Sunday, 19 May 2024
สุรเชษฐ์_หักพาล

พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ผู้ช่วย ผบ.ตร. ลงพื้นที่ตรวจและติดตามโครงการ smart safety zone 4.0 ระยะที่ 2 สถานีตำรวจภูธรเมืองมุกดาหาร

เมื่อเวลา 15.30น.วันที่ 29 กรกฎาคม 2565 พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ประธานกรรมการ พร้อมคณะลงพื้นที่ประเมินโครงการ smart safety zone 4.0 ระยะที่ 2 พร้อมตรวจเยี่ยมสถานีตำรวจภูธรเมืองมุกดาหารโดยมี พล.ต.ต.ชัชชัย วงศ์สุนะ ผู้บังคับการตำรวจภูธร จ.มุกดาหาร และ พ.ต.อ.เกียรติภูมิ สุวรรณไตรย์  ผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรเมืองมุกดาหาร พร้อมเจ้าหน้าฝ่ายปกครอง เจ้าหน้าที่เทศบาลเมืองมุกดาหาร และภาคีเครือข่ายป้องกันอาชญากรรมในพื้นที่ตามโครงการ smart safety zone 4.0 ระยะที่ 2 ณ ห้องประชุมชั้น 2 สถานีตำรวจภูธรเมืองมุกดาหาร

โดย พ.ต.อ.เกียรติภูมิ สุวรรณไตรย์ กล่าวรายงานว่าตามแนวทางการสร้างเครือข่ายร่วมกับพันธมิตรหลักของชุมชนเพื่อขับเคลื่อนโครงการ smart safety zone 4.0 ระยะที่ 2 ความคืบหน้าในการดำเนินโครงการ ในพื้นที่พร้อมทั้งภาพรวมในการดำเนินงานด้านความปลอดภัยชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนโดยการนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศเป็นการร่วมบูรณาการสื่อสารมาใช้ในการป้องกันอาชญากรรมแบบชิงรุกด้วยการสร้างเครือข่ายกล้อง CCTV ระบบ AI และแอพพลิเคชั่นต่างๆ ซึ่งติดตั้งระบบแจ้งเหตุฉุกเฉินไว้ตามจุดต่างๆ เจ้าหน้าที่ใช้เป็นเครื่องมือสื่อสารเพื่อตรวจสอบในพื้นที่ตลอดเวลา และยังใช้โดรนบินตรวจการเมื่อพบเป้าหมายระบบจะเชื่อมต่อมาต้นสังกัดเป็นการป้องกันอาชญากรรมแบบเชิงรุกโครงการดังกล่าวเป็นโครงการนำร่องระยะที่ 2 ดำเนินการในพื้นที่ สภ.เมืองมุกดาหารมีพื้นที่ 0.42 ตาราง กิโลเมตร

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ฯ พร้อมคณะเดินทางประชุมระหว่างประเทศด้านการต่อต้านการค้ามนุษย์ ณ กรุงมะนิลา ฟิลิปปินส์

เมื่อวันที่ 13 ธ.ค. 65 พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ในฐานะ ผู้อำนวยการศูนย์พิทักษ์เด็ก สตรี ครอบครัว ป้องกันปราบปรามการค้ามนุษย์ และภาคประมง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศพดส.ตร.) พร้อมคณะผู้แทนสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และผู้แทน DSI ได้เดินทางเข้าร่วมการประชุมระหว่างประเทศด้านการต่อต้านการค้ามนุษย์ ครั้งที่ 8 จัดขึ้น ณ กรุงมะนิลา สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ โดยภายในการประชุมดังกล่าว ได้มีผู้แทนหน่วยงานด้านการต่อต้านการค้ามนุษย์จากประเทศสมาชิกอาเซียนทั้งหมดมาร่วมงานกันเป็นจำนวนมาก รวมทั้งผู้แทนหน่วยงานและองค์กรระหว่างประเทศอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น โครงการ ASEAN-ACT และประเทศออสเตรเลีย เป็นต้น

ในการประชุมระหว่างประเทศครั้งนี้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ได้มีโอกาสในการแสวงหาความร่วมมือในการปราบปรามการค้ามนุษย์ระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียนได้มากยิ่งขึ้น และได้มีโอกาสในการนำเสนอการทำงานของ ศพดส.ตร. การแบ่งโครงสร้างการปฏิบัติซึ่งมีความครอบคลุมทุกจังหวัดทั่วประเทศ รวมทั้งผลงานการปฏิบัติของ ศพดส.ตร. และชุดปฏิบัติการ TICAC ในรอบปีที่ผ่านมา 

บิ๊กเคลียร์!! 'บิ๊กต่อ-บิ๊กโจ๊ก' กอดเอวจับมือ ลงตัว!! จากนี้ 'บิ๊กโจ๊ก' เดินหน้า ทิ้งคำว่า 'ผบ.ตร.' สักคำรบ

เช้าวันศุกร์ที่ 29 ก.ย. คอการตำรวจ คอการเมืองได้เห็นภาพสองบิ๊กสีกากี … ‘บิ๊กต่อ’ กับ ‘บิ๊กโจ๊ก’ ยืนกอดเอวกันในห้องทำงานของ ‘บิ๊กต่อ’ ที่กองบังคับการตำรวจปฏิบัติการพิเศษหรือคอมมานโด เมืองทองธานีแล้ว...หลายคนก็คงจะรู้สึกดีประมาณว่า...เสือสองตัวน่าจะอยู่ในถ้ำเดียวกันได้แล้ว วงการตำรวจก็น่าจะดีขึ้น

แต่อีกกลุ่มที่อาจจะซาดิสม์เล็กน้อย ก็อาจจะมองว่า...นี่มันมวยล้มต้มคนดูกันชัดๆ นี่หว่า...เพราะไม่กี่วันก่อน ‘บิ๊กโจ๊ก’ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล ยังประกาศเปรี้ยงว่า มีข้อมูลในมือเยอะ เปิดเผยเมื่อไหร่ตายกันยกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ อยู่เลย..ไหงอยู่ดีๆ จับมือจูบปากกันซะแล้ว!! 

ครับ ก็สุดแท้แต่มุมมองของแต่ละท่าน…

ถ้าถามมุมมองของ ‘เล็ก เลียบด่วน’ ก็ต้องมองแบบนักวิเคราะห์ว่า … ทันทีที่ มติ ก.ตร.ออกมา 9:1:2 เห็นชอบให้ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ‘บิ๊กต่อ’ ผงาดสู่ตำแหน่ง ผบ.ตร.คนที่ 14 ‘บิ๊กโจ๊ก’ เองก็คงรู้ดีว่าอะไรเป็นอะไร...การที่จะสวมบท ‘โจ๊ก อัคนี’ อย่างที่ทนายอนันตชัยตั้งฉายาให้ก็มีแต่จะเผาไหม้ตัวเอง ผ่อนเกียร์เร่งลง ประเมินสถานการณ์ต่างๆ ใหม่อีกรอบน่าจะเป็นการดีต่อชีวิตที่สิบของแมว…

ส่วนประเด็นว่า...การไปกินข้าวล้างใจและกอดเอวกันนั่น ใครชวนใครกันแน่ อันนี้ข่าวลึกยังไม่แจ้งชัด แต่ ‘เล็ก เลียบด่วน’ เชื่อจากรายงานข่าวส่วนตัวว่า ‘บิ๊กต่อ’ เป็นคนเชิญชวน เป็นการสนองนโยบายของนายกฯ เศรษฐา ทวีสิน ที่บอกบิ๊กต่อว่าอยากเห็นภาพความรักความสามัคคีกันระหว่างสองบิ๊ก...บังเอิญว่า ‘บิ๊กโจ๊ก’ ก็อยากลดดีกรีความร้อนแรงลงพอดี...ทุกอย่างก็ลงตัว

อย่างไรก็ตาม ภาพกอดเอวจับมือกันดังกล่าว กล่าวกันอย่างถึงที่สุดก็ไม่ได้เป็นหลักประกันว่า จากนี้ไปความขัดแย้งขัดแข้งขัดขาขัดผลประโยชน์กันในสตช.จะลดระดับลง หรือคดีสำคัญต่างๆ ที่งัดกันมาเล่นจะหายวับไปกับตา...เพียงแต่เดือนสองเดือนนี้คงจะลดความร้อนแรงลงบ้าง...ฝ่ายบิ๊กโจ๊กที่คิดจะดับเครื่องชนก็คงเบาเครื่องลง…

ประเด็นต่อมา...ถามว่าปลายปีหน้า 2567 เมื่อ ‘บิ๊กต่อ’ ลงจากตำแหน่งแล้ว ‘บิ๊กโจ๊ก’ ซึ่งจะเป็นรองผบ.ตร.ที่อาวุโสลำดับที่ 1 มีโอกาสขึ้น ผบ.ตร.หรือไม่...คำตอบคือ…มี แต่ไม่มาก...และต้องย้ำว่าอาวุโสสูงสุดไม่ใช่หลักประกันการันตีว่าจะต้องได้ แต่หากว่าปีนี้ พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ รองผบ.ตร.ที่อาวุโสลำดับ 1 ได้ขึ้น ผบ.ตร. โอกาสของบิ๊กโจ๊กในปีหน้าจะมีมาก เพราะถือว่าปีนี้ได้ใช้หลักอาวุโสนำร่อง...ความชอบธรรมของบิ๊กโจ๊กที่จะขึ้นย่อมมีมาก แต่น่าเสียดายที่ พล.ต.อ.รอย ท่านวืดไปแล้ว...!!

สรุปว่า...จากนี้ไปจนถึง 2574 ปีเกษียณ ‘บิ๊กโจ๊ก’ มีเวลาอีกไม่น้อย แต่ก็ต้องบริหารโอกาสของตัวเองให้ดี เพราะสถานการณ์ต่างๆ ไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว...จาก 'โจ๊ก หวานเจี๊ยบ' เป็น 'โจ๊ก อัคนี' เห็นทีจะต้องกลับสู่สามัญ...เป็น โจ๊ก ธรรมดา ใส่ไข่แค่ฟองเดียวก็พอแล้ว…

ค่าของคน อยู่ที่เป็นคนของใคร...ปล่อยให้เขาว่ากันไป...แต่ค่าของโจ๊กต้องอยู่ที่ผลของงาน...สวมวิญญาณไม่ต้องหมกมุ่นกับตำแหน่ง ผบ.ตร. และเกมอำนาจดูสักตั้ง...ฟ้าดินน่าจะเข้าใจและเคียงข้าง!!

อนาคต ‘บิ๊กโจ๊ก’ บนถนนสายขรุขระ สู่ตำแหน่ง ‘ผบ.ตร.’ เมื่อระบบคุณธรรมถูกทำลาย หลักอาวุโสถูกมองข้าม

เหลืออีก 7 เดือน พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล จะเกษียณอายุราชการในตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) นั่นก็แปลความได้ว่า เดือนสิงหาคม กันยายน จะเป็นเดือนเดือดสำหรับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในช่วงการสรรหาบุคคลมานั่งเป็น ผบ.ตร.คนใหม่ 

ถ้ายึดตามหลักอาวุโส ความรู้ความสามารถ แน่นอนว่า ‘บิ๊กโจ๊ก’ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ผู้มีอาวุโสสูงสุดในบรรดา พล.ต.อ.ทั้งหมด จะต้องได้ก้าวขึ้นไปเป็น ผบ.ตร.

แต่ด้วยตำแหน่ง ผบ.ตร.ยึดโยงกับฝ่ายการเมืองอยู่ด้วย จึงไม่มีอะไรการันตีว่า ‘บิ๊กโจ๊ก’ จะได้ขึ้นไปนั่งเก้าอี้ ผบ.ตร. 100% คงจำกันได้ว่า พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ก็ใช่ว่าจะอาวุโสสูงสุด แต่ฝ่ายการเมืองเลือกเขาให้มานั่งเก้าอี้ ผบ.ตร. 

“มันขึ้นอยู่กับความพอใจของฝ่ายการเมือง ไม่ต้องคิดถึงระบบคุณธรรมอะไรหรอก” ผู้คร่ำหวอดในวงการตำรวจกล่าว

ในวัย 52 ปี ถ้าไม่มีความรู้ความสามารถจริง จะได้มีโอกาสก้าวขึ้นครองยศ พล.ต.อ.เหรอ? แม้จะใกล้ชิดสนิทสนมกับฝ่ายอำนาจก็ตาม แต่ ‘บิ๊กโจ๊ก’ ขึ้นครองยศ พล.ต.อ. ตั้งแต่อายุ 50 ต้น ๆ จึงยังเหลืออายุราชการอีกมากถึง 7 ปี

บนถนนที่ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ มีแต่ถนนขรุขระ และเต็มไปด้วยดงหนาม มีปัญหาแม้กระทั่งกับอดีต ผบ.ตร. จนต้องโดนเด้งเข้ากรุมาแล้ว แต่ด้วยสายแข็งยังได้กลับมาใส่ชุดสีกากีอีกครั้ง ดงหนามหนึ่ง คือ การก้มหน้าก้มตาทำหน้าที่จนมีผลงานพุ่งแรงเจิดจรัส แต่เมื่อเกษียณในปี 2574 หากได้ขึ้นเป็น ผบ.ตร.ตั้งแต่กันยายนนี้ ย่อมมีเวลาในตำแหน่งอีกนานโขถึง 7 ปี

‘บิ๊กโจ๊ก’ จึงเต็มไปด้วยกับดักขวากหนามยิ่งหนาแน่น สกัดไม่ให้เป็น ผบ.ตร. หรือมีเป้าประสงค์ขัดขวางเพื่อลดทอนเวลาอยู่ในตำแหน่งให้เหลือน้อย หากร้ายแรงอาจเล่นหนักถึงขั้นไม่ให้เป็น ผบ.ตร.กันเลย

ภารกิจสกัด พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เริ่มถูกออกแบบขย่มมาตั้งแต่ต้นปี 2567 แล้วรุมขยี้หนักมือขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยข้อหาย้อนศรจากหน้าที่การงานเก่าที่เคยรับบทเป็นมือปราบคอลเซ็นเตอร์-พนันออนไลน์ กระทั่งข้อหาพนันออนไลน์เป็นชนักพุ่งปักตำรวจคนสนิททีละคน ทั้ง ๆ ที่ใครทำผิดก็ลงโทษคนนั้น ใครถูกกล่าวหาก็ไปแก้ตัวเอาเองในศาล

การเล่นงานตำรวจคนสนิท ไม่ได้หมายความว่า ต้องการดึง พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เข้ามาพัวพันกับข้อหาพนันออนไลน์ แต่เป้าหมายของจอมบงการออกแบบวางแผนสกัดกั้นหวังเพียงทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง ถูกสังคมมองด้วยสายตาเคลือบแคลงกังขา

เพียงเท่านี้คือ สิ่งที่การเมืองสีกากีต้องการทำให้มัวหมองและขอเอาคืน พร้อมกับลากโยงไปขัดขาไม่ให้พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ได้เป็น ผบ.ตร.ในรอบพิจารณาคัดเลือกช่วงสิงหาคมถึงกันยายนนี้

แม้จะถูกเล่นงานเอาคืน ลูกน้องโดนบุกตรวจค้น จับกุมฟ้องร้องต่อศาลในคดีสมรู้ร่วมคิดหาประโยชน์จากการพนันออนไลน์และฟอกเงิน พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ยังคงยืนหลังตรงพิงกฎหมายบ้านเมืองชนิดไม่ออกอาการของเหยื่อที่กำลังถูกรุมยำ

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เคยยืนยันและยังย้ำอยู่ว่า ไม่เคยเกี่ยวข้องกับคดีพนันออนไลน์ ส่วนลูกน้องต้องไปต่อสู้คดีในศาล และพิสูจน์ให้ได้ว่าเส้นทางเงินมาที่ตัวเองได้มาจากไหน โดยใครทำต้องรับผิดชอบ ในส่วนของเว็บพนันและแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ตนเกี่ยวข้องเฉพาะเรื่องการปราบปรามอย่างเดียว

"ผมมั่นใจว่าไม่มีเงินเข้ามาที่บัญชีของลูกน้อง มันเป็นเรื่องที่จะต้องไปอธิบายในชั้นศาลให้ได้ว่า ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร ผมมองว่าลูกน้องไม่มีการกระทำความผิดในลักษณะแบบนี้ เราเป็นชุดทำงานกันมานาน ถ้าผิดคงผิดมานานแล้ว" พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ปัดอุปสรรคที่กำลังทยอยมาเล่นงาน และรู้ดีว่า งานเข้าแบบนี้มีเป้าหมายเช่นใด เพราะเมื่อเล่นงานลูกพี่ไม่ได้ จึงต้องเลาะโอบทำลายลูกน้องเพื่อให้สะเทือนถึงลูกพี่

ล่าสุดข้อหาคดีแบบลูกน้องเป็นพิษ ถูกขุดให้หนักขึ้น พยายามฉายภาพการข่มขู่แอบถ่ายรูปอัยการที่เกี่ยวข้องกับการสอบสวนฟ้องร้องคดีพนันออนไลน์ ราวกับต้องการสื่อให้เห็นว่า ตำรวจลูกน้อง พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เป็นขบวนการผู้มีอิทธิพล เพราะมีลูกพี่เป็นคนคัดท้ายอยู่

อย่างไรก็ตาม สิ่งเหล่านี้ต้องพิสูจน์ตามกฎหมาย ซึ่ง พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ยึดหลักด้านนี้ไว้มั่นคง ชนิดบอกว่า รู้จักลูกน้องแต่เวลาทำงานตามหน้าที่ ส่วนเลิกทำงานแล้ว เป็นเรื่องส่วนตัว ใครทำอะไรไม่ดีไว้ต้องจัดการด้วยกฎหมายอย่างเท่าเทียมกัน

เมื่อเกมการเมืองสีกากีเริ่มเห็นร่องรอยทำลายความน่าเชื่อถือของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ในฐานะรอง ผบ.ตร.อาวุโสที่มีโอกาสคั่วเก้าอี้ ผบ.ตร. มาครองในช่วงโยกย้ายเดือนกันยายนนี้ ดังนั้น อัตราเร่งของเกมย่อมล็อกให้เกิดขึ้นถี่ยิบ

โดยชนิดความถี่นั้น ถึงขั้นสร้างความรำคาญ เบื่อหน่ายให้อำนาจเหนือกว่าเข้ามาจัดการ และอำนาจที่ขบวนขัดขาตีฆ้องร้องป่าวเสมอ

โดยความจริงคือ การกดดันให้ใช้อำนาจโยกย้าย พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ให้พ้นจากรอง ผบ.ตร.อาวุโสสูงสุดที่มีสิทธิ์ชอบธรรมตามกฎหมายได้กำหนดหลักเกณฑ์ให้ถูกพิจารณาเลือกให้เป็น ผบ.ตร.คนต่อไป

เมื่อเรียงระบบอาวุโสสูงสุดไปสู่น้อยสุดในตำแหน่งรอง ผบ.ตร.ที่มีอยู่และจะตั้งเพิ่มขึ้นใหม่ซึ่งประกอบด้วย พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เกษียณปี 2574, พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ เกษียณปี 2569, พล.ต.อ.สราวุฒิ การพานิช เกษียณปี 2567, และ พล.ต.อ.ธนา ชูวงศ์ เกษียณปี 2569 ขณะที่ พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข ซึ่งถูกคาดจะได้เลื่อนจาก ผู้ช่วย ผบ.ตร.มาเป็น รอง ผบ.ตร. จะเกษียณปี 2568 และมีอาวุโสน้อยสุด

ดังนั้น พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ จึงเป็นสเปกที่เข้ากับเกณฑ์ต้องถูกพิจารณาเลือกให้เป็น ผบ.ตร.มากที่สุด แต่ด้วยเงื่อนไขมีอายุราชการตำรวจนานกว่าทุกคนจึงกลายเป็นจุดอ่อนต้องถูกขัดขาให้ล้มหัวคะมำจนพลาดได้ขึ้นเป็น ผบ.ตร.ในช่วงพิจารณาเดือนกันยายนนี้ เพื่อเปิดทางให้ รอง ผบ.ตร.ที่จะเกษียณในปี 2569 ได้เป็นคู่ชิงชัยขัดตาทัพกันไปก่อน

นี่เป็นเป้าหมายของจอมบงการออกแบบวางแผนไว้ และเป็นแผนลดทอนระบบอาวุโส พร้อมกำหนดทางเลือกยื้อเวลาการขึ้นเป็น ผบ.ตร.ของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ออกไปให้นานอีก 2-3 ปี หลังจากนั้นยังมีเวลาเหลือให้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ พกพาวาสนาขึ้นเป็น ผบ.ตร.และอยู่ในตำแหน่งนานถึง 3-4 ปี ซึ่งอาจเป็นเวลาเฉลี่ยในตำแหน่งมากกว่า ผบ.ตร.ที่ผ่านมา

ดังนั้น พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กำลังถูกกดดันให้มีทางเดินไปสู่ตำแหน่ง ผบ.ตร.ใน 2 ทางชีวิตข้าราชการตำรวจที่เหลืออยู่ คือ จะเป็นก่อนตามหลักอาวุโสในเดือนกันยายนนี้ หรือเลือกรอเป็นหลังกันยายน 2569

สิ่งสำคัญ การกดดัน พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เช่นนั้น จอมบงการวางแผนจำต้องออกแรงกดดันไปถึง พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ และนายกรัฐมนตรีด้วย เพราะทั้งสองคนมีอำนาจตามกฎหมายที่จะเลือก รอง ผบ.ตร. คนใดคนหนึ่งในจำนวน 5 คนขึ้นมาพิจารณาให้เป็น ผบ.ตร.คนต่อไป

แต่อำนาจการพิจารณาของ ผบ.ตร.คนปัจจุบันกับนายกรัฐมนตรี ย่อมใคร่ครวญกับการทำลายระบบอาวุโส ที่เป็นประหนึ่งบรรทัดฐานในหลักระบบคุณธรรมการโยกย้ายข้าราชการตำรวจตามกฎหมายตำรวจแห่งชาติ ปี 2565 อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ในกฎหมายตำรวจแห่งชาติปี 2565 กำหนดการจัดระเบียบราชการข้าราชการตำรวจไว้ที่มาตรา 60 โดยให้คำนึงถึงระบบคุณธรรม ว่า (3) การพิจารณาความดีความชอบ การเลื่อนตำแหน่ง และการให้ประโยชน์อื่นแก่ข้าราชการตำรวจต้องเป็นไปอย่างเป็นธรรม โดยพิจารณาจากอาวุโส ผลงาน ศักยภาพ และความประพฤติประกอบกัน และจะนำความคิดเห็นทางการเมืองหรือสังกัดพรรคการเมืองมาประกอบการพิจารณามิได้

ดังนั้น องค์ประกอบสำคัญกำหนดการจัดระเบียบราชการข้าราชการตำรวจที่เป็นระบบคุณธรรมนั้น คือ ระบบอาวุโส ซึ่งแปรเปลี่ยนการตีความอธิบายเป็นอย่างอื่นไม่ได้อีกแล้ว

โดยเฉพาะมาตรา 78 ได้กำหนดให้พิจารณาตำรวจที่เหมาะสมเพื่อแต่งตั้งเป็น ผบ.ตร.ว่า (1)...โดยคำนึงถึงอาวุโสและความรู้ความสามารถประกอบกัน โดยเฉพาะประสบการณ์ในงานสืบสวนสอบสวนหรืองานป้องกันปราบปรามเสนอ ก.ตร. เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบก่อน แล้วให้นายกรัฐมนตรีนำความกราบบังคมทูลเพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง

ด้วยการกำหนดตามกฎหมายตำรวจแห่งชาติปี 2565 นั้น จอมบงการวางแผนสกัดกั้น พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ต้องให้เลือกแต่งตั้ง ผบ.ตร. คนใหม่ด้วยการทำลายระบบคุณธรรมเพื่อยอมโอนอ่อนให้การเมืองสีกาควบคุมสั่งการ

ไม่เพียงเท่านั้น หมากเกมนี้เล่นด้วยอารมณ์เคียดแค้นมุ่งทำลายองค์กรตำรวจที่มีข้าราชการกว่า 2 แสนคน ต้องอยู่เป็นเบี้ยล่างอำนาจการเมืองร่ำไป สิ่งนี้ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์และนายกรัฐมนตรีต้องใคร่ครวญให้หนัก เพื่อไม่ให้จมดิ่งไปในหลุมพรางอำนาจอำมหิต

'บิ๊กเต่า' ยัน!! แจ้งข้อหามาตรา '157-149' แก่ 'บิ๊กโจ๊ก' แล้ว หลังพบหลักฐานเส้นเงินจากเว็บพนันไปใช้จ่ายค่าน้ำ-ไฟ-บ้าน

เมื่อวานนี้ (21 ก.พ. 67) พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผบช.ก. ในฐานะรองหัวหน้าคณะพนักงานสอบสวนคลี่คลายคดีเว็บไซต์พนันออนไลน์เครือข่ายมินนี่ ที่ได้รับการแต่งตั้งจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า คดีดังกล่าวแบ่งออกเป็นสองสำนวน คือสำนวนแรกที่มีผู้ต้องหาจำนวน 61 ราย สำนวนที่ 2 มีผู้ต้องหาจำนวน 5 ราย โดยหนึ่งในนั้นคือ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. อีกทั้งสำนวนนี้ยังมีผู้ต้องหาเป็นตำรวจทั้งในและนอกราชการด้วย โดยมีการร้องทุกข์กล่าวโทษในความผิดตามมาตรา 157 กับ 149 และได้ส่งให้ ป.ป.ช.พิจารณาแล้ว ขณะนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจและ ป.ป.ช.อยู่ระหว่างการหารือว่าฝ่ายใดจะเป็นผู้ทำสำนวนคดีดังกล่าว เนื่องจากนายตำรวจที่เป็นผู้ต้องหาในคดีนี้เป็นนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ และต้องการให้สำนวนมีความรวดเร็ว โปร่งใส เป็นธรรมกับทุกฝ่าย

การที่ตำรวจต้องการนำสำนวนคดีนี้กลับมาดำเนินการเองนั้นเนื่องจากคดีดังกล่าวได้มีการสืบสวนสอบสวนมาเป็นเวลานานแล้ว ตั้งแต่สมัย พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ คนก่อน อีกทั้งคดีหลักที่มีผู้ต้องหา 61 รายนั้น ยังมีตำรวจเข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งมีมูลค่าความเสียหายกว่า 300 ล้านบาท

พล.ต.ต.จรูญเกียรติ เผยต่อว่า ทั้งนี้ตำรวจมีพยานหลักฐานเป็นเงินจากบัญชีม้าของเว็บไซต์พนันออนไลน์มีเส้นทางการเงินเชื่อมโยงไปถึงนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ อีกทั้งเงินจากบัญชีม้าดังกล่าวยังเชื่อมโยงไปถึงญาติพี่น้องของผู้ต้องหาที่เป็นตำรวจที่นำไปใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น ค่ารักษาพยาบาล ซื้อบ้าน ซื้อรถ ค่าเทอม ขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการขยายผล และเชื่อว่ายังมีเว็บไซต์พนันออนไลน์อื่นที่เกี่ยวข้องกับตำรวจคนนี้ด้วย และหากพบพยานหลักฐานก็จะถือว่าเป็นคดีใหม่ ซึ่งหากทาง ป.ป.ช.ได้มีมติว่าจะส่งสำนวนในคดีกลับมาให้ตำรวจเป็นผู้ดำเนินการก็จะแจ้งข้อกล่าวหาฐานฟอกเงินเพิ่มเติมทันที ส่วนเรื่องระยะเวลาที่ ป.ป.ช.ใช้พิจารณานั้น ปกติแล้วใช้เวลาไม่นานก็จะมีผลการพิจารณาออกมาทันที

ส่วนกรณีที่มีการตั้งข้อสังเกตว่าตำรวจและ ป.ป.ช.ต้องการทำสำนวนนี้เพื่อประโยชน์ของฝ่ายตัวเองหรือไม่นั้น พล.ต.ต.จรูญเกียรติ กล่าวว่า เป็นการดำเนินการตามพยานหลักฐาน อีกทั้งตำรวจและ ป.ป.ช.ได้ทำงานโดยเป็นอิสระต่อกัน ไม่ได้มีการกลั่นแกล้งหรือเล่นนอกเกม แต่ต้องการให้เรื่องนี้จบโดยเร็ว เพราะมีหลายฝ่ายนำเรื่องนี้มาโจมตีสำนักงานตำรวจแห่งชาติทำให้เกิดความเสียหาย

สำหรับในส่วนเจ้าหน้าที่ตำรวจได้แจ้งข้อกล่าวหาความผิดตามมาตรา 157 และ 149 กับเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยถือว่าเข้าข่ายกระทำความผิดวินัยร้ายแรง โดยหลังจากนี้ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติจะตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบข้อเท็จจริง และจะมอบหมายให้ 'พล.ต.อ.' ที่มีชั้นยศเท่ากันตามกฎหมายเป็นประธานในการตรวจสอบ

ส่วนกรณีที่มีคลิปเสียงพนักงานสอบสวนพยายามเกลี้ยกล่อมผู้ต้องหาในคดีเว็บพนันออนไลน์ให้ยอมกลับคำให้การนั้น พล.ต.ต.จรูญเกียรติ กล่าวว่า เป็นคนละเรื่องกับทั้งสองคดีข้างต้น และเกิดขึ้นในพื้นที่สถานีตำรวจนครบาลเตาปูน แต่ต้องขอชื่นชมพนักงานสอบสวนคนดังกล่าวที่มีสติในการชี้แจงกับคู่สนทนาโดยไม่หลงกลการล่อซื้อ เพราะหากชี้แจงพลาดไปนิดเดียวก็อาจตกเป็นจำเลยสังคม และขอเตือนว่าไม่ควรทำพฤติกรรมเช่นนี้อีก เพราะข้อเท็จจริงนั้นชัดเจนอยู่แล้ว

พล.ต.ต.จรูญเกียรติ กล่าวถึงกรณีที่พนักงานสอบสวนในคดีนี้ถูกฟ้องจำนวนมากว่า ตนเองไม่มีความกังวล เพราะที่ผ่านมาการเป็นตำรวจนั้นมีความสุ่มเสี่ยงอยู่แล้ว ไม่ว่าเป็นคดีเล็กหรือใหญ่ ซึ่งจากการประชุมกับพนักงานสอบสวนเมื่อวานนี้ (20 ก.พ.) ทุกฝ่ายยังคงมีขวัญและกำลังใจที่ดี ยังคงมีเสียงหัวเราะ ตำรวจทำตามพยานหลักฐาน และที่ผ่านมาตนเองก็ถูกดำเนินคดีมาหลายคดีแล้ว ซึ่งหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจคือสืบหาพยานหลักฐานอย่างละเอียด เป็นการเสริมเกราะป้องกันไม่ให้ผู้ที่มีอำนาจหรืออิทธิพลฟ้องกลับได้ เป็นการทำให้พื้นที่สีดำในสำนักงานตำรวจแห่งชาติกลายเป็นพื้นที่สีขาว เพื่อให้เหลือตำรวจน้ำดีอยู่ในสังคม ตำรวจคอยดูแลพี่น้องประชาชน ส่วนที่ด่างพร้อยต้องกำจัดออกไปให้หมดแม้จะเป็นร้อยพันคนก็ตาม

‘ตำรวจ’ พบหลักฐานบัญชีม้าเว็บพนันออนไลน์ โยงถึง ‘ตร.ชั้นผู้ใหญ่และญาติพี่น้อง’ นำเงินไปใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน

เมื่อวานนี้ (21 ก.พ.67) พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผบช.ก. ในฐานะรองหัวหน้าคณะพนักงานสอบสวนคลี่คลายคดีเว็บไซต์พนันออนไลน์เครือข่ายมินนี่ ที่ได้รับการแต่งตั้งจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า คดีดังกล่าวแบ่งออกเป็นสองสำนวน คือสำนวนแรกที่มีผู้ต้องหาจำนวน 61 ราย สำนวนที่ 2 มีผู้ต้องหาจำนวน 5 ราย โดยหนึ่งในนั้นคือ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร.

บางช่วงบางตอนของการให้สัมภาษณ์ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผบช.ก. ระบุว่า…"ตำรวจมีพยานหลักฐานเป็นเงินจากบัญชีม้าของเว็บไซต์พนันออนไลน์ มีเส้นทางการเงินเชื่อมโยงไปถึงนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ อีกทั้งเงินจากบัญชีม้าดังกล่าว ยังเชื่อมโยงไปถึงญาติพี่น้องของผู้ต้องหาที่เป็นตำรวจที่นำไปใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น ค่ารักษาพยาบาล ซื้อบ้าน ซื้อรถ ค่าเทอม"

ตำรวจเร่งเคลียร์ ‘คดีเว็บพนันมินนี่’ ชี้!! มูลค่าเสียหายกว่า 300 ล้านบาท

เมื่อวานนี้ (21 ก.พ. 67) พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผบช.ก. ในฐานะรองหัวหน้าคณะพนักงานสอบสวนคลี่คลายคดีเว็บไซต์พนันออนไลน์เครือข่ายมินนี่ ที่ได้รับการแต่งตั้งจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า "การที่ตำรวจต้องการนำสำนวนคดีนี้กลับมาดำเนินการเอง เพราะคดีนี้มีการสืบสวนสอบสวนมาเป็นเวลานานแล้ว ตั้งแต่สมัย ผบ.ตร.คนก่อน อีกทั้งคดีหลักที่มีผู้ต้องหา 61 รายนั้น ยังมีตำรวจเข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งมีมูลค่าความเสียหายกว่า 300 ล้านบาท"

‘บิ๊กเต่า’ ชี้!! ตำรวจและ ป.ป.ช. ทำงานอิสระต่อกัน ไม่มีการกลั่นแกล้งหรือเล่นนอกเกม

เมื่อวานนี้ (21 ก.พ. 67) พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผบช.ก. ในฐานะรองหัวหน้าคณะพนักงานสอบสวนคลี่คลายคดีเว็บไซต์พนันออนไลน์เครือข่ายมินนี่ ที่ได้รับการแต่งตั้งจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า คดีดังกล่าวแบ่งออกเป็นสองสำนวน คือสำนวนแรกที่มีผู้ต้องหาจำนวน 61 ราย สำนวนที่ 2 มีผู้ต้องหาจำนวน 5 ราย โดยหนึ่งในนั้นคือ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร.

บางช่วงบางตอนของการให้สัมภาษณ์ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผบช.ก. ระบุว่า…"การดำเนินการครั้งนี้ ทำตามพยานหลักฐาน ซึ่งตำรวจและ ป.ป.ช.ได้ทำงานโดยเป็นอิสระต่อกัน ไม่ได้มีการกลั่นแกล้งหรือเล่นนอกเกม แต่ต้องการให้เรื่องนี้จบโดยเร็ว เพราะมีหลายฝ่ายนำเรื่องนี้มาโจมตีสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ให้เกิดความเสียหาย"

แฉ ‘บิ๊กโจ๊ก’ เส้นเงินเว็บพนัน ‘มินนี่’ ฟอกเงินผ่านวิธี ‘สังฆทานเวียน’

เปิดปมหลักฐานที่โยงมาถึงตัว 'บิ๊กโจ๊ก' พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผบ.ตร. นั่นก็คือ 'เส้นเงิน' หรือเส้นทางการเงิน จากเว็บพนันออนไลน์ เข้ามาถึงตัวบิ๊กโจ๊กจำนวนมหาศาล ประมาณ 300 ล้านบาท ผ่านบัญชีม้า ซึ่งมือขวาของบิ๊กโจ๊ก คือ พ.ต.อ.คริษฐ์ ปริยะเกตุ เป็นคนถือ

ซึ่ง พ.ต.อ.คริษฐ์ ตอนนี้ ก็โดนจับข้อหารับเงินเว็บพนันออนไลน์แล้วถึง 2 คดี ล้วนแต่เป็นเครือข่าย 'มินนี่' อายุน้อยร้อยเว็บ

ทั้งนี้ พนักงานสอบสวน สาวเส้นทางการเงินย้อนไปหลายปี เริ่มตั้งแต่ปี 2564 เป็นต้นมา เมื่อเงินมาถึงบัญชีม้าในมือของ พ.ต.อ.คริษฐ์ ก็มีการเบิกมาให้บิ๊กโจ๊กใช้ทำคดี ใช้รักษาพยาบาล และอื่น ๆ

โดยมีเทคนิค 'สังฆทานเวียน' กล่าวคือ พ.ต.อ.คริษฐ์ ถอนเงินสดมาให้บิ๊กโจ๊ก บิ๊กโจ๊กเอาไปให้เมีย แล้วเมียเอามาให้ พ.ต.อ.คริษฐ์อีกที เพื่อสร้างเส้นทางการเงินว่า เมียบิ๊กโจ๊ก ให้เงินส่วนตัว สนับสนุนสามีในการทำคดี

ซึ่งบิ๊กโจ๊กก็เคยอ้างถึงเรื่องนี้ว่า เมียตัวเองเป็นนักธุรกิจที่ร่ำรวยเป็นพันล้าน มีธุรกิจเดินรถที่ภาคใต้ ก็เอาเงินส่วนตัวมาช่วยชาติ

แต่ทางพนักงานสอบสวนไม่เชื่อคำกล่าวอ้างดังกล่าว ก็ได้ตรวจสอบประเด็นนี้แล้ว พบว่าธุรกิจเดินรถของเมียบิ๊กโจ๊กที่อ้างถึงนั้น ไม่ได้มีผลประกอบการที่ดีแต่อย่างใด ดูจากการจ่ายภาษี และแสดงงบดุลบริษัท

จุดสลบของบิ๊กโจ๊ก ก็คือ การที่ พ.ต.อ.คริษฐ์ ทำบัญชีรายรับรายจ่ายเงินสกปรกไว้อย่างละเอียดยิบ ไม่มีตกหล่นแม้แต่รายการเดียว เพื่อป้องกันไม่ให้มีใครกล้ายักยอกไปใช้เอง

การยึดคอมพิวเตอร์ของ พ.ต.อ.คริษฐ์ ไปตรวจ แล้วเจอรายการบัญชีเหล่านี้ จึงเป็นหลักฐานที่แน่นหนามาก

'บิ๊กเต่า' มั่นใจในหลักฐาน ยันไม่มีการกลั่นแกล้งคดี 'บิ๊กโจ๊ก-มินนี่' มั่นใจ!! หาก ป.ป.ช.ไต่สวนคดีเอง จะต้องชี้มูลความผิดแน่นอน

(22 ก.พ. 67) ที่ กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก. กล่าวถึงกรณีที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. พาดพิงมาถึงคณะสืบสวนสอบสวนในคดีดังกล่าวว่าไม่มีสิทธิ์ในการสืบสวนสอบสวนคดี เนื่องจาก มีมูลค่ามากกว่า 200-300 ล้านบาท ต้องโอนคดีให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ DSI เป็นผู้สอบสวน พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ชี้แจงว่า คดีเว็บพนันออนไลน์มินนี่เพียงแค่คดีเดียว 1 คดี มีเงินหมุนเวียนในบัญชีเพียง 75 ล้านบาท แต่ที่ตนพูดว่ามีมูลค่ารวมมากกว่า 200-300 ล้านบาท เป็นการนำทุกคดีที่เกี่ยวข้องกับพนันออนไลน์ต่าง ๆ มารวมกัน ยังอยู่ในอำนาจการสืบสวนสอบสวนของตำรวจได้

"ยืนยันว่าไม่ได้เป็นการกดดัน ป.ป.ช.ให้ส่งสำนวนดังกล่าวกลับมาให้ตำรวจ แต่มองว่าคดีดังกล่าวตำรวจมีการสืบสวนสอบสวนในสำนวนที่เกี่ยวข้องไปหมดแล้ว จึงอยากให้นำคดีดังกล่าวกลับมาเพื่อความรวดเร็วในการทำคดี และไม่ต้องการให้เกิดการตอบโต้ไปมาระหว่างสองฝ่ายจนทำให้ประชาชนมองว่าตำรวจทะเลาะกันเอง" รอง ผบช.ก.กล่าว

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า การที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ปฏิเสธว่า ไม่มีเส้นทางการเงินเชื่อมโยงมาถึงนั้น พล.ต.ต.จรูญเกียรติ กล่าวว่า เรามีพยานหลักฐานที่ชัดเจน เนื่องจากในระหว่างการเข้าจับกุม คณะชุดสืบสวนสอบสวนกว่า 200 นาย ซึ่งขณะนี้ถูก พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ฟ้องร้องดำเนินคดี ได้เก็บรวบรวมพยานหลักฐานในคดีดังกล่าวอย่างละเอียด ตั้งแต่วันเข้าจับกุมวันแรก ซึ่งหลักฐานที่ตรวจยึดได้มีการจดข้อมูลไว้ชัดเจนว่ามีการใช้จ่ายเงินจำนวนดังกล่าวอย่างไร ได้รับมาจากใครบ้าง และมีเส้นทางการเงินเชื่อมโยงกับ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์

พล.ต.ต.จรูญเกียติ กล่าวอีกว่า ส่วนตัวเชื่อว่าหากคดีดังกล่าว ป.ป.ช.ไม่ส่งสำนวนกลับมาแต่จะเป็นผู้ไต่สวนเองก็เชื่อว่าจะต้องชี้มูลความผิดแน่นอน และจะมีการสืบสวนสอบสวนที่เข้มข้นและเจาะลึกกว่าตำรวจ ส่วนข้อหาในมาตรา 149 เป็นเจ้าพนักงานเรียกรับผลประโยชน์ และมาตรา 157 ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ตำรวจได้ร้องทุกข์กล่าวโทษ ต่อคณะทำงานชุดสืบสวนสอบสวนในคดีนี้แล้ว ขณะนี้ได้มีการส่งสำนวนการสืบสวนสอบสวนไปให้ ป.ป.ช.และหากมีการส่งสำนวนกลับมา คณะชุดสืบสวนสอบสวนก็พร้อมแจ้งข้อกล่าวหาดังกล่าวพร้อมกับข้อหาฟอกเงินไปในคราวเดียวกัน

พล.ต.ต.จรูญเกียติ กล่าวด้วยว่า ส่วนประเด็นที่อัยการสั่งสอบเพิ่มใน 7 ประเด็น ยืนยันว่าตำรวจไม่ได้ทำสำนวนไม่ดีจนอัยการต้องสั่งให้สอบเพิ่มใน 7 ประเด็น เรื่องนี้ชี้แจงว่าประเด็นดังกล่าวเกิดจากความไม่มั่นใจในข้อกฎหมายว่าตำรวจสามารถสอบปากคำพลตำรวจนายดังกล่าวใน 7 ประเด็น ซึ่งเคยสอบปากคำในสำนวนแรกได้หรือไม่ จึงส่งเรื่องให้อัยการสั่งให้ตำรวจที่ทำคดีสอบเพิ่มเองเพื่อไม่ให้เกิดความผิดพลาดในข้อกฎหมาย ไม่ใช่การทำสำนวนไม่รู้เรื่อง ส่วนที่มีการกล่าวว่าศาลไม่ได้ถือสำนวนเป็นหลักแต่เชื่อถือข้อมูลของ ป.ป.ช.เป็นหลัก เรื่องนี้อยากให้ไปดูกันในชั้นศาลว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร

รอง ผบช.ก.กล่าวต่อว่า ส่วนประเด็นที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ท้าให้ พล.ต.อ.ที่ดูแลคดีดังกล่าวออกมาพูด แทนที่จะส่งตนเอง ซึ่งเป็นตำรวจยศพล.ต.ต.มาพูดแทน ประเด็นนี้ขอชี้แจงว่า การที่ พล.ต.อ.ธนา ชูวงศ์ รอง ผบ.ตร. ในฐานะดูแลงานสืบสวนสอบสวน ซึ่งเป็นหัวหน้าคณะทำงานในคดีดังกล่าวไม่ออกมาให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน เพราะต้องการให้ข้อมูลออกมาในทิศทางเดียวกัน จึงได้ลงมติในที่ประชุมเมื่อวันอังคารที่ผ่านมาให้ตนเองเป็นโฆษกในคดีนี้ ไม่ใช่เป็นการหลบหน้า ส่วนคณะทำงานชุดนี้ ทาง พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. เป็นคนคัดเลือกและแต่งตั้งด้วยตนเอง เพราะเห็นความสามารถและความเชี่ยวชาญทางคดี

ผู้สื่อข่าวถามต่อว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นความขัดแย้งในสำนักงานตำรวจแห่งชาติหรือไม่?  พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ยืนยันว่าไม่ใช่ความขัดแย้งหรือกลั่นแกล้ง ทุกอย่างว่ากันไปตามพยานหลักฐาน

ขณะเดียวกัน นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ หนึ่งในผู้ที่ถูก ตำรวจยศนายพลและมินนี่ฟ้องถึง 7 คดี ได้เปิดเผยต่อสื่อมวลชน ว่าตนและตำรวจมีพยานหลักฐานชัดเจนว่า นายพลคนดังกล่าวมีความเกี่ยวข้องกับเว็บพนันออนไลน์ของมินนี่ แต่ไม่สามารถเปิดเผยได้เพราะอยู่ในสำนวนคดี นอกจากนี้ยังมีหนึ่งในผู้ต้องหาของคดีดังกล่าวติดต่อมาที่ตนเองเพื่อขอไกล่เกลี่ยคดี ซึ่งตนเองได้ปฏิเสธไป พร้อมท้าให้ไปสาบานที่วัดหงษ์ จังหวัดบุรีรัมย์ ว่าไม่ได้เกี่ยวข้องกับเว็บพนันออนไลน์ สำหรับวัดนี้มีความเชื่อว่าหากสาบานกับองค์พระเจ้าใหญ่พระประธานในโบสถ์ จะทำให้คำสาบานมีความศักดิ์สิทธิ์ และผู้ที่ผิดคำสาบานจะมีอันเป็นไปตามที่ได้กล่าวคำสาบานไว้

รายงานข่าวแจ้งว่า เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา มีความพยายามของ นายตำรวจระดับสูงนายหนึ่งได้ติดต่อกับ พล.ต.อ.ธนา ชูวงศ์ รอง ผบ.ตร. ในฐานะหัวหน้าพนักงานสืบสวนสอบสวนคดีนี้ เพื่อนัดทานอาหารและพูดคุยถึงเรื่องคดี แต่ได้รับการปฏิเสธ ขณะเดียวกันนายตำรวจคนเดิมยังมีความพยายามที่จะติดต่อขอเข้าพบ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. แต่ยังไม่ได้รับโอกาสให้เข้าพบได้เช่นกัน


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top