Tuesday, 20 May 2025
แทนคุณ_จิตต์อิสระ

‘อี้-แทนคุณ’ กระตุกมุมคิด!! ทิศทางข้างหน้า ‘ประชาธิปัตย์’ อุดมการณ์แห่งพรรคที่ยึดมั่นความซื่อสัตย์ ต้องหวนคืน

(8 ธ.ค.66) จากรายการ ‘ถลกข่าว ถลกปัญหา’ เมื่อวันที่ 7 ธ.ค.66 ดำเนินรายการโดย สถาพร บุญนาจเสวี ได้พูดคุยกับ นายแทนคุณ จิตต์อิสระ รักษาการประธานคณะกรรมการส่งเสริมสิทธิมนุษยชนและความเท่าเทียมระหว่างเพศ พรรคประชาธิปัตย์ ในหัวข้อ ‘ประชาธิปัตย์ What's next?’ มีเนื้อหา ดังนี้...

หากให้พูดถึง ทิศทางในอนาคตของ ‘ประชาธิปัตย์’ คงต้องมองที่ ‘เอกภาพทางความคิด’ ว่าจะเป็นไปในทิศทางใดมากกว่า โดยส่วนตัวของผมเองมองว่า พรรคประชาธิปัตย์ในวันนี้ ได้บทเรียนหลายประการจากการเลือกตั้งที่ผ่านมา หรือแม้แต่การเลือกตั้งก่อนหน้านั้นก็ดี ว่า การที่เราไม่สามารถสร้าง ‘เอกภาพ’ หรือความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันใน ‘ทางความคิด’ ได้ อาจจะเป็นปัญหาในอนาคต 

แน่นอนว่า เราอาจจะภูมิใจว่า เราเป็นพรรคการเมืองที่มีเสรีภาพในการคิดหรือพูดได้อย่างมากมาย ซึ่งถือเป็นเรื่องดี แต่ในวันที่เราต้องเดินหน้าไปในทิศทางเดียวกัน การมีเอกภาพทางความคิดสำคัญมากจริง ๆ เพราะเสรีภาพจากจำนวนคนในพรรค รวมถึงสมาชิกพรรคเรือนแสนคนนั้น มันอาจทำให้เราหลงทิศ 

เราฟังความคิดที่หลากหลายได้ครับ!!

แต่สุดท้าย!! เวลาที่ต้องตัดสินใจเรื่องใด ทุกคนที่เป็นเลือด ปชป.ควรมุ่งมั่นและมีวินัย ในการเดินหน้าตามครรลองของความเป็นพรรคแห่งที่มีความเชื่อมั่นจากประชาชนในด้าน ‘ความซื่อสัตย์’ ใช่หรือไม่? เรื่องนี้สำคัญ!! 

คุณอี้ กล่าวต่อว่า 77 ปีของพรรคประชาธิปัตย์ ถ้าเปรียบเป็นต้นไม้ คือ ใหญ่มาก และสิ่งที่สำคัญต่อพวกเรามาก ๆ ในหลายปีที่ผ่านมา ก็คือ ‘ป่า’ ซึ่งป่าในที่นี้ก็คือ ‘ประชาธิปไตย’ และ ‘ประชาชน’ ที่สร้างเราให้เข้าเป็นส่วนหนึ่งของประเทศ ภายใต้ความเชื่อมั่นว่า พรรคประชาธิปัตย์ คือ พรรคแห่งความซื่อสัตย์ ฉะนั้นต่อให้เราจะยืนหยัดมานานแค่ไหน แต่เราจะลืม ‘ประชาธิปไตย-ประชาชน’ ที่ปลุกปั้นให้เรามีตัวตนไม่ได้ 

ผมเชื่อว่า ‘ความสุจริต’ ประชาธิปไตยที่สุจริต จะเป็นจุดแข็งที่สุดของประเทศไทย เพียงแต่วันนี้ผมก็ไม่แน่ใจว่า มันจะหายไปเพียงเพราะความเห็นแก่ผลประโยชน์เพียงชั่วขณะแค่ไหน 

ทั้งนี้ คุณอี้ ยังกล่าวอีกว่า การได้อยู่กับพรรคที่มีอุดมการณ์ในแง่ของความรักชาติบ้านเมืองและมีความซื่อสัตย์สุจริตอย่างพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งก็ไม่ได้หมายความว่าพรรคอื่น ๆ ใช่ว่าจะไม่มีอุดมการณ์ที่กล่าวมานั้น สะท้อนให้เห็นผ่านการทำงานทั้งการเป็นฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านที่ไม่เคยมีข้อครหาในเรื่องของคอร์รัปชัน ซึ่งตรงนี้เป็นจุดแข็งและเป็นอุดมการณ์ที่มั่นคงของพรรคประชาธิปัตย์มายาวนาน และหวังให้ประเทศไทยใช้สิ่งนี้เป็นจุดแข็งของประเทศด้วยในอนาคต

อย่างตอนที่สมัยรัฐบาลท่านอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ตอนนั้นพอเกิดปัญหาแม้เพียงเล็กน้อย เช่น ปัญหาปลากระป๋องเน่า ท่านอภิสิทธิ์ก็ให้รัฐมนตรีที่ดูแลต้องรับผิดชอบด้วยการลาออกทันที ซึ่งภาพแบบนี้เราคงเคยเห็นที่เกาหลีใต้และญี่ปุ่นกันมาบ้าง ทั้ง ๆ ที่บางทีปัญหานั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับคน ๆ นั้นโดยตรง แต่ถ้ามันเกิดขึ้นในความรับผิดชอบของเขา ก็ต้องพร้อมจะโค้งคำนับและลาออกทันที ไม่ใช่โค้งคำนับแล้วก็ไม่ลาออกเหมือนนักการเมืองไทย นี่คือประชาธิปัตย์

ดังนั้น ส่วนตัวของผมเอง ก็อยากเห็น ประชาธิปัตย์ ซึ่งเป็นพรรคที่หล่อหลอมเรื่องเหล่านี้มายาวนาน จนกลายเป็นอุดมการณ์ทางการเมืองของพรรคที่ชัดเจน ไม่ปล่อยให้ ‘ความซื่อสัตย์’ นี้ เลือนหายไปในวันข้างหน้า

ผมขออนุญาตทิ้งท้ายไว้ด้วยคำกล่าวของ ท่านหม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช ว่า...

“ถนนทุกสายในเมืองไทย สามารถปูด้วยทองคําได้ ถ้าไม่มีการทุจริตคอร์รัปชัน”

'อี้ แทนคุณ' จี้ 'ศธ.' รีบคุ้มครองโรงเรียนดังย่านสมุทรปราการ  หลัง สส.ก้าวไกลก้าวก่ายระเบียบ ส่อสร้างความแตกแยกในหมู่นักเรียน

(15 ธ.ค.66) ดร.แทนคุณ จิตต์อิสระ อดีตประธานคณะกรรมการส่งเสริมสิทธิมนุษยชนและความเสมอภาคระหว่างเพศ พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีภาคีเครือข่ายผู้ปกครองนักเรียนโรงเรียนดังแห่งหนึ่งย่าน สมุทรปราการ ทำหนังสือให้เพจ 'วันนี้ก้าวไกลโกหกอะไร' และเพจได้ประสานมายังตนให้ตรวจสอบกรณีการโพสต์ข้อความของ สส.วีรภัทร คันธะ พรรคก้าวไกลที่เข้าข่ายไปก้าวก่ายแทรกแซงกิจการของโรงเรียน ซึ่งเป็นสถาบันการศึกษาของรัฐในประเด็นกฎระเบียบของโรงเรียนในเรื่องเกณฑ์การตัดคะแนนความประพฤติของนักเรียน เช่น การประพฤติผิดในเชิงชู้สาวตัด 80 คะแนน 

โดยการโพสต์ดังกล่าวของ สส. นอกจากจะสร้างความไม่สบายใจต่อพฤติกรรมของ สส.คนดังกล่าวแล้ว ยังมีประเด็นเรื่องการละเมิดสิทธิเด็กนักเรียน เพราะมีการนำภาพถ่ายนักเรียนและสถานที่ของโรงเรียน โดยอาจทำให้สังคมเข้าใจผิดว่ากฎระเบียบและค่านิยมการอยู่ร่วมกันอย่างสงบสันติและมีคุณค่าของนักเรียนกับครูอาจารย์ ผู้ปกครอง ชุมชนและสังคม ตลอดจนภาคีเครือข่ายของโรงเรียนทั้ง 5 เครือข่าย เป็นกฎไม่เหมาะสม ล้าหลัง เลือกปฏิบัติโดยเป็นการตีความระเบียบดังกล่าวแบบมโนไปเองของ สส. หากแต่การสื่อสารนั้นได้สร้างความเสียหายให้กับนักเรียนและผู้ปกครอง เนื่องจากเกรงจะใช้เป็นเครื่องมือในการปลุกระดมให้นักเรียนบางส่วนละเมิดกฎและทำผิดทั้งที่กฎระเบียบดังกล่าวมีไว้เพื่อคุ้มครองนักเรียนด้วยความรักและเมตตาต่อเด็กนักเรียน

การตีความคลาดเคลื่อนเพื่อสร้างความขัดแย้งในต่อชุมชนการศึกษาตลอดจนชื่อเสียงของโรงเรียน โดยภาคีเครือข่ายผู้ปกครองตั้งข้อสังเกตการเคลื่อนไหวดังกล่าวเพื่อวัตถุประสงค์อะไร เป็นการกระทำที่นอกเหนืออำนาจหน้าที่หรือไม่และการมาสร้างปัญหาหาเหยื่อ สร้างความขัดแย้ง การให้ท้ายนักเรียนบางกลุ่มของ สส.คนดังกล่าว แต่กลับมายุ่งวุ่นวายเรื่องของนักเรียน

ดังนั้นตนจะเรียกร้องและประสานไปยังรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการท่าน พล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบ ให้มาช่วยเหลือดูแลคุ้มครองโรงเรียน อย่าให้มีนักการเมืองมาหาผลประโยชน์โดยมิชอบและสร้างความแตกแยกในหมู่นักเรียนและผู้ปกครองและขอให้ตรวจสอบการกระทำดังกล่าวของ สส.ว่าเข้าข่าย การทำผิดรัฐธรรมนูญมาตรา 185 ที่ว่า สมาชิก สส.ต้องไม่ใช้สถานะหรือตําแหน่งการเป็นส.ส.กระทําการใดๆ อันมีลักษณะที่เป็นการก้าวก่าย หรือแทรกแซงเพื่อประโยชน์ของตนเอง ของผู้อื่น หรือของพรรคการเมือง ไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อม

ทั้งนี้หากพบว่า การก้าวก่ายหรือแทรกแซงสร้างความเดือดร้อนให้ผู้อื่น ให้ร้องต่อ ป.ป.ช.ซึ่งอาจเป็นเหตุให้สมาชิกภาพของความเป็น สส.สิ้นสุดลงได้ ตามมาตรา 101(7) คือ รับหรือแทรกแซงหรือก้าวก่ายการหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ โดยหากพบว่าจงใจบิดเบือนปลุกปั่นให้เด็กนักเรียนละเมิดกฎที่มีอยู่ทั้งยังไม่ฟังความคิดเห็นหรือสภาพปัญหาของสังคมรอบ ๆ โรงเรียนว่าเกิดอะไรอย่างไรขึ้นบ้าง ก็นำข้อมูลด้านเดียวไปโพสต์โจมตี โดยตนเป็นห่วงเกรงว่า หากขืนปล่อยไปนักเรียนจะมีชะตากรรมซ้ำรอยเดิมกับโรงเรียนดังแห่งหนึ่งที่สุดท้ายถูกลอยแพหมดอนาคต หลังหลงเชื่อและทำตามนโยบายของก้าวไกล

แทนคุณ จิตต์อิสระ ผู้ยึดมั่นในอุดมการณ์แห่งปี

แม้วันนี้พรรคประชาธิปัตย์ จะได้หัวหน้าพรรคคนใหม่ ภายใต้บรรยากาศภายในพรรคที่ยังคงคลุมเครือ และมีความห่วงใยในอุดมการณ์ของพรรคที่อาจเลือนหาย 

แต่กับชายคนนี้ ‘นายแทนคุณ จิตต์อิสระ’ หรือ ‘อี้ แทนคุณ’ รักษาการประธานคณะกรรมการส่งเสริมสิทธิมนุษยชนและความเท่าเทียมระหว่างเพศ พรรคประชาธิปัตย์ เขายังคงเชื่อในอุดมการณ์แห่งพรรคการเมืองเก่าแก่แห่งนี้ และไม่เคยคิดที่จะหนีหายไปไหน แม้ในวันที่พรรคจะเจอหลากปัญหาถาโถมเพียงใดก็ตาม โดยคุณอี้ได้เปิดเผยความในใจว่า...

หากให้พูดถึง ทิศทางในอนาคตของ ‘ประชาธิปัตย์’ คงต้องมองที่ ‘เอกภาพทางความคิด’ ว่าจะเป็นไปในทิศทางใดมากกว่า โดยส่วนตัวของผมเองมองว่า พรรคประชาธิปัตย์ในวันนี้ ได้บทเรียนหลายประการจากการเลือกตั้งที่ผ่านมา หรือแม้แต่การเลือกตั้งก่อนหน้านั้นก็ดี ว่า การที่เราไม่สามารถสร้าง ‘เอกภาพ’ หรือความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันใน ‘ทางความคิด’ ได้ อาจจะเป็นปัญหาในอนาคต

แน่นอนว่า เราอาจจะภูมิใจว่า เราเป็นพรรคการเมืองที่มีเสรีภาพในการคิดหรือพูดได้อย่างมากมาย ซึ่งถือเป็นเรื่องดี แต่ในวันที่เราต้องเดินหน้าไปในทิศทางเดียวกัน การมีเอกภาพทางความคิดสำคัญมากจริง ๆ เพราะเสรีภาพจากจำนวนคนในพรรค รวมถึงสมาชิกพรรคเรือนแสนคนนั้น มันอาจทำให้เราหลงทิศ 

เราฟังความคิดที่หลากหลายได้ครับ!!

แต่สุดท้าย!! เวลาที่ต้องตัดสินใจเรื่องใด ทุกคนที่เป็นเลือด ปชป.ควรมุ่งมั่นและมีวินัย ในการเดินหน้าตามครรลองของความเป็นพรรคแห่งที่มีความเชื่อมั่นจากประชาชนในด้าน ‘ความซื่อสัตย์’ ใช่หรือไม่? เรื่องนี้สำคัญ!!

คุณอี้ กล่าวต่อว่า 77 ปีของพรรคประชาธิปัตย์ ถ้าเปรียบเป็นต้นไม้ คือ ใหญ่มาก และสิ่งที่สำคัญต่อพวกเรามาก ๆ ในหลายปีที่ผ่านมา ก็คือ ‘ป่า’ ซึ่งป่าในที่นี้ก็คือ ‘ประชาธิปไตย’ และ ‘ประชาชน’ ที่สร้างเราให้เข้าเป็นส่วนหนึ่งของประเทศ ภายใต้ความเชื่อมั่นว่า พรรคประชาธิปัตย์ คือ พรรคแห่งความซื่อสัตย์ ฉะนั้นต่อให้เราจะยืนหยัดมานานแค่ไหน แต่เราจะลืม ‘ประชาธิปไตย-ประชาชน’ ที่ปลุกปั้นให้เรามีตัวตนไม่ได้ 

ผมเชื่อว่า ‘ความสุจริต’ ประชาธิปไตยที่สุจริต จะเป็นจุดแข็งที่สุดของประเทศไทย เพียงแต่วันนี้ผมก็ไม่แน่ใจว่า มันจะหายไปเพียงเพราะความเห็นแก่ผลประโยชน์เพียงชั่วขณะแค่ไหน

ทั้งนี้ อี้ แทนคุณ ยังกล่าวอีกว่า การได้อยู่กับพรรคที่มีอุดมการณ์ในแง่ของความรักชาติบ้านเมืองและมีความซื่อสัตย์สุจริตอย่างพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งก็ไม่ได้หมายความว่าพรรคอื่น ๆ ใช่ว่าจะไม่มีอุดมการณ์ที่กล่าวมานั้น สะท้อนให้เห็นผ่านการทำงานทั้งการเป็นฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านที่ไม่เคยมีข้อครหาในเรื่องของคอร์รัปชัน ซึ่งตรงนี้เป็นจุดแข็งและเป็นอุดมการณ์ที่มั่นคงของพรรคประชาธิปัตย์มายาวนาน และหวังให้ประเทศไทยใช้สิ่งนี้เป็นจุดแข็งของประเทศด้วยในอนาคต

อย่างตอนที่สมัยรัฐบาลท่านอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ตอนนั้นพอเกิดปัญหาแม้เพียงเล็กน้อย เช่น ปัญหาปลากระป๋องเน่า ท่านอภิสิทธิ์ก็ให้รัฐมนตรีที่ดูแลต้องรับผิดชอบด้วยการลาออกทันที ซึ่งภาพแบบนี้เราคงเคยเห็นที่เกาหลีใต้และญี่ปุ่นกันมาบ้าง ทั้ง ๆ ที่บางทีปัญหานั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับคน ๆ นั้นโดยตรง แต่ถ้ามันเกิดขึ้นในความรับผิดชอบของเขา ก็ต้องพร้อมจะโค้งคำนับและลาออกทันที ไม่ใช่โค้งคำนับแล้วก็ไม่ลาออกเหมือนนักการเมืองไทย นี่คือประชาธิปัตย์

ดังนั้น ส่วนตัวของผมเอง ก็อยากเห็น ประชาธิปัตย์ ซึ่งเป็นพรรคที่หล่อหลอมเรื่องเหล่านี้มายาวนาน จนกลายเป็นอุดมการณ์ทางการเมืองของพรรคที่ชัดเจน ไม่ปล่อยให้ ‘ความซื่อสัตย์’ นี้ เลือนหายไปในวันข้างหน้า

ผมขออนุญาตทิ้งท้ายไว้ด้วยคำกล่าวของ ท่านหม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช ว่า...

“ถนนทุกสายในเมืองไทย สามารถปูด้วยทองคําได้ ถ้าไม่มีการทุจริตคอร์รัปชัน”

THE STATES TIMES ไม่อาจกล้าหยิบยกคำใดมาเชิดชู แค่อยากให้รู้ว่า “เราภูมิใจในตัวคุณ”


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top