Friday, 17 May 2024
แพรรี่

‘แพรรี่’ ตกใจบทสัมภาษณ์ของแม่ผู้ก่อเหตุ สะท้อน ‘สังคม-สถาบันครอบครัว’ กำลังล้มเหลว

แพรรี่ไพรวัลย์ โพสต์เฟซบุ๊ก ตกใจ 2 เรื่องบทสัมภาษณ์แม่ฆาตกรที่บอกว่าเป็นเรื่องของเวรกรรม เป็นเรื่องของอดีตชาติที่ฆาตกรกับเหยื่อเคยทำร่วมกันมา พร้อมสะท้อนมุมมอง สังคมและสถาบันครอบครัวกำลังล้มเหลว

จากเหตุการณ์โศกนาฏกรรมหนองบัวลำภู กราดยิงศูนย์เด็ก อบต.นากลาง ต.อุทัยสวรรค์ จ.หนองบัวลำภู ล่าสุด (7 ต.ค. 65) ไพรวัลย์ วรรณบุตร หรือ แพรรี่ ไพรวัลย์ ได้โพสต์เฟซบุ๊ก ให้ข้อคิดเห็น โดยระบุข้อความว่า... 

ได้ฟังบทสัมภาษณ์แม่ของฆาตกร ซึ่งให้สัมภาษณ์กับสื่อแห่งหนึ่งแล้วตกใจมาก ตกใจ 2 เรื่อง เรื่องแรก คือเรื่องที่แม่ของฆาตกรพูดคล้ายกับว่า เขารู้เห็นกับพฤติกรรมการเสพยาเสพติดของลูกชายมาโดยตลอด ทั้งยังให้สัมภาษณ์ประหนึ่งว่า พฤติกรรมเช่นนั้นเป็นเรื่องปกติ “เราอยู่ในสังคมที่คนในครอบครัวรู้เห็นและเมินเฉยกับการเสพยาเสพติดของสมาชิกในครอบครัว เรื่องนี้น่ากลัวมาก”

ตกใจเรื่องที่ 2 แพรรี่ไพวัลย์ ระบุว่า แม่ของฆาตกรมองว่า โศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องของเวรกรรม เรื่องของอดีตชาติที่ฆาตกรกับเหยื่อเคยทำร่วมกันมาเมื่อชาติที่แล้ว ดังนั้นมันควรเป็นสิ่งที่เราต้องอโหสิหรือให้อภัยกัน ซึ่งแพรรี่ไพวัลย์ แสดงความคิดเห็นว่า “วิธีคิดเช่นนี้เลวร้ายมากกับกรณีนี้ มันสะท้อนได้ชัดว่า สังคมของเรากำลังล้มเหลวมาก สถาบันครอบครัวล้มเหลว การกล่อมเกลาและการปลูกฝังเอาใจใส่สมาชิกในครอบครัวถูกละเลย ที่สำคัญที่สุด ความเชื่อทางศาสนา (บวกกับความเข้าใจผิดๆ) มีส่วนทำให้คนมองข้ามปัญหาและปัดความรับผิดชอบต่อความเลวร้ายที่เกิดขึ้นกับสังคม”

ต่อมาแพรรี่ไพรวัลย์ ยังได้โพสต์ข้อความ ให้ข้อคิดเห็นกรณี “ป. : ทำยังไงก็คนมันติดยา ?” ด้วยว่า ทำยังไงก็ได้ ให้มันอยู่ในที่ ๆ คนติดยาควรต้องอยู่ อยู่สถานบำบัด หรือเรือนจำพิเศษก็ให้อยู่ไป คนติดยา ไม่ควรใช้ชีวิตเหมือนคนปกติ ทั้ง ๆ ที่เขาไม่ปกติ การตรวจเยี่ยมและตรวจปัสสาวะต้องทำสม่ำเสมอ การสอดส่องดูแลลูกบ้านต้องเข้มงวด ที่สำคัญทำอย่างไรก็ได้ให้ยาเสพติดมันเป็นสิ่งที่ซื้อขายกันไม่ได้ง่ายเหมือนซื้อก๋วยเตี๋ยวหน้าปากซอย (แถมยังราคาถูกกว่าก๋วยเตี๋ยวอีก)

“ทำค่ะ ท่านมีอำนาจแล้วท่านต้องทำ ใช้อำนาจให้สมดุลกับสติปัญญาของท่านนะคะ จะได้เป็นประโยชน์กับสังคมและชาติบ้านเมือง” สำหรับเหตุกราดยิงหนองบัวลำภู แพรรี่ไพรวัลย์ สะท้อนมุมมองว่า ทุกครั้งที่โศกนาฏกรรมเกิดขึ้น สังคมควรถอดบทเรียน แม้เราจะรู้สึกโกรธแค้นหรือเจ็บปวดต่อการสูญเสียแค่ไหนก็ตาม เราต้องหาแนวทางเพื่อการแก้ไขป้องกันค่ะ ทำอย่างไรเหตุการณ์แบบนี้จะไม่มีทางเกิดขึ้นซ้ำอีก

การหาเหตุผลและแรงจูงใจในการทำผิด ไม่ได้เป็นเรื่องเดียวกับการหาความชอบธรรมให้กับฆาตกร (ฆาตกรยังไงก็คือฆาตกร) ในทางกลับกัน การมองให้เห็นถึงเหตุ เป็นการช่วยกันปิดกั้นและขัดขวางเพื่อไม่ให้ใครสักคนหนึ่งลุกขึ้นมาเป็นฆาตกรได้ง่ายๆ ต่างหาก ถ้าเราเกลียดฆาตกร เราก็ควรเกลียดต้นเหตุอะไรบางอย่าง ที่เปลี่ยนจิตใจของคนให้กลายเป็นฆาตกรด้วย

‘แพรรี่’ เคลื่อนไหว หลัง ‘ลีน่าจัง’ ไลฟ์ขอโทษ เผย ไม่เจ้าคิดเจ้าแค้น แต่การกระทำแย่ๆ ที่เกิดขึ้นขอจำ

(10 เม.ย.66) ดราม่า ลีน่า จัง กระชากวิก แพรรี่ ไพรวัลย์ กลางรายการช่องยูทูบของ มดดำ คชาภา ที่แพรรี่ ประกาศไม่ให้อภัย ขณะที่ลีน่า จัง ยอมไลฟ์ขอโทษหลังจากที่ก่อนหน้านี้โต้ดุเดือด ทำนองว่าทำกับดาราที่ดังกว่านี้ก็ยังไม่โกรธ ส่วนมดดำ รับช็อกและขอโทษทั้งแพรรี่และลีน่า จังนั้น

ล่าสุด เมื่อวันที่ 9 เม.ย.66 แพรรี่-ไพรวัลย์ วรรณบุตร ได้โพสต์อีกครั้งหลังจากที่ลีน่า จัง ไลฟ์สดขอโทษ โดยระบุว่า 

“ศาสนธรรมสอนดิฉันว่า การเป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้นเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำค่ะ แต่กระนั้นก็ตาม การกระทำแย่ๆ ใดๆ ก็ตามที่เกิดขึ้นกับเรา เราต้องจดต้องจำนะคะ

สำหรับดิฉัน เราไม่มีหน้าที่มานั่งโกรธเกลียดใครไปจนตายหรอกค่ะ แต่เป็นหน้าที่โดยตรงเลยนะคะ ที่เราจะต้องปกป้องดูแลตัวเอง

‘แพรรี่’ ฟาด!! คนต่อต้าน ‘พระเขื่อน’ ปมกล่าวหาเป็น ‘บัณเฑาะก์’ ลั่น!! เป็นการบวชที่มีพระวินัยรองรับ ย้ำ!! ไม่ใช่เรื่องของชาวเน็ต

(5 ก.ค. 66) ก่อนหน้านี้มีประเด็นดรามา ‘เขื่อน KOTIC’ หรือเขื่อน ภัทรดนัย บวชเข้าสู่ร่มกาสาวพักตร์ หลายคนได้ตั้งคำถามว่า พระเขื่อนบวชได้หรือ โยงดรามาบัณเฑาะก์ ซึ่งคำว่า บัณเฑาะก์ หรือบุรุษลักเพศ หมายถึง คนเพศบกพร่อง ซึ่งคนเพศบกพร่อง ในที่นี้หมายถึง คนที่มีความเบี่ยงเบนโดยกำเนิด คือ เขามีใจเป็นหญิงจนไม่สามารถข่มความเป็นหญิงนั้นได้เลย หรือคนแปลงเพศ หรือมีหน้าอกเหมือนสตรีแล้วนั่นเอง เทียบกับขันทีในยุคก่อน หรือมีเพศสองอย่างในคนเดียว

เดือดร้อนไปถึงพระผู้ใหญ่ที่ต้องออกมาชี้แจง ประเด็นนี้ว่า “แต่ถ้าหากบุคคลที่ต้องการบวชนั้น เป็น บุรุษเพศสมบูรณ์ หรือ บ่งว่าเป็นบุรุษ ก็สามารถบวชได้ ไม่ได้เกิดปัญหาแต่อย่างใด”

ต่อมาเมื่อวานนี้ (4 ก.ค. 66) แพรรี่ หรือไพรวัลย์ วรรณบุตร อดีตพระที่ผ่านกระแสโซเชียลมามาก ได้ออกมาโพสต์ฟาดประเด็นดังกล่าวผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว โดยระบุว่า

“มึงจะไปต่อต้านเขาทำไมคะ ในเมื่อเขาบวชภายใต้กฎเกณฑ์ที่พระวินัยให้การรับรอง เขาไม่ได้บวชภายใต้ความเห็นชอบจากชาวเน็ตอย่างมึงนะคะ

สงสัยอะไรก็ศึกษาเลยค่ะ ดิฉันเคยพูดไปหลายทีแล้วว่า เรื่องบัณเฑาะก์เนี่ย ท่านมีอธิบายไว้ชัดเลย ในคัมภีร์สมันตปาสาทิกา (คัมภีร์อธิบายพระวินัย) 

ซึ่งในคัมภีร์สมันตปาสาทิกา ระบุไว้ชัดว่า ในบัณเฑาะก์ 5 ประเภทนั้น บัณเฑาะก์ที่ห้ามการอุปสมบทอย่างเด็ดขาด มีแค่ 2 ประเภทเท่านั้น คือ 1.) บุคคลที่ถูกตอนอวัยวะเพศไปแล้ว (ปัจจุบันอาจหมายถึงคนที่แปลงเพศด้วย) กับ 2.) บุคคลผู้มีความบกพร่องทางอวัยวะเพศ (ระบุไม่ได้ว่าเป็นเพศไหน)

ถ้าถึงขั้นนี้ยังไม่กระจ่างก็ให้ไปดูในฎีกาวิมติวิโนทนี (คัมภีร์อธิบายความสมันตปาสาทิกาอีกชั้นหนึ่ง) ซึ่งพระฎีกาจารย์ท่านก็เขียนไว้ชัดเช่นกันว่า ที่บอกว่า 2 ประเภทนี้ ไม่ห้ามการบรรพชา นั่นก็คือหมายถึง อนุญาตการอุปสมบท

ศาสนาพุทธในเมืองไทยเป็นเถรวาทนะคะ ดังนั้นหากมีข้อสงสัยใดๆ ในพระธรรมวินัย ข้อสงสัยนั้นๆ ย่อมต้องตรวจสอบด้วยข้ออรรถข้อธรรม ซึ่งมีการอธิบายไว้ชัดในคัมภีร์ชั้นต่างๆ

ที่สำคัญเลย ดิฉันอยากจะบอกให้ทราบว่าการบวชจริงๆนั้น เป็นแต่เพียงขั้นตอนของการรับรองค่ะ มีพระอุปัชฌาย์เป็นผู้นำพาและรับผิดชอบในตัวกุลบุตรต่อหมู่สงฆ์ มีหมู่สงฆ์เป็นสักขีพยานในการรับรู้ถึงการมีอยู่ของภิกษุใหม่

การบวชไม่ใช่เรื่องของชาวเน็ตนะคะ พักก่อน ศาสนาให้พื้นที่กับผู้คนในการฝึกหัดขัดเกลาอุปนิสัยค่ะ บัณฑิตไม่ติเตียนใครอย่างปราศจากปัญญานะคะ

ภิกษุดีเลวไม่ได้วัดกันที่ว่าก่อนบวชมีพฤติกรรมอย่างไรค่ะ แต่วัดกันที่ว่าบวชแล้วครองตนอย่างไรต่างหาก

ปาราชิกข้อแรกมาจากพระผู้ชายนะคะ ไม่ได้มาจากพระบัณเฑาะก์ ฝากไว้ให้คิด แต่ถ้าจะไม่คิดก็แล้วแต่ จบ”

‘แพรรี่’ ยิ้มหวาน ลั่น!! ศาลรับฟ้องแล้ว กรณีถูกกระชากวิกผม แม้ความผิดฐานจะมีโทษเล็กน้อย แต่ไม่มีใครควรถูกด้อยค่า 

เมื่อวานนี้ (28 ส.ค.66) จากกรณีเหตุการณ์ฮือฮา ‘แพรรี่ ไพรวัลย์’ โดนพิธีกรรับเชิญในรายการเดียวกันกระชากวิกผมจนเป็นเหตุให้ทั้งสองฝั่งออกมาโต้ฝีปากกันดุเดือดเมื่อหลายเดือนก่อนและเหมือนกับว่าเรื่องจะเงียบไป

ทว่าล่าสุด บนเฟซบุ๊ก ไพรวัลย์ วรรณบุตร ได้โพสต์แจ้งว่าตอนนี้ศาลรับฟ้องคดีแพรรี่โดนกระชากวิกกลางรายการแล้ว โดยคู่กรณีที่กระชากวิกแพรรี่ ไพรวัลย์ จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมายเกี่ยวกับเรื่องนี้ โดย แพรรี่ ไพรวัลย์ โพสต์ข้อความผ่านทางเฟซบุ๊กไว้ดังนี้

“จากเหตุการณ์ที่ดิฉันถูกกระชากวิกจากศีรษะของดิฉันเมื่อหลายเดือนก่อน หลายคนอาจไม่ทราบว่า ดิฉันได้ใช้สิทธิทางศาลเพื่อดำเนินคดีกับบุคคลดังกล่าวนะคะ

นัดไต่สวนมูลฟ้องในวันนี้ คดีมีมูล ศาลจึงประทับรับฟ้องคดีดังกล่าวไว้พิจารณาแล้วค่ะ ทุกคนคะ การที่ดิฉันมาศาลวันนี้ ดิฉันเพียงต้องการแสดงจุดยืนในมุมของดิฉันว่า ทุกคนควรได้รับการให้เกียรติ และการปฎิบัติในฐานะเพื่อนมนุษย์อย่างเท่าเทียมกัน ไม่ว่าบุคคลเหล่านั้นจะเป็นชายจริงหญิงแท้หรือผู้มีความหลากหลายทางเพศ

การกระทำด้วยประการใดๆ ต่อผู้อื่น อันเป็นการรังแก ข่มเหง คุกคาม หรือกระทำให้ได้รับความอับอายหรือเดือดร้อนรำคาญเป็นเรื่องที่กฎหมายให้การคุ้มครองนะคะ ที่สำคัญ หากการกระทำดังกล่าวข้างต้น เป็นการกระทำในที่สาธารณสถานหรือต่อหน้าธารกำนัล หรือเป็นการกระทำอันมีลักษณะส่อไปในทางที่จะล่วงเกินทางเพศ ก็ยิ่งต้องระวางโทษเพิ่มขึ้น

อย่างไรก็ตาม แม้ความผิดฐานดังกล่าวจะมีโทษเพียงเล็กน้อย แต่ในฐานะผู้ถูกข่มเหงรังแกหรือกระทำให้ได้รับความอับอาย ดิฉันเห็นว่า เราไม่ควรละเลยต่อกฎหมายที่ให้ความคุ้มครองสิทธิ เสรีภาพ ตลอดจนศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของเราค่ะ

ไม่มีใครควรถูกด้อยค่า หรือถูกกระทำให้เป็นตัวตลกในสายตาของผู้อื่นนะคะ ทุกคนควรเรียนรู้ที่จะให้เกียรติกันค่ะ

ปล. กรุณาแสดงความเห็นด้วยความสุภาพนะคะ”

‘แพรรี่’ ประกาศลาจอสิ้นปีนี้ หลังอยู่หน้ากล้องมากว่า 1 ปี ยืนยัน!! ไม่มีใครไล่ แค่อยากไปทำตามความฝันของตัวเอง

(23 ก.ย.66) ทำเอาแฟนคลับและผู้ติดตามใจหายไปตามๆ ความคืบหน้าล่าสุด ‘แพรรี่ ไพรวัลย์ วรรณบุตร’ ครีเอเตอร์ พิธีกร และนักแสดงชาวไทย โพสต์ข้อความผ่านเพจเฟซบุ๊ก ไพรวัลย์ วรรณบุตร ประกาศอำลาวงการบันเทิง หลังจากทำงานหน้าจอมากว่า 1 ปีเต็ม

แพรรี่ ไพรวัลย์ ได้โพสต์ข้อความระบุว่า หลังปลายปี 2566 อาจไม่ได้เห็นตนทำงานอยู่หน้ากล้องอีก ขอบคุณแสงสีเสียงและผู้ใหญ่ใจดีที่เมตตา มองเห็นในความสามารถของตน ที่ตัดสินใจอำลาวงการบันเทิง บอกลาบทบาทฐานะนักแสดงและพิธีกร ไม่ใช่เพราะมีใครมาไล่ แต่เป็นเพราะอยากไปทำคาเฟ่ร้านอาหารตามที่เคยคิดไว้เมื่อสึกใหม่ ๆ พร้อมขอบคุณแฟนคลับที่ติดตามและคอยให้กำลังใจมาเสมอ

“ทำงานหน้ากล้องมากว่า 1 ปีเต็ม ตอนนี้ใกล้ถึงเวลาแล้วนะคะ ที่ดิฉันจะอำลาหน้าที่การงานที่ได้ทำอยู่ตอนนี้ ขอบคุณแสงสีที่สาดส่องเข้ามาตลอดระยะเวลาของการทำงานอยู่ในวงการบันเทิง (คงจะพูดได้แหล่ะ)

ขอบคุณโอกาสและความเมตตาเอ็นดูจากผู้ใหญ่หลาย ๆ ท่าน ซึ่งมองเห็นศักยภาพและความสามารถอันเล็กน้อยที่มีอยู่ในตัวของดิฉันนะคะ ถ้าไม่มีท่านเหล่านี้ ต่อให้ดิฉันจะอยากได้แสดงความสามารถแค่ไหน ก็คงไม่มีเวทีให้ได้แสดง

มีดวงเรืองก็ต้องมีดาวโรยอันนี้มันเป็นของคู่กันนะคะ ตอนนี้ดูเหมือนว่าดิฉันอยากจะรับบทเป็นดาวโรยแล้วหล่ะ ดิฉันคิดว่า ถึงเวลาที่ดิฉันควรจะหยิบหิ้วกระเป๋าสัมภาระและเก็บของนั่งรถกลับบ้านนาที่จากมาได้แล้ว

ต้องบอกนะคะว่า การที่ดิฉันได้มาอยู่ตรงจุดนี้ จุดที่ตัวเองกำลังยืนอยู่ มันเป็นเรื่องที่เกินฝันมาก ๆ และถึงตอนนี้ก็ไม่มีความทะเยอทะยานอะไรที่ดิฉันอยากจะได้รับมากไปกว่านี้แล้วค่ะ

คงต้องขออนุญาตขอบคุณและบอกลากันตั้งแต่เนิ่น ๆ ว่า หลังปลายปีนี้ คงจะไม่ได้เห็นดิฉันในบทบาทฐานะของนักแสดงและพิธีกรตามรายการต่าง ๆ อย่างที่เคยเห็นมาแล้วนะคะ และก็ไม่ใช่เป็นเพราะว่ามีใครที่ไหนมาขับไล่ไส่ส่งดิฉันให้ไปจากจุดนี้ ไม่มีค่ะ

ทุกเรื่องเป็นเพราะดิฉันได้ตัดสินใจด้วยตัวเองแล้วว่าดิฉันต้องการให้ชีวิตของตัวเองดำเนินต่อไปแบบไหน ด้วยหน้าที่การงานอย่างไร เมื่อตัดสินใจแล้วก็ต้องเลือกและแลกค่ะ

ปีหน้าหลังหมดงานในวงการ คงมีหลายเรื่องที่ดิฉันอยากทำและได้ทำเพื่อตัวเองอย่างจริง ๆ จัง ๆ ทั้งการปลูกผมที่คิดไว้นานแล้ว การได้อยู่ดูแลแม่ด้วยตัวเอง ซึ่งระยะหลังนี้ แม่ก็พูดเปรย ๆ ว่ารู้สึกมีความสุขและมีกำลังใจมากขึ้นเวลาที่เราอยู่บ้านด้วย อีกเรื่องก็การทำคาเฟ่ร้านอาหาร นี่ก็เป็นความฝันที่เคยสัญญากับตัวเองไว้ตอนสึกใหม่ ๆ ว่าอยากทำ คงถึงเวลาที่ต้องทำตามสัญญาแล้วหล่ะ

ขอบคุณทุกคนที่คอยติดตามและให้กำลังใจกับดิฉันมาโดยตลอดนะคะ ขอบคุณที่รักและเอ็นดูความเป็นแพรรี่ในตัวของดิฉัน ขอบคุณที่เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้บทบาทของการทำงานในวงการบันเทิงของดิฉันประสบความสำเร็จในแบบที่ดิฉันพอใจ ขอบคุณค่ะ”

หลังจากแพรรี่โพสต์อำลาวงการบันเทิง แฟนคลับต่างเข้ามาแสดงความคิดเห็นเป็นจำนวนมาก ส่วนหนึ่งบอกว่า เคารพทุกการตัดสินใจของแพรรี่ และร่วมยินดีกับเส้นทางที่เลือกเดิน รวมถึงบางส่วนบอกว่าจะสนับสนุนแพรรี่ต่อไป หากคาเฟ่ร้านอาหารเปิดเมื่อไรจะเดินทางไปอุดหนุน

แม้เส้นทางในวงการบันเทิงจะสิ้นสุดลง แต่แฟน ๆ ยังสามารถติดตามคุณแพรรี่ ไพรวัลย์ และสนับสนุนเส้นทางที่คุณแพรรี่เลือกต่อไปได้ ไม่ว่าจะเลือกเส้นทางไหนก็ขอให้ประสบความสำเร็จสมความตั้งใจทุกประการนะคะ

'แพรรี่' อธิบายในสมัยพุทธกาล ภิกษุในธรรมสภาต่างพร้อมใจกันเงียบเสียง ตอบคำถาม!! เหตุใดพระพุทธเจ้าถึงสอนธรรมะคนเป็นพัน โดยไม่ต้องใช้ไมโครโฟน

(16 ธ.ค.66) กรณี ‘น้องไนซ์ นิรมิตเทวาจุติ’ เด็กชายวัย 8 ขวบ ที่อ้างว่าเป็นร่างอวตารองค์เพชรภัทรนาคานาคราช สามารถเชื่อมจิตได้ สามารถหยั่งรู้เรื่องราวต่างๆ ทั้งในอดีตและอนาคต แค่เห็นแววตาคนก็จะรู้ได้ว่าใครมีกรรม หรือเคยเป็นนางฟ้ากลับชาติมาเกิดบ้าง โดยมีลูกศิษย์หลายพันคน และมีการตั้งกลุ่มในโอเพนแชต

โดยล่าสุดนั้น น้องไนซ์ได้ให้สัมภาษณ์ว่า “พระพุทธเจ้าในสมัยที่ท่านสอนธรรมะ บางคนบอกว่า ไม่มีการเชื่อมจิต แต่ที่จริงมีการเชื่อมจิตครับ คือการสอนในสมาธิครับ ในยุคนั้นไม่มีไมโครโฟน คนมาฟังท่านตั้งร้อยพันคน ถ้าท่านไม่สอนในจิต เขาจะได้ยินยังไง คิดกันบ้างสิครับ”

เกี่ยวกับประเด็นนี้ ล่าสุด ‘แพรรี่ ไพรวัลย์ วรรณบุตร’ อดีตพระชื่อดัง ได้โพสต์เฟซบุ๊กอธิบายถึงกรณีนี้ว่า

“พระพุทธเจ้าสอนคนเป็น 100 เป็น 1,000 ได้ยังไง

ประเด็นเรื่องที่ว่าพระพุทธเจ้าสอนธรรมอย่างไร ในกรณีที่คนฟังมีอยู่เป็นร้อยเป็นพัน ท่านได้เชื่อมจิตไปสอนในสมาธิแบบที่มีคนกล่าวอ้างหรือไม่ ดิฉันจะขอตอบให้แบบสั้นๆ นะคะ

เรื่องนี้ถ้าคนที่เคยศึกษาคัมภีร์ทางศาสนามาบ้าง จะเข้าใจได้ไม่ยากเลยค่ะ

มีหลายที่ในพระสูตรที่พระพุทธเจ้าตรัสชมภิกษุบริษัทของท่านว่ามีกิริยาอาการงดงาม มีความเคารพเป็นอย่างดีทั้งในตัวท่านและในพระธรรมที่ท่านเทศนาสั่งสอน

ในสมัยพุทธกาล เวลาที่ภิกษุบริษัทท่านอยู่ในธรรมสภานะคะ และท่านเห็นพระพุทธเจ้าเสด็จมา ทุกรูปจะต้องพร้อมใจกันเงียบเสียงค่ะ

นี่ในพระสูตรและอรรถกถากล่าวตรงกันเลย เป็นเรื่องของพุทธคารวตา และธรรมคารวตา (คือการแสดงความเคารพต่อพระพุทธเจ้าและพระธรรม)

ในพระสูตรกล่าวถึงขนาดว่า แม้แต่เสียงจามและเสียงไอยังไม่มีเลยนะคะ

ดังนั้นไม่ต้องพูดถึงว่าพวกภิกษุบริษัทเหล่านั้น จะพากันสนทนาหรือพูดคุยเรื่องอื่นใดๆ ต่อหน้าพระพุทธเจ้า

พระพุทธเจ้าท่านตรัสเปรียบด้วยว่า ถ้าท่านเงียบอยู่อย่างนั้นตลอดกัป ภิกษุบริษัทก็จะพากันเงียบอยู่อย่างนั้น จะไม่มีภิกษุรูปใดรูปหนึ่งกล้ายกเรื่องอื่นขึ้นพูดก่อนที่พระองค์จะแสดงธรรม

นี่เป็นเรื่องของมารยาทและอาจาระของภิกษุในสมัยพุทธกาลนะคะ

เรื่องนี้ พระเจ้าอชาตศัตรู ก็เคยพูดถึงไว้อย่างอัศจรรย์พระทัย

เมื่อคราวที่หมอชีวกโกมารภัจจ์พาพระองค์ไปเฝ้าพระพุทธเจ้าครั้งแรกที่อัมพวัน

คือที่อัมพวันเนี่ย พระพุทธเจ้าประทับอยู่กับภิกษุ 1,250 รูป แต่พอพระเจ้าอชาตศัตรูไปถึงกลับเหมือนวัดร้าง

คือมันไม่มีเสียงเจี๊ยวจ๊าว หรือเสียงพูดคุยกันของภิกษุในอัมพวันนั้นเลย

ความเงียบที่ว่านี้ ถึงกับทำให้พระองค์สงสัยว่า ตัวเองกำลังถูกลวงมาลอบปลงพระชนม์นะคะ

อันนี้ก็เป็นเรื่องของอาจาระและวัตรปฏิบัติในการอยู่อย่างสมณะในสมัยพุทธกาลค่ะ ไม่ใช่เรื่องของความวิเศษอะไรเลย

ถ้าใครศึกษาคัมภีร์ทางศาสนามาบ้างจะทราบดีว่าพระพุทธเจ้าตำหนิการอยู่แบบคลุกคลีตีโมง (การเผยแผ่ศาสนาในยุคแรกจึงห้ามการไปทางเดียวกัน 2 รูปไงคะ)

นอกจากพระเจ้าอชาตศัตรู ก็ยังมีพระเจ้าปเสนทิโกศลอีกพระองค์หนึ่งนะคะ ที่อัศจรรย์พระทัยกับอากัปกิริยาของภิกษุบริษัทของพระพุทธเจ้า

อย่างที่เคยตรัสถึงเหตุที่ทำให้พระองค์มีความเคารพศรัทธาอย่างมากเหลือเกินในพระพุทธเจ้าและพระธรรมว่าสมัยใด ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงธรรมแก่บริษัททั้งหลายอยู่ ในบริษัทนั้นสาวกทั้งหลายของพระผู้มีพระภาคเจ้า

จะไม่มีเสียงจามหรือเสียงไอเลย เป็นเรื่องน่าอัศจรรย์มาก ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงฝึกพระสาวกได้ดีแล้วอย่างนี้ โดยไม่ต้องใช้อาชญา โดยไม่ต้องใช้ศาสตรา ข้าพระพุทธเจ้าไม่ทรงเคยได้เห็นบริษัทอื่นที่ฝึกได้ดีอย่างนี้ นอกจากบริษัทในพระธรรมวินัยนี้

คือแม้แต่พระองค์เองซึ่งเป็นกษัตริย์ มีอำนาจมากก็ยังไม่อาจฝึกข้าราชบริพารไม่ให้พูดสอดขึ้นในระหว่างที่พระองค์กำลังตรัสอยู่ได้เช่นพระพุทธเจ้าเลย

ดังนั้น การสอนธรรมกับคนจำนวนมากของพระพุทธเจ้า จึงเป็นเรื่องของการสื่อสารจำเพาะ ระหว่างพระองค์กับกลุ่มสาวกบริษัทที่ได้รับการฝึกหัดด้วยพระธรรมวินัยอย่างดีแล้วค่ะ

ไม่ใช่เรื่องของการเชื่อมจิต หรือใช้เทคนิคทางอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์แต่อย่างใด

แต่ถึงอย่างนั้นนะคะการบอกว่าในธรรมสภามีภิกษุจำนวนมาก ก็ได้หมายความว่าภิกษุจำนวนเท่านั้นทั้งหมด ต้องเป็นผู้ได้ยินได้ฟังธรรมเท่ากันนะคะ

ที่สำคัญในกรณีที่ทรงสอนธรรมกับคนทั่วไปเป็นจำนวนมากๆ มันก็มีทั้งที่ตั้งใจฟังและไม่ตั้งใจฟังเป็นเรื่องปกติค่ะ

มีทั้งที่ฟังแล้วเข้าใจและบรรลุธรรมก็มี มีทั้งที่ฟังแล้วไม่เข้าใจและไม่บรรลุอะไรเลยก็มี ไม่ใช่ว่าสอนได้ทั้งหมด บรรลุธรรมทั้งหมด ไม่ใช่ค่ะ

ต้องเข้าใจให้ชัดแบบนี้ก่อนนะคะ เรื่องการสอนธรรมของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่พูดส่งเดชไปเรื่อย

แล้วก็ที่ยังขายอยู่นั่นก็คือปลาอินทรีแดดเดียว ปลาหวานเนื้อปลาอินทรี น้ำพริกหรือทุเรียนทอด ฟังธรรมแล้วก็มาสั่งกันบ้าง จบ”
 

‘แพรรี่’ ลั่น!! ‘ปีชง’ ไม่มีจริง วอนหยุดหากินกับความเชื่อ พร้อมย้ำ!! 365 วัน ชีวิตคนเราต้องเจอปัญหาอยู่แล้ว

(9 ม.ค.67) กลายเป็นคลิปวิดีโอไวรัลในข้ามคืน เมื่ออินฟลูเอนเซอร์ชื่อดังอย่าง ‘แพรรี่ ไพรวัลย์’ หรือ ‘ไพรวัลย์ วรรณบุตร’ ได้ออกมาอัดคลิปวิดีโอฟาดแรงถึงความเชื่อว่า ปีชงมีไว้หลอกคนโง่

โดยในคลิปวิดีโอดังกล่าว ‘แพรรี่ ไพรวัลย์’ พูดว่า “ใช้ชีวิตมา ต่อให้เป็นปีที่ไม่ชง ไม่เกิดปัญหาเลยเหรอ ใช้ชีวิตมา 300 กว่าวัน คือชีวิตดีมากว่างั้น ปีนี้ไม่ชงก็เลยสบาย ทำอะไรชิล ๆ ทำอะไรดีหมดทั้งปี มีเหรอ ไม่มีค่ะ ต่อให้ไม่ชง ชงหรือไม่ชง ชีวิตต้องมีปัญหา”

“มีใครกล้าบอกไหม สมมติปีที่แล้วไม่ชง ชีวิต 365 วัน ที่ผ่านมาดีหมด ไม่มีปัญหา ไม่มีติดขัด มีเหรอ มันไม่มี ปีชงมันมีไว้สำหรับหลอกคนโง่ค่ะ”

เพราะมันขายของได้ไง ถ้ามันบอกว่ามันชง ปีชงตามมาด้วยการทำพิธีกรรม ทุกอย่างแก้ได้ด้วยการเสียเงิน หรือจะเถียง ที่มันบอกว่ามีเคราะห์ ที่มันบอกว่าชง เดี๋ยวมันให้วิธีแก้ชง แต่วิธีแก้ชง ก็คือเสียเงินแน่นอน เดี๋ยวมันแนะนำให้ไปทำพิธีวัดนู้นวัดนี้ แต่เสียเงิน”

เจ้าตัวยังพูดอีกว่า จะไปชงกับใครก็ไป แต่ไม่ได้ชงกับแล้วคนนึง ไม่ได้กินเงินตนค่ะ ไม่ต้องมาชงกับตน ตนชงเองได้ เอ้าลองคิดดูให้ดี ใช้สติปัญญาให้ดีว่าไอ้ที่เขาบอกว่าคุณชง ปีโน้นคุณชง มันตามมาด้วยอะไร หนึ่ง ถ้าเขาบอกว่าปีนี้คุณชง คุณไม่สบายใจละ ถ้าเขาบอกราศีนี้ชง ร้อยทั้งร้อย คนที่เชื่อเรื่องดวง เชื่อเรื่องราศี ฟังแล้วไม่สบายใจ

เมื่อไม่สบายใจ ตามมาด้วย การต้องทำอะไรสักอย่างหนึ่ง เพื่อแก้ชง เพราะคิดว่าการทำพิธีสิ่งที่ไม่ดี หรือสิ่งที่ชง จะไม่เกิด เสียเงิน เสียเงินแน่นอน มากน้อยต้องเสีย แล้วจะไปเชื่อทำไม ความเชื่อที่ทำให้เราต้องเสียเงินเสียทอง ความเชื่อที่ทำให้เราไม่สบายใจ เราจะไปเชื่อทำไม

ทั้งนี้ แพรรี่ ไพรวัลย์ พร้อมฝากถึงคนที่หากินกับความเชื่อว่า “ถ้าคุณหากินกับความเชื่อแบบนี้ ต้องเจอตน หลอกคนได้หลอกไป แต่เจอตนแน่นอน อีพวกหากินกับความเชื่อคน อาชีพมีเยอะแยะ มีมือมีเท้าก็ไปทำสิ มาหลอกกินกับความเชื่อกับคน

เดี๋ยวจัดพิธีไหว้ของดำ ราหู ถามหน่อย พระพุทธเจ้าบอกไว้ในพระไตรปิฎกเล่มไหน ไหว้ของดำ ไหว้ราหูเนี่ย พระไตรปิฎกเล่มไหนสอน

พวกหมอดูทำไป ก็ยังทำเนานะ มันเป็นอาชีพ แต่เดี๋ยวนี้ลามไปยังวัด พาคนไปสวดสะเดาะเคราะห์ มีในไหนเนี่ยพระไตรปิฎก ชีวิตง่ายขนาดนั้นไม่ต้องมีศาสนาพุทธค่ะ ไปนั่งเอาสายสิญจน์พันหัว มึงไม่เอาพันคอไปเลยหล่ะ จะได้หมดทุกข์ไปเลย

พร้อมทิ้งท้าย ว่า “จะเชื่อก็เชื่อไป ตนไม่ได้ว่าไร คุณจะทำ ก็ทำไป ตนไม่ได้ว่าอะไร แต่มีคนมาถาม ตนก็จะพูดแบบนี้ เพราะตนไม่เชื่อ ตนมีหน้าที่ให้สติคน ไม่ได้ไปล้ำเส้นความเชื่อพวกคุณหนิ ถ้าตนไปพังพิธีคุณ ว่าไปอย่าง”

งานนี้เจ้าตัวยังมีการอัปคลิปวิดีโอวิพากษ์วิจารณ์ความเชื่อในเรื่องต่าง ๆ อีกด้วย ทั้งเบญจเพส, สีเสื้อมงคล, ความเชื่อทางศาสนาอื่น ๆ ท่ามกลางคอมเมนต์จากชาวเน็ต

'หมอลักษณ์' เดือด!! ปม ‘แพรรี่’ วิจารณ์ปีชงมีไว้หลอกคนโง่ ซัด!! สร้างคอนเทนต์หิวแสง ไม่มีความรู้ และเพ้อเจ้อเอามัน

(10 ม.ค.67) กลายเป็นอีกประเด็นให้ถกเถียงกันผ่านโซเชียลมีเดีย เกี่ยวกับเรื่องปีชง ล่าสุด เพจเฟซบุ๊ก ‘โหรฟันธง ลักษณ์ เรขานิเทศ’ ของหมอลักษณ์ ราชสีห์ ได้โพสต์ข้อความเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว โดยระบุว่า... 

"ประกาศให้คนไทยเชื้อสายจีนและคณะศิษย์สาธุชน ที่มีความเชื่อถือศรัทธาในวิถีศาสตร์ ประเพณีวัฒนธรรมในโหราศาสตร์จีน พุทธศาสนาแบบพุทธมหายาน จีนนิกาย ได้ทราบตอนนี้ มี โมฆบุรุษ ลักเพศ หิวเเสง ออกมาบริภาษสร้างเรื่องสร้างคอนเทนต์แบบไม่มีสติ ใช้ปัญญาอันต่ำทราม พูดถึง กล่าวถึง ส่อเสียด แบบเพ้อเจ้อ เหยียบย่ำ ให้ร้าย (ว่าปีชงมีไว้หลอกคนโง่) ในสิ่งที่ตนไม่มีความรู้ ประสบการณ์ ด้วยลักษณะอาการมันปาก สนุกปาก ในประเด็น ‘ปีชง’ อันเป็นศาสตร์ วิชา โหราศาสตร์จีน โปยหยี่สี่เถียว ฯลฯ อันมีปราชญ์ ผู้รู้ บรมครู สืบวิชามายาวนาน ทั้งพระในพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน จีนนิกายมากมาย ท่านเอาศาสตร์นี้ไว้เป็นแนวทางเตือนสติให้ขวัญกำลังใจ ให้มีวิถีบูชาพระ เข้าวัดปฏิบัติบูชาพระไภษัชยคุรุ ตามแนวทางให้ปฏิบัติบูชาระลึก เทพเทวา และบรรพบุรุษ ด้วยหลักกตัญญูกตเวทิตา เป็นความเชื่อถือศรัทธาของผู้มีศรัทธามากมาย

การมาพูดให้ร้าย ด่าทอ หยาบคาย โดยตนไม่มีความรู้ในศาสตร์ วิชา ทั้งยังพูดส่อเสียด โดยขาดธรรม /สติปัญญา เป็นเรื่องที่ไม่สมควรอย่างยิ่ง อาจารย์จึงแชร์เพจของปราชญ์ผู้รู้ที่เป็น กัลยาณมิตรมาช้านาน ที่เคารพนับถือซึ่งและกันมาให้คณะศิษย์สมาชิกได้ติดตามในองค์ความรู้ วิชา ที่เป็นประโยชน์ในทางโลกสำหรับทุกๆ คนครับ

ขอให้ติดตามเพจที่ให้ความรู้ ‘พุทธสถาน จีเต็กลิ้ม จ.นครนายก’ วัดเล่งเน่ยยี วัดเล่งฮกยี่ วัดจีนประชาสโมสร สมาคม ชมรม ศาลเจ้าจีน โรงเจทั่วประเทศ ที่มีกิจกรรม พิธีกรรม ไหว้พระ ฝากดวง ปัดตัวแก้ปีชง ปัดดวงฝากดวงองค์ไท้ส่วยเอี๊ย แก้ปีชงกันทั้งแผ่นดิน ได้เห็นรับรู้ถึงสถานการณ์ปัจจุบัน ที่มีบุคคลให้ร้ายกล่าวโทษพูดพร่ำในสิ่งที่ตนไม่มีความรู้ ระราน วิถีความเชื่อถือศรัทธาที่สืบมายาวนาน ที่คนไทยเชื้อสายจีนและผู้เชื่อถือศรัทธาปฏิบัติมาช้านาน ลักษณ์ ราชสีห์ สายตระกูล แช่อึ๊ง"

โดยหมอลักษณ์ ยังได้คอมเมนต์เพิ่มเติมอีกว่า งานนี้ก่อศัตรูกับวัดจีน ศาลเจ้า โรงเจ มูลนิธิ สมาคมจีนทั้งแผ่นดินที่มีความเชื่อถือ ยึดถือปฏิบัติมาช้านานเป็นพันปี ทั้งยังนักโหราศาสตร์จีน ซินแส ทุกๆ คน ว่าไงครับ โดนย่ำยี ว่า “ปีชงเอาไว้หลอกคนโง่”

‘แพรรี่’ เตือนสติ!! ไม่มีพระปางไหนช่วย ‘ปลดหนี้’ ได้ ขนาดพระยังบิณฑบาตหาเลี้ยงชีพ ชี้!! ควรไปทำงาน

(26 ม.ค.67) กลายเป็นไวรัลในข้ามคืน เมื่ออินฟลูเอนเซอร์ชื่อดังอย่าง ‘แพรรี่ ไพรวัลย์’ หรือ ‘ไพรวัลย์ วรรณบุตร’ ได้ออกมาโพสต์คลิป ฟาดกระแส ‘พระพุทธรูปปางปลดหนี้’ ในวัดแห่งหนึ่งที่ จ.พระนครศรีอยุธยา ที่ทำให้มีประชาชน กำลังศรัทธาแห่ไปกราบไหว้เพื่อความเป็นสิริมงคล และหวังให้ช่วยปลดหนี้ในยุคเศรษฐกิจไม่ดีกันเป็นจำนวนมาก

โดยระบุว่า “ล่าสุดเห็นพระพุทธรูปปางปลดหนี้ของอาจารย์ท่านหนึ่ง คนแห่ไปไหว้เยอะมาก ไม่ได้ไหว้เพราะเชื่อว่าเป็นพระพุทธเจ้านะ แต่ไหว้เพราะชื่อรุ่นที่เรียก

อยากหมดหนี้ก็ไปทำงานค่ะ ทำงานเสร็จเก็บเงินใช้หนี้เขาก็หมด ไม่ใช่ไหว้พระ ไม่มีพระรูปไหนช่วยได้ พระไม่มีเงิน พระพุทธเจ้าตอนพระองค์บวชได้ทิ้งสมบัติไปหมด เหมือนท่านบ้วนน้ำลายทิ้ง

ขนาดพระราหุลไปขอยังไม่ได้โภคสมบัติเลย แต่พระองค์จับบวชเณรให้อริยทรัพย์ที่มั่นคง ติดตัวเป็นพระอรหันต์ ให้หมดกิเลส ถ้าให้โภคทรัพย์ ปีบเดียวหมด ใช้ไม่ดีเดี๋ยวก็หมด ขนาดลูกในไส้ท่านยังไม่ให้เลย แล้วเราเป็นใครจะไปขอ

หลวงพ่อรุ่นปลดหนี้ คิดว่าท่านจะให้เหรอ ถ้าท่านพูดได้ท่านคงบอกให้ไปทำงาน ตั้งใจทำงาน เก็บเงิน แบ่งส่วนหนึ่งไว้กินไว้ใช้

ส่วนหนึ่งทยอยจ่ายหนี้ ใช้หนี้เก่าไม่สร้างหนี้ใหม่ ยังไงก็หมด ไม่ใช่หนี้เก่ายังไม่ใช้ หนี้ใหม่ก่อเรื่อยๆ ทุกวัน 10 พระพุทธเจ้าก็ช่วยคุณไม่ได้ค่ะ

จะมาปางปลดหนี้ปลดสินอะไรล่ะ คนเราถ้าเป็นแบบนี้ทุกคนก็ไม่ต้องสนใจแล้ว วันๆ เอาแต่ก่อหนี้สร้างหนี้ จะแก้หนี้ก็ไปไหว้พระ มันก็ขัดกับหลักเหตุปัจจัย ไม่ถูกตามหลักอริยสัจ ทุกข์ใดใครก่อคนนั้นก็ต้องแก้ ใครจะไปช่วยได้ หนี้คุณเป็นคนยืมก็ต้องใช้ ใครจะไปใช้แทน

พระพุทธเจ้าไม่มีสมบัติแล้ว จะเอาสมบัติไหนมาใช้หนี้ให้ ไม่มีคำสอนในศาสนาไหนที่พระมาใช้หนี้ให้ฆราวาส อย่าไปไหว้กัน ไม่มีพระพุทธรูปปางไหนปลดหนี้ให้ได้ ไม่อยากเป็นทุกข์ก็ก่อหนี้ให้น้อย ก่อหนี้เฉพาะเรื่องที่จำเป็นที่สุด ก่อหนี้อันไหนใช้อันนั้นก่อน อย่าก่อหนี้ไปเรื่อย

บางคนก่อหนี้เหมือนมี 10 มือ คนเดียวมีแค่ 2 มือ เดือนหนึ่งทำงานได้หลักหมื่น ก่อหนี้หลักแสนหลักล้าน เมื่อไหร่จะใช้หนี้หมด ก่อเดียวที่ควรจะก่อ คือ ก่อร่างสร้างตัว ไม่ใช่ก่อหนี้ก่อสิน

ก่อให้มันน้อยๆ จะได้ไม่ต้องลำบากพระ จะได้ไม่ต้องมีพระรุ่นปลดหนี้ แถมทำเหมือนรู้ยุคนี้คนเป็นหนี้เยอะ ก็เลยสร้างให้กราบไหว้กัน

ถ้าขอกำลังใจ ขอความเข้มแข็ง ขอสติปัญญาจากพระได้ค่ะ แต่กลับบ้านก็ต้องจัดการตัวเองทั้งนั้น ไม่มีพระองค์ไหนตามเรากลับบ้านมา พระประธานท่านก็อยู่ในโบสถ์ วิหาร วัด ท่านให้ได้อย่างมากธรรมะ แง่คิด ปฏิบัติตามธรรมะ มีธรรมเป็นที่พึ่ง ที่ยึดเหนี่ยว กลับมาบ้านก็ตัวเราแก้ไขจัดการเอง”

พร้อมกันนี้ แพรรี่ ยังได้ออกมาโพสต์ข้อความเพิ่มเติมในเฟซบุ๊กด้วยว่า…

“พระพุทธรูปมีอยู่แค่ปางเดียวเท่านั้นค่ะ นั่นก็คือปางปลดทุกข์ ไม่มีหรอกค่ะ ปางปลดหนี้ มีทุกข์อ่ะ พระท่านช่วยได้ เพราะท่านมีธรรมะให้เราเอาไว้สำหรับปลอบประโลมใจ
มีธรรมะแล้วจิตใจมันก็เข้มแข็งเด็ดเดี่ยว มันก็อยากจะสู้ อยากจะหันกลับมาอยู่ในทางที่เป็นสัมมาชีพ อยากจะทำงานเก็บเงิน ใช้หนี้ใช้สิน แล้วสุดท้ายมันก็จะหมดหนี้ค่ะ แล้วสุดท้ายมันก็จะปลดหนี้ได้ค่ะ

มีหนี้ต้องทำงานใช้หนี้เท่านั้นค่ะ จัดการหนี้เก่า ไม่ขยันสร้างหนี้ใหม่ มีวินัยในการอดออม ชีวิตดีขึ้นแน่นอนนะคะ

มีหนี้ แต่ไม่มีความรับผิดชอบ ต่อให้มีพระพุทธเจ้า 10 พระองค์ ท่านก็ช่วยใครไม่ได้หรอกค่ะ

ปล. ขนาดพระท่านยังต้องบิณฑบาตเลี้ยงชีพเลย”

งานนี้เมื่อแชร์ออกไปชาวเน็ตเข้ามาคอมเมนต์แสดงความคิดเห็นสนั่น ทั้งในมุมมองชื่นชมแพรรี่ ที่ออกมาพูดเตือนสติผู้คนแบบตรงไปตรงมา พร้อมสนับสนุนให้ยึดหลักไม่สร้างหนี้ ก็จะหมดหนี้ไปเอง ขณะที่บางส่วนก็ไม่เห็นด้วยกับประเด็นดังกล่าว


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top