Monday, 30 June 2025
อาหรับ

รู้จัก ‘ฉนวนกาซา’ ความขัดแย้งอิสราเอล – ปาเลสไตน์ สู่การเรียนรู้!! ผลลัพธ์อันเหี้ยมโหดของสงคราม

(29 มิ.ย. 68) ใดๆdigest ep.นี้ พามารู้จักกับหนึ่งในพื้นที่สำคัญแห่งหนึ่งของโลกที่เต็มไปด้วยความขัดแย้ง และการสู้รบที่ทำให้เกิดความสูญเสียกับทุกฝ่ายมาอย่างยาวนานครับ 

ดินแดนที่เรียกกันว่า "ฉนวนกาซา" มีขนาดความยาวเหนือจรดใต้ 41 กิโลเมตร ขณะที่มีความกว้างเพียง 10 กิโลเมตร ขนาบข้างพื้นที่ทางเหนือและตะวันออกด้วยเขตแดนของอิสราเอล ชายแดนทางใต้ติดกับอียิปต์ ส่วนชายทะเลด้านตะวันตกเป็นทะเลเมดิเตอร์เรเนียน มีขนาดพื้นที่ประมาณ 360 ตร.กม.เล็กกว่า จ.สมุทรสงคราม ของประเทศไทย ที่มีขนาด 416.7 ตร.กม. เพียงเล็กน้อย 

"กาซา"เป็นที่อยู่อาศัยของชาวปาเลสไตน์มีผู้คนอาศัยอยู่ในฉนวนกาซากว่า 2.3 ล้านคนโดยประชากรส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงและเด็กถึงร้อยละ 75 และเป็นผู้อพยพลี้ภัยที่อาศัยอยู่ตามแคมป์ที่สหประชาชาติจัดไว้ให้ ส่วนใหญ่ของผู้ลี้ภัยเหล่านี้เกิดในพื้นที่ฉนวนกาซา แต่ก็มีบางส่วนที่อพยพมาตั้งแต่หลังช่วง สงครามอาหรับ-อิสราเอล ครั้งแรกในปี 1948  และถือว่าเป็นพื้นที่ที่มีความหนาแน่นของประชากรมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก สาเหตุที่ถูกเรียกว่า "ฉนวนกาซา" เนื่องจากเขตแดนส่วนนี้ถูกกำหนดขึ้นจากข้อตกลงระหว่างอิสราเอลกับอียิปต์หลัง สงครามอาหรับ-อิสราเอล ครั้งแรก เมื่อปี 1948 ให้เป็นคล้ายกับเขตกันชนระหว่าง 2 ฝ่าย ข้อมูลจากองค์การสหประชาชาติระบุว่า กว่า 80% ของผู้ที่อาศัยในฉนวนกาซาต้องพึ่งพาการช่วยเหลือจากนานาชาติ และประมาณ 1 ล้านคนต้องขอรับความช่วยเหลือด้านอาหารในแต่ละวัน

หลังปี 1948 ฉนวนกาซ่าถูกปกครองโดยอียิปต์ แต่อียิปต์ก็ไม่ได้ผนวกรวมเอาดินแดนส่วนนี้เป็นของตน จนกระทั่งอิสราเอลชนะสงครามหกวัน ในปี 1967 ทำให้ฉนวนกาซ่าเป็นหนึ่งในดินแดนที่อิสราเอลเข้ายึดครอง อย่างไรก็ตาม อิสราเอลและปาเลสไตน์ได้ทำสนธิสัญญาออสโลร่วมกันในปี 1993 ซึ่งส่วนหนึ่งในข้อตกลงนั้นคือ การอนุญาตให้ชาวปาเลสไตน์มีอำนาจในการปกครองตัวเอง (อย่างจำกัด) ในเขตฉนวนกาซ่า

ต่อมาในปี 2005 อิสราเอลจึงได้ดำเนินการถอนทหารและนิคมชาวยิวที่ผิดกฏหมาย ออกจากฉนวนกาซ่าทั้งหมด จากนั้น เมื่อกลุ่มฮามาสชนะการเลือกตั้งปี 2006 ฉนวนกาซ่าจึงเป็นเขตอิทธิพลของรัฐบาลฮามาสจนกระทั่งถึงปัจจุบัน กลุ่มฮามาสมีจุดยืนแข็งกร้าวไม่ยอมรับการยึดครองของอิสราเอลอย่างเด็ดขาดและมักก่อเหตุโจมตีอิสราเอลทั้งการส่งมือปืนและมือระเบิดฆ่าตัวตายเข้าไปในอิสราเอลบ่อยครั้ง การบุกจู่โจมอิสราเอลแบบไม่ทันตั้งตัว  กลุ่มฮามาสนี้ได้รับการสนับสนุนจากอิหร่าน ซึ่งนับถือนิกายชีอะห์และสืบทอดอุดมการณ์จากขบวนการภราดรภาพมุสลิม ซึ่งก่อตั้งขึ้นในอียิปต์ช่วงทศวรรษ 1920

ลักษณะทางกายภาพของฉนวนกาซานั้นเป็นดินแดนแห้งแล้งทุรกันดาร แถมยังเป็นที่อยู่ของผู้ลี้ภัยปาเลสไตน์ที่ไม่มีงานทำ เสียเป็นส่วนใหญ่  สภาพอย่างนี้ โดยปกติชาวกาซ่าก็มีความเป็นอยู่ที่ลำบากอยู่แล้ว แต่ในช่วงหลายปีหลังนับตั้งแต่ 2007 อิสราเอลยังใช้มาตรการปิดล้อมกาซ่า จำกัดการนำเข้าอาหารการกิน ยารักษาโรค วัสดุก่อสร้าง และสิ่งอื่น ๆ ที่จำเป็นต่อการดำรงชีพ ด่านพรมแดนต่างๆ ทั้งที่จะข้ามไปอียิปต์และอิสราเอลก็ถูกปิด สภาพความเป็นอยู่ของผู้คนเปรียบเสมือนถูกลงโทษอยู่ใน ‘คุกเปิดที่ใหญ่ที่สุดในโลก’ ยิ่งนานวัน ก็ยิ่งมีคนตายจำนวนมากในกาซ่าอันเกิดจากมาตรการปิดล้อมดังกล่าวนี้ ไม่ว่าจะเกิดจากการโจมตีของอิสราเอลครั้งต่างๆ ที่ผ่านมาในอดีต หรือการตายอันเกิดจากโรคภัยไข้เจ็บเพราะไม่มีอุปกรณ์ทางการแพทย์และยารักษา โรคเพียงพอ ที่แย่กว่านั้นคือ เด็กปาเลสไตน์กว่าครึ่งในฉนวนกาซ่าเป็นโรคขาดสารอาหาร ทั้งหมดเป็นผลมาจากการปิดล้อมกาซ่าของอิสราเอลตลอด 7 ปีที่ผ่านมา นอกจากนี้ อิสราเอลยังเป็นผู้ควบคุมน่านฟ้าเหนือเขตกาซา รวมถึงตลอดแนวชายฝั่งทะเลของกาซาด้วย โดยจำกัดผู้คนและสินค้าทั้งขาเข้าและขาออกตามแนวพรมแดน เช่นเดียวกับอียิปต์ที่ควบคุมการเข้าออกของผู้คนบริเวณพรมแดนที่ติดกับกาซา โดยอิสราเอลและอียิปต์ให้เหตุผลว่าที่ต้องทำเช่นนี้เป็นเพราะเหตุผลด้านความมั่นคง

สถานการณ์ดูเหมือนจะย่ำแย่ลงไปอีก เมื่อทางการอิสราเอลประกาศที่จะยึดครองเขตฉนวนกาซาแบบเบ็ดเสร็จสมบูรณ์ เพื่อตอบโต้การโจมตีของกลุ่มฮามาสต่ออิสราเอลที่เกิดขึ้นหลายครั้ง  ซึ่งนั่นหมายถึงการตัดขาดการลำเลียงอาหาร น้ำ และเชื้อเพลิงเข้าไปยังเขตกาซาด้วย

มาตรการปิดล้อมกาซ่ามีเป้าหมายประการหนึ่ง คือ ต้องการโดดเดี่ยวกาซ่าภายใต้การปกครองของกลุ่มฮามาส อิสราเอลตั้งใจให้ชาวปาเลสไตน์ในกาซ่าเจอปัญหาความฝืดเคืองทางเศรษฐกิจ จากนโยบายปิดล้อม และตกอยู่ในความเสี่ยงที่จะถูกอิสราเอลโจมตีอยู่ตลอดเวลา ทั้งหมดนี้เพื่อให้ชาวปาเลสไตน์ในกาซ่าลุกฮือต่อต้านกลุ่มฮามาส แต่ผลที่ปรากฏออกมากลับตรงข้าม นับวันฮามาสยิ่งมีคะแนนนิยมมากขึ้น บ้านเมืองในฉนวนกาซ่ามีความเป็นระเบียบเรียบร้อยมากขึ้น หลักนิติธรรมถูกนำมาใช้อย่างเคร่งครัด แม้ประชาชนจะได้รับความทุกข์ยากจากการถูกกีดกันทางเศรษฐกิจก็ตาม ที่สำคัญคือ กองกำลังฮามาสมีความเข้มแข็งและถูกจัดตั้งอย่างเป็นระบบมากขึ้น 

จุดยืนที่ชัดเจนของ "กลุ่มฮามาส" คือ ไม่ยอมรับการยึดครองของอิสราเอล และมักใช้วิธีการรุนแรงโจมตีอิสราเอล จนทำให้นานาชาติทั้ง อิสราเอล สหรัฐฯ สหภาพยุโรป ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น อังกฤษ และแคนาดา ประกาศขึ้นบัญชีกลุ่มฮามาสเป็น "องค์กรก่อการร้าย" แต่ขณะเดียวกันฮามาสก็มีพันธมิตรที่คอยหนุนหลัง ได้แก่ อิหร่าน ซีเรีย และกลุ่มเฮซบอลเลาะห์ ซึ่งเป็นกลุ่มติดอาวุธมุสลิม นิกายชีอะห์ในเลบานอน ซึ่งในระยะหลังกลุ่มฮามาสกลายเป็นกลุ่มที่มีบทบาท และใช้ความรุนแรงอย่างต่อเนื่องมากที่สุดกลุ่มหนึ่งของโลก

สิ่งต่างๆ เหล่านี้จึงเป็นปัจจัยส่วนหนึ่งที่ทำให้อิสราเอลต้องใช้กำลังเข้ามาโจมตีกาซ่าอย่างที่เราเห็นกันในสถานการณ์ที่เกิดขึ้นปัจจุบัน แม้อิสราเอลเคยบรรลุข้อตกลงสันติภาพกับอียิปต์และจอร์แดน แต่อิสราเอลและปาเลสไตน์ยังไม่สามารถบรรลุข้อตกลงขั้นสุดท้ายได้ ความไม่ไว้วางใจระหว่างสองฝ่ายยังคงลึกซึ้งนำไปสู่การสู้รบที่ยังคงคุกกรุ่นอยู่ในพื้นที่ฉนวนกาซามาจนถึงปัจจุบันนั่นเอง 

ไม่มีใครที่สามารถคาดการณ์ได้ว่า สงครามระหว่างอิสราเอลและฮามาส จะสิ้นสุดเมื่อใด ดูตามปัจจัยหลายข้อจากสถานการณ์ความรุนแรงระดับภูมิภาคนี้ ความขัดแย้งนี้มีรากฐานจากความตึงเครียดทางประวัติศาสตร์อันยาวนานทั้งทางการเมือง ศาสนา และชาติพันธุ์ในภูมิภาค การเจรจาสันติภาพในอดีตก็มักล้มเหลวเพราะต่างฝ่ายต่างไม่ไว้ใจกัน 

ส่วนองค์กรระหว่างประเทศและประเทศที่มีอำนาจ ก็ได้พยายามเป็นตัวกลางในการเจรจาเพื่อหาทางยุติสงคราม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการเรียกร้องให้มีการหยุดยิงชั่วคราวเพื่อให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมแก่ประชาชนในกาซา แต่การเจรจาเหล่านี้มักเผชิญกับความล้มเหลวเนื่องจากข้อเรียกร้องที่ขัดแย้งกัน เช่น ฮามาสเรียกร้องให้มีการยุติการปิดล้อมกาซา ขณะที่อิสราเอลยืนกรานว่าต้องมีการหยุดการโจมตีจากฮามาสอย่างสิ้นเชิง ในขณะเดียวกัน ความรุนแรงทางทหารก็ยังคงดำเนินต่อไป ซึ่งทำให้สถานการณ์เลวร้ายลงเรื่อยๆ และผู้ที่รับผลจากการสู้รบที่เกิดขึ้นมาอย่างยาวนานนี้ก็คือประชาชนผู้บริสุทธิ์ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่นั่นเอง 

สิ่งที่เราทุกคนควรเรียนรู้จากเรื่องความขัดแย้งอิสราเอล – ปาเลสไตน์ และการสู้รบในฉนวนกาซานี้ก็คือ สงครามไม่เคยเป็นการแก้ปัญหาอย่างแท้จริงและยั่งยืนให้กับฝ่ายใดได้เลย ความสูญเสียที่เกิดขึ้นทั้งสองฝ่ายมีแต่จะฝังรากลึกลงไปในจิตใจของผู้สูญเสียและเพาะเมล็ดพันธุ์แห่งความเกลียดชังให้เจริญเติบโตต่อไปไม่มีที่สิ้นสุด ทุกร่างที่ทิ้งตัวลงทับถมบนแผ่นดินเปื้อนเลือดและถูกพรากเอาชีวิตไปล้วนเป็นพ่อ แม่ พี่ น้อง เพื่อนของใครสักคนเสมอ ลูกที่สูญเสียพ่อไปจากความเกลียดชังก็จะโตขึ้นไปพรากเอาชีวิตของพ่อใครซักคนไปด้วยความเกลียดชังเป็นวังวนต่อไปอีกหากมนุษย์ไม่เรียนรู้ที่จะให้อภัยและไว้เนื้อเชื่อใจซึ่งกันและกัน 

ใดๆdigest หวังว่าทุกท่านที่อ่านมาถึงตรงนี้จะเข้าใจภัยร้ายแรงของสงคราม และปรารถนาการแก้ไขทุกความขัดแย้งด้วยสันติวิธีในทุกกรณีโดยตระหนักถึงความเป็นมนุษย์ในตัวของผู้อื่นอย่างเท่าเทียมกันและแสวงหาการอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขในทุกๆความขัดแย้งเป็นสำคัญครับ 

ขอไว้อาลัยและแสดงความคารวะต่อดวงวิญญาณทุกดวงที่จาก ไป และขอให้สันติสุขบังเกิดขึ้นโดยเร็ว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top