ส่งต่อคอมพิวเตอร์ ให้วิทยาลัยเทคนิคพิจิตร

(14 มิ.ย. 68) มูลนิธอินเตอร์ลิ้งค์ให้ใจ เดินหน้าสานต่อภารกิจตอบแทนสังคม โดยมี กลุ่มบริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ คอมมิวนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ILINK พร้อมด้วย กลุ่มบริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ เทเลคอม จำกัด (มหาชน) หรือ ITEL ร่วมกันผนึกกำลัง ตามเจตนารมณ์ที่เป็นหนึ่งในความมุ่งมั่นของพันธกิจ ผ่านโครงการ “ITEL I GIVE คอมเก่า สร้างอนาคตใหม่” เพื่อตอบแทนสังคม สนับสนุนการศึกษา และพัฒนาศักยภาพเยาวชนไทย ซึ่งเกิดจากความตั้งใจของมูลนิธิฯ จัดขึ้นผ่านโครงการ “ITEL I GIVE” โดยเป็นการส่งมอบคอมพิวเตอร์ โน๊ตบุ๊ก และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ให้แก่ แผนกวิชาเทคโนโลยีธุรกิจดิจิทัล วิทยาลัยเทคนิคพิจิตร จำนวน 40 เครื่อง ณ อาคาร อินเตอร์ลิ้งค์ เทเลคอมฯ เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2568 ที่ผ่านมา 

การส่งมอบในครั้งนี้ ดำเนินงานภายใต้การขับเคลื่อนของ มูลนิธิอินเตอร์ลิ้งค์ให้ใจ ซึ่งเป็นองค์กรสำคัญของทั้ง 3 กลุ่มธุรกิจ (ธุรกิจจัดจำหน่ายสายสัญญาณ (Cabling Import & Distribution Business) ธุรกิจวิศวกรรมโครงการ (Turnkey Engineering Business) และธุรกิจโทรคมนาคม และดาต้าเซ็นเตอร์ (Telecom Business & Data Center) ที่มุ่งเน้นการดำเนินกิจกรรม เพื่อสังคม ผ่านการระดมจิตอาสา (CSR) ดำเนินกิจกรรมอาสาสมัครด้านการพัฒนาการศึกษาของประเทศไทย ส่งเสริมคุณภาพชีวิต และโอกาสทางการศึกษาให้กับเยาวชนทั่วประเทศ สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของกลุ่มบริษัทฯ ในการสร้างประโยชน์ทั้งทางเศรษฐกิจ และสังคมไปพร้อมกัน

สำหรับพิธีส่งมอบในครั้งนี้ ได้รับเกียรติจาก ดร.ชลิดา อนันตรัมพร ประธานมูลนิธิอินเตอร์ลิ้งค์ให้ใจ นายสมบัติ อนันตรัมพร ประธานกรรมการ กลุ่มบริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ฯ และ ดร.ณัฐนัย อนันตรัมพร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ เทเลคอมฯ ร่วมเป็นผู้แทนมอบ ให้กับ ดร.ชัยณรงค์ คัชมาตย์ ผู้อำนวยการวิทยาลัยเทคนิคพิจิตร โดยส่งต่อคอมพิวเตอร์ โน๊ตบุ๊ก และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ แบรนด์ Acer และ Dell รวมทั้งสิ้น 40 เครื่อง

โดยโครงการ 'ITEL I GIVE คอมเก่า สร้างอนาคตใหม่' เป็นกิจกรรมเพื่อสังคม (CSR) หลักของ ITEL ซึ่งเป็นหนึ่งในบริษัทในเครือของกลุ่มบริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ฯ ที่มาจากภายใต้โครงการ “ITEL I GIVE” โดยมุ่งใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า และสร้างสังคมแห่งการแบ่งปัน ด้วยการส่งต่อคอมพิวเตอร์ให้เยาวชนไทยที่ขาดแคลนอุปกรณ์เทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อสนับสนุนการเรียนรู้ และพัฒนาทักษะในยุคดิจิทัล โดย ITEL มุ่งมั่นขยายโครงการนี้ไปยังพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศ เพื่อสร้างโอกาสทางการศึกษาอย่างเท่าเทียม และยั่งยืนอีกด้วย

นับว่า มูลนิธิอินเตอร์ลิ้งค์ให้ใจ ซึ่งอยู่ในภายใต้การสนับสนุนของ กลุ่มบริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ คอมมิวนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) และกลุ่มบริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ เทเลคอม จำกัด (มหาชน) ได้ร่วมกันผสานรอยต่อ โดยมี ความตั้งใจตระหนักถึงความสำคัญของการศึกษา และบทบาทของเทคโนโลยีสารสนเทศในกระบวนการเรียนการสอน ซึ่งมีส่วนสำคัญในการส่งเสริมการเรียนรู้ของนักเรียน ตลอดจนการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อสร้างโอกาสการเรียนรู้อย่างเท่าเทียม และเพิ่มขีดความสามารถของเยาวชนไทยให้ก้าวทันการเปลี่ยนแปลงของโลกยุคดิจิทัล 

อีกทั้ง ยังสะท้อนให้เห็นถึงปรัชญาองค์กรของกลุ่มบริษัทฯ ที่ยึดมั่นในแนวทาง "นำเทคโนโลยี มาพัฒนาประเทศไทย" ไปพร้อมกับสนับสนุนการศึกษา เพื่อพัฒนาเยาวชนไทยให้เป็น 'คนดี คนเก่ง' ซึ่งถือเป็นรากฐานสำคัญของความเจริญก้าวหน้าในอนาคตของประเทศ ที่จะเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศให้เติบโตอย่างมั่นคงในอนาคต และยังคงมุ่งมั่นอย่างต่อเนื่อง ในการเตรียมความพร้อมเดินหน้าโครงการตอบแทนสังคมในหลากหลายมิติ ทั้งด้านการศึกษา เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม เพื่อร่วมสร้างความเข้มแข็งให้กับสังคมไทยอย่างยั่งยืนแบบมีคุณภาพต่อไป

กมธ.ทหารฯ วุฒิสภา เปิดเวทีถกแถลงสถานการณ์ทางทหารและความมั่นคงบริเวณพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ประเด็น 'เราจะรักษาแผ่นดินไทยอย่างไร' เพื่อเสนอแนวทางรัฐบาลเป็นข้อมูลในการแก้ปัญหาอย่างรอบคอบ

เมื่อวานนี้ (13 มิ.ย. 68) เวลา 09.00 นาฬิกา ณ ห้องประชุม หมายเลข 406-407 ชั้น 4 อาคารรัฐสภา (ฝั่ง สว.) คณะกรรมาธิการการทหารและความมั่นคงของรัฐ วุฒิสภา นำโดย พลเอก สวัสดิ์ ทัศนา ประธานคณะกรรมาธิการ จัดประชุมถกแถลงอภิปรายเกี่ยวกับสถานการณ์ทางทหารและความมั่นคงบริเวณพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ประเด็น “เราจะรักษาแผ่นดินไทยอย่างไร” เพื่อแสวงหาข้อเสนอแนะที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติและเพื่อเป็นข้อมูลสำหรับให้รัฐบาลนำไปใช้แก้ไขสถานการณ์ชายแดนไทย – กัมพูชา ที่เกิดกรณีข้อพิพาทอยู่ในขณะนี้ โดยมีกรรมาธิการ นักวิชาการ และสื่อมวลชน เข้าร่วม

การแถลงอภิปรายและแสดงความคิดเห็นหัวข้อ “เราจะรักษาแผ่นดินไทยอย่างไร” มีคณาจารย์ และผู้ทรงคุณวุฒิมาให้ความรู้และแสดงความคิดเห็นในขอบข่ายความเชี่ยวชาญ ประกอบด้วย นายวีรพันธุ์ มาไลยพันธุ์ อดีตคณบดี คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร ประเด็น” ปราสาททั้งหลายในพื้นที่ชายแดนไทย – กัมพูชา” นายคำนูญ สิทธิสมาน อดีตสมาชิกวุฒิสภา อดีตสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ และอดีตสมาชิกสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ประเด็น “มุมมองข้อกฎหมายและกระบวนการของศาลโลก” และรองศาสตราจารย์ ดร.ดุลยภาค ปรีชารัชช อาจารย์สาขาวิชาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ประเด็น “ปัญหาและการแก้ไขปัญหาชายแดนไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน” โดยมี ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.วันวิชิต บุญโปร่ง อาจารย์ คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต ดำเนินรายการถกแถลง การอภิปราย และแสดงความคิดเห็น สำหรับข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะ อาทิ ไทยควรเตรียมข้อมูลให้พร้อมในการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (JBC) ในวันที่ 14 มิถุนายนนี้ ซึ่งต้องอาศัยความชัดเจนและความหนักแน่นบนโต๊ะเจรจา

ฝากรัฐบาล วุฒิสภา หรือรัฐสภา ว่าจะต้องร่วมมือกันตอบโต้กัมพูชาเท่าที่ทรัพยากรของเราและความตั้งใจของเราที่มีอยู่ เพราะโจทก์วันนี้คือกัมพูชาใช้ยุทธศาสตร์กดดันไทยในหลายมิติ แนวรบการต่อสู้ไม่ใช่สถานที่เพียงอย่างเดียวแต่คือการปฏิบัติการทางวัฒนธรรม การช่วงชิงความหมายเชิงสัญลักษณ์ความเป็นชาตินิยมที่เข้มข้นเกินไปของกัมพูชา

พลเอก สวัสดิ์ ทัศนา แถลงว่า คณะกรรมาธิการได้ติดตามสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา มาตั้งแต่วันที่ 28 พฤษภาคมที่ผ่านมา ซึ่งได้ออกแถลงการณ์แสดงจุดยืนต่อสถานการณ์ดังกล่าว โดยประณามการกระทำอันไร้ความจริงใจในฐานะเพื่อนบ้านของกัมพูชา และเรียกร้องให้รัฐบาลต้องดำเนินการทุกวิถีทางเพื่อปกป้องอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของประเทศไทย ต่อมาในวันที่ 9-10 มิถุนายน 2568 ได้เดินทางไปพื้นที่ปฏิบัติการของกองกำลังสุรนารี กองทัพภาคที่ 2 ตามแนวชายแดนไทย – กัมพูชา ที่เคยเกิดกรณีพิพาทในเขตจังหวัดสุรินทร์ และอุบลราชธานี เพื่อรับทราบข้อมูลแสดงความห่วงใยและให้กำลังใจพี่น้องทหารหาญที่ปฏิบัติหน้าที่อย่างเข้มแข็ง อดทน โดยหลังจากที่พิจารณารอบด้านแล้วพบว่า สถานการณ์แนวชายแดนไทย-กัมพูชา เป็นประเด็นที่มีความซับซ้อนและสะสมความตึงเครียดมาเป็นระยะเวลายาวนาน จึงได้เชิญคณาจารย์ผู้ทรงคุณวุฒิมาให้ความรู้ ด้วยการถกแถลงและแสดงความคิดเห็นมุมมองในประเด็นที่อยู่ในความเชี่ยวชาญของแต่ละท่าน โดยการจัดกิจกรรมในวันนี้เป็นการปฏิบัติหน้าที่เพื่อให้ได้ข้อเสนอแนะอันเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติและเป็นข้อมูลสำหรับรัฐบาลสำหรับนำไปใช้แก้ไขปัญหาสถานการณ์แนวชายแดนไทย-กัมพูชา ต่อไป

(สุรินทร์) มทบ.25 จัดกิจกรรมฝึกซักซ้อมแผนเผชิญเหตุอพยพประชาชน ประจำปี 2568

เมื่อวานนี้ (13 มิ.ย. 68) พลตรีไชยนคร กิจคณะ ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 25 มอบหมายให้ พันเอก อัครสิทธิ์ ปะกิระตา รอง ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 25 (2) เป็นประธานในการฝึกซักซ้อมแผนเผชิญเหตุอพยพประชาชน ประจำปี 2568 พร้อมด้วย จิตอาสา 904, จิตอาสาพระราชทาน, ประชาชนจิตอาสา ผู้นำชุมชน องค์การบริหารส่วนตำบลบักได นายวีรวัติ  เสาะพบดี กำนันตำบลบักได พันตำรวจเอก นพดล  พินิจอักษร ผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ ในการนี้ ศูนย์บรรเทาสาธารณภัย มณฑลทหารบกที่ 25 

ได้กำหนดการดำเนินการฝึกซักซ้อมแผนเผชิญเหตุอพยพประชาชน ในรูปแบบ commander post Exercise (cpx) เพื่อให้ทุกส่วนเข้าใจการปฏิบัติทางทหารที่ถูกต้องและไม่เป็นการขัดขวางต่อการปฏิบัติทางทหารเมื่อเกิดสถานการณ์สงคราม ตลอดจน การฟื้นฟูความเสียหายภายหลังเหตุการณ์สงบ ให้สามารถปฏิบัติงานได้จริงเมื่อเกิดสถานการณ์ ณ โรงเรียนบ้านรุน ตำบลบักได อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์  

โดยในช่วงเช้าจะเป็นการแนะนำการช่วยฟื้นคืนชีพขั้นพื้นฐาน (CPR) พร้อมหุ่นปฏิบัติ โดยมีวิทยากรจากโรงพยาบาลค่ายวีรวัฒน์โยธิน เป็นผู้ให้ความรู้ และในช่วงสายจะเป็นการฝึกซักซ้อมแผนเผชิญเหตุอพยพประชาชนฯ แบบปฏิบัติจริง และยังด้วยความร่วมมือจากภาคประชาชน, ผู้ปกครอง, คณะครูอาจารย์, นักเรียน, หน่วยทหารพัฒนาการเคลื่อนที่ 54, นักศึกษาวิชาทหาร โรงเรียนพนมดงรัก, นักศึกษาวิชาทหาร โรงเรียนบ้านรุนและเมื่อจบการฝึกซักซ้อมฯ ทุกส่วนมีความเข้าใจและสามารถปฏิบัติตนได้อย่างถูกต้องและปลอดภัยเมื่อเกิดสถานการณ์จริง โดยมีผู้เข้าร่วมฝึกซักซ้อมฯ ทั้งหมด 475 นาย ด้าน นายวีรวัติ  เสาะพบดี กำนันตำบลบักได กล่าวว่า ตำบลบักได มีความพร้อมในการเผชิญเหตุอพยพประชาชน เนื่องจากได้ประชาสัมพันธ์และบูรณาการฝึกซักซ้อมแผนเผชิญเหตุอพยพประชาชน อย่างต่อเนื่องทุกปี เพราะพื้นที่ ตำบลบักได อยู่ใกล้พื้นที่ชายแดน

 

'บรอ.12' บุกนอร์เวย์–เดนมาร์ก ศึกษาความมั่นคง–สัมพันธ์ 400 ปี

รองผบ.ตร. นำคณะ 'บรอ.12' ดูงานยุโรป เสริมแกร่งผู้นำภาครัฐ–เอกชน เจาะลึกนโยบายโลก–สายสัมพันธ์ไทย–เดนมาร์กอันแน่นแฟ้น

ระหว่างวันที่ 7–13 มิถุนายน 2568 พล.ต.อ.กรไชย คล้ายคลึง รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รองผบ.ตร.) ได้นำนักศึกษา หลักสูตรการบริหารการรักษาความสงบเรียบร้อยของสังคมภาครัฐร่วมเอกชน รุ่นที่ 12 (บรอ.12) จำนวน 38 คน เดินทางไปศึกษาดูงานที่ประเทศ นอร์เวย์และเดนมาร์ก เพื่อเสริมสร้างองค์ความรู้ด้านความมั่นคง การปกครอง เศรษฐกิจ สังคม ตลอดจนความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

โดยมีข้าราชการตำรวจ ภารรัฐ เอกชน ประกอบด้วย พล.ต.ต.กานตพงศ์ ชัยรุ่งเรือง รองผบช.ศ. / รองหัวหน้าคณะ พล.ต.ต.ศารุติ แขวงโสภา รองผู้บัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน (รองผบ.ตชด.) , พล.ต.ต.นพเก้า โสมนัส รองจเรตำรวจ (สบ.7) , พล.ต.ต.คธา เกษรมาลา ผู้บังคับการอำนวยการ บช.ส. , พล.ต.ต.อิทธิพล จันทร์ศรีบุตร ผู้บังคับการ ปส.2 ,  พล.ต.ต.กัปนาท อรุณคีรีโรจน์ ผบก.น.7 , พล.ต.ต.พฤทธิพงศ์ นุชนารถ ผบก.อก.บช.ก. , พล.ต.ต.ภัคพงศ์ สายอุบล ผบก.อก.ภ.1 , พล.ต.ต.ปราโมทย์ สิมหลวง เลขานุการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ

นายทรงชัย อันนานนท์ อัยการผู้เชี่ยวชาญพิเศษ สำนักงานอัยการภาค 2 ,  นายสุรเชษฐ ณ กาฬสินธุ์ ผู้อำนวยการสำนักงานงบประมาณที่ 12 , นายสุบิน เนตรสว่าง ผู้อำนวยการเขื่อนรัชชประภา , นายธีรพงศ์ เพชรรัตน์ ผู้อำนวยการสำนักประชาสัมพันธ์เขต 5 สุราษฎร์ธานี , นางสาววรรณา ผู้อุตส่าห์ นายด่านศุลกากรหนองคาย , นายพินิจ ตันติวิญญูพงศ์ ผู้อำนวยการสำนักสอบสวน 4 สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน

นางสาวณัชพร วรรณเอี่ยมพิกุล รองประธานกรรมการ บริษัทไพลินเลเซอร์ เมทเทิล จำกัด ,  ดร.รัตนาภรณ์ มั่นศรีจันทร์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทเอสพีพีทรานสปอร์ต จำกัด ,  นายสุพิชช์ อังศวานนท์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทจักรวาลคอมมิวนิเคชั่น ซีสเท็ม , นายพัฒนา สุคนธรักษ์ กรรมการ บริษัทสัมมากรพลัส จำกัด , นายพัชรพงษ์ ธะนะปัด รองกรรมการผู้จัดการ บริษัทเมืองไทยประกันชีวิต จำกัด เป็นต้น

ซึ่งการเดินทางเยือน เดนมาร์ก เริ่มต้นที่ สถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงโคเปนเฮเกน โดยได้รับเกียรติจาก นายภูวิศ วิสารทสกุล อุปทูต ให้การต้อนรับและบรรยายสรุปพิเศษในหัวข้อ “ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ สถานการณ์การเมือง–เศรษฐกิจระหว่างไทยกับเดนมาร์ก” ซึ่งสะท้อนถึงความร่วมมือที่มีมายาวนานกว่า 400 ปี

โดยเฉพาะในมิติความสัมพันธ์ระดับราชวงศ์ ซึ่งเริ่มตั้งแต่สมัย รัชกาลที่ 5 ที่เสด็จประพาสยุโรปสองครั้งในปี 2440 และ 2450 และต่อเนื่องจนถึงปี 2531 เมื่อ สมเด็จพระราชินีนาถมาร์เกรเธอที่ 2 แห่งเดนมาร์ก เสด็จเยือนไทยอย่างเป็นทางการ

คณะฯ ยังได้เยี่ยมชมสถานที่สำคัญเพื่อศึกษาระบบการปกครอง เช่น พระราชวัง Rosenborg, จัตุรัส Christiansborg, และ ศาลาว่าการกรุงโคเปนเฮเกน (City Hall) ที่เปิดเผยถึงโครงสร้างทางการเมือง และวิถีชีวิตของประชาชนในประเทศที่ได้รับการยกย่องว่ามีระดับความสุขสูงสุดในโลก

จากนั้น คณะได้เดินทางต่อไปยัง ประเทศนอร์เวย์ เพื่อดูงานด้านศิลปะ วัฒนธรรม และการบริหารจัดการเมือง โดยเข้าชมสถานที่สำคัญ เช่น Oslo Opera House อาคารทรงเรขาคณิตสมัยใหม่ที่สะท้อนแนวคิดการออกแบบร่วมกับธรรมชาติ , พิพิธภัณฑ์ Norsk Folke Museum แหล่งเรียนรู้วัฒนธรรมพื้นบ้านและประวัติศาสตร์นอร์เวย์ ,  ป้อม Aker Brygge ซึ่งปัจจุบันกลายเป็นแหล่งรวมศิลปะ-ธุรกิจสุดทันสมัยริมอ่าว

การศึกษาดูงานในครั้งนี้ยังให้ความสำคัญกับนโยบายต่างประเทศในแนวทาง Pragmatic Idealism ซึ่งหมายถึงการดำเนินนโยบายต่างประเทศแบบมีอุดมคติ แต่ยังคงความยืดหยุ่น ยึดผลประโยชน์ร่วมเป็นหลัก ซึ่งเป็นแนวทางที่เดนมาร์กกำลังจับตาไทยอย่างใกล้ชิด

กานดูงานในครั้งนี้ถือเป็นอีกหนึ่งภารกิจสำคัญของหลักสูตร บรอ.12 ที่มุ่งเน้นให้ผู้เข้าร่วมได้เข้าใจประเด็นระดับมหภาค ทั้งด้านความมั่นคง การปกครอง ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ รวมถึงพลวัตทางเศรษฐกิจและสังคมของโลก

ภารกิจนี้ตอกย้ำว่า 'ผู้นำในยุคใหม่' ต้องพร้อมทั้งความรู้ ความสัมพันธ์ และวิสัยทัศน์ระดับนานาชาติ เพื่อนำมาประยุกต์ใช้กับการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top