Thursday, 16 May 2024
เห็นต่าง

‘แสนดี’ โผล่ร่วมเฟรม ‘ม้า อรนภา’ หลังดรามาโพสต์ความเห็นการเมือง

จากกรณีข่าว ‘แสนดี-แสนปิติ สิทธิพันธุ์’ ลูกชายของผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ‘นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์’ ที่ได้ออกมาเคลื่อนไหวโพสต์วิจารณ์พรรคก้าวไกล ว่า ‘นายพิธา’ ไม่มีทางได้เป็นนายกฯ อีกทั้งไม่มีนโยบายเศรษฐกิจที่เป็นไปได้ ต่อมาทำให้กระแสโซเชียลดุเดือดเช่นกัน ก่อนที่เจ้าตัวต้องออกมาโพสต์ข้อความขอโทษและยืนยันว่า คือความคิดเห็นของตนไม่ได้แสดงความเกลียดชังต่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือบุคคลใด ตามที่ได้เสนอข่าวไปก่อนหน้านี้

ล่าสุด วันเมื่อวันที่ 22 ก.ค.66 ‘ม้า อรนภา กฤษฎี’ โพสต์อินสตาแกรม เป็นรูปที่ถ่ายคู่กับแสนดี แสนปิติ สิทธิพันธุ์ ลูกชายของนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร พร้อมข้อความว่า…

“แสนดี ผ่านมาร้านห่อหมกแม่คุณม้า #You’re the best”

‘โบว์ ณัฏฐา’ ชี้!! สื่อยุคใหม่ มักเสนอข่าวด้านเดียว ซ้ำ!! ปิดกั้น ‘พื้นที่ถกเถียง-รับฟังความเห็นต่าง’

เมื่อไม่นานนี้ ‘คุณโบว์ ณัฏฐา มหัทธนา’ ผู้ดำเนินรายการ Ringside การเมือง ได้ออกมาแสดงความคิดเห็นผ่านไลฟ์สด ทางเฟซบุ๊กส่วนตัว ถึงประเด็นการนำเสนอข่าวของสื่อหลักในปัจจุบัน โดยในช่วงหนึ่ง คุณโบว์ได้กล่าวว่า…

“สิ่งที่น่าเศร้าอย่างหนึ่งคือ เราไม่ได้มีโอกาสที่จะได้รับฟังความคิดเห็นที่หลากหลายจริงๆ ในสื่อหลัก และรู้สึกตกใจมาก ที่เมื่อเปิดไปดูรายการต่างๆ ที่พูดคุยเกี่ยวกับการเมืองตามช่องโทรทัศน์ หรือทางสื่อหลัก เขาก็เชิญคนเดิมๆ มาออกรายการซ้ำๆ กันทุกช่อง หรือแม้แต่ในช่องเดียวกัน แต่ต่างรายการ เขาก็เชิญมาออกซ้ำอีกก็มี”

คุณโบว์ ได้เล่าต่อว่า สิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ ต้องยอมรับว่าส่วนหนึ่งมาจากการที่สื่อมีการเลือกข้างค่อนข้างมาก และเมื่อสื่อเลือกข้างแล้ว เขาก็ย่อมอยากให้เราได้ฟังความคิดเห็นเป็นไปในทิศทางที่เขาต้องการ ตามที่เขาอยากจะชี้นำเรา เพื่อที่เขาจะได้รู้ว่า ใครแสดงความคิดเห็นไปในเชิงไหน และถ้ามันตรงกับความต้องการที่เขาจะชี้นำ เขาก็จะเชิญคนนั้นมาซ้ำๆ

“ขอยกตัวอย่างหนึ่ง จากประสบการณ์ส่วนตัว เช่น ตอนที่มีประเด็นเรื่อง รองฯ อ๋องเลี้ยงหมูกระทะแม่บ้านสภาฯ ซึ่งตรงนี้โบว์เป็นคนเปิดประเด็นในส่วนที่หลายๆ คนไม่ได้พูดถึง คือ ในส่วนของแม่บ้านสภาฯ ซึ่งเป็นแม่บ้านจากบริษัท Outsource พูดในส่วนของเรื่องสภาพแวดล้อมการของแม่บ้าน เรื่องการใช้งบผิดประเภทเพื่อการหาเสียงของพรรคก้าวไกล จนเป็นที่ถูกพูดถึงเยอะ ช่อง Thai PBS ก็ยกทีมมาขอสัมภาษณ์ที่บ้าน ซึ่งโบว์ก็ได้ให้สัมภาษณ์ไปอย่างละเอียดในเชิงหลักการทุกอย่าง ปรากฏว่าเทปนั้น ถูกงดออกอากาศ

ในช่วงเวลาเดียวกัน โบว์ก็เปิดดูรายการต่างๆ ในช่อง ที่มีการพูดถึงเรื่องนี้ ก็ทำให้เห็นว่า มีการนำเสนอที่ค่อนข้างเอียงเอนไปในอีกทิศทางหนึ่งเสียมาก และมีการให้พื้นที่กับทางรองฯ อ๋อง ในการอธิบายข้อเท็จจริงมากกว่า ในขณะที่เทปที่โบว์ให้สัมภาษณ์กลับถูกตัดทิ้ง” คุณโบว์ กล่าว

“โบว์คิดว่า ในประเด็นที่มันเป็นข้อถกเถียง และต้องถกเถียงกันด้วยข้อเท็จจริง ว่าถูกหรือผิด ทุกคนก็ต้องเลือกข้างอยู่แล้ว ดังนั้น เมื่อเราเลือกข้างแล้ว เราก็จะมีเหตุผลมาซัปพอร์ตความคิดของตัวเองอยู่แล้ว ซึ่งนั่นคือสิ่งที่ควรจะเป็น เพราะสิ่งเหล่านั้นจะทำให้เกิดความงอกงามทางปัญญาในสังคม

แต่สิ่งที่เกิดขึ้นแล้วเป็นปัญหา นั่นคือการไม่เป็นพื้นที่ให้กับความคิดเห็นที่หลากหลายมากพอ แต่กลับใช้วิธีเลือก และคัดกรองความคิดเห็นที่ไม่ต้องการออกไป ซึ่งโบว์คิดว่าทุกคนเห็นได้ชัดเจนในจุดนี้ และเราก็เห็นผลที่ตามว่าเป็นอย่างไร”

“เราจะเห็นว่า คนที่มีความคิดเห็นไปในอีกทิศทางหนึ่ง เขาก็ไม่สามารถที่จะปรับ และเปลี่ยน หรือรับฟังกันได้ เพราะไม่มีความคิดเห็นที่หลากหลายมากพอให้รับฟังกัน ก็เลยต้องรับฟังความคิดเห็นอยู่เพียงด้านเดียว ใครชอบแนวไหน เขาก็จะรับฟังแต่สิ่งที่เขาชอบ ดังนั้น จึงทำให้ใครคิดอยู่อย่างไร จะคิดอยู่อย่างนั้น ใครที่ชอบใคร เขาก็จะชอบอยู่อย่างนั้น ใครเกลียดใคร เขาก็จะเกลียดอยู่แบบนั้น

แต่ที่หนักยิ่งกว่านั้น คือ ความเกลียดชังเหล่านั้น ถูกยกระดับด้วยการถูกบอกกล่าวซ้ำๆ ย้ำๆ ในประเด็นเดิม ในทิศทางเดิมๆ เมื่อมีการตอกย้ำหนักๆ เข้า ก็ทำให้ความรู้สึกยิ่งรุนแรงขึ้น และนี่คือสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับสังคมไทยในตอนนี้ค่ะ” คุณโบว์ กล่าวทิ้งท้าย

'ไตรงรงค์' ยันไม่เคยระแวง 'ภูมิธรรม' และชื่นชม 'บิ๊กตู่' คนรัฐประหารที่เป็นคนดีแนะ!! นักการเมืองรุ่นใหม่อย่าหยิบคำ 'ทรราช' มาประณามโดยไม่รู้ความเป็นมา

(31 ต.ค.66) ดร.ไตรรงค์ สุวรรณคีรี อดีตรองนายกรัฐมนตรี โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุว่า...

เรื่องนี้ผมก็เพิ่งรู้… เจอคนดี ผมก็ต้องบอกว่าดี เจอคนพูดจาไม่ดี ผมก็ตักเตือน

วานนี้ ผมได้มีโอกาสฟังการเสวนาทางการเมืองที่ช่อง The Nation (ช่อง22) จัดขึ้น แล้วได้นำเทปมาออกอากาศอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งเนื้อหาที่ได้ยินนั้นน่าสนใจและเป็นครั้งแรกเหมือนกันที่ผมเคยได้ยินเรื่องนี้ ผมจึงได้ข้อสรุป และเขียนมาให้ทุกท่านอ่านตามนี้ครับ

นายภูมิธรรม เวชยชัย จากพรรคเพื่อไทย คือคนที่พยายามอธิบายให้ประชาชนได้เข้าใจว่า การจัดรัฐบาลผสมที่มีพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำนั้น มันก็คือการนำพรรคต่าง ๆ ที่พอจะรับความคิดหรือนโยบายที่แตกต่างกันในบางส่วน รัฐบาลผสมในปัจจุบันของไทยเป็นรัฐบาลสลายขั้ว สลายสี …แต่ก็มีบางคนแย้งว่าไม่ใช่เป็นการสลายขั้ว สลายสีจริง เพราะยังมีพรรคก้าวไกลที่ดูเสมือนเป็นขั้วอีกขั้วหนึ่งที่มีความเห็นในเรื่องต่าง ๆ แทบจะขาวเป็นดำกับรัฐบาลในปัจจุบัน และตอนนี้ก็เป็นพรรคฝ่ายค้านที่มีความเข้มแข็ง …แต่พรรคต่าง ๆ ที่ให้ความเคารพต่อความเห็นต่างในบางส่วนก็สามารถทำงานร่วมกันได้ แต่ทุกพรรคที่ร่วมรัฐบาลกันก็เพราะ ล้วนมีความเห็นและนโยบายในส่วนใหญ่ที่ไม่ค่อยแตกต่างกัน เช่น…

#อยากให้มีความเป็นประชาธิปไตยมากขึ้น แต่ต้องพอเหมาะพอสมกับบริบทต่าง ๆ ของประเทศ ที่สำคัญก็คือต้องไม่กระทบต่ออธิปไตยของชาติ ไม่กระทบต่อเสถียรภาพในความมั่นคงของชาติ ศาสนา และสถาบันพระมหากษัตริย์

#ลดความเหลื่อมล้ำของประชาชนให้ลดน้อยถอยลง เป็นสิ่งที่ทุกพรรคล้วนอยากทำทุกอย่างให้ ทั้งมิติทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง

#พัฒนาระบบยุติธรรมให้ดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน คืออีกสิ่งที่ทุกพรรคต้องการ โดยเฉพาะการปฏิรูปตำรวจ อัยการ และการทำงานของกรมราชทัณฑ์ ที่ล้วนมีส่วนทำให้ระบบยุติธรรมของเราได้ตกต่ำถึงที่สุดนับตั้งแต่ตั้งประเทศไทยมา เป็นต้น

ซึ่งเรื่องที่ผมบอกว่าเป็นเรื่องที่ผมก็เพิ่งเคยรู้คือ คุณภูมิธรรม ดร.ป๋วย อึ๊งภากรณ์และผม มีอะไรที่คล้าย ๆ กันกว่าที่คิด เราเคยได้รับประสบการณ์ที่ไม่พึงประสงค์กันทั้งสิ้น กล่าวคือ พวกเราล้วนถูกกล่าวหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์ เป็นอันตรายต่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ โดยคณะรัฐประหารที่ทำโดยพลเรือเอก สงัด ชะลออยู่ ที่ยึดอำนาจการปกครองเมื่อวันที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2519 และอีกสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันคือในห้วงเวลาที่เราต่อสู้ เราไม่เคยทิ้งประชาชน ในวันที่แกนนำหลาย ๆ คนชวนคุณภูมิธรรมให้หนีเมื่อมีข่าววงในเข้ามาว่าทหารจะส่งคนเข้ามาปราบคณะประท้วงซึ่งตอนนั้นปักหลักกันในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ คุณภูมิธรรมปฏิเสธที่จะหนีด้วยเหตุผลว่า “มันไม่แฟร์ ผมเป็นคนปลุกระดมเขามา ผมหนีเอาตัวรอดคนเดียวไม่ได้ ผมต้องตายเคียงข้างพวกเขา”… ซึ่งในที่สุด เมื่อการต่อสู้ไปถึงขีดสุด คุณภูมิธรรมก็ต้องหนีเข้าป่า ดร.ป๋วย ต้องลี้ภัยไปอยู่อังกฤษ  ผมต้องลี้ภัยไปอยู่ประเทศญี่ปุ่น

ทั้งนี้ ผมขอใช้จังหวะนี้อธิบายให้หลาย ๆ คนที่เข้าใจผิดด้วย การที่คนอย่าง ดร.ป๋วย ตัวผมเอง คุณภูมิธรรม และคนอื่นๆ ที่ต้องหนีเข้าป่านั้น ก็เพื่อความปลอดภัยของตนเองทั้งๆ ที่มิได้มีความคิดเป็นคอมมิวนิสต์นะครับ #ผมไม่ใช่คอมมิวนิสต์ ใครที่เกิดทันในช่วงนั้น จะเข้าใจถึงระดับความรุนแรงของการปราบปราม (เด็กรุ่นใหม่อาจจะยังไม่เคยเจอความรุนแรงขนาดที่เราเคยเจอ เช่น การเอาร่างไปแขวนต้นมะขาม) พวกเราที่เป็นกลุ่มนักสู้ จำเป็นต้องทำบางอย่าง ด้วยเหตุผลเพื่อมิให้ถูกจับกุมหรือถูกทำร้ายร่างกาย และคร่าชีวิตโดยพวกขวาจัดที่สนับสนุนคณะปฏิวัติในขณะนั้นเพียงเท่านั้น (แต่ก็อาจจะมีบางส่วนนะครับ ที่เมื่อเข้าป่าไปอยู่กับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยแล้ว ก็ได้ซึมซับปรัชญาและแนวคิดของ คาร์ลมาคส์ เลนิน และ เมาเซตุง มาแบบที่ว่าไม่สามารถสกัดให้หลุดออกไปได้จากความจดจำของเขา (ที่พระพุทธเจ้าเรียกว่า“สัญญา”) …หลาย ๆ คนก็ยังมีการแสดงออกในทางการเมืองยุคปัจจุบัน ที่ประชาชนคนไทยทุกท่านก็น่าจะพอสังเกตได้ว่าคือใครบ้าง

ที่แน่ๆ คือผมไม่เคยระแวงในความเป็นคอมมิวนิสต์ของคนอย่างคุณภูมิธรรม และอีกหลายๆ คน เช่น คุณเสกสรร ประเสริฐกุล คุณหมอพรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช คุณเทิดภูมิ ใจดี และคุณจิระนันท์ พิตรปรีชา ซึ่งบางคนนี้ก็กลายมาเป็นบุคคลสำคัญในคณะรัฐบาลชุดปัจจุบัน (แต่ผมก็ยังระแวงอีกหลายๆ คนที่มิได้อยู่ในรัฐบาลชุดปัจจุบัน ไม่ว่าจะอยู่ในพรรคร่วมรัฐบาล หรืออยู่ในพรรคฝ่ายค้าน ซึ่งยังไม่สามารถสลัดความคิดที่ท่องมาจากความคิดของ คาร์ลมาคส์ เลนิน และเมาเซตุง จึงกลายเป็นตัวสร้างความแตกแยกความสามัคคีของคนในชาติ อยู่ในปัจจุบัน)... เมื่อมีคนมีอุดมการณ์เหล่านี้ในคณะรัฐบาล เราน่าจะมั่นใจได้ระดับหนึ่งว่าจะประเทศไทยจะยังคงเดินหน้าต่อไปด้วยระบอบประชาธิปไตยโดยมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข  ผมก็ฝากความหวังไว้ด้วยนะครับว่าทุกๆ ท่านจะบริหารบ้านเมืองกันอย่างดี อย่าปล่อยให้มีการโกงกินกันจนประชาชนทนไม่ไหว ต้องให้เกิดการรัฐประหารอีกเลยนะครับ เพราะในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา เราก็โชคดีเพียงแค่ครั้งเดียวที่คนรัฐประหารเป็นคนดี รักชาติ และมีใจเป็นนักพัฒนาเช่นท่าน ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่สร้างความเจริญให้กับประเทศอย่างมหาศาลตั้งแต่เข้าสู่อำนาจ… แต่นอกนั้นนะครับ การรัฐประหารอื่นๆ ที่ผ่านมาก็มาคู่กับความรุนแรงและการโกงกินทั้งนั้นครับ

#หมายเหตุ ผมอยากฝากแง่คิดให้กับคนรุ่นใหม่ที่ชอบอ่านหนังสือและเชื่อในสิ่งที่ตนอ่าน… พวกเอกสาร ข้อเขียน หนังสือ และ ตำราของ คาร์ลมากซ์ เลนิน และเมาเซตุง ทั้งสิ้นที่เป็นต้นน้ำของลัทธิคอมมิวนิสต์ ผมก็เคยอ่านมามากแล้วเช่นเดียวกันนะครับ แต่ผมไม่เคยตกเป็นทาสของมัน เพราะผมประมวลแล้วว่ามันไม่เหมาะกับบริบทของสังคมไทย อาจเลือกมาใช้บางอย่างได้ เช่นเดียวกับระบอบประชาธิปไตยเสรีนิยม ก็ควรจะเลือกเฉพาะที่เหมาะสมกับประเทศไทย #อย่าเป็นขี้ข้าทางความคิดของพวกนักคิดตะวันตก จนไม่เหลือความเป็นตัวของตัวเองกันเลยครับ

เพิ่มเติมอีกสักนิดเกี่ยวกับการใช้ภาษาของนักการเมืองรุ่นใหม่ด้วยนะครับ คำว่า “ทรราช” ต้องมีองค์ประกอบ 2 ประการคือ “ฆ่า” และ “โกง” นะครับ… หลายๆ ท่านยังไม่เคยเกิดขึ้นมาในยุคที่มีทรราชจริงๆ เช่น ฮิตเลอร์ จอมพลสฤษดิ์ เป็นต้น แม้ว่าท่านประยุทธ์จะทำรัฐประหารก็จริง แต่ไม่เคยสั่งฆ่าคนที่ออกมาเดินขบวนด่าท่าน และตัวท่านเองไม่เคยโกงกิน …ถ้าผู้นำคนใดไม่ได้ทำทั้งคู่  ก็ไปซี้ซั้วเรียกเขาว่าทรราชไม่ได้นะครับ  และแถมอีกนิดว่าการที่ท่านพาครอบครัวไปเที่ยวญี่ปุ่นด้วยเงินบริสุทธิ์ที่ท่านอดออมด้วยน้ำพักน้ำแรง ก็ไม่ใช่เรื่องที่ใครควรที่จะมาประณามนะครับ


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top