Tuesday, 1 July 2025
NEWS

เชียงใหม่-มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ฯ เข้าศึกษาดูงาน CAMT

มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ฯ เข้าศึกษาดูงานระบบการจัดการความรู้ตามมาตรฐาน ISO 30401 และ แลกเปลี่ยนเรียนรู้ในหัว TQA และ EdPEx ของ CAMT นำทีมดำเนินกิจกรรมโดยศูนย์ KIND BY CAMT วิทยาลัยศิลปะ สื่อ และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

วันที่ 13 มีนาคม 2566 ศูนย์ KIND BY CAMT และหลักสูตรการจัดการความรู้และนวัตกรรม วิทยาลัยศิลปะ สื่อ และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จัดกิจกรรมศึกษาดูงาน ณวิทยาลัยศิลปะ สื่อ และเทคโนโลยี ให้แก่ทีมผู้บริหารและบุคลากร จากมหาวิทยาลัย ราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ ภายใต้โครงการพัฒนาองค์กรสู่องค์กรแห่งการเรียนรู้”นำทีมโดย คณบดี วิทยาลัยศิลปะสื่อฯ ผศ.ดร.วรวิชญ์ จันทร์ฉาย ได้กล่าวต้อนรับและแชร์ความรู้ในหัวข้อ TQA และ EdPEx และแลกเปลี่ยนเรียนรู้สร้างความร่วมมือด้านการจัดการความรู้สู่องค์กรสู่ความเป็นเลิศ นำโดย อาจารย์ ดร.อัจฉรา คำอักษร ผู้ปฏิบัติหน้าที่ช่วยคณบดี ด้านการบริหารระบบ ISO 30401 วิทยาลัยศิลปะ สื่อ และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ พร้อมแนะนำศูนย์ KIND BY CAMT 

สำนักงานตำรวจแห่งชาติร่วมกับคณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรม และการตำรวจ จัดโครงการสัมมนาเชิงปฏิบัติการ “การรับแจ้งความร้องทุกข์ต่างท้องที่”

ตามที่ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย หมวด 16 การปฏิรูปประเทศ ได้กำหนดเป้าหมายหลักของการปฏิรูปประเทศ พร้อมทั้งได้กำหนดหลักการและแนวทางการปฏิรูปประเทศ รวมถึงมีพระราชบัญญัติ
แผนและขั้นตอนการดำเนินการปฏิรูปประเทศ พ.ศ. 2560  และประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง การประกาศแผนการปฏิรูปประเทศ เพื่อมุ่งเน้นการปรับเปลี่ยนในเชิงโครงสร้าง วิธีการ และกระบวนการ หรือกฎระเบียบ
ที่สำคัญเพื่อให้การดำเนินงานของทุกภาคส่วนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และบรรลุผลอันพึงประสงค์
ตามรัฐธรรมนูญ โดยกำหนดให้วุฒิสภามีหน้าที่และอำนาจในการติดตาม เสนอแนะ และเร่งรัดการปฏิรูปประเทศ นั้น 


โดยเมื่อวันที่ 10 ก.ย.62  ที่ประชุมวุฒิสภาได้มีมติตั้งแต่งคณะกรรมาธิการการกฎหมาย 
การยุติธรรม และการตำรวจ วุฒิสภาขึ้น โดยให้มีอำนาจหน้าที่ในการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ กระทำกิจการ พิจารณาสอบหาข้อเท็จจริง หรือศึกษาเรื่องใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการตามนโยบายด้านกฎหมาย 
การบริหารงานยุติธรรม กระบวนการยุติธรรม การตำรวจ อัยการ และราชทัณฑ์ การปฏิบัติหน้าที่ให้เป็นไปตามกฎหมาย ป้องกัน และรักษาความสงบเรียบร้อยภายในประเทศ การสร้างความเท่าเทียมในการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรม การพัฒนากลไกและวิธีการปฏิบัติงานกิจการตำรวจให้มีประสิทธิภาพ ร่วมถึงการพิจารณาศึกษา ติดตาม เสนอแนะ และเร่งรัดการปฏิรูปประเทศ และแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ


โดยในส่วนของคณะกรรมาธิการการกฎหมายฯ ได้ตระหนักถึงความสำคัญในการขับเคลื่อนและผลักดันการปฏิรูปประเทศด้านกระบวนการยุติธรรม เพื่อให้บังเกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะในเรื่องของการแจ้งความร้องทุกข์ต่างท้องที่ ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ประชาชนให้เข้าถึงกระบวนการยุติธรรมได้โดยง่ายและรวดเร็วยิ่งขึ้น อีกทั้งเพื่อเป็นการลดค่าใช้จ่ายในการเดินทางมาแจ้งความ ทั้งนี้ เพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ จึงกำหนดให้มีการจัดการสัมมนาเชิงปฏิบัติการ ในหัวเรื่อง “การรับแจ้งความร้องทุกข์ต่างท้องที่” ขึ้น ในวันอังคาร ที่ 14 มี.ค.66 ตั้งแต่เวลา 09.00-12.00 น. ณ ห้องศรียานนท์ ชั้น 2 อาคาร 1 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยมี พล.ต.อ.ชัชวาลย์  สุขสมจิตร์ ประธานคณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรม และการตำรวจ เป็นประธานในพิธีเปิดการสัมมนาฯ พร้อมด้วย พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์  กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และคณะผู้บังคับบัญชาระดับสูงของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เข้าร่วมพิธีฯ 

ผบ.ตร. เร่งรัดป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีโดยเฉพาะภัยออนไลน์ ที่เกิดขึ้น และสร้างความตระหนักรู้เพื่อเป็นการสร้างภูมิคุ้มกันภัยออนไลน์ให้แก่ประชาชน

ตามนโยบายของรัฐบาล โดย ฯพณฯ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี  ได้สั่งการให้ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. เร่งรัดป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีโดยเฉพาะภัยออนไลน์ ที่เกิดขึ้น  และสร้างความตระหนักรู้เพื่อเป็นการสร้างภูมิคุ้มกันภัยออนไลน์ให้แก่ประชาชนนั้น 


วันนี้ (14 มี.ค.66) เวลา 10.00 น. สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง  ผู้ช่วย ผบ.ตร./หัวหน้าคณะทำงานสร้างเสริมภูมิคุ้มกันต้านภัยอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พร้อมด้วยคณะทำงาน ได้ร่วมกันแถลงข่าว   เกี่ยวกับสถิติการรับแจ้งความออนไลน์ในรอบปีที่ผ่านมา   และภัยออนไลน์ที่เกิดขึ้นใหม่ในรอบสัปดาห์ เพื่อประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนได้มีภูมิป้องกันภัยออนไลน์   ไม่ตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพ  โดยมีรายละเอียด ดังนี้  


ในรอบ 1 ปีที่ผ่านมา(1 มี.ค.2565-11 มี.ค.2566) พบว่ามีการรับแจ้งความคดีออนไลน์ 10 อันดับแรก ได้แก่ 1) คดีหลอกลวงซื้อขายสินค้า 73,252 เคส/955,427,866 บาท 2) คดีหลอกลวงให้โอนเงินเพื่อหารายได้จากการทำกิจกรรม  29,945 เคส/3,323,194,517 บาท 3) คดีหลอกให้กู้เงินแต่ไม่ได้เงิน   24,821 เคส/1,034,104,918 บาท 4) คดีหลอกลวงทางโทรศัพท์ที่เป็นขบวนการ (call center) 20,013 เคส/3,505,338,808 บาท 5) คดีหลอกให้ลงทุน(ที่ไม่เข้าลักษณะฉ้อโกงประชาชน)16,460 เคส/7,661,884,637 บาท  6) คดีหลอกลวงซื้อขายสินค้า(เป็นขบวนการ)8,036 เคส/57,293,969 บาท 7) คดีหลอกเป็นบุคคลอื่นเพื่อยืมเงิน 7,285 เคส/  254,219,605 บาท 8) คดีหลอกให้โอนเงิน(ไม่เป็นขบวนการ) 5,286 เคส/  369,123,851 บาท 9) คดีหลอกให้รักแล้วลงทุน 3,201 เคส/  1,556,536,563 บาท และ 10)หมิ่นประมาท ดูหมิ่น 3,171 เคส/  11,641,372 บาท รวมทั้งปีมีผู้แจ้งความ 218,210 เคส มูลค่าความเสียหายรวม 31,579,305,746 บาท  


ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา (5-11 มี.ค.2566)  พบว่ามีการรับแจ้งความคดีออนไลน์  5 อันดับแรก   ได้แก่ 1) คดีหลอกลวงซื้อขายสินค้า 2,184 เคส/19,075,526.61 บาท     2) คดีหลอกลวงให้โอนเงินเพื่อหารายได้จากการทำกิจกรรม 758 เคส/87,227,644.38 บาท    3) คดีหลอกลวงทางโทรศัพท์ที่เป็นขบวนการ(call center)739 เคส/87,227,644.38  บาท  4) คดีหลอกให้กู้เงินแต่ไม่ได้เงิน 576 เคส/  23,697,409.86 บาท  และ 5) คดีหลอกเป็นบุคคลอื่นเพื่อยืมเงิน 312 เคส/8,273,770.68  บาท รวมทั้งสัปดาห์มีผู้แจ้งความ  5,787  เคส/มูลค่าความเสียหายรวม 377,284,886  บาท  

 
จากสถิติรับแจ้งความออนไลน์ทั้งรอบปีและรอบสัปดาห์ข้างต้นพบว่า สถิติอันดับ 1-4  ยังคงอยู่ในลำดับต้นๆเหมือนเดิม จึงขอเตือนประชาชนไม่ให้หลงเชื่อและตกเป็นเหยื่อแก๊งค์มิจฉาชีพดังกล่าว  
ภัยออนไลน์ที่น่าสนใจและเกิดขึ้นมากในรอบสัปดาห์ คือ คดีแก๊งค์ call center แอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่กระทรวงการคลังและได้โทรศัพท์หาผู้เสียหายให้ตรวจสอบสิทธิ์บัตรสวัสดิการแห่งรัฐใน Website กระทรวงการคลัง จากนั้นได้ให้ผู้เสียหายเพิ่มเพื่อนใน line ช่วงนี้คนร้ายส่ง link กระทรวงการคลังปลอมให้ผู้เสียหายกดเข้าไป ต่อมาคนร้ายได้ให้ผู้เสียหายกดที่โลโก้ของกระทรวงการคลังมุมขวามือ  ผู้เสียหายหลงเชื่อว่าเป็นเจ้าหน้าที่จากกระทรวงการคลังจริง  จึงยินยอมกด link  เข้า Website ปลอม และกรอกข้อมูลชื่อ นามสกุล หมายเลขโทรศัพท์  ซึ่งเป็นข้อมูลส่วนตัวในระบบ  และใส่รหัสยืนยันตัวตน  เลข 6 หลัก  ต่อมาผู้เสียหายกรอกเลข OTP 6 หลักให้คนร้ายเพิ่มเติม เป็นเหตุให้ผู้เสียหายถูกควบคุมโทรศัพท์และถูกดูดเงินออกไป จึงขอประชาสัมพันธ์ว่าจงมีสติไม่หลงเชื่อ ไม่กรอกหรือให้ข้อมูลส่วนตัวผ่านช่องทางออนไลน์และทางโทรศัพท์    

ไม่ควรกระทำการใดๆใน  Website   หรือ  Application ที่ไม่น่าเชื่อถือ ไม่กด link แปลกปลอม และไม่ดาวน์โหลด Application ที่ไม่ผ่านการยืนยันโดยแพลตฟอร์มที่น่าเชื่อถือ   

‘จีน’ เตรียมออกวีซ่า ให้ชาวต่างชาติ 15 มี.ค.นี้ หลังปิดพรหมแดนนานกว่า 3 ปี

จีนเริ่มออกวีซ่าให้ชาวต่างชาติใหม่อีกครั้ง ดีเดย์ 15 มี.ค.นี้

สถานเอกอัครราชทูตจีนในสหรัฐอเมริกาออกแถลงการณ์ระบุว่า จีนจะเริ่มออกวีซ่าประเภทต่าง ๆ ให้กับชาวต่างชาติอีกครั้ง ตั้งแต่วันที่ 15 มีนาคมนี้ หลังจากที่มีการปิดพรมแดนนานเกือบ 3 ปีภายใต้มาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 อย่างเข้มงวด

แถลงการณ์ของสถานทูตจีนในสหรัฐระบุว่า จีนจะยกเลิกข้อจำกัดด้านวีซ่าสำหรับสถานที่ต่าง ๆ รวมถึงเกาะไห่หนานและเรือสำราญที่แล่นผ่านท่าเรือเซี่ยงไฮ้ นอกจากนี้ การเดินทางเข้ากวางตุ้งโดยไม่ต้องขอวีซ่าสำหรับชาวต่างชาติจากฮ่องกงและมาเก๊าก็จะกลับมามีผลใช้อีกครั้งหนึ่งด้วยเช่นกัน
จีนได้ยกเลิกนโยบายโควิดเป็นศูนย์ในเดือนธันวาคมปีก่อน และเปิดพรมแดนในเดือนมกราคม ซึ่งทำให้มีการเดินทางเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา ขณะที่ผู้นำประเทศได้ส่งสัญญาณถึงชัยชนะเหนือการแพร่ระบาดของโควิด-19

สืบนครบาลตามแกะรอยรวบ “บัวลอยไข่หวาน” หญิงสาวที่เปิดบัญชีม้าให้แก๊งคอลเซ็นเตอร์ หลอกเหยื่อ เป็นทั้งไปรษณีย์ไทย และตำรวจ สร้างความเสียหายหลายล้านบาท

วันที่ 14 มีนาคม พล.ต.ต.ธีรเดช  ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น. / หัวหน้าชุด PCT ชุดปฏิบัติการ 5 แถลงผลการปฏิบัติงาน นำโดย พ.ต.อ.สมบูรณ์ สุขศรีดาวเดือน ผกก.สส.3 บก.สส.บช.น. พ.ต.ต.วรุตม์ คำหล้า สว.ฯ พร้อมเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.สส.3 บก.สส.บช.น. ทำการจับกุม น.ส.วิชุดา วรธาราปกรณ์ อายุ 44 ปี อยู่ที่บ้านเลขที่ 120/46 ซอยสายไหม 20 แขวงสายไหม เขตสายไหม กรุงเทพฯตามหมายจับศาลจังหวัดกำแพงเพชร ที่ 313/2565 ลงวันที่ 27 ธันวาคม 2565 ข้อหาร่วมกันฉ้อโกงประชาชนโดยการแสดงตนเป็นคนอื่น, ร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ปลอม

นอกจากนี้ยังมีหมายจับของศาลจังหวัดธัญบุรี หมายจับที่ 50/2566 ลงวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2566 และศาลจังหวัดเชียงใหม่ หมายจับที่ 43/2566  ลงวันที่ 19 มกราคม 2566

พฤติการณ์เมื่อประมาณเดือนกรกฎาคม 2565 น.ส.วิชุดาได้พบเห็นโพสต์ในเฟซบุ๊คชักชวนให้ทำงานในลักษณะว่า “ใครร้อนเงินทักมา” โพสต์โดยผู้ใช้เฟซบุ๊คชื่อ “บัวลอยไข่หวาน ไม่เพิ่มน้ำตาลไม่ใส่กะทิ” ซึ่งขณะนั้น น.ส.วิชุดามีภาระต้องเลี้ยงดูลูก 2 คน ด้วยตัวคนเดียว จึงติดต่อไปเพื่อหาเงินผ่านช่องทางดังกล่าว ต่อมาได้เปิดบัญชีธนาคารจำนวน 8 บัญชี พร้อมลงทะเบียนหมายเลขโทรศัพท์ผูกบัญชีให้กับผู้ใช้เฟซบุ๊คดังกล่าว ได้รับเงินค่าตอบแทนบัญชีละ 500 บาท

“อลงกรณ์”ปลื้มเกษตรกรขานรับนโยบายพรรคประชาธิปัตย์ ตั้งเป้าเป็นพรรคขวัญใจเกษตรกรผู้นำแห่งการปฏิรูปภาคเกษตร

แย้มเตรียมคลอดนโยบายชุดต่อไปยกระดับเมืองเกษตรเป็นเมืองอาหารพลิกโฉมหน้าภาคเกษตรครั้งใหญ่นำไทยสู่มหาอำนาจทางอาหารของโลก

นายอลงกรณ์ พลบุตร รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ประธานคณะกรรมการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์พรรคและที่ปรึกษารัฐมนตรีเกษตรฯ.เขียนในเฟสบุ๊คและไลน์วันนี้ว่าหลังจากพรรคประชาธิปัตย์ประกาศ 16 นโยบาย 2ชุดแรก ภายใต้ยุทธศาสตร์ สร้างเงิน สร้างคน สร้างชาติปรากฎว่ามีเสียงสะท้อนผ่านช่องทางเฟสบุ้ค-ไลน์และเวที”ฟัง-คิด-ทำ”ตอบรับจากผู้นำเกษตรกร ผู้นำชาวนากลุ่มต่างๆ  เช่น ศูนย์ข้าวชุมชน เกษตรแปลงใหญ่ กลุ่มเกษตรกรรุ่นใหม่(Young Smart Farmer) กลุ่มแม่บ้านเกษตรสหกรณ์ สถาบันเกษตรกร วิสาหกิจชุมชน อาสาสมัครเกษตร(อกม.)ภาคเอกชนภาควิชาการ โดยแสดงความเชื่อมั่นในศักยภาพการบริหารแบบทำได้ไวทำได้จริงของพรรคตลอด4ปีที่ผ่านมา


โดยเฉพาะนโยบายประกันรายได้เกษตรกร นโยบายเทคโนโลยีเกษตรอินเตอร์เน็ตฟรี1ล้านจุดทุกหมู่บ้าน นโยบายธนาคารหมู่บ้านธนาคารชุมชน2ล้าน นโยบายยกระดับเกษตรแปลงใหญ่3ล้านบาท นโยบายชาวนารับ30,000บาทต่อครัวเรือน นโยบายปลดล็อคพรก.ประมง นโยบายองค์กรชุมชนประมงท้องถิ่น1แสนบาท นโยบายค่าตอบแทนอกม.1พันบาท


นโยบายนมโรงเรียน365วัน เป็นต้นโดยมองว่าเป็นนโยบายที่สามารถเพิ่มรายได้เพิ่มผลผลิตแก้หนี้แก้จนได้ในระดับฐานรากของประเทศซึ่งครอบคลุมครอบครัวเกษตรกรกว่า 20 ล้านคนภายใต้ยุทธศาสตร์สร้างเงิน สร้างคน สร้างชาติเป็นแนวทางการพัฒนาภาคเกษตรกรรมเชิงโครงสร้างและระบบแบบครบวงจรอย่างยั่งยืนซึ่งภาคเกษตรเป็นหนึ่งในศักยภาพสำคัญที่สุดของประเทศไทยที่มีขีดความสามารถในการแข่งขันระดับโลก
รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ระบุด้วยว่า ยังมีนโยบายชุดต่อไปที่จะเป็นคานงัดการปฏิรูปภาคเกษตรสู่เกษตรมูลค่าสูงเพื่อยกระดับประเทศไทยจากเมืองเกษตรเป็นเมืองอาหาร ด้วย


“เราตั้งเป้าให้ประชาธิปัตย์เป็นพรรคขวัญใจเกษตรกรเป็นพรรคผู้นำการปฏิรูปภาคเกษตรจึงประกาศนโยบาย2ชุดแรกมุ่งเน้นการสนับสนุนส่งเสริมภาคเกษตรกรรมและเกษตรกรเป็นสำคัญครอบคลุมทั้งสาขาพืช ประมงและปศุสัตว์


เป็นการสานต่อผลงานการปฏิรูปภาคเกษตรกรรมของไทยตลอด4ปีที่พรรคประชาธิปัตย์บริหารกระทรวงเกษตรและกระทรวงพาณิชย์โดยการนำของหัวหน้าพรรค นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีพาณิชย์และ ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน เลขาธิการพรรคและรัฐมนตรีเกษตรและสหกรณ์


เช่นการจัดตั้งศูนย์เทคโนโลยีเกษตรและนวัตกรรม(AIC: Agritech and Innovation Center) 77 จังหวัด การจัดตั้งศูนย์ข้อมูลเกษตรแห่งชาติ (National Agriculture Big Data Center) การพัฒนาอาหารแห่งอนาคต การยกระดับคุณภาพและมาตรฐานสินค้าเกษตร การพัฒนาเกษตรแปลงย่อยเป็นเกษตรแปลงใหญ่ การส่งเสริมเกษตรอัจฉริยะ การพัฒนาเกษตรกรรมยั่งยืนในเมือง การส่วเสริมเกษตรอินทรีย์ การจัดตั้งองค์กรชุมชนประมงท้องถิ่น การพัฒนาปศุสัตว์ครบวงจร การพัฒนาผลไม้จนส่งออกทุเรียนผลสดทะลุแสนล้านบาทเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์และการส่งออกสินค้าเกษตรและอาหารกว่า1.2ล้านล้านบาทต่อปีจนเป็นประเทศผู้ส่งออกสินค้าเกษตรและอาหารอันดับ13ของโลกแม้เผขิญกับผลกระทบและอุปสรรคจากวิกฤติโควิดและสงครามรัสเซีย-ยูเครนโดยใช้ยุทธศาสตร์เทคโนโลยีเกษตร4.0และยุทธศาสตร์ตลาดนำการผลิตสู่เกษตรมูลค่าสูง เป็นต้น

‘ผบ.ตร’ สั่งลุย!! ยกระดับแก้ปัญหาฝุ่น ‘PM 2.5’ วอนปชช. เลี่ยงใช้รถควันดำ-งดเผาในที่โล่งแจ้ง

‘ผบ.ตร.เอาจริง’ สั่งตำรวจคุมเข้มยกระดับแก้ปัญหาฝุ่น PM 2.5 เร่งบังคับใช้กม. รถควันดำ ลักลอบเผา โรงงาน การก่อสร้าง ที่ก่อเกิดมลพิษ เน้นบูรณาการร่วมทุกภาคส่วนแก้ไขปัญหาทุกมิติ ตามนโยบายรัฐบาล

(14 มี.ค.66)  พล.ต.ต.อาชยน ไกรทอง โฆษก ตร. เปิดเผยว่า ตามข้อสั่งการความห่วงใยของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีต่อประชาชนกับสถานการณ์ฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM 2.5) เกินมาตรฐานที่เกิดขึ้น โดยให้ทุกหน่วยบูรณาการยกระดับร่วมกันแก้ไขปัญหาทุกมิติ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. ขานรับนโยบาย สั่งการให้ทุกหน่วยในสังกัด ตร.ยกระดับเพิ่มมาตรการตรวจสอบและบังคับใช้กฎหมายแก้ปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM 2.5) เกินมาตรฐาน ที่มีมาจากหลายสาเหตุทั้ง การคมนาคมขนส่ง การเผาในที่โล่งแจ้ง การเกิดไฟป่า ภาคอุตสาหกรรม การก่อสร้าง และหมอกควันต่างๆ ผบ.ตร.ได้มีวิทยุสั่งการ ไปยังทุกหน่วยให้ดำเนินการดังนี้

1.เพิ่มความเข้มตรวจสอบและบังคับใช้กฎหมาย อย่างเข้มงวดกับผู้ที่นำรถยนต์ที่มีลักษณะปล่อยพิษควันดำมาใช้บนถนน ออกคำสั่งห้ามใช้รถที่ก่อให้เกิดมลพิษ รวมทั้งบูรณาการร่วมกับขนส่ง หน่วยที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชน สนับสนุนด้านเครื่องมืออุปกรณ์ เพื่อบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด

2.เพิ่มมาตรการตรวจสอบบังคับใช้กฎหมาย กับผู้ประกอบการโรงงานอุตสาหกรรมไม่ให้ปล่อยมลพิษทางอากาศ และการก่อสร้างที่ก่อให้เกิดฝุ่น

3.ตรวจสอบและบังคับใช้กฎหมายกับผู้ลักลอบเผาพืชไร่และพื้นที่เพาะปลูก การเผาในที่โล่งแจ้ง และกิจการที่ก่อให้เกิดอันตราย

แค่ทุบทำร้าย!! ‘เพจดัง’ เผยคลิปไม่ใช่เหตุ ‘สุ่มแทง’ ชี้!!ไม่มีการแทง มีแค่ทุบกับต่อย

เพจ "Drama-addict" เผยอีกมุมในเหตุการณ์ "สุ่มแทงคน" ในประเทศญี่ปุ่น พร้อมนำคลิปจากกล้องวงจรปิดมาให้ดู พบอาจเป็นเพียงหญิงสติไม่ดีไล่ทำร้ายร่างกายคนอื่น อีกทั้งชื่นชมกล้องวงจรปิดชัดแจ๋วจริงๆ

จากกรณีเพจ "ที่นี่เที่ยว ญี่ปุ่น" โพสต์เตือนหลังตนเองพบเหตุการณ์สุ่มแทงคนในประเทศญี่ปุ่น ก่อนจะมีเพจเกี่ยวกับเที่ยวญี่ปุ่นเพจอื่น ๆ แย้งว่าไม่จริงไม่มีเหตการณ์นั้น สุดท้ายเพจต้นทางได้ทำการลบโพสต์ดังกล่าวทิ้งไป พร้อมกับยืนยันว่าเห็นเหตุการณ์จริง ๆ

อย่างไรก็ตาม วันนี้ (14 มี.ค.) เพจ "Drama-addict" ได้ออกมาโพสต์คลิปวันเกิดเหตุลงในเพจ ก่อนจะพบความจริงว่าเหตุการณ์ทำร้ายร่างกายอาจไม่ได้หนักถึงขั้นใช้อาวุธแทงแต่อาจเพียงแต่ไล่ทุบตีเฉยๆ ทั้งนี้ "Drama-addict" ได้ระบุข้อความว่า

เจริญชัย หนุน ENTEC ” ร่วมวิจัยนวัตกรรม นำเทคโนโลยี AI สร้างมูลค่าเพิ่ม น้ำมันปาล์ม สู่ น้ำมันหม้อแปลง เกรด พรีเมียม สู่ตลาด BCG ที่แรกของโลก

บริษัท เจริญชัยหม้อแปลงไฟฟ้า จำกัด ร่วมมือวิจัยนวัตกรรมกับ ศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ (ENTEC) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ โดยการพัฒนาน้ำมันหม้อแปลงไฟฟ้าชีวภาพชนิดติดไฟยากจากน้ำมันปาล์ม และนำร่องการทดสอบภาคสนามเชิงบูรณาการ เพื่อผลักดันให้เกิดการใช้งานเชิงพาณิชย์อย่างยั่งยืน ภายใต้โมเดลเศรษฐกิจ BCG (BCG Economy Model)


ดร. บุญญาวัณย์ อยู่สุข หัวหน้าทีมวิจัยเทคโนโลยีเชื้อเพลิงสะอาดและเคมีขั้นสูง ศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ (ENTEC) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ กล่าว  ขอขอบคุณทางบริษัท เจริญชัยหม้อแปลงไฟฟ้า จำกัด ที่ร่วมโครงการวิจัยครั้งนี้และขอขอบคุณความร่วมมือจากผู้ร่วมทุนในหลายภาคส่วนที่เป็นองค์กรหลักในอุตสาหกรรมน้ำมันหม้อแปลงไฟฟ้า ตั้งแต่ผู้ที่มีศักยภาพในการผลิตและจำหน่ายน้ำมันหม้อแปลงไฟฟ้าชีวภาพ ผู้ใช้งานหลักของหม้อแปลงไฟฟ้าของประเทศอย่างการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง คือ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) และ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ร่วมทั้งหน่วยงานจัดทำมาตรฐานสินค้าของประเทศ  เรียกได้ว่าเป็นการบูรณาการร่วมกันของทุกภาคส่วนเพื่อขับเคลื่อนผลงานวิจัยและผลักดันให้เกิดการใช้งานผลิตภัณฑ์น้ำมันหม้อแปลงไฟฟ้าชีวภาพจากน้ำมันปาล์ม   เชิงพาณิชน์อย่างแพร่หลายภายในประเทศของเรา ความร่วมมือนี้จะส่งผลให้การดำเนินวิจัยเป็นไปอย่างครบวงจร มีแผนและผลการดำเนินงานที่ชัดเจน ผลิตภัณฑ์ที่พัฒนาขึ้นมีแนวทางการขับเคลื่อนผลการวิจัยให้สามารถไปสู่การใช้ประโยชน์ได้อย่างครบวงจร


ดร.ศุภกิตติ์  โชติโก อาจารย์ประจำภาควิชาวิศวกรรมไฟฟ้า คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี  กล่าวถึงความร่วมมือในครั้งนี้ การวิจัยและส่งเสริมการพัฒนาน้ำมันหม้อแปลงไฟฟ้าชีวภาพชนิดติดไฟยากจากน้ำมันปาล์ม นำร่องการทดสอบภาคสนามเชิงบูรณาการ เพื่อผลักดันให้เกิดการใช้งานเชิงพาณิชย์อย่างยั่งยืน จะช่วยยกระดับให้ผลผลิตทางการเกษตรถูกแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ในภาคอุตสาหกรรมมูลค่าสูงด้วยเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้นภายในประเทศ รวมทั้งช่วยกระตุ้นการขับเคลื่อนเศรษฐกิจใหม่ทางด้านสนับสนุนเกษตรกรปาล์มน้ำมัน และเป็นแนวทางหลักที่สามารถนำพาปาล์มน้ำมันไทยไปสู่จุดมุ่งหมายในการพัฒนาอย่างยั่งยืนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โครงการวิจัยนี้มีเป้าหมายที่จะเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนประเทศไทยไปสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืนภายใต้โมเดลเศรษฐกิจ BCG (BCG Economy Model) โดย สร้างฐานข้อมูลและองค์ความรู้เกี่ยวกับคุณสมบัติของน้ำมันหม้อแปลงไฟฟ้าชีวภาพชนิดติดไฟยากจากน้ำมันปาล์ม เพื่อใช้เป็นแนวทางในการสร้างมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) ของประเทศต่อไป ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญต่อการส่งเสริมการใช้งานภายในประเทศและ  การทำตลาดในต่างประเทศ อีกทั้งยัง เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ให้มีศักยภาพในการเป็นเจ้าของเทคโนโลยีที่มีบทบาทสำคัญต่อการสร้างและผลักดันอุตสาหกรรมใหม่ที่มีมาตรฐานคุณภาพและมีมูลค่าสูงกว่าอุตสาหกรรมเดิมจากพืชเศรษฐกิจสำคัญของประเทศ ก่อให้เกิดความยั่งยืนทางด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม รวมถึงสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจให้กับประเทศไทย 

ปฏิบัติตามหน้าที่ ‘ตร.ราชบุรี’ แจง ‘ป้านา’ เข้าพื้นที่หวงห้าม-กัด จนท.ผู้หญิง แจ้ง 3 ข้อหา ยันปฏิบัติต่อทุกกลุ่มอย่างเท่าเทียม

ตำรวจราชบุรีแจง ‘ป้านา’ ฝ่าฝืนคำสั่ง เข้าพื้นที่หวงห้าม กัด จนท.ผู้หญิง ตำรวจชายต้องช่วย แจ้ง 3 ข้อหา ยืนยันปฏิบัติต่อทุกกลุ่มเท่าเทียม

จากกรณีหญิงสูงวัยรายหนึ่งยืนดักขบวน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ระหว่างลงตรวจราชการที่ อ.บ้างโป่ง จ.ราชบุรี เพื่อแสดงออก พร้อมตะโกนด่าและตำหนิการทำงานของ พล.อ.ประยุทธ์ แต่ถูกเจ้าหน้าที่กระชาก ลากตัว และปิดปาก จนเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ถึงความเหมาะสม

ต่อมา เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.บ้านโป่ง แจ้ง 3 ข้อกล่าวหา “ป้านา” หรือ นางวันทนา โอทอง หญิงคนดังกล่าว ประกอบด้วย ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งเจ้าพนักงานฯ, ส่งเสียงดังอื้ออึงในที่สาธารณะ และต่อสู้หรือขัดขวางเจ้าพนักงาน ตำรวจให้ประกันชั้นสอบสวนด้วยหลักทรัพย์ 10,000 บาท จากกองทุนราษฎรประสงค์

นอกจากนี้ นายอานนท์ นำภา ทนายความด้านสิทธิมนุษยชน เผยว่า วันที่ 14 มีนาคม ป้านาจะเดินทางจากราชบุรีมาแจ้งความเอาผิดเจ้าหน้าที่ในทุกข้อหาที่เกี่ยวข้อง โดยจะเดินทางมาแจ้งความที่กองปราบฯ ถนนพหลโยธิน (ติดแดนเนรมิตเดิม) เวลา 13.00 น.

เกี่ยวกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมด ตำรวจภูธรจังหวัดราชบุรี ออกเอกสารข่าวประชาสัมพันธ์เพื่อชี้แจงว่า พฤติการณ์ที่เกิดขึ้นตามภาพข่าวและคลิปวิดีโอที่ปรากฏตามสื่อโซเชียลนั้น เป็นการกระทำของบุคคลในภาพเข้าไปในพื้นที่หวงห้าม โดยมีพฤติการณ์ที่จะวิ่งเข้าไปภายในเส้นทางเดินรถเพื่อให้เกิดความเสียหายต่อผู้ใช้เส้นทางนั้น และได้ส่งเสียงก่อกวนอื้ออึงในพื้นที่หวงห้าม

เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ดำเนินการตามชั้นตอนของกฎหมาย ชี้แจงทำความเข้าใจกับบุคคลดังกล่าวและห้ามมิให้บุคคลดังกล่าวไม่ให้เข้าไปในพื้นที่ แต่บุคคลดังกล่าวยังคงฝ่าฝืนคำสั่งของเจ้าหน้าที่ ทางเจ้าหน้าที่จึงให้เจ้าหน้าที่ตำรวจผู้หญิงเข้าไปทำการควบคุม แต่บุคคลดังกล่าวได้ต่อสู้ขัดขืน ยื้อชุดกระชาก ใช้ปากกัดทำร้ายเจ้าหน้าที่ตำรวจหญิง ทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจชายเห็นเหตุการณ์จึงได้เข้าช่วยควบคุมนำตัวออกจากพื้นที่ และได้แจ้งข้อกล่าวหาให้ทราบ ดังต่อไปนี้

1.ผู้ใดทราบคำสั่งของเจ้าพนักงานซึ่งสั่งการตามอำนาจที่มีกฎหมายให้ไว้ แต่ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งนั้นโดยไม่มีเหตุ หรือข้อแก้ตัวอันควร
2.ส่งเสียงทำให้เกิดเสียง หรือกระทำความอื้ออึงในที่สาธารณะ
3.ต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงาน หรือผู้ซึ่งต้องช่วยเจ้าหนักงานตามกฎหมายในการ ปฏิบัติการตามหน้าที่

และควบคุมตัวบุคคลดังกล่าวส่งพนักงานสอบสวน สภ.บ้านโป่ง เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

ผบ.ตร.เอาจริง สั่งตำรวจคุมเข้มยกระดับแก้ปัญหาฝุ่น PM 2.5 เร่งบังคับใช้กฎหมาย รถควันดำ ลักลอบเผา โรงงาน การก่อสร้าง ที่ก่อเกิดมลพิษ เน้นบูรณาการร่วมทุกภาคส่วนแก้ไขปัญหาทุกมิติ ตามนโยบายรัฐบาล

วันนี้ (14 มี.ค.66 ) พล.ต.ต.อาชยน ไกรทอง โฆษก ตร. เปิดเผยว่า “ ตามข้อสั่งการความห่วงใยของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีต่อประชาชนกับสถานการณ์ฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM 2.5) เกินมาตรฐานที่เกิดขึ้น โดยให้ทุกหน่วยบูรณาการยกระดับร่วมกันแก้ไขปัญหาทุกมิติ


พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. ขานรับนโยบาย สั่งการให้ทุกหน่วยในสังกัด ตร.ยกระดับเพิ่มมาตรการตรวจสอบและบังคับใช้กฎหมายแก้ปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM 2.5) เกินมาตรฐาน ที่มีมาจากหลายสาเหตุทั้ง การคมนาคมขนส่ง การเผาในที่โล่งแจ้ง การเกิดไฟป่า ภาคอุตสาหกรรม การก่อสร้าง และหมอกควันต่างๆ  
ผบ.ตร.ได้มีวิทยุสั่งการ ไปยังทุกหน่วยให้ดำเนินการดังนี้

1) เพิ่มความเข้มตรวจสอบและบังคับใช้กฎหมาย อย่างเข้มงวดกับผู้ที่นำรถยนต์ที่มีลักษณะปล่อยพิษควันดำมาใช้บนถนน  ออกคำสั่งห้ามใช้รถที่ก่อให้เกิดมลพิษ รวมทั้งบูรณาการร่วมกับขนส่ง หน่วยที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชน สนับสนุนด้านเครื่องมืออุปกรณ์ เพื่อบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด

 

2) เพิ่มมาตรการตรวจสอบบังคับใช้กฎหมาย กับผู้ประกอบการโรงงานอุตสาหกรรมไม่ให้ปล่อยมลพิษทางอากาศ และการก่อสร้างที่ก่อให้เกิดฝุ่น


3) ตรวจสอบและบังคับใช้กฎหมายกับผู้ลักลอบเผาพืชไร่และพื้นที่เพาะปลูก การเผาในที่โล่งแจ้ง และกิจการที่ก่อให้เกิดอันตราย 

สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.)เสริมสร้างความเข้มแข็งองค์กรผู้ใช้น้ำระดับลุ่มน้ำ "ลุ่มน้ำบางปะกง" ทั้ง11จังหวัด

วันจันทร์ที่ 13 มีค. 66 ณ.โรงแรมซันธารา เวลเนส รีสอร์ท แอนด์ โฮเทล อ.เมือง ฉะเชิงเทรา 
นายจักรกฤษ พุ่มสุวรรณ ผู้อำนวยการกลุ่มประสานงานลุ่มน้ำบางปะกง กรรมการลุ่มน้ำและเลขานุการคณะกรรมการลุ่มน้ำบางปะกง สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ภาค 2 สำนักนายกรัฐมนตรี (สทนช.)
และสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ได้ขับเคลื่อนโครงการ เสริมสร้างความเข้มแข็ง และความยั่งยืนขององค์กรผู้ใช้น้ำระดับลุ่มน้ำบางปะกง ทั้ง 11จังหวัดเข้าร่วมประชุมหารือเพื่อขับเคลื่อนผู้แทนองค์กรผู้ใช้น้ำจากภาคเกษตรกรรม 235 องค์กร ,ภาคอุตสาหกรรม 46 องค์กร, ภาคพาณิชยกรรม 16 องค์กร  


ได้ร่วมหารือ สภาพปัญหาด้านทรัพยากรน้ำ รวมถึงเป็นการส่งเสริมการมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำในระดับท้องถิ่นให้เป็นที่ยอมรับจากทุกภาคส่วน และรับฟังข้อเสนอแนะจากผู้แทนองค์กรต่างๆเพื่อกำหนดแนวทางเพื่อพัฒนาความยั่งยืนต่อไป

อาลัย ‘มาซาโทชิ อิโตะ’ มหาเศรษฐีญี่ปุ่น ผู้ปั้น ‘7-11’ สู่แฟรนไชส์ดังทั่วโลก

‘มาซาโทชิ อิโตะ’ มหาเศรษฐีญี่ปุ่นผู้ปั้น ‘7-11’ เป็นแฟรนไชส์ดังไกลระดับโลก เสียชีวิตแล้วด้วยวัย 98 ปี

สำนักข่าว BBC รายงานในวันนี้ (13 ม.ค.) ว่า นายมาซาโทชิ อิโตะ มหาเศรษฐีชาวญี่ปุ่นผู้ปลุกปั้น 7-11 ให้เป็นอาณาจักรแฟรนไชส์ระดับโลก และเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของ Seven & i Holdings ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของร้านสะดวกซื้อ 7-11 เสียชีวิตแล้วด้วยวัย 98 ปี

แถลงการณ์ของบริษัทระบุว่า นายอิโตะเสียชีวิตลงด้วยโรคชรา เมื่อวันศุกร์ที่ 10 มี.ค.2566 ที่ผ่านมา
ทั้งนี้ บริษัท Seven & i Holdings ที่นายอิโตะถือหุ้นใหญ่ ยังเป็นเจ้าของห้างสรรพสินค้า Ito Yokado ห้างเก่าแก่กว่า 100 ปีของญี่ปุ่น

อ.เจษฎา ไขข้อสงสัยคลิปไวรัล ‘ผมชี้ตั้ง’ สัญญาณเตือนให้รีบหนี ‘เสี่ยงฟ้าผ่า’

อ.เจษฎา ให้ความรู้คลิปไวรัล นักท่องเที่ยวผมชี้ เป็นสัญญาณเตือนอันตราย อาจเกิดฟ้าผ่า พร้อมแนะข้อปฏิบัติให้รีบหนี หาที่หลบที่ปลอดภัย

วันที่ 13 มีนาคม 2566 มีรายงานว่า จากกรณีโลกออนไลน์ได้แชร์คลิปนักท่องเที่ยวที่อยู่บนเรือสำราญ จู่ๆ เส้นผมชี้ตั้ง แต่หลายคนยังคงถ่ายรูป หัวเราะกันอยู่ ทั้งที่เป็นสัญญาณเตือนอันตราย อาจเกิดฟ้าผ่าขึ้นได้

เกี่ยวกับเรื่องนี้ ศ.ดร.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ อาจารย์ประจำภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และนักสื่อสารวิทยาศาสตร์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กเพจ อ๋อ มันเป็นอย่างนี้นี่เอง by อาจารย์เจษฎ์ โดยระบุว่า เจอแบบนี้ ให้หนี หลบเข้าร่มก่อน อย่าเซลฟี่กันเพลิน จะเสี่ยงโดนฟ้าผ่าเอา

โดยก่อนหน้านี้ ศ.ดร.เจษฎา เคยให้ความรู้ว่า หลักๆ คือ เวลาที่จะเกิดฟ้าผ่า อาจจะเกิดการเปลี่ยนแปลงของประจุไฟฟ้าบริเวณเหนือพื้นดิน และทำให้เกิดไฟฟ้าสถิตแบบที่เรารู้สึกได้ เช่น ขนลุกชัน ผมตั้งชัน ได้

คำแนะนำคือ ให้หาที่หลบที่ปลอดภัย เช่นหลบเข้าในอาคาร เข้าไปในรถยนต์ (แล้วห้ามแตะตัวถังที่เป็นโลหะ) หรือถ้าอยู่กลางที่โล่งแจ้ง ไม่มีที่หลบ ให้นั่งยองๆ ลงต่ำ แต่อย่าไปหลบใต้ต้นไม้หรืออยู่ในกระท่อมกลางนา ฟ้ามักจะผ่าลงมาที่จุดที่โดดเด่น (ป.ล.ส่วนเรื่องใส่โลหะ หรือใช้โทรศัพท์มือถือ แล้วจะล่อฟ้า อันนี้ไม่จริงครับ)

ส่วนที่มีคนสงสัยว่า แทนที่จะนั่ง ถ้าใช้เป็นวิธีนอนราบกับพื้นไป จะได้มั้ยครับ? คำตอบคือ ควรจะต้องพยายามสัมผัสพื้นให้น้อยที่สุด และให้เกิดจุดห่างระหว่างอวัยวะที่สัมผัสพื้น 2 จุดให้น้อยที่สุด

‘กองทัพธรรม’ จากไทยมุ่งสู่แดนพุทธภูมิ จาริกธรรมตามรอยบาทพระศาสดา

“โครงการจาริกธรรมตามรอยบาทพระศาสดา ครั้งที่9” เป็นหนึ่งในข้อพิสูจน์ว่า การทำอะไรทำจริงจังและจริงใจอย่างมีเป้าหมายด้วยศรัทธาที่แน่วแน่นั้น นำมาสู่ผลลัพธ์ที่ยิ่งใหญ่ โดยเฉพาะงานด้านพระพุทธศาสนา ซึ่งพระครูธีรธรรมปราโมทย์ หรือ หลวงพ่อสำเริง ธมฺมธีโร เจ้าอาวาส วัดดอยเทพนิมิต ตำบลป่าซาง อำเภอแม่จัน จังหวัดเชียงราย ได้พิสูจน์ให้เห็นผ่านการกระทำตลอดระยะเวลาการดำเนิน “โครงการจาริกธรรมตามรอยบาทพระศาสดา” ทั้ง 9 ครั้ง เป็นระยะเวลาเกือบ 10 ปี ที่อดทนบนหนทางแห่งวิริยะบารมี

ล่าสุดคณะสงฆ์ อุบาสก และ อุบาสิกา ใน “โครงการจาริกธรรมตามรอยบาทพระศาสดา ครั้งที่ 9” กว่า 100 ชีวิต เสมือน “กองทัพธรรม” เดินเท้าผ่านเมืองกุสินารา และ สาลวโนทยาน สถานที่ปรินิพพานขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยหลวงพ่อสำเริงฯเมตตานำกองทัพธรรมนำผ้าจีวรห่มองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมณโคดมบรมครู และนำคณะกองทัพธรรมปฏิบัติบูชาในวันมาฆะบูชาที่ “วัดไทยกุสินารา” เมืองกุสินารา ประเทศอินเดีย 

สำหรับวันที่ 9 มีนาคม พ.ศ.2566 คณะสงฆ์ได้มุ่งหน้าสู่ประเทศเนปาล โดยมีเป้าหมายไปยังสถานที่ประสูติ ณ ลุมพินีสถาน  

สำหรับเส้นทางของ “โครงการจาริกธรรมตามรอยบาทพระศาสดา ครั้งที่ 9” ในประเทศอินเดีย และ เนปาล เริ่มตั้งแต่วันที่ 7 มีนาคมที่ผ่านมา  เริ่มปักหลักที่วัดสิขิม เมืองคยา โดยเดินเท้าเข้าสู่เส้นทางแม่น้ำเนรัญชรา ผ่านสภาพอากาศที่ร้อนในตอนกลางวัน และ หนาวในตอนกลางคืน รวมทั้งแวะพักกางเต้นท์ตามจุดต่างๆ ในอินเดีย อาทิ โรงเรียนมัธยม และ มหาวิทยาลัย และวันที่ 11 มีนาคม พ.ศ.2566 เดินเท้าผ่านเมืองคยา มุ่งหน้าสู่กรุงราชคฤห์ ผ่านลัฏฐิวัน สวนตาลหนุ่ม ,วัดเวฬุวัน, เขาคิชกูฎ , ถ้ำสัตตบรรณคูหา และ โรงพยาบาลของหมอชีวกโกมารภัจจ์  เป็นต้น

เมื่อถึงกรุงราชคฤห์แล้ว พักที่ “วัดไทยสิริราชคฤห์” 2 คืน 3 วัน และมุ่งหน้าสู่เมืองนาลันทาง มหาวิทยาลัยนาลันทา รวมทั้งเข้ากราบสักการะพระพุทธรูปองค์ดำ และ เข้าสู่เมืองไวสาลี ผ่านแม่น้ำของพระเจ้าลิจฉวี และ เข้าสู่เมืองกุสินาราดินแดนปรินิพพาน คือ “สาลวโนทยาน” และ มุ่งหน้าสู่ประเทศเนปาล เพื่อไป “ลุมพินีสถาน” สถานที่ประสูติของพระพุทธองค์ และ กลับมายังเมืองพาราณสี เพื่อไปยังสถานที่ที่พระพุทธองค์ทรงแสดงปฐมเทศนา ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน และเดินเท้ากลับมายังจุดเริ่มต้นที่พุทธคยา เมืองคยา ในวันที่ 29 มีนาคม พ.ศ.2566 และ ปิดโครงการในวันที่ 30 มีนาคม พ.ศ.2566 

ในพจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต) ระบุว่า วิริยะบารมีเป็นหนึ่งใน 10 บารมีธรรม หรือ ทศบารมี โดยวิริยะ คือ ความเพียร, ความแกล้วกล้า, ไม่เกรงกลัวอุปสรรค, พยายามบากบั่นอุตสาหะ, ก้าวหน้าเรื่อยๆไป และ ไม่ทอดทิ้งธุระหน้าที่ (energy; effort; endeavour : อ่านเพิ่มเติมได้ที่ https://84000.org/tipitaka/dic/d_item.php?i=325)


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top