Friday, 19 April 2024
NEWS

ชมรมเชียร์และแปรอักษรจุฬาฯ ออกประกาศ!! "ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ งานบอลสานสัมพันธ์จุฬาฯ-ธรรมศาสตร์"

(3 เม.ย.67) เฟซบุ๊ก CU Cheer Club ของชมรมเชียร์และแปรอักษร จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ออกประกาศว่า งานบอลสานสัมพันธ์จุฬาฯ-ธรรมศาสตร์ 2024 ชมรมฯ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ แม้กระทั่งการแปรอักษรในงาน แถลงการณ์ไปแล้วเมื่อวันที่ 28 มี.ค. 2567 (ก่อนวันงาน) เพราะฉะนั้น สามารถฝากคำติชมได้ที่เพจ องค์การบริหารสโมสรนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (ผู้จัดงานนี้) 

อนึ่ง ก่อนหน้านี้การจัดงานฟุตบอลสานสัมพันธ์จุฬาฯ-ธรรมศาสตร์ 2024 ซึ่งจัดขึ้นเฉพาะองค์การบริหารสโมสรนิสิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (อบจ.) และองค์การนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (อมธ.) ถูกวิจารณ์หลายเรื่อง ทั้งการนำรถกอล์ฟอัญเชิญพระเกี้ยว และการแปรอักษรโดยใช้จอ LED ระบุข้อความว่า "สวัสดี, ฉันคือจอ LED มีหน้าที่แปรอักษร รับ UV แทนเพื่อนมนุษย์ทุกคน #ไม่ได้บังคับใครขึ้นแปรแกอย่าพึ่งร้อนตัว" ซึ่งมีโลโก้กลุ่มอิสระล้อการเมืองแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ อยู่ด้านมุมขวาบนของจอ

ตำรวจปราบปรามยาเสพติด จัดกิจกรรม “ต่อลมหายใจเพื่อนมนุษย์” บริจาคโลหิต เพื่อเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 6 รอบ 72 พรรษา

วันนี้ 3 เม.ย.67 ช่วงเช้าที่ผ่านมา - เวลา 12.00 น. นำโดย พล.ต.ต.พลัฏฐ์  วิเศษสิงห์ รอง ผู้บัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด พร้อมด้วย พล.ต.ต.ธนรัชน์ สอนกล้า ผู้บังคับการปราบปรามยาเสพติด 2 ร่วมกับข้าราชการตำรวจ ครอบครัว และลูกจ้างในสังกัดกองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด จัดกิจกรรมจิตอาสาบริจาคโลหิต เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 6 รอบ 72 พรรษา ที่จะมาถึงนี้ ณ ห้องประชุมห้องพรหมนอก ชั้น 2 บช.ปส. โดยได้รับความอนุเคราะห์จากหน่วยรับบริจาคโลหิตเคลื่อนที่ ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย จัดเจ้าหน้าที่และอุปกรณ์ต่าง ๆ มาให้บริการ ณ กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด 

เพื่อนำโลหิตที่ได้ไปช่วยเหลือผู้ป่วย หรือส่งต่อให้กับผู้ที่ต้องการโลหิต ทั่วประเทศได้มีโลหิตใช้ในการผ่าตัดและการรักษาพยาบาลอย่างเพียงพอต่อไป ซึ่งกิจกรรมในครั้งนี้  มีเหล่าข้าราชการตำรวจ ครอบครัว และลูกจ้างในสังกัด เข้าร่วมบริจาคโลหิต จำนวน 58 คน ได้จำนวนโลหิต 51 ยูนิต จำนวน 22,950 ซีซี ทั้งนี้ กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติดได้จัดกิจกรรมนี้ขึ้นเป็นประจำอย่างต่อเนื่องทุก ๆ 4 เดือน เพื่อรณรงค์ปลูกจิตสำนึกให้กับข้าราชการตำรวจ ครอบครัว ได้บำเพ็ญตนให้เป็นผู้มีจิตอาสา รู้จักการเสียสละมีเมตตา ต่อเพื่อนมนุษย์ และปฏิบัติตนเพื่อสาธารณประโยชน์ และเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมการทำความดีโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน อีกทั้งยังเป็นการสำรองโลหิตให้มีปริมาณเพียงพอ และทันต่อการให้ความช่วยเหลือผู้ป่วยทั่วประเทศอีกด้วย

ตม. ยัน 5 มาตรการสนามบินรับคลื่นท่องเที่ยวสงกรานต์ คาดยอดพุ่งแสนสองต่อวัน

​ตามนโยบายนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ที่ได้ประกาศให้สนามบินไทยเป็น Aviation Hub หรือ ศูนย์กลางการบินของภูมิภาค และประกาศ free visa ให้กับประเทศต่างๆ เช่น จีน อินเดีย เพื่อมุ่งหวังกระตุ้น
การท่องเที่ยวในไทย โดยเฉพาะช่วงเทศกาลสงกรานต์ในเดือนเมษายนนี้

​วันนี้ ( 3 เม.ย.2567) เวลา 09.00 น. พล.ต.ต.เชิงรณ ริมผดี ผบก.ตม.2 และโฆษก สตม.ได้เปิดเผยว่า พล.ต.ท.อิทธิพล อิทธิสารรณชัย ผบช.สตม.ได้เดินทางมาเป็นประธานการประชุม พร้อมด้วย พล.ต.ต.มานัด ศรีวงษา รอง ผบช.สตม.ติดตามความพร้อม การเปิด" แผนอำนวยความสะดวกและรักษาความปลอดภัยด้านพิธีการตรวจคนเข้าเมือง ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ " หรือ "แผนน่านฟ้า/เทศกาล67" ตั้งแต่ 28 มี.ค.- 30 เม.ย.2567 ของ บก.ตม.2 ซึ่งคุมงาน ตม.สนามบิน 5 แห่ง คือ สุวรรณภูมิ ดอนเมือง ภูเก็ต เชียงใหม่ และหาดใหญ่ โดยในการประชุมครั้งนี้ ได้เชิญ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น การท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ สายการบินต่างๆ ร่วมรับฟังด้วย

​โดยทาง บก.ตม.2 ได้ชี้แจงว่า ได้มีมาตรการหลักตามแผน เพื่อรองรับการอำนวยความสะดวกนักท่องเที่ยวภายใต้หลักความมั่นคง ทั้งหมด 5 มาตรการ  เพื่อรองรับสถานการณ์ในช่วงเที่ยวบินหนาแน่น ได้แก่
​1. มาตรการด้านกำลังพล ซึ่งเป็นการแก้ปัญหาการขาดแคลนกำลังพล โดยระดมกำลังพลของ ตม.สนามบิน และ พล.ต.ท.อิทธิพลฯ ได้สั่งสนับสนุนกำลังพลจากด่าน ตม.ต่างๆกว่า 100 นาย มาทำหน้าที่ตรวจ
หนังสือเดินทางเข้าและออกที่สุวรรณภูมิและสนามบินหลักเช่น ภูเก็ต นอกจากนั้น ยังขอความร่วมมือเจ้าหน้าที่ในการงดขาดลาพักผ่อน เพื่อช่วยกันเร่งระบายการตรวจผู้โดยสารอย่างเต็มที่
​2. มาตรการการลดขั้นตอน โดยได้รับรายงานว่า ทาง บก.ตม.2 ได้ปรับลดขั้นตอนการปฏิบัติที่ไม่จำเป็น
เช่น การงดสแกนใบหน้า นิ้วมือคนไทย งดสแกนบัตรที่นั่ง งดการประทับตราคนต่างชาติที่ใช้เครื่อง Automatic Channel ขาออก และลดขั้นตอนของ จนท.บางส่วนออกไป ซึ่งสามารถลดเวลาจากการตรวจต่อคน 45 วินาที เหลือคนละ 20 วินาที
​3. มาตรการด้านเทคโนโลยี โดยให้เจ้าหน้าที่วิชาการจากศูนย์เทคโนโลยี สตม. เข้าเวรเพื่อ monitor ระบบ ตม.ไม่ให้เกิดข้อขัดข้อง
​4. มาตรการด้านความมั่นคง โดยมอบหมายงานสืบสวน บก.ตม.2 ประสานงานข่าวกับหน่วยงานความมั่นคง เพื่อป้องกันการแฝงตัวเป็นนักท่องเที่ยวของกลุ่มเสี่ยงต่างๆ โดยเฉพาะมิจฉาชีพ เช่น แก๊งลักทรัพย์ชาวเวียดนาม โคลัมเบีย ฯลฯ รวมถึงกลุ่มชาติขัดแย้งที่อาจเข้ามาก่อเหตุในช่วงดังกล่าว
​5. มาตรการความร่วมมือกับหน่วยข้างเคียง โดยเฉพาะกลุ่มสายการบิน เพื่อแก้ปัญหาฉุกเฉินกรณีหากเกิดเครื่องบินขัดข้องออกเดินทางไม่ได้ โดยได้มีการกำหนดขั้นตอนการปฏิบัติไว้แล้ว ก่อนหน้านี้ รวมถึงการให้ความช่วยเหลือแก่ผู้โดยสารที่ต้องใช้ช่องทางเร่งด่วน หรือ priority ต่างๆ เช่น ผู้พิการ เด็กเล็ก เป็นต้น

​ซึ่ง พล.ต.ท.อิทธิพลฯ ได้กล่าวกำชับทาง ตม.2 ให้ช่วยกันปฏิบัติตามแผนและมาตรการดังกล่าว
ทั้ง 5 มาตรการโดยเคร่งครัด และให้ ผบก.ตม.2 พร้อมด้วยผู้บังคับบัญชาทุกระดับ ช่วยกันควบคุมบริหารสถานการณ์โดยใกล้ชิด โดยเฉพาะในช่วงเที่ยวบินหนาแน่น ซึ่งคาดว่า ในเดือน เมษายน ช่วงสงกรานต์
จะมีผู้โดยสารระหว่างประเทศเข้าออกวันละราว 1.2 แสนคน โดยมีเที่ยวบินสูงสุดต่อชั่วโมงราว 25 เที่ยวบิน
คิดเป็นการสะสมของผู้โดยสารต่อชั่วโมงราว 4,000-5,000 คน ต่อวัน

​และจากมาตรการทั้ง 5 มาตรการ ที่เริ่มใช้มาตั้งแต่ 1 มี.ค.พบว่า สามารถเร่งระบายผู้โดยสารที่รอคิวในช่วงเที่ยวบินหนาแน่น โดยจับเวลาจากคนท้ายคิว เดินมาถึงหน้าช่องตรวจ ใช้เวลารอคิวเพียง 15 นาที ก็ได้รับการตรวจจากเจ้าหน้าที่ ตม.แล้ว และมีเสียงชมจากผู้รับการตรวจทั้งคนไทยและต่างชาติว่า ตม.ประเทศไทย เร่งระบายการตรวจหนังสือเดินทางได้ดีกว่าหลายประเทศ ตนจึงขอให้ประชาชนมั่นใจในการทำงานของ ตม.ว่า มีความพร้อมที่จะเป็นประตูบ้านของประเทศรับนักท่องเที่ยวเข้ามาสร้างรายได้ให้กับบ้านเราในช่วงสงกรานต์อย่างเต็มที่ต่อไป

‘ดร.เสรี’ เฉลย!! 8 เม.ย.นี้ ‘ร้อนสุด’ ก่อนเล่นสงกรานต์ พร้อมชี้เป้า ‘สุโขทัย’ จะเป็นจังหวัดที่ร้อนที่สุดในประเทศ

(3 เม.ย.67) ดร.เสรี ศุภราทิตย์ ประธานกรรมการบริหาร Futuretales LAB, MQDC ผู้อำนวยการศูนย์การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและภัยพิบัติ มหาวิทยาลัยรังสิต และรองประธานฯ ที่มูลนิธิสภาเตือนภัยพิบัติแห่งชาติ เผยผ่านเฟซบุ๊กว่า ระหว่างวันที่ 2-9 เมษายนนี้ อุณหภูมิสูงสุดมากกว่า 40 องศาเซลเซียส ในหลายพื้นที่ และคาดว่า วันที่ 8 เมษายนนี้ จะเป็นวันที่ร้อนที่สุดก่อนสงกรานต์ปีนี้ อุณหภูมิช่วงสงกรานต์จะลดลงมาเล็กน้อย และอาจจะเพิ่มขึ้นหลังสงกรานต์ต้องติดตามสถานการณ์ต่อไป จะเห็นว่าพื้นที่จังหวัดที่มีอุณหภูมิสูงสุดในปัจจุบัน คือ จ.สุโขทัย และจะเป็นจังหวัดที่มีอุณหภูมิสูงสุดในอนาคตด้วย (ร้อนสุดขีดทั้งจังหวัด 49.01 องศาเซลเซียส อีก 60 ปีข้างหน้า) จากข้อมูลกรมอุตุฯ ในอดีต จ.สุโขทัย เคยมีอุณหภูมิสูงที่สุด (44.5 องศาเซลเซียส) เป็นลำดับที่ 3 เมื่อวันที่ 12 เมษายน 2559 และเป็นลำดับที่ 6 (44 องศาเซลเซียส) เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2559

สำหรับจังหวัดที่จะมีอุณหภูมิสูงสุดในอนาคตรองลงมาตามลำดับในภาคกลาง คือ จ.พิจิตร (48.74 องศาเซลเซียส) จ.ชัยนาท (48.48 องศาเซลเซียส) จ.นครสวรรค์ (48.08 องศาเซลเซียส)

ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ คือ จ.มหาสารคาม (47.85 องศาเซลเซียส) จ.ขอนแก่น (47.58 องศาเซลเซียส) จ.ร้อยเอ็ด (47.56 องศาเซลเซียส) จ.นครราชสีมา (46.19 องศาเซลเซียส)

และในภาคเหนือ คือ จ.ลำปาง (47.19 องศาเซลเซียส) จ.ลำพูน (47.13 องศาเซลเซียส)

ส่วนพื้นที่ กรุงเทพมหานคร จะมีอุณหภูมิสูงสุดประมาณ 44.90 องศาเซลเซียส ผลกระทบที่จะตามมาคือภัยคุกคามที่ไม่สามารถย้อนเวลากลับได้ คลื่นความร้อน-ภัยแล้ง-ฝนตกหนัก-น้ำท่วม-น้ำทะเลหนุนสูง ทุกภาคส่วนธุรกิจ สังคมเมือง และชนบทจะได้รับผลกระทบมากน้อย ในช่วงเวลาแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับการเตรียมความพร้อมโดยไม่ประมาท 

‘อ.ไชยยันต์’ เทียบ ‘ขบวนพระเกี้ยว-ขบวนธรรมจักร’  ชี้!! แตกต่างกันชัดเจน สะท้อนความตั้งใจของคนทำ 

จากกรณี ‘นิสิตจุฬาฯ’ ใช้รถกอล์ฟอัญเชิญ ‘พระเกี้ยว’ ในงานฟุตบอลสานสัมพันธ์ประเพณี จุฬา-ธรรมศาสตร์ CU-TU Unity Football Match 2024 ซึ่งขบวนอัญเชิญ ‘พระเกี้ยว’ ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ใช้รถกอล์ฟ EV อัญเชิญพระเกี้ยว ทำให้เป็นประเด็นร้อน สร้างเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในขณะนี้

ล่าสุด (3 เม.ย. 67) ศ.ดร.ไชยันต์ ไชยพร อาจารย์ประจำภาควิชาการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ภาพและข้อความผ่านเฟซบุ๊ก เปรียบเทียบขบวนอัญเชิญพระเกี้ยวกับขบวนธรรมจักรของธรรมศาสตร์ ในงานฟุตบอลสานสัมพันธ์จุฬาฯ-ธรรมศาสตร์ที่ผ่านมา พร้อมระบุข้อความว่า.. 

“ตั้งใจทำให้ดูเป็นแบบนี้ ก็มีความหมายแบบหนึ่ง ไม่ได้ตั้งใจทำให้ดูแบบนี้ แต่มันพลาด ก็จะมีความหมายอีกแบบหนึ่ง ยิ่งถ้าตั้งใจทำให้ขบวนพระเกี้ยวจุฬาฯ แตกต่างอย่างชัดเจนจากขบวนธรรมจักรของธรรมศาสตร์ โดยรู้ล่วงหน้าด้วยแล้ว ก็ยิ่งจะมีความหมายอีกแบบหนึ่ง”

รวบโชคสามโคกพร้อมอาวุธปืน เพราะชอบโชว์ ช่วงระดมเทศกาลเดือนสงกรานต์

ตามนโยบายของ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์  รรท.ผบ.ตร. ,พล.ต.อ.ธนา ชูวงศ์ รองผบ.ตร. , พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผู้ช่วย ผบ.ตร. ,พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น. สั่งการ พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น. ให้ปราบปรามกลุ่มอาชญากรรมต่างๆ ที่สร้างความเดือดร้อนแก่ประชาชน โดยเฉพาะอาวุธปืน ได้รับเรื่องร้องเรียนจากประชาชนเกี่ยวกับการพกพาอาวุธปืนไปในที่สาธารณะ และ การมั่วสุมเสพยาเสพติด

วันที่ 2 เม.ย.67  พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น. พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รอง ผบช.น. พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น.,พ.ต.อ.ธีรศักดิ์ จันทราพิพัฒน์ รอง ผบก.สส.บช.น., พ.ต.อ.อดุลย์ ดอกพวง ผกก.สส.4 บก.สส.บช.น., พ.ต.ท.รัฐนันท์ สมวงศ์, พ.ต.ท.ปกรณ์ ทองช่วง  รอง ผกก.สส.4 บก.สส.บช.น.ได้สั่งการ พ.ต.ต.นิทัสน์ มีทอง สว.กก.สส.4ฯได้ร่วมกันจับกุมตัว​ นายประสบโชค ขาวขำ อายุ 60 ปี ที่อยู่ 87 หมู่ที่ 6 ตำบลบางเตย อำเภอสามโคก จับหวัดปทุมธานี 

ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน“มีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตจากนายทะเบียนท้องที่” พร้อมด้วยของกลาง
1.อาวุธปืนพก กึ่งอัตโนมัติ ยี่ห้อ นอรินโก้ โมเดล 213 จำนวน 1 กระบอก 
2.เครื่องกระสุน ขนาด 9 มม. จำนวน 39 นัด
3.เครื่องกระสุน ขนาด .38 มม. จำนวน 14 นัด
4.อาวุธมีด ความยาว 31 ซม.

สถานที่จับที่บริเวณห้องพักเลขที่ 6 ห้องพักเพชรเกษม เลขที่ 138 ซ.เพชรเกษม 26 แขวงปากคลองภาษีเจริญ เขตภาษีเจริญ กทม.พฤติการแห่งคดี ด้วยเจ้าพนักงานตำรวจฝ่ายสืบสวนกองกำกับการสืบสวน 4 กองบังคับการสืบสวนสอบสวน กองบัญชาการตำรวจนครบาล  ได้รับเรื่องร้องเรียนจากประชาชนเกี่ยวกับการพกพาอาวุธปืนไปในที่สาธารณะ และ การมั่วสุมเสพยาเสพติด ภายในห้องเช่าแห่งหนึ่ง ในซอยเพชรเกษม 26 แขวงปากคลองภาษีเจริญ เขตภาษีเจริญ กทม.นั้น  จากการสืบสวนทราบบุคคลดังกล่าวคือ นายประสบโชค ขาวขำ เคยถูกดำเนินคดีในความผิดฐาน  ร่วมกันลักลอบเล่นการพนันตามบัญชี ก. (ไฮโลว์) ฯ จำนวน 14 ครั้ง และไม่ได้เป็นบุคคลที่นายทะเบียนอนุญาตให้มีและใช้อาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืน  จากการตรวจสอบพบ นายประสบโชค ขาวขำ  พักที่ห้องพักหมายเลข 6 ในห้องเช่าดังกล่าวจริง  จึงได้ขออนุมัตหมายค้นจากศาลอาญาธนบุรี เข้าทำการตรวจค้นและจับกุมพร้อมของกลางในชั้นจับกุม ให้การรับสารภาพตลอดข้อกล้าวหานำตัวส่ง สน.ภาษีเจริญ เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

'เชียงราย' กลับไทย!! ตม.เชียงรายรับตัว 4 คนไทยกลับไทยชายแดนท่าขี้เหล็กแม่สาย

วันนี้ 2 เมษายน2567ที่ผ่านมาพ.ต.อ.สุรศักดิ์ เทียนทอง ผู้กำกับการตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดเชียงราย มอบหมายให้ พ.ต.ท.มนตรี อินเปรี้ยว รองผู้กำกับการตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดเชียงรายและ พ.ต.ท.ภัทรพงศ์ ชูชื่น สารวัตรตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดเชียงรายสถานีตำรวจภูธรแม่สาย จังหวัดเชียงรายพร้อมด้วย นางคคนางค์ อัมระนันทน์ อองลารท์ หัวหน้าสำนักงานหนังสือเดินทาง เชียงราย กรมการกงสุล กระทรวงการต่างประเทศ , เจ้าหน้าที่พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ จังหวัดเชียงราย(พม.) , สถานคุ้มครองสวัสดิภาพผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ จว.เชียงราย (สคม.) ร่วมกันรับตัวบุคคลสัญชาติไทย จำนวน 4 คนประกอบด้วย

1.นายวิชัย (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 26 ปี ภูมิลำเนา ต.กงรถ อ.ห้วยแถลง จว.นครราชสีมา    
2.นายไตรภพ (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 21 ปี ภูมิลำเนา ต.น้ำรึม อ.เมืองตาก จว.ตาก  
3.นางสาวพัชรี (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 25 ปี ภูมิลำเนา ต.ศรีดอนไชย อ.เทิง จว.เชียงราย 
4.นางสาวอรนุช (ขอสงวนนามสกุล)  อายุ 28 ปี ภูมิลำเนา ต.ห้วยสัก อ.เมืองเชียงราย จว.เชียงราย  

โดยได้รับตัวจากเจ้าหน้าที่ ตม.จว.ท่าขี้เหล็ก ณ สะพานมิตรภาพข้ามแม่น้ำสาย แห่งที่ 1 อ.แม่สาย จว.เชียงราย จากนั้นได้ร่วมกันนำตัวบุคคลสัญชาติไทยทั้ง 4 ราย เข้ารับการตรวจวินิจฉัย คัดกรองโรคเบื้องต้นจากแพทย์ ตม.จากนั้นได้ร่วมกับทีมสหวิชาชีพคัดกรองเบื้องต้นตามกระบวนกลไกการส่งต่อระดับชาติ (National Referral Mechanic : N.R.M.) ณ ศูนย์คัดแยกผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ ตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดเชียงราย

การปฏิบัติในการช่วยเหลือบุคคลสัญชาติไทยทั้ง ๔ ราย เป็นผลสืบเนื่องจากการประสานความร่วมมือระหว่างสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงย่างกุ้ง และกรมการกงสุล กระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งได้รับข้อมูลว่าทางการเมียนมาได้รับตัวบุคคลสัญชาติไทยซึ่งได้รับผลกระทบการเหตุการณ์สู้รบระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์และทหารเมียนมาในพื้นที่รัฐฉานเหนือ บริเวณเขตปกครองพิเศษ ของประเทศเมียนมา โดยคนไทยทั้ง 4 คน ได้เดินทางออกไปนอกราชอาณาจักรเพื่อไปทำงานในกลุ่มบริษัทที่เกี่ยวข้อง ซึ่งก่อนถูกส่งตัวกลับมายังประเทศไทย ได้ถูกดำเนินคดีตามกฎหมายคนเข้าเมือง ของประเทศเมียนมา ถูกตัดสินโทษจำคุกเป็นเวลากว่า 3 เดือน

ทั้งหมดให้การในเบื้องต้นว่า ตนถูกชักชวนจากเพื่อนที่รู้จักกัน ออกอุบายชักจูงให้ไปทำงานซึ่งเป็นเงินแอดมินของเวปพนันต่างชาติ บางส่วนถูกชักชวนไปทำงานในคาสิโน แต่ในระหว่างที่เดินทางไปทำงานช่วงนั้นเกิดเหตุยิงปะทะกันระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์และทหารเมียนมาในพื้นที่รัฐฉานเหนือ จึงหลบไปอาศัยอยู่กับบ้านเรือนของประชาชนกระทั่งถูกเจ้าหน้าที่ทางการฝ่ายเมียนมาควบคุมตัว และได้รับการช่วยเหลือประสานส่งตัวกลับมายังประเทศไทย ภายหลังที่ถูกดำเนินคดีที่ประเทศเมียนมา เสร็จสิ้น 

ขณะนี้ทั้ง 4 คนอยู่ในระหว่างเข้ารับการสัมภาษณ์คัดแยกผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ต่อไป 

“ERDI-CMU” มช.ประสบความสำเร็จระดับโลก สร้าง Platform Net Zero Off Grid  100% By Transformer Low Carbon IoT 

ตอบโจทย์ภาครัฐ Net Zero Off Grid 100 %, Near Zero, Peak Demand, 
Demand Response Net Zero Off Grid 100%, Sustainable Green Energy System 
สนับสนุนโดย สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ NiA

รศ.ดร. สิริชัย คุณภาพดีเลิศ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยและพัฒนาพลังงานนครพิงค์, ผศ.ดร.พฤกษ์ อักกะรังสี และดร. ณัฐวุฒิ จารุวสุพันธุ์  ต้อนรับคณะคุณมัณลิกา สมพรานนท์ ผู้อำนวยการกองพัฒนาทรัพยากรบุคคลด้านพลังงาน และขอขอบคุณที่ให้เกียรติมาเยี่ยมชม หม้อแปลง Low Carbon และระบบบริหารจัดการพลังงานทดแทน Solar กับ Energy Storage ด้วยโปรแกรม Sustainable Green Energy Management System เพิ่มอายุการใช้งานให้กับ Energy Storage มากถึง 20 ปี ทำให้ระบบไฟฟ้าเกิดความเสถียรภาพเกิดความมั่นคงด้านพลังงาน Net Zero, Near Zero, Peak Demand และ Demand Response ประหยัดพลังงาน 9% ตอบโจทย์ด้านการประหยัดพลังงานและความมั่นคงระบบพลังงานไฟฟ้าสะอาดของภาคอุตสาหกรรม, ผู้ประกอบการ, อาคารสถานที่, โรงพยาบาล โรงแรม เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติด้านพลังงานและด้านความมั่นคงระบบไฟฟ้า รศ.ดร. สิริชัย คุณภาพดีเลิศ กล่าว เนื่องจากเร็วๆนี้ องค์กรภาครัฐ ส่งเสริมด้านการประหยัดพลังงานรณรงค์ชวนปิดไฟ ให้โลกพัก ปิดไฟ 1 ชั่วโมงเพื่อลดโลกร้อน Platform หม้อแปลง Low Carbon ตอบโจทย์ Demand Response Net Zero off Grid 100% ด้วยกราฟเสริมสร้างความมั่นคงของระบบไฟฟ้าด้วยสถาบันวิจัยและพัฒนาพลังงานนครพิงค์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ร่วมกับบริษัท เจริญชัย หม้อแปลงไฟฟ้า จำกัด ได้ร่วมวิจัยและได้รับทุนสนับสนุนจากสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) ให้ดำเนินงานวิจัยหม้อแปลง IoT และระบบบริหารจัดการพลังงานทดแทน Solar กับ Energy Storage ด้วยโปรแกรม Sustainable Green Energy Management System ภายใต้โครงการ “Low Carbon Transformer ระบบจัดการหม้อแปลงไฟฟ้า เพื่อรองรับพลังงานสะอาดอย่างมั่นคง Net Zero, Near Zero, Peak Demand และ Demand Response” ซึ่งจากการดำเนินงานพบว่าหม้อแปลงที่ใช้ในการดำเนินโครงการที่กล่าวในข้างต้น ตอบโจทย์ด้านการประหยัดพลังงาน ในภาคอุตสาหกรรม Smart Factory, Smart Building ในด้าน Net Zero & Near Zero, Peak Demand และ Demand Response และการประหยัดพลังงาน โดยสามารถลดการใช้พลังงาน ลดต้นทุนค่าไฟฟ้า และลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ และมีระยะเวลาคืนทุนภายในเวลา  2 – 5  ปี ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลในการแก้ปัญหาด้านการประหยัดพลังงาน เพื่อเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ สังคม ประชาชนและผู้ประกอบการ ด้านความมั่นคงระบบไฟฟ้าพลังงานสะอาด

‘รร.ในชุมพร’ ประกาศยกเลิกระเบียบการแต่งกายนักเรียน หลังโดนดรามาสนั่น เหตุห้ามเด็ก ‘กันคิ้ว-แต่งหน้า-ใส่คอนแทคเลนส์-พกมือถือ’ ถ้าเจอจะยึดไม่คืน

(2 เม.ย.67) จากกรณีโลกโซเชียลมีการวิพากษ์วิจารณ์ โรงเรียนแห่งหนึ่งใน อ.สวี จ.ชุมพร เผยแพร่กฎระเบียบและเครื่องแบบการแต่งกาย บนเฟซบุ๊กแฟนเพจของโรงเรียน โดยห้ามนักเรียนพกมือถือ-อุปกรณ์แต่งหน้า หากตรวจพบจะถูกยึดและไม่คืนให้ทุกกรณี รวมถึงห้ามกันคิ้ว ห้ามแต่งหน้า ห้ามใส่คอนแทคเลนส์ ซึ่งปรากฏอยู่ในข้อ 11, 12, 14, 15 และ 16 มีรายละเอียดดังนี้

- ข้อ 11 คิ้ว ไม่ถอน ไม่โกน ไม่กัน ไม่เขียนคิ้ว
- ข้อ 12 ใบหน้า ไม่ตกแต่งใบหน้าด้วยเครื่องสำอางทุกชนิด
- ข้อ 14 ห้ามใส่คอนแทคเลนส์ กรณีสายตาสั้นให้ใส่แว่นตา
- ข้อ 15 ห้ามนำอุปกรณ์การใช้โทรศัพท์ทุกชนิดมาโรงเรียน หากตรวจพบทางโรงเรียนจะเก็บอุปกรณ์เหล่านั้นและไม่คืนให้ในทุกกรณี
- ข้อ 16 ห้ามนำอุปกรณ์การแต่งหน้า ทำผม และเครื่องประทินผิวทุกชนิดมาโรงเรียน หากตรวจพบทางโรงเรียนจะเก็บอุปกรณ์เหล่านั้นและไม่คืนให้ในทุกกรณี

หลังจากข้อความนี้ถูกเผยแพร่ออกไป มีผู้ใช้เฟซบุ๊กเข้าไปแสดงความคิดเห็นในเพจของโรงเรียนเป็นจำนวนมาก อาธิ เป็นการละเมิดสิทธินักเรียนหรือไม่ กฎดังกล่าวมีความเข้มงวดจนเกินไป ควรปรับเปลี่ยนกฎให้ทันโลกนั้น 

ล่าสุด เว็บไซต์ของโรงเรียนได้ออกประกาศ ยกเลิกระเบียบการแต่งตัวนักเรียน หลังมีกระแสวิพากษ์วิจารณ์ กรณีห้ามใส่คอนแทคเลนส์-ห้ามนำโทรศัพท์มือถือทุกชนิดมาโรงเรียน

‘ศาลอาญา’ อนุมัติหมายจับ ‘บิ๊กโจ๊ก’ ข้อหาฟอกเงิน หลังออกหมายเรียกแล้ว 3 ครั้ง แต่ไม่ไปรายงานตัว

(2 เม.ย. 67) ที่ศาลอาญารัชดา พนักงานสอบสวนกองบัญชาการตำรวจนครบาล เดินทางมายื่นคำร้อง ขอออกหมายจับ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ในความผิดฐานสมคบกันกระทำความผิด ฐานฟอกเงินและเป็นเจ้าพนักงานร่วมกันฟอกเงิน ตามที่สมคบกัน ตามพ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 มาตรา 5,9,10 และศาลอาญาพิพากษา ให้ออกหมายจับ พร้อมกับมีผลในทันที โดยหากเจ้าหน้าที่ตำรวจพบเห็น พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ก็สามารถแสดงหมายจับและจับกุมตัวได้ทันที

รายงานแจ้งว่า ภายหลังมีการยื่นขอออกหมายจับในช่วงเช้าทาง พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ได้ยื่นหนังสือถึงอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา เรื่องขอชี้แจงข้อเท็จจริงเพิ่มเติม หากมีการยื่นคำร้องขอออกหมายจับ ซึ่งศาลได้รับคำร้องชี้แจงข้อเท็จจริงโดยใช้เวลาอ่านรายละเอียดนานกว่า 5 ชั่วโมง แต่ศาลพิเคราะห์เห็นแล้วว่า พยานหลักฐานของพนักงานสอบสวน มีเพียงพอที่จะออกหมายจับประกอบกับ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ มีท่าทีหลบเลี่ยงหมายเรียกของพนักงานสอบสวนถึง 3 ครั้ง จึงเป็นสาเหตุในการออกหมายจับครั้งนี้

‘หนุ่ม’ แชร์อุทาหรณ์ ‘จอดรถตากแดด’ ไฟลุกพรึ่บ หวิดไหม้ทั้งคัน ชี้จุดฉนวนต้นเพลิง ‘ทิชชู-กล่องไม้จิ้มฟัน’ เตือน!! ถ้ามีในรถรีบเคลียร์ออก

(2 เม.ย. 67) จากกรณีหนุ่มรายหนึ่ง ได้โพสต์คลิปลงบนติ๊กต็อกช่อง @tawan_pick เป็นสภาพรถยนต์ไฟไหม้เบาะคนนั่งข้างหลัง ประกอบกับแดดร้อนจัด ทำให้กล่องพลาสติกไม้จิ้มฟันละลายไปกับเบาะ ซึ่งเป็นเหตุให้ไฟลุกไหม้

เมื่อเวลา 12.00 น. วันที่ 2 เม.ย.67 เจ้าของโพสต์ ได้เผยว่า หลังจากจอดรถเอาไว้กลางแดด แต่รถไหม้เกือบทั้งคัน เพียงเพราะว่ามีทิชชูแห้งและไม้จิ้มฟัน โชคดีเจ้าหน้าที่กู้ภัยช่วยดับไฟสำเร็จ

โดยเจ้าของโพสต์ กล่าวว่า จอดรถไว้ในซอยบ้าน ซึ่งจอดเอาไว้ตั้งแต่เช้าและก็ขับรถจักรยานยนต์ไปทำงาน ซึ่งบริเวณดังกล่าวจอดไว้มานานมากแล้ว จากนั้นตนเลิกงานตอนเที่ยงตรง แม่ก็โทรมาบอกว่า “ให้รีบกลับบ้านเพราะไฟไหม้”

ตอนนั้นตกใจมาก จึงรีบขับรถกลับบ้านโดยด่วน เมื่อมาถึงก็ปรากฏว่าเจ้าหน้าที่ดับเพลิงของราษฎร์บูรณะ ได้ดับเพลิงเสร็จเรียบร้อยแล้ว เมื่อเปิดรถเข้าไปดูปรากฏว่า จุดที่เกิดไฟมันคือด้านเบาะหลัง เป็นที่ที่วางกระดาษทิชชูและไม้จิ้มฟันเอาไว้ จึงคิดว่าเกิดจากความร้อน

เนื่องจากเมื่อวานอากาศร้อนมาก ประกอบกับเป็นตอนเที่ยง และแสงมันลงมากระทบกับกระจกรถด้านหลังตรงคนนั่งฝั่งซ้าย มันก็อาจจะทำให้อากาศแห้งแล้วเกิดไฟไหม้ โชคดีที่จอดรถใกล้กับสถานีดับเพลิง พี่เจ้าหน้าที่ดับเพลิงจึงรีบช่วยกันดับเอาไว้ก่อน ทำให้ไฟไหม้ไม่บานปลาย เชื่อว่าถ้าหากเจ้าหน้าที่ไม่มาเห็น รถคงไม่ทั้งคันไปแล้ว

ตอนนี้จะต้องนำรถไปตรวจสภาพและเปลี่ยนเบาะทั้งหมด ทำความสะอาดรถใหม่ด้วย ซึ่งมูลค่าความเสียหายน่าจะ 20,000 บาท ทั้งนี้ อยากเตือนภัยสำหรับทุกคน ที่จำเป็นต้องจอดรถกลางแดด ให้เคลียร์ของในรถ พวกของแห้งที่เป็นทิชชู ไม้จิ้มฟัน หรืออะไรที่มันไวต่อไฟ ก็ให้หลีกเลี่ยงจะดีที่สุด

'อัษฎางค์' อึ้ง!! ชาวต่างชาติยังไม่เห็นด้วยกับการกระทำของตะวันต่อขบวนเสด็จฯ พร้อมย้ำ!! ขนบธรรมเนียมที่เป็นของตนเอง ต้องยึดมั่นเอาไว้ อย่าหลงตามฝรั่ง

(2 เม.ย. 67) อัษฎางค์ ยมนาค นักวิชาการอิสระ โพสต์เฟซบุ๊กหัวข้อ ชาวต่างชาติทราบข่าวตะวันบีบแตรไล่ขบวนเสด็จ โดยระบุรายละเอียดว่า เมื่อสักครู่เรียก Uber กลับบ้าน วันนี้ไม่ได้ขับรถเข้าเมืองเพราะหาที่จอดรถยาก

น้องอิงลูกชายถามว่า ไม่กลัวเหรอที่เรียก Uber ตอนค่ำ ๆ

ผมตอบว่า กลัวทำไม

น้องอิงบอกว่า อิงกับม่ามี๋ไม่กล้าเรียก Uber ตอนมืด ๆ

ผมตอบว่า ปกติพ่อก็ขับรถเอง โดยเฉพาะมืด ๆ ค่ำ ๆ ไม่เคยนั่ง Uber เหมือนกัน

พอเรียก Uber ปรากฏว่าได้คนขับเป็นคนแอฟริกันผิวดำ เลยนึกถึงการทักเรื่องปลอดภัยของลูกชาย ซึ่งคนดำก็มีภาพพจน์ที่ดูน่ากลัวเป็นปกติ ก็เลยชวนคนขับรถคุย จะได้รู้ว่าเขาเป็นคนยังไง

คนดำคนนี้ขับรถคัมรี่ใหม่เอี่ยม ถามได้ความว่า เขาเป็นเจ้าของภัตตาคารอาหารไนจีเรียอยู่ใน New Town เพิ่งเลิกกิจการมาขับ Uber ได้ 3 วันเท่านั้น เพราะกิจการไม่ค่อยดี นอกจากมาขับ Uber แล้วยังทำธุรกิจนำเข้าสินค้าจากจีนด้วย

พอพูดถึงเมืองจีน เขาเลยถามผมว่า เป็นคนจีนรึเปล่า

ผมตอบว่า ผมเป็นคนไทย

เขาก็พูดขึ้นทันทีว่า I love Thailand ฉันรักเมืองไทย ผู้หญิงไทยสวย

ผมเลยแซวว่า ตกลงรักเมืองไทยหรือสาวไทย

เขาตอบว่า ทั้งคู่ แล้วหัวเราะใหญ่

ผมถามว่า เคยไปที่ไหนของเมืองไทย

เขาตอบว่า บางกอก

เขาเรียกกรุงเทพว่า บางกอก แบบคนไทยชัด ๆ เลย โดยไม่ได้เรียกว่า Bangkok (ผมเจอคนต่างชาติที่เรียกกรุงเทพฯ ว่าบางกอก อยู่เนือง ๆ )

แล้วเขาก็พูดขึ้นว่า

ฉันเห็นข่าว ที่มีเด็กผู้หญิงบีบแตรไล่ขบวนเสด็จของ King (เขาเข้าใจผิดไปนิดนึงว่า ขบวนเสด็จของกรมสมเด็จพระเทพฯ เป็นขบวนเสด็จของ King)

ผมเลยพูดว่า คุณรู้ใช่มั้ยว่า ทุกประเทศในโลก ก็มีการรักษาความปลอดภัยเป็นพิเศษสำหรับประมุขของชาติหรือบุคคลสำคัญ เช่น บุคคลในราชวงศ์

เขาตอบว่า ใช่ เป็นแบบนั้น

แล้วเขาก็พูดขึ้นว่า เด็กรุ่นใหม่พวกนี้ โดนชาติตะวันตกล้างสมองละมั้ง

เขายังพูดต่อไปว่า…

ทุกประเทศต่างมีขนบธรรมเนียมประเพณีและวัฒนธรรมของตนเอง เราต้องยึดมั่นในวัฒนธรรมของเรา ไม่ใช่เลียนแบบฝรั่งไปเสียทุกอย่าง

ฝรั่งพวกนั้นคิดแต่จะแผ่อิทธิพลไปแทรกแซงชาติต่าง ๆ เราไม่ควรหลงกล

โอโห้ พี่ไนจีเรีย อดีตเจ้าของภัตตาคารหมาด ๆ และกำลังเริ่มธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ ที่อาศัยขับ Uber เป็นอาชีพเสริมในช่วงที่กำลังตั้งหลักใหม่ พูดถูกใจผมจริง ๆ

พี่ไนจีเรีย พูดย้ำ ๆ อยู่หลายครั้ง เรื่องการที่พวกเรามีขนบธรรมเนียมประเพณีและวัฒนธรรมเป็นของตนเอง เราต้องยึดมั่นเอาไว้ อย่าหลงทางไปกับฝรั่งจนลืมความเป็นตัวเรา

ผมเคยมีเพื่อนร่วมงานที่เป็นคนดำจากประเทศแอฟริกาใต้หลายคนมาก่อน คนดำในแอฟริกามีวัฒนธรรมคล้าย ๆ คนเอเชีย คล้าย ๆ คนไทยหลายอย่าง เช่น การมีนิสัยสนุกสนานและอ่อนโยน มีวัฒนธรรมการเคารพนับถือผู้ใหญ่ เพื่อนผิวดำแอฟริกัน เรียกผมว่า กูรู ซึ่งเป็นคำที่ใช้เรียกผู้ใหญ่ที่เขานับถือ

ส่วนคนดำที่เราเข้าใจว่าเป็นคนอันตรายนั้น ไม่ใช่คนดำจากแอฟริกา แต่เป็นคนอเมริกันแอฟริกัน คือคนผิวดำที่เป็นคนอเมริกัน ซึ่งในอเมริกาจะมีคนดำเป็นคนอันตรายที่มักก่อเหตุร้าย

ตอนที่รถวิ่งมาถึงบ้านแล้ว พี่ไนจีเรียก็ยังคุยไม่จบ พอลงรถแล้วผมเลยกดเงินให้ทิปไปหลายตังค์ด้วยความประทับใจในทัศนคติดี ๆ ที่มีต่อเมืองไทย รวมทั้งคำพูดที่ว่า คนไทยควรรักษาความเป็นไทยเอาไว้ (ที่ออสเตรเลีย เราจ่ายเงินค่าสินค้าทุกอย่าง รวมทั้งค่ารถเมล์ รถแท็กซี่หรือ Uber ได้จากมือถือ จากบัตรเครดิตหรือเดบิตของธนาคาร ที่ลิงก์ผ่าน Apple Pay หรือ Google pay)

เล่าสู่กันฟัง ว่าขนาดชาวต่างชาติยังไม่เห็นด้วยกับการกระทำของตะวันต่อขบวนเสด็จ ซึ่งเป็นคำที่เขาพูดซ้ำ ๆ อยู่หลายครั้ง

คนแอฟริกันทั้งหลายเข้าใจเรื่องพวกนี้ดี และมักแสดงความเห็นอกเห็นใจต่อคนที่โดนกระทำจากฝรั่งผิวขาว เพราะชาติของพวกเขาถูกเอารัดเอาเปรียบ หรือการทำตัวเป็นผู้ร้ายในคราบผู้ดีของฝรั่งผิวขาวมาก่อนอย่างยาวนาน

เริ่มต้นจากความไม่ไว้ใจ กลายเป็นความประทับใจในที่สุด

ผบช.สตม. สั่งการเข้ม! ระดมกวาดล้างอาชญากรรมก่อนเทศกาลสงกรานต์ เปิดปฏิบัติการฟ้าสางพื้นที่มีนบุรี รวบแรงงานข้ามชาติผิดกฎหมาย 23 ราย

พล.ต.ท.อิทธิพล อิทธิสารรณชัย ผบช.สตม. และ พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ รอง ผบช.สตม. รับนโยบาย นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี สั่งการให้หน่วยงานในสังกัดยกระดับการป้องกันปราบปรามอาชญากรรม เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักท่องเที่ยวในช่วงเทศกาลสงกรานต์ โดยให้มีการระดมกวาดล้างอาชญากรรม โดยเฉพาะความผิดที่เกี่ยวกับคนเข้าเมือง ซึ่งเป็นความรับผิดชอบหลักของ สตม. โดยสั่งการและกำชับให้เพิ่มความเข้มในการตรวจสอบบังคับใช้กฎหมาย  โดยให้เจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองที่รับผิดชอบงานสืบสวน เน้นการบูรณาการกับหน่วยงานอื่นๆที่เกี่ยวข้อง ซึ่งเมื่อวันที่ 1 เม.ย. 2567 พล.ต.ต.ประสาธน์ เขมะประสิทธิ์ ผบก.ตม.1 ได้จัดให้มีพิธีปล่อยแถวเพื่อระดมกวาดล้างอาชญากรรมในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ที่บริเวณถนนข้าวสาร และสั่งการให้ดำเนินการตามนโยบาย ผบช.สตม.ในการ X-RAY พื้นที่เสี่ยงโดยมอบหมายให้ พ.ต.อ.กาจภณ ปฐมัง ผกก.สืบสวน บก.ตม.1 นำกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองในสังกัด กก.สืบสวน บก.ตม.1 สนธิกำลังกับเจ้าหน้าที่จากกรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน และ กอ.รมน.กทม. รวมกำลังเจ้าหน้าที่กว่า 40 นาย ประชุมวางแผนเพื่อเข้าตรวจสอบบุคคลต่างด้าวหลายสัญชาติ ไม่ว่าจะเป็น กัมพูชา เมียนมาร์ ลาว และเวียดนาม ที่พักอาศัยอยู่บริเวณจุดต่างๆ ในซอยเจริญพัฒนา แขวงบางชัน เขตคลองสามวา กทม. ซึ่งได้รับการร้องเรียนและแจ้งเบาะแสจากประชาชน ทั้งทางช่องทางสื่อกระแสหลัก และโซเชียลมีเดีย ว่ากลุ่มแรงงานข้ามชาติจำนวนมากใช้เป็นที่พักอาศัย และรอรับการว่าจ้างให้ใช้แรงงานในกิจการก่อสร้างหารายได้แบบรายวัน

ต่อมาในวันที่ 2 เม.ย.2567 เวลาประมาณ 06.00 น. เจ้าหน้าที่ทุกหน่วยงานได้กระจายกำลังเข้าตรวจสอบตามจุดต่างๆ ในซอยเจริญพัฒนาโดยพร้อมเพรียงกัน ตั้งแต่ช่วงแยกเจริญพัฒนา เรื่อยมาจนถึงตลาดเช้ากลางซอย ในระหว่างตรวจสอบกลุ่มคนต่างด้าว ทั้งกลุ่มที่เป็นแรงงานผิดกฎหมาย และกลุ่มที่มีเอกสารถูกต้อง ต่างตกใจแตกฮือ  วิ่งหนี บางส่วนวิ่งไปหลบซ่อนตัวตามป่ารกข้างทาง เจ้าหน้าที่ต้องกระจายกำลังวิ่งไล่ติดตาม จนสามารถจับกุมตัวได้บางส่วน ปฏิบัติการดังกล่าวใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงเศษ จึงสามารถควบคุมตัวคนต่างด้าวไว้ได้จำนวนทั้งสิ้น 23 คน มาตรวจสอบจำแนกโดยละเอียดอีกครั้งโดยใช้รถบรรทุกควบคุมผู้ต้องหาที่เจ้าหน้าที่ได้เตรียมไว้  ผลการตรวจสอบโดยละเอียดพบว่าส่วนใหญ่เป็น บุคคลต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา 22 คน สัญชาติลาว 1 คน แบ่งเป็นความผิดฐาน “เป็นบุคคลต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักรโดยผิดกฎหมาย” 16 คน และ ความผิดฐาน “เป็นบุคคลต่างด้าวเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด” 7 คน ควบคุมตัวส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดี และผลักดันออกนอกราชอาณาจักรต่อไป

อนึ่ง สตม.ขอประชาสัมพันธ์ให้พี่น้องประชาชนทุกท่านทราบว่า บุคคลต่างด้าวทุกสัญชาติที่เข้ามาในราชอาณาจักร นอกจากจะต้องเข้ามาตามช่องทางอนุญาตตามกฎหมายและได้รับการตรวจลงตราโดยถูกต้องแล้ว ยังมีหน้าที่ที่จะต้องแจ้งที่พักอาศัยต่อเจ้าพนักงานตรวจคนเข้าเมืองตามมาตรา 37 แห่ง พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ.2522 และหากประสงค์จะทำงานในประเทศไทยจะต้องดำเนินการยื่นขอใบอนุญาตทำงานให้ถูกต้องตามกฎหมาย โดยนายจ้างที่รับคนต่างด้าวเข้าทำงานโดยไม่มีใบอนุญาตจะมีความผิดตาม พ.ร.ก.การบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ.2560 มีโทษปรับสูงสุดถึง 100,000 บาท ในส่วนของเจ้าของบ้านหรือผู้ครอบครองเคหสถานยังมีหน้าที่ในการแจ้งต่อ สตม. เมื่อมีบุคคลต่างด้าวเข้ามาพักอาศัยในสถานที่ที่อยู่ในความดูแลของตน ซึ่ง สตม. จะมีมาตรการในการตรวจสอบ กวดขัน และปราบปรามคนต่างด้าวที่เข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยฝ่าฝืนกฎหมาย ทั้งนี้หากผู้ใดให้ที่พักอาศัย ซ่อนเร้น หรือช่วยเหลือด้วยประการใดๆ ให้ผู้กระทำความผิดพ้นจากการจับกุมของเจ้าหน้าที่ จะมีความผิดตามมาตรา 64 ซึ่งมีโทษจำคุกสูงสุดถึง 5 ปี หากประชาชนท่านใดพบเห็นเบาะแส การกระทำความผิด กรุณาแจ้งมายัง สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง อาคารเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร พระชนมพรรษา 60 พรรษา เลขที่ 904 หมู่ที่ 6 ต.บ้านใหม่ อ.ปากเกร็ด จว.นนทบุรี 11120 หรือติดต่อตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดในพื้นที่ หรือที่ www.immigration.go.th จักขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่ง

สรุปดรามา!! เลื่อนงานฟุตบอลประเพณีธรรมศาสตร์-จุฬาฯ ครั้งที่ 75 งานที่ดูไม่พร้อม-ควรใช้ชื่ออื่น หากอยากจัดเพื่อเชื่อมความสัมพันธ์

(2 เม.ย.67) จากผู้ใช้แพลตฟอร์ม X (ทวิตเตอร์) ได้สรุปดรามา เลื่อนงานฟุตบอลประเพณี 'จุฬาฯ-ธรรมศาสตร์' ครั้งที่ 75 ไว้ว่า...

สืบเนื่องจากเฟซบุ๊ก Ajarin Pattanapanchai ของ น.ส.อัจฉรินทร์ พัฒนพันธ์ชัย ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม โพสต์ข้อความ โดยสรุปได้ดังนี้...

งานบอลประเพณีจุฬาฯ-ธรรมศาสตร์ ซึ่งจัดโดยสมาคมนิสิตเก่าจุฬาฯ (สนจ.) และสมาคมธรรมศาสตร์ฯ (สมธ.) ครั้งที่ 75  มี สมธ.เป็นเจ้าภาพจัดงาน ซึ่งได้แจ้งเลื่อนการจัดงานมาตั้งแต่ปี 2564-2566 และยังแจ้งโดยวาจาว่า "จะไม่จัดงานในต้นปี  2567"

แต่ สมธ. กลับมีจดหมายแจ้ง สนจ. ว่าจะจัดงานในวันที่ 30 มี.ค. 2567 ขอไปร่วมประชุมและแถลงข่าวการจัดงาน ซึ่งบอกล่วงหน้าแค่ 10 วัน ซึ่ง สนจ. ได้ประชุมและตอบกลับไปว่าไม่พร้อมร่วมจัดงาน เนื่องจาก จะชนกับงานประจำปีของ สนจ. คืองานวันสถาปนาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วันที่ 26 มี.ค. 2567

อีกทั้ง ชุมนุมเชียร์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งไม่ใช่ผู้รับผิดชอบในการจัดงานบอลประเพณี ได้ออกมาออกประกาศในสื่อ Social Media ว่า สนจ. เป็นต้นเหตุที่ทำให้งานเลื่อนออกไป จึงอยากให้ สมธ.ออกมาชี้แจงให้ชัดเจน  

ทั้งนี้ หากนิสิต นักศึกษาทั้งสองสถาบัน อยากจะจัดเตะบอลเชื่อมความสัมพันธ์กัน ก็ทำได้ ไม่ต้องใช้ชื่องานบอลประเพณี ธรรมศาสตร์-จุฬาฯ ครั้งที่ 75 หรอก (แต่อาจหาสปอนเซอร์ได้ไม่มาก)

#งานบอลจุฬาธรรมศาสตร์

รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ มอบเกียรติบัตรโครงการ “ทำดี มีรางวัล” เพื่อชื่นชมและเป็นขวัญกำลังใจกับตำรวจจราจร 2 นาย ที่ใช้ความรู้และทักษะการปฐมพยาบาล ช่วยเหลือประชาชนจนปลอดภัย

วันนี้ (2 เม.ย.67) เวลา 13.00 น. ที่ห้องพรหมนอก ชั้น 2 อาคาร 1 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.รรท.ผบ.ตร.) มอบเกียรติบัตรโครงการ “ทำดี มีรางวัล” ให้แก่ตำรวจจราจร 2 นาย คือ ส.ต.อ.กฤษณชัย ศรีเจริญ ผบ.หมู่ (จร.) สน.ชนะสงคราม ช่วยชีวิตเด็กสำลักอาหารติดคอ และ ส.ต.ต.อนุชิต ฆารไสว ผบ.หมู่ (จร.) สน.คลองตัน ทุบกระจกรถยนต์ ทำการ CPR ช่วยชีวิตชายประสบอุบัติเหตุหมดสติภายในรถ ซึ่งมีปรากฎคลิปภาพ 2 เหตุการณ์ จนมีกระแสชื่นชมการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจในสื่อสังคมออนไลน์จำนวนมาก 

กรณีแรก เมื่อวันที่ 26 มี.ค.67 เวลาประมาณ 09.00 น. ส.ต.อ.กฤษณชัย ศรีเจริญ ผบ.หมู่ (จร.) สน.ชนะสงคราม ขณะขับรถจักรยานยนต์ปฏิบัติหน้าที่บริเวณถนนจักรพงษ์ ได้สังเกตเห็นเด็กชายยืนก้มหน้าบ้วนน้ำลายได้สติดี จึงรุดเข้าไปสอบถามได้ความว่า มีอาหารติดอยู่ที่คอ ส.ต.อ.กฤษณชัยฯ จึงได้ทำการปฐมพยาบาลเบื้องต้นด้วยการรัดกระตุกที่ท้องเหนือสะดือใต้ลิ้นปี่ ตามหลักการปฐมพยาบาล ทำให้อาหารที่ติดอยู่บริเวณลำคอหลุดออกมา จนเด็กชายคนดังกล่าวปลอดภัย

กรณีที่สอง เมื่อวันที่ 26 มี.ค.67 เวลาประมาณ 11.00 น. ขณะที่ ส.ต.ต.อนุชิต ฆารไสว ผบ.หมู่ (จร.) สน.คลองตัน ปฏิบัติหน้าที่อำนวยการจราจรอยู่บริเวณถนนพัฒนาการ ได้รับแจ้งทางวิทยุว่ามีอุบัติเหตุรถยนต์และรถจักรยานยนต์เฉี่ยวชนกันบริเวณปากซอยพัฒนาการ 20 แขวงสวนหลวง เขตสวนหลวง กรุงเทพมหานคร จึงได้เดินทางไปตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุ พบว่ามีผู้บาดเจ็บเป็นชายนอนคว่ำหน้าหมดสติอยู่ภายในรถยนต์ และประตูรถยนต์ล็อคอยู่ไม่สามารถเปิดได้ ส.ต.ต.อนุชิตฯ จึงได้ตัดสินใจทุบกระจกรถยนต์เพื่อเคลื่อนย้ายผู้บาดเจ็บออกจากรถยนต์คันดังกล่าว และได้ทำการ CPR อย่างต่อเนื่อง เพื่อรอเจ้าหน้าที่กู้ภัยนำส่งโรงพยาบาลเพื่อรักษาต่อไป

พล.ต.อ.กิตติ์รัฐฯ กล่าวว่า ตนขอชื่นชมการปฏิบัติงานของตำรวจจราจรทั้ง 2 นาย ที่มีไหวพริบปฏิภาณ สามารถนำองค์ความรู้ด้านการปฐมพยาบาลและทักษะด้านการช่วยเหลือผู้ป่วยที่ได้รับการอบรม มาช่วยเหลือชีวิตของประชาชนได้อย่างรวดเร็ว ถูกต้อง และทันท่วงที จึงได้มอบใบประกาศเกียรติคุณและรางวัลตามโครงการ “ทำดี มีรางวัล” เพื่อเป็นขวัญกำลังใจในการปฏิบัติหน้าที่ และเพื่อเป็นแบบอย่างที่ดีแก่ข้าราชการตำรวจและสังคมต่อไป


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top