Friday, 26 April 2024
หลอกโอนเงิน

ตร.เตือน!! อย่าเชื่อ แก๊ง Call Center โทรขู่ อ้างเป็น “โฆษกตำรวจ” หลอกให้โอนเงิน!!

5 พ.ย.64 พล.ต.ต.ยิ่งยศ เทพจํานงค์ โฆษก ตร. เผยว่า จากกรณีที่มีผู้เสียหาย มาพบพนักงานสอบสวน แจ้งความร้องทุกข์ ว่าถูกคนร้ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ได้โทรหาผู้เสียหาย แล้วแจ้งว่าผู้เสียหายนั้นมีส่วนร่วมในกระบวนการฟอกเงิน หลังจากที่ผู้เสียหายไม่เชื่อ ก็ได้มีการโอนสายให้กับผู้ชายคนหนึ่งซึ่งอ้างตัวเป็น “พล.ต.ต.ยิ่งยศ เทพจำนงค์” หรือ “พ.ต.ท.ยิ่งยศ เทพจำนงค์” โฆษก ตร. และเมื่อผู้เสียหายหลงเชื่อจึงได้ทำการโอนเงินไปให้กับบัญชีของคนร้าย ซึ่งการกระทำดังกล่าว เป็นการแอบอ้างชื่อให้ประชาชนหลงเชื่อ จึงขอให้ผู้ที่ได้รับสายในลักษณะดังกล่าวนี้ “มีสติ อย่าหลงเชื่อ” ตามคำกล่าวอ้างของคนร้าย และอยากแจ้งเตือนไปยังผู้ที่กระทำความผิดว่าการกระทำดังกล่าวนั้นเป็นความผิดตามกฎหมาย มีโทษหนักถึงขั้นจำคุก ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 209 ผู้ใดเป็นสมาชิกของคณะบุคคลซึ่งปกปิดวิธีดำเนินการและมีความมุ่งหมายเพื่อการอันมิชอบด้วยกฎหมาย ผู้นั้นกระทำความผิดฐานเป็น “อั้งยี่”  ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 7 ปี และปรับไม่เกิน 140,000 บาท ถ้าผู้กระทำความผิดเป็นหัวหน้า ผู้จัดการหรือผู้มีตำแหน่งหน้าที่ในคณะบุคคลนั้น ผู้นั้นต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี และ ปรับไม่เกิน 200,000 บาท

มาตรา 210 ผู้ใดสมคบกันตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป เพื่อกระทำความผิดอย่างหนึ่งอย่างใดตามที่บัญญัติไว้ในภาค 2 นี้ และความผิดนั้นมีกำหนดโทษจำคุกอย่างสูงตั้งแต่ 1 ปี ขึ้นไป ผู้นั้นกระทำความผิดฐานเป็น “ซ่องโจร” ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ถ้าเป็นการสมคบเพื่อกระทำความผิด ที่มีระวางโทษถึงประหารชีวิต จำคุกตลอดชีวิต หรือจำคุกอย่างสูงตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 2 ปี ถึง 10 ปี และปรับตั้งแต่ 40,000 บาท ถึง 200,000 บาท

โฆษก ตร.เตือนภัย!! มิจฉาชีพ ปลอม LINE “หน่วยงานตำรวจ” หลอกโอนเงิน

8 พ.ย.64 พล.ต.ต.ยิ่งยศ เทพจํานงค์ โฆษก ตร. เผยว่า จากกรณีมีประชาชนหลายรายแจ้งว่าได้รับการติดต่อทางโทรศัพท์จากบุคคลไม่ทราบชื่อซึ่งได้แอบอ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจทำงานอยู่ที่สถานีตำรวจภูธรพนัสนิคม บุคคลดังกล่าวได้แจ้งต่อผู้ได้รับการติดต่อว่า จะให้ความดูแลและช่วยเหลืออำนวยความสะดวก เรื่องการชำระเงินค่าปรับตามใบสั่งและเรื่องคดีต่าง ๆ ได้ แต่ประชาชนผู้ได้รับการติดต่อจะต้องเข้าร่วมกลุ่มไลน์ Line Accout ชื่อ สภ.ภูธรพนัสนิคม หลอกลวงให้โอนเงินชำระค่าปรับ หลังจากได้รับเงินแล้ว ก็ไม่สามารถติดต่อได้ นั้น

โฆษก ตร. ขอแจ้งเตือนไปยังพี่น้องประชาชนว่า ไลน์ดังกล่าวนั้นไม่ใช่ของทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติหรือสถานีตำรวจที่ถูกกล่าวอ้างแต่อย่างใด ขอให้พี่น้องประชาชนอย่าได้หลงเชื่อกรอกข้อมูลกับไลน์ปลอมดังกล่าว เพราะว่าอาจจะถูกขบวนการปลอมไลน์ขโมยข้อมูลเพื่อนำไปใช้ในทางที่เสียหายได้ และขอเตือนไปยังผู้ที่ร่วมขบวนการหลอกลวงทำไลน์ปลอมของสถานีตำรวจว่า การกระทำดังกล่าวนั้นเป็นความผิดตามกฎหมาย มีโทษหนักถึงขั้นจำคุก ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 341 ผู้ใดโดยทุจริต หลอกลวงผู้อื่นด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อความจริง ซึ่งควรบอกให้แจ้ง และโดยการหลอกลวงดังว่านั้นได้ไปซึ่งทรัพย์สินจากผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สาม หรือทำให้ผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สาม ทำ ถอน หรือทำลายเอกสารสิทธิ ผู้นั้นกระทำความผิดฐานฉ้อโกง ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ มาตรา 343 ถ้าการกระทำความผิดตามมาตรา 341 ได้กระทำด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จต่อประชาชน หรือด้วยการปกปิดความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้งแก่ประชาชน ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุก ไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

 

‘ตร.เตือน’ ระวัง!! แก๊งคอลเซ็นเตอร์ใช้ “หมายเรียกตำรวจปลอม” หลอกให้เหยื่อตกใจ โอนเงินมาให้มิจฉาชีพ!!

วันที่ 21 ธ.ค. 2564 พ.ต.อ.ศิริวัฒน์ ดีพอ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า ตามที่ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. ได้มีนโยบายให้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ แจ้งเตือนและประชาสัมพันธ์ให้พี่น้องประชาชนรู้เท่าทันถึงอาชญากรรมทางเทคโนโลยี และได้กำชับให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทำการสืบสวนจับกุมผู้กระทำผิดมาดำเนินคดีตามกฎหมายอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอดนั้น

ในช่วงที่ผ่านมาอาชญากรรมในรูปแบบของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ นอกจากจะแอบอ้างเป็นตำรวจหรือหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายแล้ว อ้างว่าบัญชีธนาคารของท่านมีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดหรือพัสดุที่ส่งไปต่างประเทศมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องผิดกฎหมาย เช่น ยาเสพติด ค้ามนุษย์ ฯลฯ ต้องโอนเงินในบัญชีธนาคารมาให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบแล้ว ปัจจุบันได้มีการพัฒนารูปแบบไปถึงการปลอมหมายเรียกของพนักงานสอบสวน เพื่อใช้ทำให้เหยื่อเกิดความหวาดกลัวว่าจะถูกดำเนินคดี จึงหลงกลโอนเงินไปยังบัญชีมิจฉาชีพ

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จึงขอประชาสัมพันธ์ไปยังพี่น้องประชาชน ถึงวิธีการตรวจสอบเบื้องต้น ว่าเอกสารดังกล่าวเป็นหมายเรียกของพนักงานสอบสวนจริงหรือไม่ ดังนี้

1. ชื่อ นามสกุล และที่อยู่ ที่ปรากฏบนหมายเรียกตรงกับชื่อ นามสกุล และที่อยู่ตามทะเบียนบ้านของท่านหรือไม่

2. สถานีตำรวจหรือหน่วยงานที่ออกหมาย มีอยู่จริงหรือไม่ โดยสามารถตรวจสอบได้ที่ https://www.royalthaipolice.go.th/station.php

3. หมายเรียกของตำรวจ ไม่จำเป็นต้องมีตราประทับใด ๆ ปรากฏอยู่บนหน้าหมาย จะมีเพียงลายมือชื่อของพนักงานสอบสวนปรากฏอยู่บนหมายเท่านั้น

4.ตรวจสอบว่ามีพนักงานสอบสวนที่ลงลายมือชื่อ อยู่ที่หน่วยงานดังกล่าวจริงหรือไม่ โดยสามารถตรวจสอบรายชื่อและหมายเลขโทรศัพท์สถานีตำรวจได้ที่ https://www.royalthaipolice.go.th/station.php และแอปพลิเคชัน “สมุดโทรศัพท์ตำรวจ”

5. เมื่อตรวจสอบกับหน่วยงานที่ออกหมายแล้วว่ามีพนักงานสอบสวนคนดังกล่าวจริง ให้ขอหมายเลขโทรศัพท์ของพนักงานสอบสวนเพื่อสอบถามรายละเอียดเบื้องต้นและนัดหมายวันเวลาในการเข้าพบพนักงานสอบสวน

6. ระมัดระวังการติดต่อหมายเลขโทรศัพท์ที่ปรากฏบนหน้าหมาย เพราะอาจเป็นหมายเลขโทรศัพท์ของคนร้าย

 

ตร.เตือน!! โดนโทรทวงหนี้ “อ้างว่าเป็นผู้ค้ำประกัน” ถ้าไม่เคยค้ำ อย่าหลงเชื่อ!!

พ.ต.อ.ศิริวัฒน์ ดีพอ รอง ผบก.ปอท. ในฐานะรองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า ตามที่ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. ได้มีนโยบายให้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ แจ้งเตือนและประชาสัมพันธ์ให้พี่น้องประชาชนรู้เท่าทันถึงอาชญากรรมทางเทคโนโลยี และได้กำชับให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทำการสืบสวนจับกุมผู้กระทำผิดมาดำเนินคดีตามกฎหมายอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอดนั้น

สืบเนื่องจากปัจจุบันพบว่ามีประชาชนจำนวนมากที่ได้รับความเดือดร้อนจากการโทรศัพท์มาทวงถามหนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีถูกอ้างชื่อว่าเป็นผู้ค้ำประกันเงินกู้ ถูกข่มขู่ว่าหากไม่ใช้หนี้แทนผู้กู้ จะถูกฟ้องร้องดำเนินคดี ติดเครดิตบูโร ไม่สามารถทำธุรกรรมทางการเงินกับสถาบันการเงินได้ ฯลฯ โดยที่ไม่เคยรู้เรื่องการค้ำประกันดังกล่าวมาก่อน ซึ่งสาเหตุที่เจ้าหนี้รู้ถึงข้อมูล ชื่อ-นามสกุล หมายเลขโทรศัพท์ ของเรานั้น ก็มักเกิดจากการที่บุคคลที่มีหมายเลขโทรศัพท์มือถือของเราบันทึกไว้ในรายชื่อผู้ติดต่อ ไปโหลดแอปพลิเคชันเงินกู้ และอนุญาตให้แอปพลิเคชันเข้าถึงรายชื่อผู้ติดต่อและหมายเลขโทรศัพท์นั่นเอง

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จึงขอประชาสัมพันธ์มายังพี่น้องประชาชน หากได้รับโทรศัพท์อ้างว่าท่านได้ไปค้ำประกันเงินกู้ โดยที่ท่านไม่เคยทราบเรื่องดังกล่าว และไม่เคยลงลายมือชื่อค้ำประกันให้กับบุคคลตามที่ถูกกล่าวอ้าง ขอให้ท่านอย่าหลงเชื่อ ไม่ต้องชำระเงินค้ำประกันเงินกู้ตามที่มิจฉาชีพอ้างและไม่ต้องกังวลว่าจะได้รับความเสียหายหรือถูกฟ้องร้อง หากท่านไม่เคยค้ำประกันให้บุคคลที่ถูกกล่าวอ้างจริง

พ.ต.อ.ศิริวัฒน์ กล่าวต่อว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้จัดตั้งศูนย์ป้องกันปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับหนี้นอกระบบ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปน.ตร.)ตามนโยบายของรัฐบาล โดย พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ มอบหมายให้ พล.ต.อ.วิระชัย ทรงเมตตา รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นผู้อำนวยการศูนย์ฯ

 

ตร. เตือน!! สมัครงานออนไลน์ ระวังถูกหลอกเอาบัญชีไปโกงผู้อื่น เสี่ยงถูกดำเนินคดี

วันที่ 10 ม.ค. 2565 พ.ต.อ.ศิริวัฒน์ ดีพอ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า ตามที่ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. ได้มีนโยบายให้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ แจ้งเตือนและประชาสัมพันธ์ให้พี่น้องประชาชนรู้เท่าทันถึงอาชญากรรมทางเทคโนโลยี และได้กำชับให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทำการสืบสวนจับกุมผู้กระทำผิดมาดำเนินคดีตามกฎหมายอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอดนั้น

ปัจจุบัน พบว่ามีพี่น้องประชาชนจำนวนมากตกเป็นเหยื่อของอาชญากร อย่างไม่รู้ตัวในรูปแบบของการสมัครงานทางออนไลน์ โดยขอให้นำบัญชีธนาคารของตนเองมาใช้ในการทำงาน สำหรับพฤติการณ์ของคนร้ายเริ่มต้นจาก การประกาศรับสมัครงานผ่านช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ต่าง ๆ อ้างว่าเป็นงานที่รายได้สูง สามารถทำงานจากที่บ้านได้ แค่เพียงมีคอมพิวเตอร์เท่านั้น ซึ่งหากสนใจสมัคร คนร้ายก็จะอธิบายรูปแบบของการทำงาน

โดยงานดังกล่าวจะเป็นการรับโอนเงิน อ้างว่าเป็นตำแหน่งบัญชี รับเงินจากผู้ซื้อสินค้าออนไลน์ เมื่อมีเงินเข้าบัญชี จะให้โอนเงินต่อไปยังบัญชีที่คนร้ายกำหนด และจะได้รับส่วนแบ่งเป็นเงินตามจำนวนครั้งที่ทำรายการ ซึ่งเงินที่เข้ามาในบัญชีจริง ๆ แล้วเป็นเงินที่ได้จากการหลอกลวงผู้อื่นหรือได้มาจากการกระทำความผิด ส่งผลให้เจ้าของบัญชีถูกแจ้งความดำเนินคดี เนื่องจากเป็นเจ้าของบัญชีธนาคารที่ถูกใช้ในการกระทำความผิด

พ.ต.อ.ศิริวัฒน์ ได้กล่าวต่อไปอีกว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีความห่วงใยพี่น้องประชาชนเป็นอย่างมาก จึงอยากจะประชาสัมพันธ์แจ้งเตือนให้พี่น้องประชาชนโปรดใช้ความระมัดระวังในการสมัครงานผ่านทางสื่อสังคมออนไลน์โดยใช้บัญชีธนาคารของท่านในการรับโอนเงินจากผู้อื่น เพราะท่านอาจ ตกเป็นเครื่องมือของคนร้ายในการหลอกลวงผู้อื่น หรือคนร้ายอาจนำบัญชีธนาคารของท่านไปใช้ในการกระทำความผิดอื่น เช่น ความผิดเกี่ยวกับการฉ้อโกง การพนัน ยาเสพติด หรือการกระทำผิดกฎหมายอื่น ๆ เจ้าของบัญชีธนาคารอาจถูกดำเนินคดีอาญาได้ในกรณีดังต่อไปนี้

1.ในฐานะตัวการร่วมในการกระทำความผิด ต้องระวางโทษตามที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83

2.ผู้สนับสนุนในการกระทำความผิด ต้องระวางโทษสองในสามส่วน ของโทษที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86

 

ตั้งสติ!! “ห้ามโอนเงินโดยเด็ดขาด” โฆษก ตร. เตือนภัยออนไลน์ แก๊งคอลเซ็นเตอร์ หลอกโอนเงิน

13 ม.ค.65 พล.ต.ต.ยิ่งยศ เทพจำนงค์ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า ในห้วงเวลาปัจจุบัน ได้มีแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอกลวงพี่น้องประชาชนในหลายรูปแบบ อาทิเช่น หลอกว่าได้รับรางวัล หลอกว่าเกี่ยวข้องกับคดียาเสพติด หรือปลอมตัวเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ แล้วให้เพิ่มเพื่อนผ่านแอปพลิเคชันไลน์ โดยปลอมเป็นไลน์ของสถานีตำรวจ เพื่อหลอกเอาข้อมูลส่วนตัว หรือหลอกให้หลงเชื่อว่าทำผิดกฎหมายเพื่อโอนเงินแลกกับการไม่ดำเนินคดี ซึ่งในขั้นตอนสุดท้ายมิจฉาชีพจะโน้มน้าวให้ “โอนเงิน” ด้วยเหตุผลต่าง ๆ นั้น  ขอให้ท่านตั้งสติ และห้ามโอนเงินเด็ดขาด

พล.ต.ต.ยิ่งยศฯ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า จากภัยร้ายทางโลกออนไลน์ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ มีความมุ่งมั่นที่จะปราบปรามอย่างจริงจัง จึงได้ตั้ง ศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปอส.ตร.) เพื่อปฏิบัติภารกิจที่เกี่ยวเนื่องกับเรื่องดังกล่าว อย่างเข้มงวด เพื่อลดความสูญเสียทรัพย์สินของพี่น้องประชาชน โดยมี พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็น ผู้อำนวยการศูนย์ฯ

โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวต่อว่า พล.ต.อ.สุวัฒน์ฯ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้มีนโยบายให้ประชาสัมพันธ์เตือนภัย และให้ความรู้กับพี่น้องประชาชน เพื่อให้รู้เท่าทันมิจฉาชีพ เสมือนเป็นวัคซีนเพื่อป้องกันภัยร้ายจากอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (Cyber Vaccinated) และได้กำชับเจ้าหน้าที่ตำรวจให้ปฏิบัติหน้าที่กวาดล้างมิจฉาชีพอย่างเข้มข้น รวดเร็ว เพื่อไม่ให้พี่น้องประชาชนตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพอีกต่อไป จึงอยากขอเน้นย้ำกับพี่น้องประชาชนว่า หากท่านพบว่ามีการแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ และดำเนินการเรียกเก็บค่าใช้จ่าย ให้สันนิษฐานว่าเป็นมิจฉาชีพ ขอให้ท่านตั้งสติ และห้ามโอนเงินโดยเด็ดขาด

 

รองโฆษก ตร. เตือน ปชช. ระวังโจรออนไลน์ หลอกให้โหลดแอปควบคุมมือถือ ก่อนฉกเงินหนี

วันนี้ (5 ม.ค. 66) ที่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พ.ต.ท.หญิง ณพวรรณ ปัญญา รองโฆษก ตร. เปิดเผยกรณี มีผู้เสียหาย ถูกคนร้ายส่งข้อความ “ขอขอบคุณที่ใช้บริการ จะมอบคูปองฟรีให้ 1 ใบ” ตามลิงก์ที่คนร้ายส่งให้ ผู้เสียหายกดลิงก์แอดไลน์ คนร้ายขอให้ติดตั้งแอปพลิเคชัน ไลอ้อนแอร์ แล้วพิมพ์ชื่อ นามสกุล ภาษาอังกฤษ และเบอร์โทรศัพท์ จากนั้น คนร้ายบอกว่าให้รอห้ามวางสาย ต่อมาปรากฎว่ามีเงินหายไปหมดบัญชี คนร้ายยังกดเงินจากบัตรเครดิตซึ่งผูกกับ แอปพลิเคชันธนาคารออนไลน์ สูญเงินทั้งสิ้นกว่า 2 แสนบาท

รองโฆษก ตร. กล่าวว่า กรณีดังกล่าวคนร้ายแอบอ้างบริษัทเอกชน ที่มีชื่อเสียงต่างๆส่ง sms แจ้งเหยื่อว่าจะได้รับของรางวัล หากหลงเชื่อจะหลอกให้ติดตั้งแอปพลิเคชันที่สามารถควบคุมมือถือระยะไกล โดยปกติจะมีขั้นตอนของมันเล็กน้อย คนร้ายอาจจะบอกให้เรากรอก ตัวเลข หรือ ตัวอักษรสักชุด หรือไม่ คนร้ายก็หลอกถามเอาตัวเลขชุดนั้นจากเรา เมื่อคนร้ายได้รหัสหรือตัวเลขบางอย่างจากเครื่องของเรา คนร้ายจะนำรหัสไปใช้ในการควบคุมเครื่องของเราได้ทันที สามารถใช้งานบังคับ ทุกอย่างได้ เปรียบเสมือนเป็นเจ้าของเครื่อง ขณะหลอกให้รอห้ามวางสาย ซึ่งเชื่อว่าน่าจะเป็นช่วงดูดข้อมูล จากนั้นคนร้ายจะขอเปลี่ยนรหัสเข้าบัญชีเอง เพราะมีเลข OTP ส่งจากธนาคารมาที่โทรศัพท์ผู้เสียหาย แต่คนร้ายสามารถเห็นได้ที่หน้าจอคนร้ายเอง และจะทำการโอนเงินไปสู่บัญชีเป้าหมายด้วยตนเอง ไม่จำเป็นต้องให้เหยื่อโอนเงินให้เหมือนวิธีเดิมๆ ทำให้เหยื่อสูญเงินออกจากบัญชี

พ.ต.ท.หญิง ณพวรรณฯ จึงขอประชาสัมพันธ์ วิธีป้องกันตนเองต่อภัยโจรออนไลน์ในหลากหลายรูปแบบ ในกรณีนี้ สามารถป้องกันได้โดย

1. มีสติ ตรวจสอบข้อความที่ได้รับอย่างระมัดระวัง หากมีเจ้าหน้าที่หรือหน่วยงานใดติดต่อหรือแสดงตัว ไม่ว่าเรื่องใด ๆ ให้โทรสอบถามจากเบอร์กลางของหน่วยงานที่ถูกอ้างถึงนั้น ๆ ทุกครั้ง

2. ห้ามกดลิงก์หรือติดตั้งแอปที่ไม่ทราบที่มาที่ไป รวมถึงไม่ให้ข้อมูลส่วนตัวใด ๆ เมื่อรับสายจากต้นทางที่ไม่ทราบที่มาที่ไปชัดเจน

ตร.ไซเบอร์รวบเครือข่ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ อ้างบริษัทไปรษณีย์ไทยหลอกโอนเงินกว่า 40 ล้าน

สืบเนื่องจากมีผู้เสียหายเข้าแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนว่ามีบุคคลแอบอ้างเป็นบริษัทไปรษณีย์ไทย โทรศัพท์มาหลอกผู้เสียหายว่ามีพัสดุผิดกฎหมายซึ่งตรวจพบเป็นกัญชาได้ถูกส่งไปที่ประเทศจีน ซึ่งผู้เสียหายมีส่วนเกี่ยวข้องในการกระทำผิด จากนั้นได้โอนสายไปยังบุคคลที่แอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจแจ้งว่าผู้เสียหายยังมีส่วนเกี่ยวข้องกับการการฟอกเงิน ต้องโอนเงินไปให้ตรวจสอบทุกบัญชี ผู้เสียหายหลงเชื่อจึงโอนเงินไปทุกบัญชีรวมจำนวน 40 ล้านบาท

เจ้าหน้าที่ตำรวจไซเบอร์จึงได้รวบรวมพยานหลักฐานจนสามารถขออำนาจศาลออกหมายจับผู้ร่วมกระทำผิด กระทั่งวันที่ 9 พ.ค. 2566 เวลาประมาณ 19.00 น. เจ้าหน้าที่ กก.วิเคราะห์ข่าวฯ บก.สอท.1 ได้ร่วมจับกุมตัวนายอานนท์ อายุ 23 ปี ชาวอ่างทอง ในข้อหา “ร่วมกันฉ้อโกงประชาชนโดยการแสดงตนเป็นคนอื่น, ร่วมกันเป็นอั้งยี่, ร่วมกันเป็นซ่องโจร, ร่วมกันมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ, ร่วมกันโดยทุจริตหรือโดยหลอกลวง นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมด หรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน และร่วมกันฟอกเงิน” โดยควบคุมตัวได้บริเวณ ถนนอ่างทอง-ป่าโมก ต.บ้านแห อ.เมือง จ.อ่างทอง

เบื้องต้น นายอานนท์ยังคงให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา โดยจากการสืบสวนทราบว่าผู้ต้องหาทำหน้าที่รับจ้างเปิดบัญชีให้ผู้เสียหายโอนเงินเข้ามา ก่อนที่กลุ่มมิจฉาชีพจะโอนเงินไปยังบัญชีอื่นต่อไป นอกจากนี้ ยังพบอีกว่า นายอานนท์ ยังถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจออกหมายจับอีกจำนวน 3 หมายในความผิดลักษณะเดียวกันที่เกี่ยวข้องกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์
 
กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท. พล.ต.ต.ชัชปัณฑกาณฑ์ คล้ายคลึง ผบก.สอท.1 และ พ.ต.อ.ศุภรฐโชติ จำหงษ์ ผกก.วิเคราะห์ข่าวฯ บก.สอท.1 สั่งการให้ พ.ต.ท.ศักดิ์สิทธิ์ ชูบุญเรือง, พ.ต.ต.รังสรรค์ แสงรูจี และ พ.ต.ต.วัฒนชัย ธนกวินวงศ์ สว.กก.วิเคราะห์ข่าวฯ บก.สอท.1 พร้อมชุดสืบสวนร่วมกันดำเนินการจับกุม

รวบแก๊งแพทย์ทหารนาโต้เก๊หลอกโอนเงินเหยื่อหวังได้อยู่ด้วยกัน ตร.ไซเบอร์โทรหาทำฝันสลาย

สืบเนื่องจาก เมื่อ 19 ก.พ.66 ที่ผ่านมา ผู้เสียหายได้รู้จักกับมิจฉาชีพผ่านแอป Instagram โดยอ้างว่าเป็นแพทย์ทหารชาวเวียดนามปฏิบัติหน้าที่ในองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ หรือ NATO เมื่อพูดคุยกันถูกคอจึงมีการแอดไลน์และได้สนทนากันเรื่อยมาจนผู้เสียหายเกิดชอบพอและหลงรัก

ต่อมา มิจฉาชีพได้พูดจาหว่านล้อมโดยอ้างว่า ต้องการมาใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันกับผู้เสียหายที่ประเทศไทย ซึ่งมีแค่ผู้เสียหายคนเดียวที่ช่วยเขาได้ จึงขอให้โอนเงิน จำนวน 10,000 บาท ไปยังบัญชีปลายทาง เพื่อวิ่งเต้นเจ้าหน้าที่ในองค์การสหประชาชาติ (UN) ในการโยกย้ายตำแหน่งมาทำงานที่ประเทศไทย เมื่อผู้เสียหายหลงเชื่อจึงโอนเงินไป ช่วงเวลาต่อมา คนร้ายก็อ้างอีกว่า จำเป็นต้องให้ผู้พิพากษาช่วยในการโยกย้ายตำแหน่งอีก จึงขอให้ผู้เสียหายโอนเงินเป็นค่าดำเนินการ ผู้เสียหายหลงเชื่อ จึงโอนเงินไปยังบัญชีดังกล่าวอีก 25,000 บาท หลังจากนั้น มิจฉาชีพก็อ้างเหตุผลต่างๆ เพื่อหลอกลวงเหยื่อให้โอนเงินค่าดำเนินการไปอีกหลายครั้ง รวมทั้งสิ้น 60,000 บาท

กระทั่งวันที่ 23 มิ.ย.66 เจ้าหน้าที่ตำรวจไซเบอร์ได้โทรหาผู้เสียหาย เนื่องจากพบว่า เป็นผู้โอนเงินเข้าบัญชีปลายทางดังกล่าวอย่างผิดปกติ โดยบัญชีดังกล่าว เจ้าหน้าที่พบว่าเป็นบัญชีม้าของแก๊ง Romance Scam ที่มีผู้เสียหายคนอื่นโดนหลอกให้รักแล้วโอนเงินเช่นกัน ผู้เสียหายจึงทราบว่าตนเองถูกหลอกแล้ว จากนั้นจึงเข้าแจ้งความเพื่อดำเนินคดี

ต่อมา พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท. จึงสั่งการให้ พล.ต.ต.สถิตย์ พรมอุทัย ผบก.สอท.3 จัดเจ้าหน้าที่สืบสวนคดีดังกล่าว และรวบรวมพยานหลักฐานจนสามารถขออำนาจศาลออกหมายจับผู้กระทำผิดที่เกี่ยวข้อง โดย กก.วิเคราะห์ข่าวและเครื่องมือพิเศษ บก.สอท.3 ได้ลงพื้นที่เพื่อสืบสวนหาข่าว จนสามารถเข้าควบคุมตัว นายนราธิป อายุ 31 ปี ชาวอุตรดิตถ์ ในข้อหา “ร่วมกันฉ้อโกงประชาชนโดยการแสดงตนเป็นบุคคลอื่น, ร่วมกันโดยทุจริตหรือหลอกลวงนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ปลอม ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วนหรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน และร่วมกันฟอกเงิน” โดยจับกุมได้บริเวณบ้านหลังหนึ่ง ในพื้นที่การเคหะคลองจั่น แขวงคลองจั่น เขตบางกะปิ กรุงเทพมหานคร

ผลการปฏิบัติภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ต.สถิตย์ พรมอุทัย ผบก.สอท.3 พ.ต.อ.พงศ์นริทร์ เหล่าเขตกิจ ผกก.วิเคราะห์ข่าวฯ บก.สอท.3 สั่งการให้ พ.ต.ท.ภาคภูมิ บุญเจริญพานิช รอง ผกก.วิเคราะห์ข่าวฯ บก.สอท.3,  พ.ต.ท.เลอศักดิ์ พิเชษฐไพบูลย์ พ.ต.ต.รุ่งเรือง มีสติ และ พ.ต.ต.ธวัช ทุเครือ สว.กก.วิเคราะห์ข่าวฯ พร้อมชุดสืบสวนดำเนินการจับกุม


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top