Sunday, 12 May 2024
เยอรมัน

'เยอรมัน' ควบคุมกิจการบริษัทน้ำมันของรัสเซีย เพื่อเป็นหลักประกันว่าประเทศจะไม่ขาดแคลนพลังงาน

เอเอฟพีรายงาน เมื่อวันเสาร์ที่ 17 กันยายน 2565 กล่าวว่า รัฐบาลเยอรมันนำโดยนายกรัฐมนตรี โอลาฟ ชอลซ์ ตัดสินใจเข้ายึดและควบคุมกิจการในเครือของ Rosneft (รอสเนฟต์) ซึ่งเป็นบริษัทน้ำมันของรัสเซียที่ดำเนินกิจการอยู่ในเยอรมนี

โดยบริษัทในเครือของ Rosneft ในเยอรมนี มีสัดส่วนของกำลังการกลั่นน้ำมันในประเทศ ประมาณ 12% และจะอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงานเครือข่ายรัฐบาลกลาง (Federal Network Agency) ซึ่งเป็นหน่วยงานในสังกัดกระทรวงเศรษฐกิจและสภาพอากาศของเยอรมนี

นายกรัฐมนตรี โอลาฟ ชอลซ์กล่าวในแถลงการณ์ว่า "เพื่อตอบโต้ภัยคุกคามต่อความมั่นคงด้านแหล่งพลังงาน รัฐบาลจำเป็นจะต้องดำเนินการเช่นนี้ แม้จะเป็นการไม่สุภาพซักเท่าไหร่ แต่ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ บนพื้นฐานของการปกป้องประเทศของเรา"

การเข้าควบคุมกิจการของรัสเซียในครั้งนี้เกิดขึ้นในขณะที่เยอรมนีกำลังดิ้นรนที่จะเลิกพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิล (น้ำมันดิบ) ของรัสเซีย โดยมีเป้าหมายที่จะหยุดการนำเข้าน้ำมันทั้งหมดภายในสิ้นปีนี้ ในขณะที่รัสเซียเองก็ตอบโต้ด้วยการหยุดการส่งก๊าซธรรมชาติไปยังเยอรมนีผ่านท่อส่งก๊าซ Nord Stream 1

โดยบริษัทรัสเซียที่จะถูกควบคุม ได้แก่ Rosneft Deutschland GmbH (RDG) และ RN Refining & Marketing GmbH (RNRM) รวมถึงสัดส่วนการถือครองหุ้นในโรงกลั่น 3 แห่ง ได้แก่ PCK Schwedt, MiRo และ Bayernoil

‘นายกฯ เศรษฐา’ ชี้แจง ปมเครื่องยนต์เรือดำน้ำเยอรมัน บอกได้คุยผู้นำเยอรมันแล้ว แต่ยังไม่ชัดว่าจะใช้หรือไม่

(26 ก.ย. 66) ที่ทำเนียบรัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีการเข้าพบผู้นำเยอรมัน เพื่อเจรจา เครื่องยนต์ใส่ในเรือดำน้ำ ระหว่างการเดินทางไปประชุมสมัชชาสหประชาชาติ สมัยสามัญครั้งที่ 78 (UNGA78) ที่นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา นายเศรษฐา กล่าวย้อนถามว่า “เรื่องความชัดเจนใช่ไหม” ก่อนนายกฯ กล่าวว่า “ความชัดเจน คือยังไม่มีความชัดเจน”

เมื่อถามว่าการนัดพบไม่ได้ติดอุปสรรคอะไรหรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า “ได้พูดคุยกันแล้วแต่ยังไม่มีความชัดเจน”

‘สื่อเยอรมัน’ เผยแผนลับ!! 5 ขั้นตอนของ ‘ปูติน’ เตรียมโจมตี 'ยูเครน' ก่อนนำไปสู่สงครามโลกครั้งที่ 3

(18 ม.ค.67) หนังสือพิมพ์ BILD ของเยอรมันตีพิมพ์ข่าวใหญ่ ระบุชัดว่า 'วลาดิมีร์ ปูติน' ผู้นำรัสเซีย มีแผนที่จะยกระดับสงครามยูเครน ไปสู่สงครามโลกครั้งที่ 3 ภายในปี 2025 โดยอ้างอิงจากเอกสารลับสุดยอดของกระทรวงกลาโหมเยอรมันเป็นประกัน!!

สื่อเยอรมัน เปิดเผยว่า กระทรวงกลาโหมและกองกำลังในยุโรปเริ่มเตรียมความพร้อมรอรับการโจมตีของรัสเซียแล้ว โดยมีการประเมินสถานการณ์ว่า ปูตินมีแผนที่จะทำสงครามแบบผสม ‘Hybrid War’ โจมตีชาติพันธมิตร NATO ในหลายรูปแบบ ทั้งการโจมตีทางไซเบอร์, ใช้กำลังทหารรุกราน รวมถึงการโจมตีด้วยข้อมูลข่าวสาร ที่จะก่อให้เกิดความรุนแรงขึ้น

เอกสารลับ (ที่ตอนนี้ไม่ลับแล้ว) ของกลาโหมเยอรมันระบุว่าชื่อ ‘Alliance Defense 2024’ ได้คาดการณ์แผนการยกระดับสงครามยูเครน สู่สงครามโลกครั้งที่ 3 พอสรุปคร่าวๆ ไว้ 5 ขั้น

โดยขั้นแรกนับตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2023 นี้ ที่ปูตินจะประกาศระดมพลเพิ่มอีก 2 แสนนาย โดยอ้างว่าเตรียมไว้สำหรับเปิดฉากสงครามในยูเครนอีกครั้งในช่วงฤดูใบไม้ผลิ ที่ยังดูเป็นสงครามภายในระหว่างรัสเซีย-ยูเครนปกติ

แต่สื่อเยอรมันชี้ว่า แผนการขั้นสอง จะยกระดับขึ้นในช่วงกรกฎาคมปีนี้ ด้วยการใช้ยุทธวิธีโจมตีทางไซเบอร์ในกลุ่มประเทศบอลติค อันได้แก่ประเทศ เอสโตเนีย ลัทเวีย และ ลิทัวเนีย

ขั้นที่สามจะตามมาในเดือนกันยายน ที่มีการตั้งชื่อแล้วว่า แผน ‘Zapad 2024’ ที่จะมีการซ้อมรบใหญ่ตามแนวชายแดนรัสเซียตะวันตกและเบลารุส เพื่อกลบเกลื่อนการเคลื่อนพลใหญ่ และขีปนาวุธพิสัยกลางไปประจำในแคว้นคาลินินกราด เพื่อประชิดชายแดนโปแลนด์และลิทัวเนีย 

และนำไปสู่แผนการขั้นที่ 4 ในเดือนธันวาคม ช่วงที่มีการเลือกตั้งผู้นำสหรัฐ ที่รัสเซียวางแผนที่จะโจมตีด้วยข้อมูลข่าวสาร และปั่นกระแสให้เกิดจลาจลบริเวณเขตแนวชายแดนระหว่างโปแลนด์ และ ลิทัวเนีย ที่เรียกว่า ‘Suwalki Gap’ หลังวางกองกำลังของตนไว้ในคาลินินกราดแล้ว

แผนขั้นที่ 5 จะเริ่มในเดือนมกราคม 2025 เมื่อพันธมิตร NATO จะพุ่งเป้ามาที่รัสเซียว่าเป็นต้นเหตุที่ก่อให้เกิดความไม่สงบในประเทศแถบบอลติก ที่ปูตินจะใช้เป็นข้ออ้างในการระดมพลใหญ่อีกครั้งทั้งในรัสเซียและเบลารุส ซึ่งกองกำลัง NATO คงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ต้องประกาศรวมพลเช่นกัน ซึ่งจุดแตกหักที่อาจกลายเป็นสงครามโลกครั้งที่ 3 ได้ ในเอกสารของกลาโหมเยอรมันระบุว่า ตั้งแต่มีนาคม 2025 เป็นต้นไป

เป้าหมายที่ฝ่ายกลาโหมเยอรมัน จัดทำเอกสารประเมินสถานการณ์สงครามของรัสเซียฉบับนี้ ก็เพื่อกระตุ้นเตือนให้พันธมิตรในยุโรปตระหนักว่า รัสเซียเป็นภัยคุกคามที่อันตรายมากกว่าที่คิด จำเป็นต้องเร่งเตรียมความพร้อมในกองทัพของแต่ละประเทศในการป้องกันดินแดนของตน และทางเยอรมันได้เริ่มแล้วนั่นเอง

จากหัวข้อข่าวที่ BILD ได้ออกมาเผยแพร่ ก็ได้สร้างความฮือฮาและแตกตื่นพอสมควรว่า รัสเซียคิดจะเปิดศึกในยุโรปแน่หรือ? และเอกสารที่สื่อเยอรมันหยิบมาอ้างถึงนั้นเป็นเอกสารจริงหรือไม่?

และเมื่อมีการสอบถามไปยังกลาโหมเยอรมัน โฆษกประจำกระทรวงก็ออกมาปฏิเสธที่จะออกความเห็นถึงเนื้อหาที่มีอยู่ในเอกสารลับ ‘Alliance Defence 2025’ แต่กล่าวเพียงสั้นๆ ว่า โดยปกติแล้ว ฝ่ายกองทัพมีการประเมินสถานการณ์เป็นประจำอยู่แล้ว ซึ่งมันก็เป็นส่วนหนึ่งในงานของทหาร ไม่ต่างจากการฝึกซ้อมประจำวันนั่นแหละ"

ด้าน วลาดิมีร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย ที่ถูกโยงให้เป็นตัวเอก และตัวร้ายในรายงานเอกสารลับของเยอรมัน ก็ออกมาปฏิเสธว่า นี่มันนิยายอะไรกัน รัสเซียไม่ต้องการขยายขอบเขตสงครามออกไปไกลเกินยูเครนแล้ว จะยุให้เราไปรบกับใครอีก?

แม้สื่อตะวันตกจะสนใจเรื่องเอกสารลับของเยอรมันกันค่อนข้างเยอะ แต่ก็ต้องพึงระลึกเสมอว่า ‘ฟังหู ไว้หู’ เพราะลำพังกองกำลังพลที่จะระดมเพิ่มแค่ 2 แสน กับขยายกองกำลังไปประจำที่คาลินินกราด กับขีปนาวุธพิสัยกลางอีกนิดหน่อย คิดจะเปิดฉากรบยุโรปทั้งทวีปได้เชียวหรือ?

แต่ทั้งนี้ แอดฯ ก็เคยเชื่อว่ารัสเซียไม่น่าจะบุกยูเครน และทำสงครามเต็มรูปแบบมาก่อน แต่สุดท้ายปูติน ก็บุกจริงๆ ดังนั้น คงยังฟันธงไม่ได้ว่า รายงานประเมินสถานการณ์ ‘Alliance Defence 2025’ ถูกเขียนขึ้นเพราะ ‘เชื่อในสิ่งที่เห็น’ หรือ ‘เห็นในสิ่งที่เชื่อ’

บิ๊กโจ๊ก เผย ผู้ต้องหา ชาวเยอรมันที่ซื้อบริการทางเพศเด็ก เขียนจดหมาย ผ่านอัยการเยอรมัน ยืนยัน นักข่าวเยอรมัน บิดเบือนข้อเท็จจริง เรื่องการจ่ายสินบนให้เจ้าหน้าที่รัฐแลกการออกนอกประเทศ เผยฝ่ายตุลาการของไทยทำหน้าที่อย่างมืออาชีพ พร้อมขอโทษ

หลังจากเดินทางเข้าพบกับตำรวจสหพันธรัฐเยอรมัน ในช่วงเช้า ช่วงบ่าย คณะของพลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้เดินทางเข้าพบอัยการ เจ้าของสำนวนคดี นายเจน คริช ผู้ต้องหาชาวเยอรมัน ที่ซื้อบริการทางเพศเด็กหญิงในประเทศไทยและถูกจับกุม ก่อนที่จะขอประกันตัวเดินทางกลับประเทศเยอรมัน 

การพูดคุยในวันนี้ทางการไทยได้ประสานมาก่อนล่วงหน้า เพื่อขอเข้าพบหรือขอพูดคุยทางโทรศัพท์กับนายเจน คริช เพื่อให้ยืนยันว่า กรณีที่นักข่าวชาวเยอรมันได้เผยแพร่สารคดี ระบุว่านายเจน ได้จ่ายเงินให้แก่เจ้าหน้าที่รัฐหนึ่งล้านบาท แลกกับการประกันตัวเดินทางกลับประเทศเยอรมัน มีข้อเท็จจริงอย่างไรกันแน่ เพราะสื่อที่เผยแพร่ในประเทศเยอรมัน ส่งผลเสียต่อเจ้าหน้าที่รัฐและประเทศไทย

จากการพูดคุยกับอัยการรัฐเยอรมัน (ไม่ขอเปิดเผยชื่อ) อัยการยืนยันว่า หลังจากนายเจน เดินทางกลับมายังประเทศเยอรมัน ทางการก็ได้เข้าควบคุมตัวไว้ เข้าสู่กระบวนการสอบสวน ซึ่งจากการสอบสวน นายเจน ได้ให้การว่า ไม่ทราบมาก่อนว่าขณะไปเที่ยวสถานบริการในพัทยา คนที่ตนได้ใช้บริการอายุต่ำกว่า 18 ปี และเมื่อ ถูกจับกุม ก็พยายามขอประกันตัว เพื่อเดินทางกลับประเทศ เนื่องจากตัวเองมีโรคประจำตัวเกี่ยวกับหัวใจ และยังมีธุรกิจต้องดูแล สุดท้ายก็ติดเรื่องสถานการณ์โควิดที่ยังมีการแพร่ระบาด จึงไม่สามารถเดินทางกลับมาตามนัดหมายของศาลในประเทศไทยได้

ทั้งยังยืนยันด้วยว่า ไม่มีการจ่ายเงินเป็นค่าสินบนให้แก่ใครและฝ่ายตุลาการของประเทศไทยก็ทำงานอย่างตรงไปตรงมา เช่นเดียวกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ส่วนเงินที่จ่ายไปเป็นค่าประกันตัวเท่านั้น

ส่วน ข่าวที่ออกในสื่อของเยอรมัน ผ่านนักข่าวคนหนึ่งที่เข้ามาสัมภาษณ์ ข้อมูลที่ถูกตีแผ่ออกไป ผ่านสารคดี เป็นข้อมูลที่บิดเบือนข้อเท็จจริง เพื่อหวังสร้างเรตติ้ง ด้วยการโจมตีประเทศไทย โดยใช้ข้อมูลที่บิดเบือน ซึ่งตนรู้สึกผิดมากที่ให้สัมภาษณ์โดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ จึงอยากขอโทษในสิ่งที่เกิดขึ้น 

ทั้งนี้นายเจน ได้เขียนจดหมายอธิบายถึงสิ่งที่เกิดขึ้นโดยจั่วหัวจดหมายชัดเจนว่าเป็นการอธิบายข้อมูลที่เป็นจริงจากที่ถูกนักข่าวบิดเบือนจนทำให้เกิดความเสียหายต่อประเทศไทย ซึ่งทางอัยการเยอรมัน ได้ส่งมอบเอกสารดังกล่าวให้แก่ทีมงานของรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ซึ่งเดินทางมาติดตามความคืบหน้าเรื่องนี้ด้วยตนเอง

อัยการเยอรมันยังบอกด้วยว่า พร้อมที่จะให้ความร่วมมือกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติในการดำเนินการปราบปรามการค้ามนุษย์ เพื่อทำให้ประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวเหมือนที่ผ่านมา

ขณะที่พลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติบอกว่า การเดินทางมาในวันนี้ ถือว่าประสบความสำเร็จเกินเป้าหมาย แม้จะไม่ได้พบนายเจนหรือได้พูดคุยทางโทรศัพท์ แต่ กลับได้เอกสาร เป็นไรรักอักษรภาษาเยอรมัน ที่นายเจน เขียนอธิบายถึงข้อมูล สารคดีข่าวที่บิดเบือนข้อเท็จจริง ถึงขั้นอ้างว่าตนจ่ายเงินหนึ่งล้านบาทเป็นค่าสินบนให้แก่เจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งตนได้ให้เจ้าหน้าที่แปลเป็นภาษาไทยเรียบร้อยแล้ว

ทั้งนี้ข้อมูลในจดหมายของนายเจน ตรงกับที่อัยการเยอรมัน ได้อธิบายให้ คณะที่เดินทางมาในวันนี้ได้รับทราบ นายเจน ยังอธิบายด้วยว่า นักข่าวที่ทำสารคดีเรื่องดังกล่าวไม่เพียงจะ บิดเบื่อนข้อมูลเพื่อสร้างยอดผู้ชมใน YouTube นักข่าวคนนั้น ยังดูถูกนายเจนและดูหมิ่นประเทศไทย จนนำมาซึ่งความเสียหาย 

รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ยืนยันด้วยว่าเส้นทางการเงินของนายเจน ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติตรวจสอบ ตรงกับคำชี้แจงของนายเจน เป็นลายลักษณ์อักษร มีการจ่ายเงินให้กับทนายความเพื่อเป็นค่าประกันตัวตามข้อเท็จจริง ซึ่งในเจน ก็ยืนยันว่า ฝ่ายตุลาการและตำรวจของไทย ได้ทำงานอย่างมืออาชีพ และขอโทษในสิ่งที่ตนรู้เท่าไม่ถึงการณ์และให้สัมภาษณ์กับนักข่าวที่มีทัศนคติต่อประเทศไทยไม่ดี พยายามบิดเบือนข้อเท็จจริงจนนำมาซึ่งความเสียหาย เนื่องจากตนเองไม่มีประสบการณ์ในการให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนหรือนักข่าว ที่ไร้จรรยาบรรณ

รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติยังกล่าวด้วยว่าจากนี้ไปจะนำเอกสารทั้งหมด กลับไปให้พนักงานสอบสวนได้ขยายผลตรวจสอบเพิ่มเติม โดย จะนัดประชุมกับทีมงานทั้งหมดที่สโมสรตำรวจหลังจากที่คณะเดินทางกลับไปถึงประเทศไทย

‘ชายเยอรมัน’ รัวฉีดวัคซีนต้านโควิด 217 เข็ม ภายใน 2 ปีครึ่ง อึ้ง!! ร่างกายไม่พบสิ่งผิดปกติ จนนักวิจัยเชิญตัวมาร่วมทดสอบ

(6 มี.ค. 67) เว็บไซต์ต่างประเทศ รายงานเรื่องราวสุดอึ้ง กรณีลุงชาวเยอรมันวัย 62 ปีได้รับวัคซีนต้านไวรัสโควิด-19 มากถึง 217 เข็ม ภายในระยะเวลา 2 ปีครึ่ง อึ้งร่างกายไม่พบอะไรผิดปกติ จนนักวิจัยต้องเชิญตัวมาร่วมการทดสอบ เพื่อหาว่า การฉีดวัคซีนจำนวนมาก มีผลต่อระบบภูมิคุ้มกันอย่างไร

ตามรายงานเผยว่า แผนกจุลชีววิทยาของมหาวิทยาลัย เอร์ลางเงิน-นูเริมเบิร์กในเยอรมนี ระบุว่า พวกเขารู้เรื่องของชายคนนี้จากข่าวหนังสือพิมพ์ จึงติดต่อและเชิญเข้ามาร่วมทำการทดสอบหลายๆ อย่าง ซึ่งเจ้าตัวสนใจที่จะเข้าร่วมการทดสอบในครั้งนี้เป็นอย่างยิ่ง

โดยทีมวิจัยได้เก็บตัวอย่างเลือดและน้ำลายของชายคนนี้ที่เก็บมาตลอดช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาด้วย ไม่เพียงเท่านั้น พวกเขายังสามารถเก็บตัวอย่างเลือดของชายคนนี้หลังได้รับวัคซีนเพิ่มเติมเพื่อศึกษาระบบภูมิคุ้มกันมีปฏิกิริยาต่อวัคซีนอย่างไรกันแน่ โดยเขายืนยันที่จะรับวัคซีนเอง

อย่างไรก็ตาม ในตอนแรกทีมวิจัยกังวลว่า การกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันด้วยการฉีดวัคซีนซ้ำๆ มากเกินไป อาจทำให้เซลล์ในร่างกายบางตัวเหนื่อยล้า แต่นักวิจัยกลับไม่พบหลักฐานว่า ชายวัย 62 ปีรายนี้จะมีอาการเหล่านั้นขึ้น และไม่มีสัญญาณด้วยว่าเขาเคยติดเชื้อโควิดมาก่อน

นอกจากนี้ นักวิจัยย้ำว่า การได้รับวัคซีนป้องกันโควิดมากเกินไป เพื่อเพิ่มการปรับตัวของภูมิคุ้มกัน ยังไม่ได้รับรองอย่างเป็นทางการ และผลการทดสอบชายวัย 62 ปีผู้นี้ ก็ไม่เพียงพอที่จะมีข้อสรุปที่มีอิทธิพลเป็นวงกว้าง รวมถึงการแนะนำต่อสาธารณะ

ขณะเดียวกัน การวิจัยในปัจจุบันชี้ว่า การฉีดวัคซีน 3 โดส ร่วมกับการฉีดวัคซีนกระตุ้นสำหรับคนกลุ่มเสี่ยง ยังคงเป็นวิธีที่ได้รับการสนับสนุน พร้อมย้ำว่า ไม่มีข้อบ่งชี้ใดๆ ที่บอกว่าจำเป็นต้องฉีดวัคซีนมากกว่านี้

ทั้งนี้ ก่อนหน้านี้ ชายคนนี้เคยถูกจับกุมในข้อหาฉ้อโกง หลังพบหลักฐานว่าเขาได้รับวัคซีนจากศูนย์การแพทย์ถึง 130 เข็มภายในระยะเวลา 9 เดือน แต่ในท้ายที่สุดก็ไม่ได้มีการดำเนินคดีแต่อย่างใด

รวมถึงยังมีข้อมูลเพิ่มเติมว่า ชายคนนี้ยังซื้อวัคซีนมาฉีดเองอีกจำนวนมาก ทำให้ตัวเลขรวมอยู่ที่ราว 217 เข็ม

'นักพี้เยอรมัน' เฮสนั่น!! รัฐบาลผ่านกฎหมายกัญชาเสรี 'ปลูก-เสพ' ได้ ไม่ผิดกฎหมาย ชี้!! ปลอดภัยกว่าก๊งเหล้า

นักพี้ชาวเยอรมันหลายพันคนเฮสนั่น เมื่อรัฐบาลผ่านร่างกฎหมายกัญชาถูกกฎหมายอย่างเป็นทางการเมื่อวันเสาร์ที่ 20 เมษายน 2567 ที่ผ่านมา และได้มารวมตัวสูบกัญชาฉลองชัยกันอย่างเอร็ดอร่อยที่หน้าประตูบรันเดินบวร์ค สถานที่ไอคอนที่เป็นสัญลักษณ์ของกรุงเบอร์ลิน

ตำรวจเบอร์ลินประเมินว่า มีผู้มาร่วมงานบริเวณหน้าประตูบรันเดินบวร์ก ราว 4,000 คน เพื่อมาสูบกัญชา ณ ใจกลางเมืองหลวงร่วมกัน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรม 'Smoke-In' เพื่อฉลองชัยที่สามารถผลักดันให้กัญชาถูกกฎหมายในเยอรมัน ซึ่งนอกจากจะนัดมาสูบกัญชาร่วมกันแล้ว ยังมีงานแสดงคอนเสิร์ต และการกล่าวปราศรัยของนักเคลื่อนไหวจำนวนหนึ่งด้วย

ในความเห็นของผู้ที่สนับสนุนร่างกฎหมายนี้มองว่า การเสพกัญชา เป็นทางเลือกที่ปลอดภัยกว่าการดื่มสุราหลายเท่า โดยอ้างอิงจากข้อมูลทางสถิติของผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการดื่มสุราเกินขนาด หรือ คดีอาชญากรรมที่เกี่ยวกับการดื่มสุรา ซึ่งเทียบไม่ได้เลยกับจำนวนคนที่สูบกัญชา จึงมีผู้สนับสนุนจำนวนไม่น้อยชูป้ายว่า ‘ไม่ใช่ทุกคนที่ต้องการดื่ม’ หากมีกัญชาเป็นตัวเลือกในวงปาร์ตี้ สันทนาการ ที่ดีกว่า

จากร่างกฎหมายใหม่นี้ ชาวเยอรมันมีสิทธิ์ครอบครองกัญชาสดได้ไม่เกิน 25 กรัม หรือในรูปกัญชาตากแห้งไม่เกิน 50 กรัมต่อคน และสามารถปลูกเองที่บ้านได้ไม่เกิน 3 ต้น แต่ต้องอยู่ในวัยผู้ใหญ่ที่บรรลุนิติภาวะในเยอรมัน หรือ 18 ปีขึ้นไป  

นอกจากนี้ยังมีข้อจำกัดในการเสพคือ ห้ามสูบบนทางเท้า และบริเวณใกล้โรงเรียน หรือ สนามเด็กเล่นในช่วงกลางวัน และยังห้ามสูบกัญชาในบริเวณสถานีรถไฟทั่วประเทศ เพื่อปกป้องผู้โดยสารคนอื่น โดยเฉพาะ เด็ก และเยาวชน ที่สัญจรโดยรถไฟ 

แต่ถึงแม้จะมีชาติตะวันตกอย่างเยอรมัน แคนาดา สวิสเซอร์แลนด์ สเปน โปรตุเกส และ หลายรัฐในสหรัฐอเมริกา ที่รับรองการสูบกัญชาอย่างถูกกฎหมาย แต่การใช้กัญชายังเป็นที่ถกเถียงกันในวงการแพทย์ว่า อาจนำไปสู่การเสพสารเสพติดที่มีฤทธิ์ร้ายแรงยิ่งขึ้น อาทิ โคเคน หรือ เฮโรอีน หรือไม่ 

ด้าน ดร.สเตฟาน ทอนเนส หัวหน้าแผนกพิษวิทยาทางนิติเวชที่โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยแฟรงก์เฟิร์ต กล่าวว่า จากข้อมูลของผู้ติดยาในเยอรมันพบว่า ผู้ที่ติดเฮโรอีน มักใช้เสพสารเสพติดชนิดอื่น ๆ ร่วมด้วย แต่ในทางกลับกัน กลุ่มผู้ที่เสพกัญชาจำนวนน้อยมากที่จะขยับขึ้นในเสพเฮโรอีน แม้จะมีความเชื่อมโยงระหว่างการเสพกัญชา ที่จะกระตุ้นความต้องการในการเสพยาเสพติดชนิดอื่นๆได้ในอนาคต แต่ความสัมพันธ์ดังกล่าวไม่สามารถระบุว่าเป็นสาเหตุโดยตรงของการติดสารเสพติด อย่างโคเคน หรือ เฮโรอีนได้

เช่นเดียวกันกับการสำรวจข้อมูผลกระทบของกัญชาต่อสุขภาพ และการทำลายสมอง หรือคำกล่าวอ้างที่ว่าการเลือกเสพกัญชา มีอันตรายน้อยกว่าการดื่มเหล้า ก็ยังไม่มีผลงานวิจัยมายืนยันได้อย่างชัดเจนถึงข้อสรุปเหล่านี้ เพราะทั้งสุรา และกัญชา ต่างมีสารที่เป็นอันตรายในตัวเอง และมีฤทธิ์ถึงตายได้เหมือนกันขึ้นอยู่กับปริมาณการเสพ  

ดังนั้น รัฐบาลเยอรมันจึงยกให้เป็นเรื่องของความรับผิดชอบส่วนบุคคล หากเป็นผู้ใหญ่แล้ว เลือกที่จะเสพกัญชา ก็ไม่ถือว่าผิดกฎหมาย หากสูบในพื้นที่ ในปริมาณที่กฎหมายกำหนด แต่ถ้าเสพหนักจนไปก่ออาชญากรรม หรือ กลายเป็นผลเสียต่อร่างกายก็เป็นเรื่องของกรรมต่างวาระ ที่ผู้เสพต้องรับผิดชอบในทุกๆการกระทำของตนเอง 

เพราะฉะนั้น นักพี้ก็ต้องเสพอย่างมีสติ แต่เกรงว่าจะมีสติได้แค่มวนแรก มวนต่อ ๆ ไป สติสตังชักไม่รู้ว่าทิ้งไว้ตรงไหนแล้วนะซี 


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top