Sunday, 28 May 2023
NEWS

จับแล้วหนึ่งในแก๊งปลอมไลน์ผู้ว่าขอนแก่น หลอกยืมเงินข้าราชการในพื้นที่กว่า 5 แสนบาท

สืบเนื่องจากกรณี ผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่น ได้ออกประกาศแจ้งเตือนผ่านทางเฟซบุ๊กส่วนตัว “ไกรสร กองฉลาด” แจ้งเตือนมิจฉาชีพใช้รูปภาพและชื่อไลน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่น ทักข้อความไปยืมเงินบุคคลอื่น ทั้งภาพและข้อความระบุว่า “ใช้รูปภาพและชื่อผู้ว่าขอนแก่น หลอกยืมเงิน ตั้งแต่เช้าแล้วครับ ทั้งนายอำเภอบ้านแฮด บ้านไผ่ และเขาสวนกวาง โทรมาพร้อมทั้งส่งข้อความแชทมารายงาน มีคนแอบอ้างชื่อและนำรูปผมไปเป็นโปร์ไฟล์ หลอกยืมเงินนายกเทศมนตรีเทศบาลบ้าง สมาชิกสภาเทศบาลบ้าง ในพื้นที่ 3 อำเภอในข้างต้น”

เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.วิเคราะห์ข่าวและเครื่องมือพิเศษ บก.สอท.3 จึงได้สืบสวนติดตามกรณีดังกล่าว โดยมิจฉาชีพปลอมไอดีไลน์ ได้ใช้รูปโปรไฟล์และชื่อตรงกับ นายไกรสร กองฉลาด ผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่น ทักข้อความไปหาผู้บริหารและสมาชิกสภาองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในจังหวัดขอนแก่นหลายแห่ง หลอกยืมเงินรายละ 500,000 บาท จากการตรวจสอบพบว่าบัญชีที่ใช้ก่อเหตุมีนายสารนิช อายุ 24 ปี เป็นเจ้าของบัญชี ประกอบกับหมายเลขโทรศัพท์ที่ใช้เปิดบัญชีมีคนต่างด้าว ซึ่งอยู่บริเวณชายแดนไทย-เมียนมาร์ เป็นผู้จดทะเบียน จึงเชื่อมั่นว่ากลุ่มแก๊งดังกล่าวมีลักษณะเป็นขบวนการมิจฉาชีพกลุ่มใหญ่ ประกอบกับ นายสารนิช ยังเป็นบุคคลตามหมายจับของศาลจังหวัดอุบลราชธานี ในความผิดฐาน “ฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นคนอื่น”

โดยได้หลบหนีการจับกุมมาอาศัยอยู่ในพื้นที่บ้านพรุ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา
กระทั่งวันที่ 15 พ.ค.66 กก.วิเคราะห์ข่าวและเครื่องมือพิเศษ บก.สอท.3 จึงนำข้อมูลทั้งหมดประสานกรณีดังกล่าวให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.ปฏิบัติการพิเศษ ภ.จว.สงขลา และบูรณาการกำลังร่วมกันทำการจับกุมตัวผู้ต้องหาส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดี
ในเบื้องต้นผู้ต้องหารับว่าเป็นเจ้าของบัญชีธนาคารดังกล่าว ซึ่งตนไปรับจ้างเปิดและขายบัญชีให้กับคนที่รู้จักกันทางเฟซบุ๊ค ชื่อ นายฮ้อย (รับจัดหาบัญชี) ในราคา 300 บาท เมื่อช่วงต้นเดือนพฤษภาคม ปี 66

ผลการปฏิบัติภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท.,พล.ต.ต.อำนาจ ไตรพจน์ รอง ผบช.สอท., พล.ต.ต.สถิตย์ พรมอุทัย ผบก.สอท.3 ได้สั่งการให้ พ.ต.อ.พงศ์นรินทร์ เหล่าเขตกิจ ผกก.วิเคราะห์ข่าวฯ บก.สอท.3 พร้อมชุดสืบสวนร่วมดำเนินการจับกุม

‘ต่าย ชุติมา’ ย้ำสถานะ ‘ทิม พิธา’ เป็นแค่พ่อและแม่ แถมบอกตอนนี้มีคนคุกเข่า ‘ขอแต่งงาน’ แล้ว!!

(17 พ.ค.66) แม้จะเลิกรากันไปหลายปี แต่อยู่ๆความสัมพันธ์ของ ‘ต่าย ชุติมา’ กับ ‘ทิม พิธา ลิ้มเจริญรัตน์’ ก็กลับมาถูกจับตาอีกครั้งในช่วงการเลือกตั้งที่ผ่านมา หลังฝ่ายหญิงโพสต์สนับสนุน รวมถึงยังนำภาพหวานในอดีตมาลงอีกครั้ง 

ล่าสุดต่ายได้ไปร่วมรายการ ‘แย่งซีน’ ของ แพรี่ ไพรวัลย์ วรรณบุตร พร้อมให้สัมภาษณ์ว่า เธอกับเขามีสถานะเพียงพ่อและแม่ของลูก ซึ่งตอนนี้ลูกสาวอายุได้ 7 ขวบ ในส่วนการเลี้ยงลูก เธอจะมีระเบียบมากกว่า ขณะที่พิธาจะออกแนวสบายๆ

เมื่อแพรรี่ถามว่า พิธาโอ๋ลูกสาวไหม ต่ายก็ว่า เขาจะมีความหวง “ตอนเด็กๆ เขาจะบอกว่าไม่ต้องแต่งงานหรอก” เธอเล่ายิ้มๆ แล้วว่า “เขาเป็นคุณพ่อที่โรแมนติกกับลูก วันวาเลนไทน์ก็ซื้อดอกไม้ให้ลูกทุกปี” เมื่อถามว่าซื้อให้แค่ลูกเหรอ ต่ายตอบว่า “ซื้อให้แค่ลูกค่ะ”

เขาได้บอกไหมว่าหนูฝากเอาไปให้หม่ามี๊ด้วย? “เคยมีมาเป็นคำพูดค่ะ ก็มีแบบปะป๊าคิดถึง อะไรอย่างนี้ เราก็เอ๊ะ…พูดเองหรือเปล่า” ต่ายเล่าพลางยิ้ม

เรื่องที่พิธากำลังฮอตเป็นที่หมายตา เหมือนจะเป็นสามีแห่งชาติไปแล้ว ต่ายบอก “ก็ยินดีกับเขาด้วย” มันทำให้เราอยากขยับเขยื้อนกลับไปไหม กับคำถามนี้ เธอบอกทันทีว่า “ไม่ เพราะคนใหม่มันดีกว่า” ก่อนจะตามมาด้วยคว่า “ไม่ได้ๆ อันนี้พูดไม่ได้” บอกพลางหัวราะ

ส่วนเรื่องการแชร์ภาพแต่งงานที่ทำให้หลายคนฮือฮา เธออธิบายว่า เป็นเรื่องที่สืบเนื่องจากการที่มีด้อมโพสต์เรื่องแต่งงานกับพิธา โดยเธอตั้งใจจะแซวเล่นเท่านั้น อีกทั้งภาพสติ๊กเกอร์ที่ใช้ก็ไม่ใช่ภาพปากคว่ำ แต่เป็นรูปยิ้มมุมปากต่างหาก “แซวด้อมเฉยๆ แซว หวงอะไรอ่ะ” เธอว่าที่ด้อมบอกให้ไปต่อแถว อย่ามาแซงคิว เรื่องนี้ก็ไม่ได้คิด เพราะเราไม่ได้ต่อคิว “เขาบอกอย่าแซงคิว เราก็บอกไม่แซงอยู่แล้วละ เพราะเราไม่ได้ต่อตั้งแต่แรก จนออกจากแถวไปแล้ว แล้วเขาเพิ่งมาจะให้มาต่อใหม่ ไม่ต่อแล้วดิ”

สำหรับโอกาสจะกลับมาคืนดี ต่ายบอกขอบคุณคนที่เชียร์ แต่สถานะพ่อแม่ของลูกในตอนนี้ก็แฮปปี้อยู่แล้ว เมื่อถามว่ามีโอกาสจะเป็นไปได้ไหม เธอบอกนั่นเป็นเรื่องอนาคต ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงได้เสมอ “กรรมยังไม่หมดกัน เราก็ต้องมาชดใช้กันอยู่ดี”

ช่วงที่พิธาหาเสียง ต่ายบอกว่าเธอก็ได้ให้กำลังใจ ฝากลูกไปบอกว่าเชียร์อยู่นะ ขอให้ได้ 
“แบบยูทำได้อยู่แล้ว อะไรประมาณนั้น”

ครั้นแพรี่ถามว่าไม่อยากเป็นสตรีหมายเลข 1 หรือ เธอก็ว่า “มันเหนื่อยไป ไม่ๆๆๆ” การไปไหนแล้วสื่อจับจ้อง ก็ไม่ใช่ฟีลของเธอ

เมื่อถูกถามว่าในความคิดของเธอ อะไรคือเสน่ห์ของพิธา เธอบอกอันดับแรกก็รูปลักษณ์ภายนอก แล้วเขาเป็นคนคลั่งรักไง จะชัดเจน จะลงรูปคู่ ซึ่งในความเห็นเธอ ความชัดเจนทำให้ผู้หญิงมีความปลอดภัยในความรู้สึก

สำหรับเรื่องของหัวใจในปัจจุบัน ต่ายบอก “จริงๆ เป็นคนไม่มีคนจีบนะ ถ้าเจอก็จะคลิกกันเองมากกว่า ไม่ได้ต้องมาตามจีบ” บอกด้วยว่า เธอจะดูคนที่สามารถคุยด้วยกันได้ สมมติเขาเป็นคนดีมาก หล่อมาก รวยมาก แต่คุยแล้วไม่รู้จะคุยอะไร ก็ไม่คุยนะ มันต้องรู้สึกว่าถ้าเราอยากจะคุย อยากจะรู้จักเขามากขึ้น มันก็จะคุยกันไปเอง ก็ไม่ได้เชิงว่ามีสเปก แต่ถ้าเจอแล้วชอบ ก็คือใช่

เรื่องความคิดจะแต่งงาน เธอบอกพลางหัวเราะว่า “จริงๆ มีคนขอแต่งงานแล้วนะ ไม่นาน เมื่อปีที่แล้ว เขาก็คุกเข่า แต่แหวนผิดไซส์ ก็เลยใส่นิ้วอื่น”

แพรี่ถามอีกว่า การที่อยู่ดีๆ ก็โดนพาดพิง โดนแซะ ในแบบที่ไม่ค่อยดีมีความรู้สึกอยากฟาดไหม เธอรับว่า “อยากฟาดมาก ถ้าพูดเรื่องจริงไม่ได้ว่าอะไรเลย แต่ส่วนใหญ่จะรู้สึกหงุดหงิดที่ไม่รู้แล้วพูดทำไม เห็นแล้วแบบดูมั่นใจมาก ก็จะแบบเจ๋อเนอะ”

ผบ.ตร. มอบรางวัลแก่ตำรวจสายตรวจสน.เทียนทะเล

ผบ.ตร. มอบรางวัลแก่ตำรวจสายตรวจสน.เทียนทะเล เข้าระงับเหตุตามหลักยุทธวิธีตำรวจ
วันนี้ (16 พ.ค.66) เวลา 12.00 น. ที่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ  พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. ได้มอบเกียรติบัตรโครงการ “ทำดี มีรางวัล” ตำรวจสายตรวจ สน.เทียนทะเล เข้าระงับเหตุตามหลักยุทธวิธีตำรวจในพื้นที่ใกล้เคียง

พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ฯ กล่าวว่า สำหรับโครงการ “ทำดี มีรางวัล” 
นั้นเป็นโครงการที่มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างขวัญและกำลังใจให้กับข้าราชการตำรวจและประชาชนที่ประกอบคุณงามความดีมีจิตสาธารณะ จนเป็นที่ยอมรับของสังคม ตลอดจนข้าราชการตำรวจที่มุ่งมั่นทุ่มเททำงานจนมีผลงานเป็นที่ประจักษ์ สร้างชื่อเสียงให้แก่หน่วยงาน และกรณีนี้จากเหตุการณ์เมื่อวันที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2566 เวลาประมาณ 01.00 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจ สถานีตำรวจนครบาลเทียนทะเล ได้รับแจ้งเหตุ ว่ามีชายทะเลาะกับภรรยา และมีพฤติกรรมคล้ายจะทำร้ายร่างกาย ในพื้นที่ติดต่อใกล้เคียง จึงได้รุดนำกำลังเข้าตรวจสอบ

เมื่อถึงที่เกิดเหตุ ซึ่งเป็นหมู่บ้านจัดสรร บริเวณหน้าบ้านที่เกิดเหตุ พบลูกสาวของผู้ก่อเหตุ และเจ้าหน้าที่สายตรวจของสถานีตำรวจภูธรโคกขาม จำนวน 2 นาย กำลังประเมินสถานการณ์ โดยลูกสาวของผู้ก่อเหตุได้ให้ข้อมูลว่า พ่อของตนเกิดอาการคุ้มคลั่งทะเลาะกับแม่ และมีอาวุธปืนติดตัว ในขณะเจ้าหน้าที่ตำรวจสอบถามข้อมูลจากผู้แจ้ง ได้มีเสียงเอะอะโวยวายเกิดขึ้นในบ้าน เจ้าหน้าที่ประเมินสถานการณ์ดูแล้ว มีความเสี่ยงที่จะเกิดความไม่ปลอดภัย จึงได้ตัดสินใจเข้าระงับเหตุตามหลักยุทธวิธีและใช้จิตวิทยาโน้มน้าวผู้ก่อเหตุ จนสามารถคลี่คลายสถานการณ์ ระงับเหตุได้อย่างปลอดภัย ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บแต่อย่างใด

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พิจารณาแล้วเห็นว่า ตำรวจทั้ง 3 นายเป็นผู้ที่มีความสามารถสูง ปฏิบัติงานตามหลักยุทธวิธีตำรวจสมควรแก่การยกย่องสรรเสริญ ตามโครงการ “ทำดีมีรางวัล” เพื่อเป็นแบบอย่างที่ดีแก่ข้าราชการตำรวจและสังคมสืบไป 

ผบ.ตร.กล่าวอีกว่า “ตนขอชื่นชมในความกล้าหาญ ที่ให้การช่วยเหลืออย่างรวดเร็ว และทันท่วงทีตนจึงได้มอบใบประกาศเกียรติคุณและรางวัลตามโครงการ “ทำดี มีรางวัล” และเงินรางวัล 5,000 บาท เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจเป็นแบบอย่างที่ดีแก่สังคม ซึ่งโครงการนี้เป็นโครงการที่จะมอบรางวัลให้กับข้าราชการตำรวจหรือประชาชนที่ปฏิบัติหน้าที่ดีเด่น ทำงานเชิงรุก เพื่อความสงบสุขของประชาชน ประกอบคุณงามความดี ช่วยเหลือประชาชน หรือทางราชการ ประพฤติตนดี คิดถึงประโยชน์ส่วนรวมและช่วยเหลือประชาชนจนเป็นที่ยอมรับต่อสังคม”

แม่ทัพภาคที่ 4 กำชับ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน เป็นหูเป็นตา แนะนำ ชี้แนะ ส่งเสริม สนับสนุนสิ่งที่ถูกต้อง ให้แก่เด็กเยาวชน ตลอดจนชุมชน เพื่อต่อยอดความคิดและพัฒนาคุณภาพชีวิต  พร้อมแจงคืบหน้าพูดคุยสันติสุข จชต.

ที่หอประชุมวิทยาลัยชุมชนจังหวัดนราธิวาส อำเภอเมือง จังหวัดนราธิวาส พลโท ศานติ  ศกุนตนาค แม่ทัพภาคที่ 4 / ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 เป็นประธานมอบนโยบายแนวทางการปฏิบัติงานการรักษาความปลอดภัยในพื้นที่ ให้แก่ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านฝ่ายรักษาความสงบของจังหวัดนราธิวาส รวมถึงหารือแนวทางการทำงานร่วมกันของหน่วยกำลังในพื้นที่ พร้อมเน้นย้ำการปฏิบัติหน้าที่ให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน โดยมี พลโท อุทิศ อนันตนานนท์ แม่ทัพน้อยที่ 4, พลตรี ปราโมทย์  พรหมอินทร์ รองแม่ทัพภาคที่ 4/รองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า พร้อมด้วย นายสนั่น  พงศ์อักษร ผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาส และหัวหน้าส่วนราชการ, นายอำเภอ, ปลัดอำเภอ, กำนัน และผู้ใหญ่บ้านในพื้นที่จังหวัดนราธิวาส ร่วมรับมอบนโยบายฯ

โดย พลโท ศานติ  ศกุนตนาค แม่ทัพภาคที่ 4 / ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ย้ำว่าผู้นำท้องถิ่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ถือเป็นกำลังสำคัญและเป็นหัวใจหลักในการขับเคลื่อนสร้างการรับรู้ สร้างความเข้าใจแก่พี่น้องประชาชนในพื้นที่ เพื่อร่วมกันดูแลปกป้องประชาชน ให้มีความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน รวมทั้งยกระดับคุณภาพชีวิตให้ดียิ่งขึ้น ภายใต้นโยบายสำคัญเร่งด่วน คือการแก้ไขปัญหายาเสพติด โดยกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า พยายามที่จะมีการพบปะกับผู้นำทุกจังหวัดเพื่อมาพูดคุยหารือกัน จะเห็นได้ว่าภายหลังจากรับตำแหน่งแม่ทัพภาคที่ 4 มีการแถลงแผนเสริมสร้างสันติสุข เพื่อสร้างความสันติสุขคืนสู่พื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้

สิ่งหนึ่งที่ทางกองในการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า อยากเรียนให้รับทราบ คือ ความคืบหน้าการพูดคุยเพื่อสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยมี พลตรี ปราโมทย์  พรหมอินทร์ รองแม่ทัพภาคที่ 4/รองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า ผู้ที่มีความรู้ความสามารถและเป็นหนึ่งในคณะทำงาน ได้มาสื่อสารให้กับพี่น้องกำนันผู้ใหญ่บ้านให้รับทราบถึงความคืบหน้าในการพูดคุยและได้เห็นถึงความตั้งใจของภาครัฐในการพูดคุยสันติสุขเพื่อให้จังหวัดจะเดินภาคใต้เกิดสันติสุข กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาคสี่ส่วนหน้าได้มีการบูรณาการร่วมกันกับทุกภาคส่วนใน การแก้ไขปัญหาความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เดินหน้าขับเคลื่อนกับทุกภาคส่วน ช่วยเหลือกัน หาทางออกร่วมกัน เพื่อให้พี่น้องประชาชนได้มีความสงบสุขเรา สิ่งสำคัญที่สุดที่มีความตั้งใจ คือ การป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดในพื้นที่ ตัดวงจรผู้เสพ ผู้ค้ายาเสพติดทุกพื้นที่ภาคใต้ด้วยการบูรณาการร่วมกับเจ้าหน้าที่และทุกภาคส่วน ทั้งการจับกุมดำเนินคดีตามกฎหมายและการบำบัดฟื้นฟูรักษา

โดยใช้สภาประชาธิปไตยตำบลเข้ามามีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหายาเสพติดควบคู่แนวทางการบำบัด Camp 35 ที่เชื่อมโยงกับกระบวนการชุมชนบำบัดยาเสพติด (CBTx) พร้อมย้ำว่าให้ชุมชนมีการเสริมสร้างการเล่นกีฬาเพื่อสุขภาพและต้านยาเสพติดในกลุ่มเยาวชนในพื้นที่ได้สร้างความสามัคคี รักการเล่นกีฬา ใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ และส่งเสริมบทบาทกลุ่มสตรีที่มีความสามารถให้ผู้นำชุมชน ตลอดจนส่งเสริมการแต่งกายตามอัตลักษณ์ท้องถิ่น พร้อมกันนี้ได้เน้นย้ำ กำนันผู้ใหญ่บ้านดูแลพื้นที่ให้มีการดูแลพื้นที่ความปลอดภัยอย่างเข้มงวด ทั้งดูแลเส้นทาง ร่วมมือกับทางเจ้าหน้าที่รัฐ นอกจากนี้ได้เน้นย้ำให้กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ต้องรู้จักพื้นที่ รู้ว่ามีใครเข้าออกเคลื่อนไหวในพื้นที่รับผิดชอบ และต้องไม่เข้าข้างฝ่ายตรงข้าม หากตรวจพบว่าให้การสนับสนุนที่พักอาศัยแก่กลุ่มผู้ก่อเหตุในทุกกรณีถือว่ามีความผิดเทียบเท่า ผู้ก่อเหตุทุกประการ จะต้องถูกดำเนินการทางคดีอย่างเข้มงวด หากมีปัญหาต้องช่วยกันแจ้งเบาะแสไม่ต้องกังวลเรื่องความไม่ปลอดภัยในฐานะแม่ทัพภาคที่ 4 ขอรับรองสามารถโทรมาแจ้งเบาะแสได้ที่เบอร์ 061-1732999 ซึ่งเป็นเบอร์ของแม่ทัพภาคที่ 4 โดยตรง ขอให้ทุกฝ่ายได้มีส่วนร่วมในการสร้างพื้นที่ให้สงบสุข ด้วยการแจ้งเบาะแสข่าวสารแก่เจ้าหน้าที่ภาครัฐ ซึ่งจะนำไปสู่การคลี่คลายปัญหาต่างๆในพื้นที่ให้เกิดความสงบสุขเร็วยิ่งขึ้น


ข่าว.แวดาโอ๊ะ หะไร จ.นราธิวาส

“อลงกรณ์”ประกาศจุดยืนเคารพเสียงประชาชนเตรียมเสนอพรรคประชาธิปัตย์โหวต”พิธา”เป็นนายกรัฐมนตรีโดยไม่มีเงื่อนไขร่วมรัฐบาล หวังการเปลี่ยนผ่านรัฐบาลเป็นไปโดยราบรื่นและรวดเร็ว

นายอลงกรณ์ พลบุตร รักษาการรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ให้ความเห็นเกี่ยวกับท่าทีของพรรคประชาธิปัตย์ในการจัดตั้งรัฐบาลและการเลือกนายกรัฐมนตรีวันนี้(16 พ.ค.)ว่า 
พรรคประชาธิปัตย์ประกาศชัดเจนในระหว่างการหาเสียงเลือกตั้งครั้งนี้ว่าจะฟังเสียงของประชาชนในการเลือกตั้งเพื่อกำหนดจุดยืนของพรรคหลังทราบผลการเลือกตั้ง

ดังนั้น เมื่อประชาชนกว่า14ล้านคนเลือกพรรคก้าวไกลเป็นอันดับ1ของประเทศทั้งส.ส.แบบเขตเลือกตั้งและส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ ดังนั้นพรรคปชป.จะเคารพเสียงของประชาชนด้วยการลงมติสนับสนุนนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกลเป็นนายกรัฐมนตรีโดยไม่มีเงื่อนไขร่วมรัฐบาล​ หากพรรคก้าวไกลสามารถรวมเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรได้สำเร็จ

โดยตนจะเสนอแนวทางนี้ต่อที่ประชุมคณะกรรมการบริหารพรรคชุดรักษาการซึ่งจะมีการประชุมในสัปดาห์หน้ารวมทั้งแกนนำและสมาชิกพรรคทั่วทั้งประเทศ

นายอลงกรณ์ยังกล่าวต่อไปว่า ถึงเวลาที่พรรคประชาธิปัตย์จะต้องช่วยผ่าทางตันที่อาจเกิดขึ้นในการเลือกนายกรัฐมนตรีที่ต้องใช้เสียงสนับสนุนจากสมาชิกรัฐสภาอย่างน้อย 376เสียง  เพื่อให้การเปลี่ยนผ่านรัฐบาลเป็นไปอย่างราบรื่นและรวดเร็วตามเจตนารมณ์ของประชาชนในการเลือกตั้งที่ผ่านมา

“แม้พรรคประชาธิปัตย์จะโหวตสนับสนุนแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคก้าวไกล แต่พรรคปชป.ก็พร้อมทำหน้าที่ฝ่ายค้านเพื่อตรวจสอบถ่วงดุลการทำงานของรัฐบาลพรรคก้าวไกลโดยยึดหลักการ 3 ข้อเป็นแนวทางการทำงานของพรรคได้แก่
1.พรรคประชาธิปัตย์ยึดมั่นระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข 
2.ประชาธิปไตยสุจริต
3.ประชาธิปไตยอิ่มท้องแก้ปัญหาเศรษฐกิจปากท้องของประชาชน”นายอลงกรณ์กล่าวในที่สุด

‘ครม.’ ไฟเขียว!! เร่งช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม ‘เมียนมา’ หลังได้รับผลกระทบจากพายุ ‘ไซโคลนโมคา’

(16 พ.ค.66) น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติหลักการให้กระทรวงการต่างประเทศ และส่วนราชการที่เกี่ยวข้องร่วมกันพิจารณาการดำเนินการที่เหมาะสมเพื่อให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมแก่เมียนมากรณีพายุไซโคลนโมคาอย่างเร่งด่วน

โดยเรื่องนี้สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 11 พ.ค. 66 พายุไซโคลนโมคา (Mocha) ซึ่งก่อตัวขึ้นในอ่าวเบงกอลได้เคลื่อนตัวเข้าพื้นที่ด้านตะวันตกของเมียนมาบริเวณรัฐยะไข่ทำให้เกิดพายุฝนตกหนัก น้ำท่วมเฉียบพลัน ดินโคลนถล่มและกระแสไฟฟ้าดับในหลายพื้นที่สร้างความเสียหายแก่ชีวิตและทรัพย์สินของชาวเมียนมาอย่างกว้างขวาง ซึ่งรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนก็ได้ออกแถลงการณ์จะสนับสนุนการให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมแก่เมียนมาจากเหตุภัยพิบัติครั้งนี้

ต่อมาในวันที่ 12 พ.ค. 66 สถานเอกอัครราชทูตเมียนมาประจำประเทศไทยได้ส่งหนังสือถึงกระทรวงการต่างประเทศของไทย แจ้งว่าทางการเมียนมาได้เตรียมความพร้อมให้ความช่วยเหลือแก่ประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากพายุไซโคลนดังกล่าว และขอรับการสนับสนุนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของไทยในการสนับสนุนที่มีเหตุจำเป็นเร่งด่วน ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศได้พิจารณาแล้วว่าพายุไซโคลนที่เกิดขึ้นมีความรุนแรงใกล้เคียงกับระดับซูเปอร์ไต้ฝุ่นที่รุนแรงมากกว่าพายุไซโคลนนาร์กีสที่เคยเกิดขึ้นกับเมียนมาในปี 2551 และมีโอกาสที่จะสร้างความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินชาวเมียนมาอย่างกว้างขวางและเฉียบพลัน ดังนั้น การให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมอย่างทันท่วงทีจึงมีความจำเป็นอย่างเร่งด่วนอย่างยิ่ง

ในส่วนของงบประมาณที่จะใช้สำหรับให้การช่วยเหลือนั้น ขณะนี้กระทรวงการต่างประเทศอยู่ระหว่างการประสานงานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยจะเป็นการใช้จ่ายจากงบประมาณของส่วนราชการซึ่งได้รับการจัดสรรไว้อยู่แล้ว จึงไม่ถือเป็นการกระทำอันมีผลเป็นการอนุมัติงานหรือโครงการ หรือมีผลเป็นการสร้างความผูกพันต่อ ครม. ชุดต่อไปตามมาตร 169 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 

บลูเทค ซิตี้ เป็นผู้นำการอนุรักษ์สมุนไพรป่าชายเลน แบบครบวงจร เพื่อต่อยอดการพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพ (Bio Economy)

วันที่ 16 พฤษภาคม 2566 นิคมอุตสาหกรรมฉะเชิงเทราบลูเทค ซิตี้ เป็นผู้นำสร้างกระบวนการการมีส่วนร่วมระหว่างภาคอุตสาหกรรม ภาควิชาการ และชุมชนท้องถิ่น โดยเปิดโลกแห่งการเรียนรู้ พื้นที่ทุ่งสมุนไพรป่าชายเลน บลูเทค ซิตี้  ให้กับมหาวิทยาลัยศรีปทุม วิทยาเขตชลบุรี โดยมี คณะอาจารย์และกลุ่มนักศึกษารุ่นใหม่ ภายใต้โครงการ Eco Fashion ธุรกิจแฟชั่นเชิงนิเวศ ให้เกิดกระบวนการเรียนรู้ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ สู่ปลายน้ำ อันจำเป็นอย่างยิ่งต่อการพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพ (Bio Economy) 

ผ่านกิจกรรม Eco Print การทำเสื้อพิมพ์ลายสีธรรมชาติจากใบไม้ โดยร่วมกับกลุ่มวิสาหกิจชุมชนบ้านต้นกรอก และเรียนรู้คุณประโยชน์ พร้อมการอนุรักษ์พืชสมุนไพรป่าชายเลน จากปราชญ์ชุมชนในพื้นที่ ณ ทุ่งสมุนไพรป่าชายเลน บลูเทค ซิตี้ ต.เขาดิน อ.บางปะกง จ.ฉะเชิงเทรา เพื่อสร้างคุณค่าทรัพยากรท้องถิ่น ต่อยอดการเพิ่มมูลค่าสู่เศรษฐกิจชีวภาพจากฐานรากที่ยั่งยืน

แก๊งคอลเซ็นเตอร์ใช้โทรได้ ไม่ต้องลงทะเบียน

สืบเนื่องจากเจ้าหน้าที่ตำรวจไซเบอร์ กก.2 บก.สอท.3 มีผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่งมีการโพสต์ขายซิมการ์ดมือหนึ่งพร้อมใช้งานโดยไม่ต้องลงทะเบียน เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงทำการสืบสวนพร้อมรวบรวมพยานหลักฐานจนทราบตัวเจ้าของบัญชีเฟซบุ๊กดังกล่าวและมั่นใจว่าได้กระทำความผิดจริง จึงได้วางแผนเข้าล่อซื้อซิมผีและนัดรับสินค้าดังกล่าว

ต่อมา วันที่ 15 พ.ค.66 เวลาประมาณ 16.00 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจไซเบอร์จึงได้ปลอมตัวเข้ารับซิมดังกล่าวที่ได้สั่งซื้อไว้ จากนั้นได้แสดงตัวพร้อมจับกุมนายปัฐวิกรณ์ อายุ ๒๙ ปี ชาวอุบลราชธานี ในข้อหา “เป็นธุระจัดหา โฆษณา หรือไขข่าวโดยประการใดๆ เพื่อให้มีการซื้อหรือขายเลขหมายโทรศัพท์สำหรับบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ ซึ่งลงทะเบียนผู้ใช้บริการในนามของบุคคลใดบุคคลหนึ่งแล้ว แต่ไม่สามารถระบุตัวผู้ใช้บริการได้ ตาม พ.ร.ก.มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ.2566" โดยควบคุมตัวได้บริเวณ ริมถนนสาธารณะธรรมวิถี ๔ ต.ขามใหญ่ อ.เมืองอุบลราชธานี จ.อุบลราชธานี พร้อมด้วยของกลางเป็นซิมการ์ดที่ได้ลงทะเบียนไว้แล้วจำนวน 4 ชุด โดยเบื้องต้นผู้ต้องหาให้การสารภาพตลอดข้อกล่าวหา

จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงควบคุมตัวผู้ต้องหาไปตรวจค้นบริเวณบ้านพักในพื้นที่ หมู่ที่ ๒๐ ต.ขามใหญ่ อ.เมืองอุบลราชธานี จ.อุบลราชธานี พบซองใส่ซิมการ์ดโทรศัพท์พร้อมหมายเลขเบอร์โทรศัพท์ของเครือขายดีแทค จำนวน 33 ซอง ซึ่งผู้ต้องหารับว่าเป็นซองใส่ซิมการ์ดที่ผู้ต้องหาได้ลงทะเบียนไว้และจำหน่ายให้กับลูกค้ารายอื่นไปแล้วก่อนหน้านี้

ผลการปฏิบัติภายใต้การอำนวยการของพล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท. ,พล.ต.ต.อำนาจ ไตรพจน์ รอง ผบช.สอท. และ พล.ต.ต.สถิตย์ พรมอุทัย ผบก.สอท.3 ได้สั่งการให้ พ.ต.อ.มรกต แสงสระคู ผกก.2 บก.สอท.3 พร้อมชุดสืบสวนดำเนินการ

ฝ่ายกิจการตำรวจและศุลกากร ของกลุ่มประเทศนอร์ดิก ขอเข้าพบ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร./ผอ.ศพดส.ตร. หารือ" ภาพรวมของการค้ามนุษย์ในประเทศไทย"

วันนี้ (16 พฤษภาคม 2566) ที่ห้องประชุมศรียานนท์ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ  พล.ต.อ.สุรเชษฐ์  หักพาล รอง ผบ.ตร. ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์พิทักษ์เด็ก สตรี ครอบครัว ป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ และภาคประมง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พร้อมด้วยนายวรรณรัตน์ ศรีสุขใส รองปลัดกระทรวงแรงงาน , น.ส.เสฎฐา เธียรพิรากุล อัยการประจำ สำนักงานอัยการสูงสุด,

น.ส.มนชยา ปรีชา ผู้อำนวยการกลุ่มเลขานุการคณะกรรมการ กองต่อต้านการค้ามนุษย์ ผู้แทนปลัดกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์, นายพงศ์ธร ศุภการผู้แทนผู้อำนวยการศูนย์บัญชาการป้องกันการค้ามนุษย์ด้านแรงงาน, นายนฤชัย นินนาท รองอธิบดี กรมการกงสุล กับคณะ  ,นายพืชภพ มงคลนาวิน รองอธิบดีกรมองค์การระหว่างประเทศ กับคณะ รศ.ดร.ธนพร ศรียากูล รองประธานคณะทำงานบังคับใช้กฎหมายเพื่อต่อต้าน IUU Fishing  นางสาวณัฐกานต์ โนรี ผู้จัดการโครงการสปริง มูลนิธิการศึกษาเพื่อชีวิตและสังคม  และคณะNGO’s ได้ร่วมให้การต้อนรับ Ms.Janna Davidson National Rapporteur และ คณะฝ่ายกิจการตำรวจและศุลกากรของกลุ่มประเทศนอร์ดิก และได้ร่วมกัน ได้มาร่วมหารือแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ เกี่ยวกับการค้ามนุษย์ในประเทศไทย และแนวทางการสืบสวน สอบสวน การดำเนินคดี และการคัดแยกผู้เสียหาย พร้อมทั้งพูดคุยถึงแนวทางการร่วมมือกันในอนาคตระหว่างประเทศไทยและประเทศสวีเดนและกลุ่มประเทศนอร์ดิก

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล กล่าวว่า ประเทศไทยมีความตั้งใจจริง ในการแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ โดยมุ่งเน้นการยึดเหยื่อเป็นศูนย์กลาง และยังทำงานร่วมกับหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมถึงภาคประชาสังคมอย่าง NGOs หลายส่วน จนสามารถยกระดับการค้ามนุษย์ จาก Tier2 Watchlist เป็น Tier2 โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การปราบปรามการล่วงละเมิดทางเพศเด็กทางอินเทอร์เน็ต นั้นประเทศไทยได้มีการจับกุมที่สูงมาก 

นอกจากนี้ การหลอกลวงคนไทยไปทำงานเป็นแก๊งค์คอลเซนเตอร์ในประเทศเพื่อนบ้าน นั้นได้ปราบปรามอย่างต่อเนื่องจนไม่พบในประเทศไทยแล้ว แต่ก็พบปัญหาว่าขบวนการเหล่านี้ ได้ไปตั้งฐานอยู่ในประเทศเพื่อนบ้าน และยังขาดการให้ความร่วมมือในการปราบปรามอย่างจริงจัง

ทางด้าน Ms.Janna Davidson ผู้เสนอรายงานแห่งชาติ (สวีเดน) ได้กล่าวว่าทางประเทศสวีเดนก็ให้ความสำคัญปัญหาการค้ามนุษย์ เช่นเดียวกับประเทศไทย และขอขอบคุณทางการไทยที่ได้ให้ข้อมูลแลกเปลี่ยนเทคนิคการทำงาน

ขณะที่ Mr.Christian Froden นักพัฒนาด้านการปฏิบัติการ หน่วยปฏิบัติการป้องกันปราบปรามการค้ามนุษย์แห่งชาติ ได้กล่าวว่า ประเทศสวีเดน มีปัญหาด้านการที่แรงงานไทยไปเก็บผลไม้ป่า ซึ่งเป็นงานที่หนักมาก ซึ่งทางการของสวีเดนได้ติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด

นายวรรณรัตน์ ศรีสุขใส รองปลัดกระทรวงแรงงาน ได้กล่าวว่า ได้เคยเดินทางไปเยี่ยมแรงงานกลุ่มนี้ที่ประเทศสวีเดน แรงงานส่วนใหญ่มีสัญญา ซึ่งทางกระทรวงแรงงานจะได้เข้ามาตรวจสอบสัญญาให้ดีขึ้น 

โดยในการหารือครั้งนี้ ได้เปิดโอกาสให้ต่างฝ่ายได้มีการสอบถาม หารือ แลกเปลี่ยนข้อมูลในประเด็นอื่นๆ เกี่ยวกับการค้ามนุษย์กับหน่วยงานต่างๆ ซึ่งทั้งประเทศไทยและกลุ่มประเทศนอร์ดิค ต่างได้รับข้อมูลที่เป็นประโยชน์ จากการหารือในครั้งนี้

ตำรวจ ปส.(NSB) ปฏิบัติการสกัดขบวนการค้ายาเสพติดข้ามชาติ ยึดไอซ์บิ๊กล็อต 1,600 กก. คาเรือประมงก่อนส่งออกนอกประเทศ และรวบนักบินเครือข่ายยาเสพติดภาคเหนือ ยึดยาบ้ารวม 4.6 ล้านเม็ด

เมื่อวันที่ 16 พ.ค.66 เวลาประมาณ 10.00 น. พล.ต.อ.ชินภัทร สารสิน รอง ผบ.ตร./ผอ.ศอ.ปส.ตร.,พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข ผู้ช่วย ผบ.ตร./รอง ผอ.ศอ.ปส.ตร., พล.ต.ท.สรายุทธ สงวนโภคัย ผบช.ปส., พล.ต.ต.พลัฏฐ์ วิเศษสิงห์ ผบก.สกส., พล.ต.ต.สมกิตพุ่มวารี ผบก.ขส.,พล.ต.ต.ปิยะวัฒน์ บุญยืนอนนต์ ผบก.ปส.1,พล.ต.ต.ธนรัชน์ สอนกล้า ผบก.ปส.2, พล.ต.ต.คมสิทธิ์ รังไสย์ ผบก.ปส.3, พล.ต.ต.พรศักดิ์ สุรสิทธิ์ ผบก.ปส.4 พร้อมด้วย เจ้าหน้าที่ ป.ป.ส. และ กอ.รมน. ร่วมแถลงผลการจับกุมเครือข่ายยาเสพติดตามนโยบายของ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. ให้กวาดล้างจับกุมเครือข่ายยาเสพติดรายใหญ่และรายย่อยให้หมดสิ้นโดยเร็ว ล่าสุดตำรวจ ปส.(NSB) สามารถทลาย 3 เครือข่าย ผู้ต้องหา 15 คน พร้อมของกลางไอซ์ 1,600 กก. ยาบ้า 4.6 ล้านเม็ด และยึดทรัพย์ เรือประมง 1 ลำ สปีดโบต 2 ลำ รถยนต์ 9 คัน บ้าน 1 หลัง ที่ดิน 8 แปลง รวมมูลค่าประมาณ 70 ล้านบาท

คดีที่ 1 เมื่อวันที่ 13 พ.ค.66 ตำรวจบก.ปส.3 ได้ทำการจับกุมผู้ต้องหา 9 คน ได้แก่ 1.นายกฤษณะ, 2.นายสะหมาด, 3.นายประโยชน์, 4.นายรุ่งศักดิ์, 5.นายอรชุน, 6.นายจุมพล,7.นายนพดล, 8.นายสุชาติ และ 9.นายอนุชา พร้อมของกลางไอซ์ 1,600 กก. โดยก่อนการจับกุม ตำรวจ ปส.3 ได้สืบสวนทราบว่าขบวนการค้ายาเสพติดข้ามชาติ จะมีการลำเลียง ยาเสพติดล็อตใหญ่ลงเรือ ส่งไปให้ขบวนการค้ายาเสพติดในต่างประเทศโดยจะนำไปลงเรือที่บริเวณท่าเทียบเรือไม่มีชื่อ ต.ท่าศาลา อ.ท่าศาลา จ.นครศรีธรรมราชจึงวางแผนจับกุม ต่อมาวันที่ 13 พ.ค.66 เวลาประมาณ 18.30 น.ตำรวจ ปส.3  ได้เข้าตรวจค้นเรือประมง Shipoxx พบไอซ์ 1,600 กก. ซึ่งกำลังเตรียมออกทะเล เพื่อนำยาเสพติดไปส่งยังต่างประเทศ    จึงแจ้งข้อกล่าวหาจับกุมผู้ต้องหาทั้ง 9 ราย ยึดยาเสพติดไว้เป็นของกลาง และยึดทรัพย์ไว้ตรวจสอบอีกหลายรายการ อาทิเช่น เรือประมง 1 ลำ เรือสปีดโบต 2 ลำ รถยนต์ 5 คัน บ้าน 1 หลัง ที่ดิน 8 แปลง นำส่ง พงส.บก.ปส.3                     เพื่อดำเนินคดีและขยายผลถึงผู้ร่วมขบวนการและผู้สั่งการต่อไป

คดีที่ 2 เมื่อ 13 พ.ค.66 ตำรวจ บก.สกส. จับกุมผู้ต้องหา 2 คน ได้แก่ 1.นายสือ และ2.นายพินิจ ได้ที่บริเวณริมถนนสายเอเชีย อ.บางปะหัน จ.พระนครศรีอยุธยา โดยตำรวจ บก.สกส. ได้สืบสวนทราบว่าในวันที่ 13 พ.ค.66 ขบวนการ ค้ายาเสพติดจะลำเลียงยาเสพติดล็อตใหญ่จากภาคเหนือไปส่งให้ลูกค้าในภาคกลาง จึงวางแผนจับกุม ต่อมาวันที่ 13 พ.ค.66 เวลาประมาณ 22.15 น. ได้มีรถกระบะยี่ห้อโตโยต้า รีโว่ สีเทา หมายเลขทะเบียน ยฉ 76xx และรถกระบะยี่ห้อโตโยต้า รีโว่สีเทา หมายเลขทะเบียน ผค 89xx ขับขี่ผ่านไปถึง ถนนสายเอเชีย ต.หันสัง อ.บางปะหัน จ.พระนครศรีอยุธยา มีลักษณะคล้ายกับรถลำเลียงยาเสพติดที่ได้รับรายงาน จึงสกัดจับกุมและทำการตรวจค้น ผลการตรวจค้นพบยาบ้าจำนวน 4 ล้านเม็ด บรรจุอยู่ในกระสอบจำนวน 25 กระสอบ ซุกซ่อนในรถกระบะหมายเลขทะเบียน ยฉ 76xx มีนายสือ เป็นผู้ขับขี่ โดยมีนายพินิจ เป็นผู้ขับขี่รถกระบะหมายเลขทะเบียนผค 89xx ทำหน้าที่นำทาง จึงแจ้งข้อกล่าวหาจับกุม ยึดยาเสพติดและรถกระบะ 2 คัน เป็นของกลาง นำส่ง พงส.ดำเนินคดีและสืบสวนขยายผลถึงผู้ร่วมขบวนการต่อไป

คดีที่ 3 เมื่อวันที่ 14 พ.ค.66 ตำรวจ บก.สกส. ได้ทำการจับกุมผู้ต้องหา 4 คน ได้แก่ 1.นายชาลี,2.น.ส.สายใจ, 3.นายอนุชา และ 4.นายไกรทอง ได้บริเวณริมถนน สายบางปะหันปทุมธานี อ.บางปะหัน จ.พระนครศรีอยุธยา จากการสืบสวนทราบว่า ในระหว่างวันที่ 11-14 พ.ค.66 ขบวนการค้ายาเสพติดจะลำเลียงยาเสพติดจำนวนมาก ไปส่งให้ลูกค้าใน จ.พระนครศรีอยุธยา จึงวางกำลังตามเส้นทางเพื่อสกัดจับกุม ต่อมาวันที่ 14 พ.ค.66 เวลาประมาณ 13.45 น. ได้มีรถกระบะยี่ห้ออีซูซุ สีเทา หมายเลขทะเบียน 3ฒช 71xx และ รถเก๋งยี่ห้อโตโยต้าหมายเลขทะเบียน กจ 70xx ขับขี่ไปถึงบริเวณถนนสายบางปะหัน–ปทุมธานี ต.ขวัญเมือง อ.บางปะหัน จ.พระนครศรีอยุธยา มีท่าทางพิรุธจะขับขี่หลบหนี                

‘ศาล’ สั่งปิดเว็บไซต์ ‘กองสลากพลัส’ ปมขายเกินราคา ชี้ ข้ออ้างฟังไม่ขึ้น!!

(16 พ.ค.66) รายงานข่าวจากกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) เปิดเผยว่า จากกรณีที่ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งระงับการทำให้แพร่หลาย หรือลบแพลตฟอร์มกองสลากพลัสออกจากระบบคอมพิวเตอร์ เนื่องจากได้รับแจ้งว่ามีการขายสลากกินแบ่งรัฐบาลเกินราคา และความผิดอื่น ๆ รวมถึงการขายสลากกินแบ่งรัฐบาลให้เด็กและเยาวชนซึ่งมีอายุต่ำกว่า 20 ปี ซึ่งเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายและอาจเข้าข่ายขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน

โดยศาลอาญาได้มีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว ห้ามจำหน่ายสลากกินแบ่งรัฐบาลผ่านแพลตฟอร์มกองสลากพลัส และปิดเว็บไซต์ชั่วคราว เมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2566 จนกว่าศาลจะพิจารณาคดีแล้วเสร็จหรือมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น นั้น

ล่าสุด ศาลได้พิจารณาคดีเสร็จสิ้นและมีคำสั่งให้ปิดเว็บไซต์กองสลากพลัส โดยศาลเห็นว่าข้ออ้างของบริษัทที่อ้างว่าส่วนเกินจากราคาสลากกินแบ่งรัฐบาลคือค่าบริการต่างๆนั้นฟังไม่ขึ้น การขายสลากกินแบ่งรัฐบาลในราคาเกินกว่าที่กำหนดไว้ในสลากฯ เป็นการขัดต่อกฎหมาย และเป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน จึงมีคำสั่งให้ระงับการทำให้แพร่หลายหรือลบข้อมูลคอมพิวเตอร์ดังกล่าวออกจากระบบคอมพิวเตอร์

‘รัฐบาล’ เพิ่มช่องทางแจกถุงยางฟรีผ่าน ‘สิทธิบัตรทอง’ ภายใต้แคมเปญ ‘ตู้เลิฟปัง รักปลอดภัย’ นำร่องติดตั้งแล้ว 7 จุด

(16 พ.ค.66) น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลห่วงใยปัญหาด้านสุขภาพโดยเฉพาะปัญหาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ และการตั้งครรภ์ที่ไม่พึงประสงค์ เพิ่มช่องทางการให้บริการ ‘บริการถุงยางอนามัย’ ซึ่งเป็นสิทธิประโยชน์ในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือ ‘บัตรทอง 30 บาท’ เพื่อร่วมป้องกันการตั้งครรภ์ที่ไม่พึงประสงค์ และป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ สิทธิประโยชน์บัตรทอง ในกลุ่มประชาชนกลุ่มวัยเจริญพันธุ์ ภายใต้แคมเปญ ‘เลิฟปัง รักปลอดภัย’ เริ่มให้บริการฟรีแล้ววันนี้ โดยจะได้รับถุงยางอนามัยครั้งละ 10 ชิ้นต่อคนต่อสัปดาห์ ไม่เกิน 52 ครั้ง/คน/ปี ขณะนี้ใช้ได้เฉพาะผู้มีสิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติหรือสิทธิบัตรทอง 30 บาทเท่านั้น ส่วนสิทธิอื่นๆ เช่น สิทธิประกันสังคม สวัสดิการข้าราชการ อยู่ระหว่างรอความชัดเจน และ สปสช.จะประกาศให้ทราบอีกครั้ง

น.ส.รัชดา กล่าวว่า ขั้นตอนการขอรับถุงยางอนามัยทำได้ง่าย ๆ ดังนี้ 
1. เสียบบัตรประจำตัวประชาชน เพื่อตรวจสอบสิทธิ 
2. อ่านเงื่อนไข >>  กด ‘ยอมรับ’ (ต้องกดยอมรับ จึงจะไปต่อ) 
3. เลือกขนาดไซด์ของถุงยาง >> ไซด์ 49 / 52 / 54 / 56 (ต้องเลือกจึงจะไปต่อ) 
4. ตู้จะ pop up QR code ของ สปสช. ให้ความรู้เกี่ยวกับการใช้ถุงยาง >>   กด ‘ตกลง’ หลังจาก scan เสร็จ  
5. รับถุงยาง กรณีติดขัดปัญหา เกี่ยวกับการใช้งานตู้แจกถุงยางอัตโนมัติ เช่น กรอกข้อมูลสำเร็จแต่ถุงยางไม่ตกลงมา เป็นต้น สามารถแจ้งปัญหาการใช้งานได้ดังนี้  @Line @vendingplus โทรศัพท์หมายเลข 02-0090-500

“สำหรับสถานที่จุดติดตั้งตู้ ได้แก่ 1. ท่าเรือแหลมบาลีฮาย จ.ชลบุรี 2. โรงพยาบาลเมืองพัทยา จ.ชลบุรี 3. หาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ กรุงเทพฯ 4. ตลาดต้นสัก อ.เมือง จ.นนทบุรี และที่นี่เป็นแห่งที่ 5. ห้างสุขอนันต์ ปาร์ค สระบุรี 6. มหาวิทยาลัยรังสิต ตึกเภสัชศาสตร์ และ 7. ห้างเซ็นทรัลเฟสติวัล พัทยา ทั้งนี้ในอนาคตจะมีการขยายจุดติดตั้งให้บริการเพิ่มมากขึ้น” น.ส.รัชดา กล่าว

‘บิ๊กป้อม-ชัชชาติ’ ร่วมพิธีปิดซีเกมส์ 17 พ.ค. นี้ พร้อมรับธงซีเกมส์ ในฐานะเมืองเจ้าภาพครั้งต่อไป

(16 พ.ค. 66) พิธีปิดการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 32 จะมีขึ้นในวันที่ 17 พฤษภาคม ที่สนามกีฬาแห่งชาติมรดกเตโช โดยมีพล.อ.เตีย บันห์ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธี ส่วนผู้แทนประเทศไทยจะมี ‘บิ๊กป้อม’ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ประธานคณะกรรมการโอลิมปิคแห่งประเทศไทย, ดร.ก้องศักด ยอดมณี ผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทย, นายเชิดเกียรติ อัตถากร เอกอัครราชทูต ณ กรุงพนมเปญ ร่วมในพิธี โดยจะมีการถ่ายทอดสดทางช่อง T SPORTS 7 เวลา 18.00-20.30 น.

สำหรับพิธีการเจ้าภาพยังคงนำเสนอศิลปวัฒนธรรมของกัมพูชาส่งท้ายการเป็นเจ้าภาพซีเกมส์ครั้งแรกของประเทศ ส่วนไทยจะมีการแสดงชุด ‘สวัสดี ซีเกมส์’ ที่ออกแบบและแสดงโดย ‘คิดบวกสิปป์’ กลุ่มคนรักนาฏศิลป์ที่ออกแบบการแสดงที่แปลกใหม่ จนคว้าแชมป์การแข่งขันไทยแลนด์ ก็อต ทาเลนต์ ซีซั่น 1 มาเมื่อปี พ.ศ. 2554 เพื่อรับมอบธงเจ้าภาพต่อในการจัดการแข่งขันซีเกมส์ ครั้งที่ 33 ในปี 2025 โดยมีนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร, นายนิติ วิวัฒน์วานิช รองผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี, นายเจษฎา จิตรัตน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา รวมทั้งนายประชุม บุญเทียม รองผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทย ร่วมรับมอบธงเจ้าภาพ ในฐานะเมืองเจ้าภาพร่วมในครั้งหน้า

เตือนภัยออนไลน์ หลอกทำใบขับขี่โดยไม่ต้องสอบ และลงทุนทิพย์

เนื่องจากในรอบสัปดาห์ มีข่าวการหลอกลวงทำใบขับขี่โดยไม่ต้องไปสอบที่ขนส่ง  และมีคดีออนไลน์ ที่เกิดขึ้นมาก ได้แก่ การหลอกให้ลงทุนในแอปพลิเคชันปลอม Wish Shop สำนักงานตำรวจแห่งชาติ  โดย พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์  กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นห่วงพี่น้องประชาชน ที่อาจจะตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพดังกล่าว จึงมอบหมายให้ พล.ต.อ.สมพงษ์ ชิงดวง  ที่ปรึกษาพิเศษ ตร. หัวหน้าคณะทำงานสร้างเสริมภูมิคุ้มกันต้านภัยอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พร้อมด้วยคณะทำงาน แถลงข่าวเตือนภัย เมื่อวันที่ 16 พ.ค.๒๕๖๖ เวลา ๑0.๐๐ น. ณ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ  
พล.ต.อ.สมพงษ์  ชิงดวง  ที่ปรึกษาพิเศษ ตร.กล่าวว่าในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา (7 -13 พ.ค.2566)  มีสถิติการรับแจ้งความคดีออนไลน์มากที่สุดยังเป็นคดีเดิมๆ  5 อันดับ ได้แก่  อันดับ 1)  คดีหลอกลวงซื้อขายสินค้าหรือบริการ  2) คดีหลอกลวงให้โอนเงินเพื่อทำงานหารายได้พิเศษ  3) คดีหลอกลวงให้กู้เงิน 4) คดีข่มขู่ทางทางโทรศัพท์ให้เกิดความกลัวแล้วหลอกให้โอนเงิน (Call Center) และ 5) คดีหลอกลวงให้ลงทุนผ่านระบบคอมพิวเตอร์ สำหรับคดีออนไลน์ที่มิจฉาชีพนำมาหลอกลวงในช่วงนี้ คือ หลอกลวงให้โอนเงินทำใบขับขี่โดยไม่ต้องไปสอบที่ขนส่ง  และหลอกให้ดาวน์โหลดแอปพลิเคชันปลอม Wish Shop ซึ่งถือเป็นเรื่องจำเป็นเร่งด่วนต้องเตือนให้ประชาชนได้รับทราบ  
พล.ต.ต.ชูศักดิ์ ขนาดนิด ผู้บังคับการตรวจสอบและวิเคราะห์อาชญากรรมทางเทคโนโลยี      บช.สอท. กล่าวถึงรายละเอียดภัยออนไลน์ที่น่าสนใจและเกิดขึ้นมากในรอบสัปดาห์  
1. เรื่องที่ ๑ มิจฉาชีพแอบอ้างว่าสามารถทำใบขับขี่ได้โดยไม่ต้องไปสอบที่ขนส่ง    คดีนี้ 
มิจฉาชีพโพสรับทำใบขับขี่ใน Facebook โดยไม่ต้องไปสอบที่ขนส่ง มีหน้าม้าโพสรีวิวว่าสามารถทำได้ และได้รับใบขับขี่จริง ผู้เสียหายทักสอบถามรายละเอียด มิจฉาชีพให้ผู้เสียหายเพิ่มเป็นเพื่อนในไลน์ แล้วให้ส่งข้อมูลส่วนตัว ชื่อ ที่อยู่ รูปถ่าย และรูปบัตรประชาชน หน้า-หลัง พร้อมทั้งขอเก็บเงินล่วงหน้า ผู้เสียหายหลงเชื่อโอนเงินให้ก่อน ต่อมาผู้เสียหายติดต่อขอรับใบขับขี่  มิจฉาชีพอ้างว่ามีค่าเอกสาร ค่าดำเนินการ ค่าขนส่ง ต้องโอนเงินเพิ่ม  สุดท้ายไม่ได้รับใบขับขี่ และสูญเสียเงินโดยมีผู้เสียหายแจ้งความเข้ามาเป็นจำนวนมาก 
1.1 จุดสังเกต   
      1.1.1 ตรวจสอบในเพจ  มีการกดถูกใจน้อยมาก        
      1.1.2 มีการกดอีโมชันด้านลบ (โกรธ)     
      1.1.3 เป็นการทำใบขับขี่ในประเทศไทย แต่คนจัดการเพจส่วนใหญ่อยู่ต่างประเทศ 
๑.๑.๔ กรมการขนส่งไม่มีการทำใบอนุญาตขับขี่รถทุกประเภท โดยไม่ต้องมีการสอบ 
         และไม่มีการทำใบอนุญาตขับขี่แบบออนไลน์ 
1.2 วิธีป้องกัน  
  1.2.1 ตรวจสอบกฎเหล็ก Facebook ดังนี้ 
1.2.1.1 เป็นบัญชีทางการ (Official) ที่น่าเชื่อถือหรือไม่ (มีเครื่องหมาย ✔ หรือไม่) 
1.2.1.2 มีการกดอิโมชันด้านลบ (โกรธ) หรือไม่ 
1.2.1.3 เพจมีความโปร่งใสหรือไม่ 

1) ประวัติการสร้างเพจ : สร้างมานานหรือไม่ 
2) ประวัติการเปลี่ยนชื่อ : เปลี่ยนชื่อบ่อยหรือไม่  
3) คนจัดการเพจอยู่ที่ใด สอดคล้องกับเพจหรือไม่ 
4) ในข้อมูลเกี่ยวกับ : มีการสร้างยอดผู้ติดตามให้เห็นว่ามีจำนวนมากหรือไม่   

1.2.2 กรณีมีข้อสงสัยให้ติดต่อสอบถามสำนักงานขนส่งทุกสาขาหรือโทร  Call Center 1584 
นายเสกสม อัครพันธุ์ รองอธิบดีกรมการขนส่งทางบก กล่าวว่าปัจจุบันมีกลุ่มมิจฉาชีพแอบอ้างว่าสามารถทำธุรกรรมกับกรมการขนส่งทางบก(ขบ.) ผ่านทางเพจ Facebook โดยเฉพาะรับทำหรือต่ออายุใบขับขี่รถยนต์ โดยจะนำรูปตราสัญลักษณ์ ขบ. มาใส่ในรูปโฟรไฟล์  หรือนำรูปภาพของผู้ที่ได้รับใบขับขี่มาแอบอ้าง  เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือโดยจะโฆษณาหลอกลวงว่าสามารถออกใบขับขี่หรือต่ออายุใบขับขี่โดยไม่ต้องเดินทางไปที่สำนักงานขนส่ง หรือใช้คำว่า “รับทำใบขับขี่โดยไม่ต้องสอบ ไม่ต้องอบรม รอรับได้เลย” และมีการเรียกเก็บค่าใช้จ่ายในการดำเนินการอยู่ที่ประมาณ  1,000 – 6,000 บาท เมื่อผู้เสียหายโอนเงินไปแล้วจะเรียกร้องให้โอนเงินเพิ่มอีกและเงียบหายไป ขบ. จึงขอย้ำเตือนว่าหย่าหลงเชื่อหรือทำธุรกรรมกับเพจเหล่านี้โดยเด็ดขาด นอกจากจะทำให้สูญเสียทรัพย์สินและเอกสารส่วนบุคคลแล้ว  ยังเสี่ยงที่จะได้รับใบขับขี่ปลอมและเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญาฐานปลอมแปลงเอกสารทางราชการหรือใช้เอกสารราชการปลอม มีโทษจำคุกตั้งแต่ 6 เดือน – 5 ปี ปรับตั้งแต่ 10,000 – 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ หากพบเพจ Facebook ปลอมให้กดรายงานบัญชีหรือเพจ Facebook (report) หรือสามารถแจ้งเบาะแสมาได้โดยตรง หรือ โทร.1584 ตลอด 24 ชั่วโมง 

2. เรื่องที่ 2 มิจฉาชีพชักชวนให้ลงทุนในแอปพลิเคชันปลอม Wish Shop โดยโฆษณาทาง Facebook ชักชวนให้ลงทุนโดยใช้รูปและโปรไฟล์ที่น่าเชื่อถือ   ผู้เสียหายหลงเชื่อทักสอบถาม มิจฉาชีพคนที่ 1 จึงให้แอดไลน์ มิจฉาชีพคนที่ 2 เพื่อแจ้งรายละเอียดการทำงาน โดยให้ผู้เสียหายโหลดแอปพลิเคชัน Wish ปลอม(นอก Play Store) สมัครสมาชิก และตั้งชื่อร้าน  โดยให้ทำตามขั้นตอน เริ่มจากลงทะเบียน เลือกสินค้ามาขาย โดยมีเงื่อนไขและจำนวนที่จะทำให้ผ่านภารกิจ และต้องเติมเงินก่อนขายทุกครั้ง ช่วงแรกให้สั่งซื้อสินค้าครั้งละ 3 ชิ้น และสามารถถอนเงินทุนและกำไรคืนได้  แต่ช่วงหลังจะมีเงื่อนไขเพิ่มขึ้นมา คือ สินค้าต้องถึงมือลูกค้า และต้องเคลียร์สินค้าทุกชิ้นก่อน จึงจะได้ถอนเงินได้  ผู้เสียหายเริ่มติดปัญหา เช่น ออร์เดอร์ของลูกค้ามีราคาสูงขึ้น ทำให้ต้องเติมเงินเพิ่มขึ้นตามราคาสินค้า หรือ มีจำนวนออร์เดอร์ใหม่เข้ามาจำนวนมาก หรือ สินค้าไปไม่ถึงมือลูกค้า ผู้เสียหายจึงขอปิดร้าน แต่มิจฉาชีพอ้างว่ายังมีออร์เดอร์ค้างอยู่ และถ้าจะปิดหรือถอนเงินจะต้องเสียค่าใช้จ่าย 1) ค่าปิดร้าน 2) กรณีถอนเงิน ต้องจ่ายภาษี 7% 3) ค่าธรรมเนียมโอน 5% 4) ค่าบริการโอนเงิน 15% และ 5) อ้างว่าเงินสะสมในร้านมีจำนวนมากเกิน 2 ล้าน ถูกจำกัดโดยระบบ ต้องโอนยอด 30% เพื่อพิสูจน์ว่าเป็นบัญชีของผู้เสียหาย โดยจะหลอกให้โอนเงินทีละขั้นตอน หากไม่ทันเวลาจะถูกหัก 10% ของยอดเงิน เมื่อโอนเงินแล้ว จึงจะหลอกขั้นตอนต่อไป และทุกครั้งจะหลอกว่าจะโอนเงินคืนทั้งหมด 
 
2.1 จุดสังเกต

2.1.1 การเปรียบเทียบของปลอม-ของจริง  
1) ใช้โลโก้แบบเก่า  1) เปลี่ยนรูปแบบโลโก้และไอคอนเป็นแบบใหม่ 
2) คะแนน Rating เขียน “Rating”  2) คะแนน Rating เขียน “Ratings” 
3) นำโลโก้ Shoppee ผสมใน App Wish และเพิ่มองค์ประกอบต่างๆ  3) ใช้โลโก้ wish เท่านั้น  
4) ใช้โทนสีส้มเป็นหลักคล้ายกับแอป Shopee และใช้ไอคอนเมนูจากแหล่งอื่น 4) ใช้โทนสีฟ้า-เขียว-เหลือง 

2.1.2 ปัจจุบันแอปพลิเคชั่น Wish ยังไม่รองรับการซื้อขายสินค้าในประเทศไทย  
2.1.3 Wish เป็นแพลตฟอร์มช้อปปิ้งออนไลน์จากสหรัฐอเมริกา ซึ่งไม่นิยมใช้ไลน์ ในการสนทนาแบบ ข้อความด่วน ฉะนั้นในไลน์ จึงไม่มีบัญชี Wish ที่เป็นทางการ 
2.1.4 เนื้อหาภาษาไทยในแอป และฝ่ายบริการลูกค้า การสนทนาทางไลน์ ใช้การแปลคำจากภาษาต่างประเทศ 

2.2 วิธีป้องกัน
2.2.1 ศึกษากลโกงของมิจฉาชีพจากแหล่งความรู้ต่างๆ  เพื่อไม่ให้ตกเป็นเหยื่อ

2.2.2 ตรวจสอบกับทางบริษัทหรือร้านค้าทุกครั้งก่อนทำภารกิจใดๆ                     
2.2.3 การทำงานหรือทำภารกิจใดๆ  ที่ต้องมีการโอนเงินให้ก่อน  ให้สงสัยไว้ก่อนว่าเป็นกลโกง 
ของมิจฉาชีพ 
2.2.4 หากต้องการติดตั้งแอปพลิเคชันใดๆ ควรโหลดและติดตั้งจาก Google Play store หรือ  
Apple Store เท่านั้น ไม่ควรดาวน์โหลดจากลิ้งค์หรือข้อความที่มีคนส่งให้

 3. เรื่องที่ 3 มิจฉาชีพแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่การไฟฟ้านครหลวงหลอกโอนเงิน โดยส่ง SMS แจ้งว่าเจ้าหน้าที่การไฟฟ้าจดเลขมิเตอร์เกิน ให้ติดต่อเจ้าหน้าที่ โดยเพิ่มเพื่อนใน line กับมิจฉาชีพซึ่งใช้ชื่อสำนักงานการไฟฟ้า และอ้างตัวว่าเป็นเจ้าหน้าที่การไฟฟ้านครหลวงแล้วส่งลิงก์มาให้หลงเชื่อและกดลิงก์ เพื่อให้ผู้เสียหายดาวน์โหลดแอพพลิเคชันควบคุมเครื่องโทรศัพท์ แล้วโอนเงินออกจากบัญชีผู้เสียหาย          
3.1 จุดสังเกต   - การเปรียบเทียบของปลอม-ของจริง  
ของปลอม ของจริง 
1) เวบไซต์ชื่อ www.xk-line.cc นามสกุลของโดเมนไม่ถูกต้อง 1) เวบไซต์ชื่อ www.mea.or.th นามสกุลของโดเมนคือ .or.th 
2) ไลน์เป็นบัญชีส่วนบุคคล สามารถโทรหากันได้ 2) ไลน์เป็นบัญชีทางการ ไม่สามารถโทรหากันได้ 
3) ใช้โลโก้ กฟน. เหมือนของจริง แต่ใช้ชื่อบัญชี “สำนักงานการไฟฟ้า” 3) ใช้ชื่อบัญชี “การไฟฟ้านครหลวง”  

3.2 วิธีป้องกัน  
3.2.1 ไม่เปิดอ่านหรือ กดลิงก์ใน SMS แปลกปลอม หรือติดตั้งแอปพลิเคชันที่มิจฉาชีพหลอก 
ให้ติดตั้ง  
3.2.2 กรณีมีการส่ง SMS ที่ผิดปกติ  ควรโทรศัพท์ตรวจสอบกับการไฟฟ้านครหลวง MEA  
call center โทร. 1130 โดยตรง  
3.2.3 กรณีมีการส่ง Link แปลกปลอม  ให้ตรวจสอบจากเวบไซต์ www.who.is  
3.2.3  หากต้องการติดตั้งแอปพลิเคชันใดๆ ควรโหลดและติดตั้งจาก Google Play store  
หรือ Apple Store  เท่านั้น ไม่ควรดาวน์โหลดจากลิ้งค์หรือข้อความที่มีคนส่งให้ 
 พล.ต.อ.สมพงษ์  ชิงดวง  ที่ปรึกษาพิเศษ ตร.กล่าวเพิ่มเติมว่า การระงับการทำธุรกรรมและอายัดบัญชีตาม พ.ร.ก.มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี  พ.ศ.2566 ห้วงวันที่ 17 มี.ค.66 – 5 พ.ค.66 มีรายละเอียด ดังนี้ 
Case ID ในความรับผิดชอบ 
(Case ID) พงส.แจ้งธนาคารทราบถึงการรับคำร้องทุกข์ 
(Case ID) พงส.แจ้งให้อายัดการทำธุรกรรม/อายัดบัญชี 
(Case ID) จำนวนบัญชีที่ขอระงับ/อายัด 
(บัญชี) บัญชี จำนวนเงินที่ขออายัด 
(บาท) อายัดทัน 
(บาท) 
30,439 988 762 16,597 685,310,290 92,132,049 

ดีเจเพชรจ้า’ เล่าเหตุระทึก!! ถูกโจรอังกฤษทำร้ายหวังปล้น โชคดีไหวตัวทัน หลบหมัดได้ เกือบโดนสอยร่วง

(16 พ.ค.66) กลายเป็นเรื่องราวระทึกที่ทำเอา ‘ดีเจเพชรจ้า วิเชียร กุศลมโนมัย’ ถึงขั้นหวาดระแวงทีเดียว เมื่อเจ้าตัวเดินทางไปเที่ยวและทำธุระที่อังกฤษ ก่อนเดินทางไปยังเมืองแมนเชสเตอร์ แต่ทันทีที่ถึงเมืองยังไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงก็โดนดีเข้าให้ 

จังหวะยกมือถือมาเซลฟี่ เจอโจรวิ่งปรี่เข้าหา พร้อมปล่อยหมัดฮุก โชคดีหลบทัน ก่อนโวยวายจนโจรวิ่งหนี ทำเอาเจ้าตัวต้องถือขวดเบียร์กลับโรงแรม เพื่อเตรียมพร้อมหากโจรย้อนกลับมาจะได้เอาไว้ป้องกันตัว เรียกได้ว่าโชคดีที่เจ้าตัวมีสติสังเกตสิ่งแวดล้อมรอบข้างตลอดเวลา มิเช่นนั้น โทรศัพท์มือถือ อาจโดนสอยไปแล้ว โดยดีเจเพชรจ้าได้โพสต์ระบุข้อความไว้ว่า…

“อรุณสวัสดิ์ หลังจากยกมือถือ ถ่ายภาพนี้ที่หน้าซุปเปอร์มาร์เก็ต ในเมืองแมนเชสเตอร์ ก็มีโจรวิ่งมาหาเฮีย แบบเห็นๆเลยว่ามันวิ่งมาที่เราอะ ช่วงเสี้ยววินาที เฮียดึงมือ เอามือถือยัดเข้ากระเป๋ากางเกง รู้ตัวอีกทีเห็นหมัด โจรพุ่งมาที่หน้า หลบได้ทัน พร้อมตะโกนใส่หน้ามัน โจรตกใจวิ่งหนีไป อีก 3 วินาที ตำรวจใน Supermarket วิ่งออกมา ถามว่าเกิดอะไรขึ้น เราบอกโจรวิ่งหนีไปแล้ว ไม่ได้เอาอะไรไป คิดในใจถ้าโดนชกที่หน้าจังๆคงล้มแล้วโดนขโมยของแน่นอน ขาเหยียบ เมืองไม่ถึง 30 นาที เจอโจรซะแล้ว เดินกลับโรงแรมด้วยการ ถือขวดเบียร์ขวดใหญ่ไว้ในมือ เผื่อแม่งเดินกลับมาอีก คราวนี้คงมีแลกกัน 🤬 โมโห ผสมแค้น เห็นหน้าจีนๆติ๋มๆ ผมคนจริง เอาจริงนะครับ”


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top