Sunday, 30 June 2024
แก๊งคอลเซนเตอร์

ตร.แนะนำ แนวทาง “3 ไม่ 1 ควร” และชวนประชาชนร่วมเป็นเครือข่ายให้ข้อมูล ช่วยกำจัด ‘แก๊งคอลเซ็นเตอร์’!!

พ.ต.อ.ศิริวัฒน์ ดีพอ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า ตามที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้กำชับให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ บูรณาการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งแก้ไขปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์อย่างเร่งด่วน เพื่อป้องกันความเสียหายที่จะขึ้นแก่ประชาชน โดยเฉพาะการสูญเสียทรัพย์สินจากการถูกหลอกลวง โดยให้มีการบังคับใช้กฎหมายโดยเคร่งครัดและหากพบผู้กระทำความผิดจะต้องดำเนินคดีตามกฎหมายโดยไม่มีข้อยกเว้น นั้น

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จึงขอประชาสัมพันธ์พี่น้องประชาชน ถึงแนวทาง “3 ไม่ 1 ควร” ซึ่งเป็นสิ่งที่จะช่วยป้องกันการถูกหลอกลวง และช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ในการรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มอาชญากร เพื่อกำจัดแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่สร้างปัญหาให้กับพี่น้องประชาชน ดังนี้

1. “ไม่ตกใจ” หากมีแจ้งว่าท่านหรือบุคคลในครอบครัวเกี่ยวข้องกับยาเสพติด หรือเกี่ยวกับการฟอกเงิน และท่านอาจถูกดำเนินคดี อย่าเพิ่งตกใจ ให้ตั้งสติให้ดี และระมัดระวังในการสนทนากับบุคคลดังกล่าว เพราะมีความเป็นไปได้สูงว่าจะไม่ใช่เจ้าหน้าที่รัฐจริง

2“ไม่เชื่อ” หากได้รับสายจากบุคคลที่อ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐหรือองค์กรต่าง ๆ ให้สอบถามก่อนว่าเป็นเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานใด มี ยศ ชื่อ-สกุล และตำแหน่งใด ถ้าหากมีพฤติกรรมที่น่าสงสัยควรสอบถามไปที่หน่วยงานดังกล่าวโดยตรง

3. “ไม่โอน” หากมีการอ้างว่า ต้องให้ท่านโอนเงินเพื่อให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบ ห้ามโอนเงินให้เด็ดขาด เพราะเจ้าหน้าที่รัฐไม่มีทางที่จะขอให้ท่านโอนเงินมาให้ตรวจสอบแน่นอน

4. “ควรแจ้งเจ้าหน้าที่” หากท่านได้รับสายที่น่าเชื่อว่าเป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอกลวงพี่น้องประชาชน ควรแจ้งเบาะแสของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่โทรศัพท์มาหาท่านให้กับเจ้าหน้าที่ทราบ โดยเฉพาะเบาะแสเกี่ยวกับช่องทางการติดต่อ เช่นหมายเลขโทรศัพท์ และหมายเลขบัญชีธนาคาร เพื่อให้เจ้าหน้าที่สามารถระงับหรืออายัดบัญชีธนาคารของคนร้ายและสามารถติดตามตัวผู้กระทำความผิดมาดำเนินคดีได้อย่างรวดเร็ว

พ.ต.อ.ศิริวัฒน์  กล่าวต่อไปอีกว่า ในขณะนี้มิจฉาชีพเหล่านี้ได้สร้างเดือดร้อน และความเสียหายให้กับพี่น้องประชาชนชาวไทยเป็นจำนวนมาก และมีการพัฒนาการหลอกลวงไปในหลายรูปแบบ สำหรับแนวทาง “3 ไม่ 1 ควร” เป็นเน้นและย้ำ เพื่อป้องกันไม่ให้ประชาชนหลงเชื่อตกเป็นเหยื่อของแก๊งมิจฉาชีพ  

เปิดข้อความ 'แก๊งคอลเซ็นเตอร์' ปลุกใจทำยอด 'คนจะโดนยังไงก็โดน - จงทำทุกสายให้ดีที่สุด'

จากกรณีที่จับกุมแก๊งคอลเซ็นเตอร์รายใหญ่ มีผู้ต้องหา 28 ราย ช่วยเหลือเหยื่อคนไทย 5 ราย อยู่ระหว่างคัดแยก 28 ราย รวม 61 ราย ใจกลางเมืองพระสีหนุ หลังสืบทราบว่า อ้างเป็นตำรวจ สภ.เมืองเชียงใหม่ และ พนักงาน DHL Fed EX ผู้เสียหายจำนวนมาก โดยเจ้าหน้าที่ได้เดินทางไปยังประเทศกัมพูชา เพื่อประสานขอความร่วมมือกับตำรวจประเทศกัมพูชาเพื่อจับกุมในครั้งนี้

‘เพื่อไทย’ ย้ำ!! ยังไม่มีการจัดทำแอปฯ เงินดิจิทัลวอลเล็ต  เตือน ปชช.ระวังมิจฉาชีพอาศัยจังหวะตั้งรัฐบาล หลอกดูดเงิน

(24 ส.ค. 66) ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) น.ส.ตรีชฎา ศรีธาดา รองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า จากกรณีที่มีผู้ไม่หวังดีแชร์ภาพและข่าว ว่ามีการยกเลิกการแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาทกระจายบนโซเชียลมีเดีย รวมทั้งมีการเผยแพร่แอปพลิเคชันปลอม โดยอ้างการลงทะเบียนเพื่อรับเงินดิจิทัล 10,000 บาท พรรคเพื่อไทยในฐานะแกนนำรัฐบาลขอแจ้งไปยังพี่น้องประชาชน ขณะนี้ยังอยู่ในระหว่างการเริ่มจัดตั้งรัฐบาล ยังระหว่างการพิจารณาจัดตั้งคณะรัฐมนตรี และรัฐบาลชุดใหม่ที่นำโดยพรรคเพื่อไทย ยังไม่ได้เข้าบริหารประเทศตามกฎหมาย ดังนั้น ขณะนี้จึงยังไม่มีการจัดทำแอปพลิเคชันดิจิทัลวอลเล็ต และยังไม่มีการลงทะเบียนใดๆ ทั้งสิ้น

น.ส.ตรีชฎา กล่าวว่า พรรค พท.ในฐานะพรรคแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ยืนยันว่าจะผลักดันนโยบายดิจิทัลวอเล็ต 10,000 บาท ซึ่งเป็นนโยบายหลักของพรรค พท.โดยเร็วตามที่ได้หาเสียงไว้กับพี่น้องประชาชนทันที เมื่อรัฐบาลชุดใหม่เข้าบริหารประเทศตามกฎหมาย ขณะนี้นโยบายอยู่ในระหว่างที่ผู้เกี่ยวข้องกำลังเตรียมความพร้อม ในการผลักดันนโยบายให้เป็นจริงโดยเร็ว

ดังนั้น การที่ผู้ไม่หวังดีพยายามปล่อยข่าวปลอม ว่าจะมีการยกเลิกนโยบายดิจิทัลวอเล็ต จึงไม่เป็นความจริง เป็นเฟกนิวส์ที่ต้องการทำลายความหวังของพี่น้องประชาชน เช่นเดียวกับที่มีผู้จัดทำแอปพลิเคชันอ้างลงทะเบียนเพื่อรอรับเงินดิจิทัล 10,000 บาทในขณะนี้ จึงเป็นความพยายามที่จะหลอกลวงพี่น้องประชาชนให้หลงเข้าใจผิด

ขอแจ้งเตือนไปยังพี่น้องประชาชน อย่าหลงเชื่อการกระทำของมิจฉาชีพที่อาศัยจังหวะการจัดตั้งรัฐบาล มาทำร้ายพี่น้องประชาชน โดยมุ่งที่จะดึงเอาข้อมูลส่วนบุคคลอันเป็นพฤติกรรมของแก๊งคอลเซนเตอร์ที่จ้องจะดูดเงินในบัญชีพี่น้องประชาชน 

น.ส.ตรีชฎา กล่าวอีกว่า รัฐบาลโดยการนำของพรรค พท.มีความหวังดีต่อประชาชนและประเทศชาติ เราจะมีการรายงานความคืบหน้าในการผลักดันนโยบายรัฐบาลให้พี่น้องประชาชนทราบเป็นระยะ เพื่อสร้างการมีส่วนร่วมและความโปร่งใส รวมทั้งเป็นการระวังป้องกันไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพออนไลน์ และขอเตือนไปยังแก๊งคอลเซนเตอร์และมิจฉาชีพทั้งหลาย หยุดการกระทำผิดกฎหมาย หยุดพฤติกรรมหากินบนความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน เพราะรัฐบาลใหม่ที่มีพรรค พท.เป็นแกนนำ มีแนวทางในการจัดการมิจฉาชีพเด็ดขาด เราจะไม่ปล่อยให้ลอยนวลต่อไปอีก รวมทั้งขยายผลไปยังผู้เกี่ยวข้องเพื่อจัดการตามกฎหมายอย่างเด็ดขาด

‘ดีอี’ ทลายอาชญากรไซเบอร์เพิ่มอีก ‘3 คดี’ รวด บุกจับแก๊งคอลเซนเตอร์ - ขบวนการซื้อขายข้อมูลส่วนบุคคล-เครือข่ายพนันออนไลน์ ‘ประเสริฐ’ เผยเตรียมปรับกฎหมายเพิ่มโทษ หวังปราบอาชญากรรมไซเบอร์เด็ดขาด

วันที่15 กุมภาพันธ์ 2567 นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) แถลงข่าวการขยายผลการจับกุมผู้กระทำผิดในการซื้อขายข้อมูลส่วนบุคคลโดยมิชอบ ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างกระทรวงดีอี , สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (สคส.) หรือ PDPC ,กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) และ สำนักงานคณะกรรมการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (สกมช.) ซึ่งในครั้งนี้นับเป็น EP.7 โดยสามารถจับกุมผู้ต้องหาตามฐานความผิดที่เกี่ยวข้องได้ทั้งหมด 9 คน อยู่ระหว่างติดตามจับกุมอีก 2 คน 

นายประเสริฐ กล่าวว่า ปฏิบัติการครั้งนี้เป็นผลสืบเนื่องมาจากการจัดตั้งศูนย์เฝ้าระวังการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล PDPC Eagle Eye และตั้งคณะทำงานร่วมเพื่อตรวจสอบและรวบรวมข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลและขยายผลดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดในการซื้อขายข้อมูลส่วนบุคคลโดยมิชอบ ซึ่งปัจจุบันได้มีการตรวจสอบและขยายผลไปสู่การดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดตั้งแต่ EP.1 จนถึง ครั้งนี้เป็น EP.7

นายประเสริฐ กล่าวว่า รัฐบาลมีความห่วงใยในข้อมูลส่วนบุคคลของพี่น้องประชาชนที่อาจมีการรั่วไหลไปยังกลุ่มมิจฉาชีพเพื่อใช้เป็นข้อมูลในการหลอกลวง อันเป็นภัยร้ายที่ทางรัฐบาลเร่งปราบปรามอย่างจริงจังตามนโยบายของรัฐบาลที่ให้ความสำคัญในการป้องกันและแก้ไขปัญหาอาชญากรรมทางไซเบอร์ โดยเฉพาะกรณีข้อมูลส่วนบุคคลรั่วไหลและมีการซื้อ – ขายในรูปแบบต่างๆที่สร้างความเสียหายให้กับพี่น้องประชาชนเป็นจำนวนมาก ซึ่งกระทรวงดีอีเร่งให้มีการปรับกฎหมายเพื่อบังคับใช้ต่อกลุ่มบุคคลใดที่มีพฤติกรรมในการซื้อขายข้อมูลส่วนบุคคลของประชาชนให้มีโทษที่เด็ดขาดและรุนแรงยิ่งขึ้น ดังนั้นหากประชาชนผู้เป็นเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลท่านใดที่ได้รับความเสียหายจากการรั่วไหลของข้อมูลส่วนบุคคลสามารถร้องเรียนกับ PDPC ได้เพื่อนำเรื่องให้คณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญเพื่อพิจารณาทางปกครอง และยังสามารถฟ้องศาลเพื่อดำเนินคดีทางแพ่งได้อีกทางหนึ่งด้วย 

นายประเสริฐ กล่าวว่า กระทรวงดีอีได้ผลักดันให้การแก้ปัญหาภัยออนไลน์ ถือเป็น 1 ใน 7 Flagships ที่เป็นนโยบายหลักของกระทรวง และหนึ่งในมาตรการดังกล่าวคือการประสานงานความร่วมมือและบูรณาการการทำงานอย่างใกล้ชิดของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จนนำมาสู่การจับกุมในครั้งนี้ ประกอบไปด้วย ‘คดีแรก’ ขยายผลสืบสวนจับกุม ผู้ต้องหารายที่ 9 เครือข่ายขบวนการขายข้อมูลส่วนบุคคลให้กับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ซึ่งทำมานาน 1-2 ปี มีรายชื่อประชาชนกลุ่มลูกค้าเครดิตดี ถูกส่งต่อเป็นจำนวนมาก ส่วน ‘คดีที่สอง’ สืบสวนจับกุมเครือข่ายหลอกลวงคนไทยบังคับทำงานให้แก๊งคอลเซ็นเตอร์ตามแนวชายแดน และ ‘คดีที่สาม’ ทลายเครือข่ายการพนันออนไลน์ จำนวน 2 เครือข่าย ได้แก่ ramruay.net และ pok9.com ตรวจยึดของกลางและ ทรัพย์สินที่เกี่ยวข้อง มูลค่ากว่า 40 ล้านบาท พบยอดเงินหมุนเวียนเดือนละกว่า 300 ล้านบาท จับผู้ต้องหาได้เบื้องต้น 5 ราย ส่วนที่เหลือกำลังอยู่ระหว่างติดตามจับกุมเพิ่มเติม 

ขณะที่ พ.ต.อ.สุรพงศ์ เปล่งขำ ผู้อำนวยการสำนักตรวจสอบและกำกับดูแลศูนย์ PDPC Eagle Eye และพนักงานเจ้าหน้าที่ตามกฎหมาย PDPA ได้ประสานข้อมูลการสืบสวนร่วมกับ บช.สอท. โดย พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท., พล.ต.ต.จิระวัฒน์ พยุงธรรม รอง ผบช.สอท. และ พล.ต.ต.อรรถสิทธิ์ สุดสงวน รอง ผบช.สอท. ในการตรวจสอบขยายผลเพื่อดำเนินการกับผู้ที่เกี่ยวข้องกับการกระทำผิดตาม พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA) ทั้งในแหล่งข้อมูลที่มีการรั่วไหลและผู้ที่ทำให้เกิดการรั่วไหลของข้อมูลจนสืบทราบว่ามีเจ้าหน้าที่ฝ่ายสินเชื่อสถาบันการเงินภาคเอกชนแห่งหนึ่ง คือ นายสุวรรณฯ (นามสมมุติ) อายุ 42 ปี มีพฤติกรรมลักลอบนำข้อมูลลูกค้าของสถาบันการเงินของตนเองมาดัดแปลง แก้ไข และนำไปจำหน่ายต่อให้กลุ่มที่สนใจ อาทิ ตัวแทนสินเชื่อ ตัวแทนประกัน ซึ่งบางกรณีตกไปอยู่ในมือของกลุ่มมิจฉาชีพแก๊งคอลเซ็นเตอร์

พ.ต.อ.สุรพงศ์ กล่าวว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจกองกำกับการ 3 กองบังคับการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี 5 ได้รวบรวมพยานหลักฐานขออนุมัติศาลออกหมายจับ นายสุวรรณฯ ในความผิดฐาน ‘ล่วงรู้ข้อมูลส่วนบุคคลของผู้อื่นเนื่องจากการปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัตินี้นำไปเปิดเผยแก่ผู้อื่น, ทำให้เสียหาย ทำลาย แก้ไข เปลี่ยนแปลง หรือเพิ่มเติมไม่ว่าทั้งหมด หรือบางส่วนซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ของผู้อื่นโดยมิชอบ’  ตาม พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 และ พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ (ฉบับที่2) พ.ศ. 2560  ตามหมายจับศาลอาญาที่ 506/2567 ลงวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2567 และได้ดำเนินการจับกุมในวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2567

“สถิตินับตั้งแต่วันที่ 9 พฤศจิกายน 2566 จนถึงวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2567 ที่ผ่านมา ศูนย์ PDPC Eagle Eye ได้ตรวจพบการเผยแพร่ข้อมูลส่วนบุคคลประชาชนบนเว็บไซต์ของหน่วยงานต่างๆ อย่างเกินความจำเป็นหรือไม่มีการรักษาความมั่นคงปลอดภัยที่เหมาะสมจำนวน 5,869 หน่วย ซึ่งได้มีการเตือนและแก้ไขแล้ว มีการตรวจพบการประกาศซื้อขายข้อมูลส่วนบุคคลผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์เฟสบุ๊ค (Facebook) และได้มีการปิดกั้นแล้ว จำนวน 54 เรื่อง และได้มีการร่วมมือกับ บช.สอท. ในการตรวจสอบขยายผลจากการจับกุมผู้ลักลอบซื้อขายข้อมูลส่วนบุคคลรายก่อนหน้า จนส่งผลให้เกิดการตรวจสอบและขยายผลนำไปสู่การจับกุมได้ในวันนี้อีก 1 รายและอยู่ระหว่างการจับกุมอีก 2 ราย” ผู้อำนวยการสำนักตรวจสอบและกำกับดูแล PDPC กล่าว

ด้าน ดร.ศิวรักษ์ ศิวโมกษธรรม เลขาธิการคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล กล่าว PDPC ให้ความสำคัญกับการเฝ้าระวังการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคลตามนโยบายของท่านรัฐมนตรีในการแก้ปัญหาภัยออนไลน์เป็นอย่างยิ่ง โดยจะเร่งรัดและเคร่งครัดในการตรวจ ปราบปราม ข้อมูลส่วนบุคคลรั่วไหล และ การลักลอบซื้อขายข้อมูลส่วนบุคคล ซึ่งได้มีการทำงานร่วมกันระหว่าง PDPC Eagle Eye และ บช.สอท. กับ สกมช. อย่างเข้มข้นในช่วง 4 เดือนที่ผ่านมา โดยในช่วงดังกล่าว มีกรณีที่ศาลได้ตัดสินลงโทษจำคุกผู้กระทำความผิด 2 ปี โดยไม่รอลงอาญา นอกจากนี้สำนักงานยังคงเดินหน้าเพื่อสนองรับนโยบายในการมีมาตรการในการจัดการกับหน่วยงานที่ไม่มีการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล เดินสายให้ความรู้แก่ประชาชน ตลอดจนถึงการเร่งปรับแก้การบังคับใช้กฎหมายให้มีบทลงโทษที่หนักยิ่งขึ้นสำหรับการลักลอบซื้อขายข้อมูลส่วนบุคคล 


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top