Wednesday, 19 June 2024
สาธิตปิตุเตชะ

‘ปชป.’ เปิดตัว ‘ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.106 เขต’ สู้สนามภาคกลาง พร้อมปรับยุทธศาสตร์หาเสียง เน้นโซเชียลฯ หวังเข้าถึง ปชช.

(28 มี.ค.66) เวลา 13.30 น. ที่ พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และนายสาธิต ปิตุเตชะ รองหัวหน้าพรรคฯดูแลภาคกลาง ร่วมกันเปิดตัวผู้สมัคร ส.ส. ภาคกลาง รวม 26 จังหวัด 106 เขต โดยในช่วงเช้า พรรคฯภาคกลาง ได้เชิญคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) มาให้รายละเอียดเกี่ยวกับกฎหมายพรรคการเมือง กฎหมายเลือกตั้ง และกฎระเบียบต่างๆ ของ กกต. ให้กับว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. ภาคกลาง เพื่อเป็นการสร้างความรู้ความเข้าใจ และเป็นเจตจำนงสำคัญของพรรคฯที่ต้องการให้ผู้สมัครทุกคนได้ปฏิบัติตามกฎหมายและกฎระเบียบของ กกต. โดยเคร่งครัด 

นอกจากนั้นได้มีการซักซ้อมถึงยุทธศาสตร์ นโยบายของพรรค เพื่อให้ว่าที่ผู้สมัครได้นำไปใช้ในการหาเสียงและสื่อสารกับประชาชน หรือเพื่อไปทำหน้าที่ ‘ลำโพงประชาธิปัตย์’ ในแต่ละพื้นที่ อีกทั้งเข้ารับเอกสารรับรองการเป็นผู้สมัครของพรรคปชป. ซึ่งลงลายเซ็นโดยหัวหน้าพรรค สำหรับนำไปยื่นสมัครรับเลือกตั้งในวันที่ 3 เม.ย.นี้

ทั้งนี้นายจุรินทร์ กล่าวว่า ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. ทั้ง 106 เขต ล้วนเป็นบุคลากรที่มีศักยภาพ และพรรคได้คัดสรรมาแล้วเป็นอย่างดี หากพี่น้องประชาชนให้โอกาสก็พร้อมจะทำหน้าที่ ส.ส.ที่ดีได้ต่อไป ซึ่งผู้สมัครดังกล่าว ประกอบไปด้วย คนรุ่นใหม่ นักธุรกิจ ผู้นำเกษตรกร นักวิชาการ สื่อสารมวลชน รวมทั้งผู้นำสตรี ซึ่งในจำนวน 106 คน เป็นสตรีถึง 11 คน และในจำนวนนี้ เป็นรัฐมนตรี และอดีตรัฐมนตรี 3 คน คือ นายสาธิต  ปิตุเตชะ รมช. สาธารณสุข เป็นว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.เขต 2 ระยอง นายอลงกรณ์ พลบุตร อดีต รมช.พาณิชย์ เป็นว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. เขต 1 เพชรบุรี นายธีระ สลักเพชร อดีต รมว.วัฒนธรรม เป็นว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. ตราด นอกจากนี้ ยังมีอดีต ส.ส. ของพรรค 13 คน ไม่ว่าจะเป็น นายกัมพล สุภาแพ่ง นายอภิชาติ สุภาแพ่ง จ.เพชรบุรี นายฉัตรพันธ์ เดชกิจสุนทร จ.กาญจนบุรี นายยุคล ชนะวัฒน์ปัญญา จ.จันทบุรี นางพจนารถ แก้วผลึก จ.ชลบุรี นายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ จ.นครนายก นายมนตรี ปาน้อยนนท์ นายจักรพันธ์ ปิยพรไพบูลย์ นายประมวล พงศ์ถาวราเดช จ.ประจวบคีรีขันธ์ นพ.บัญญัติ เจตนจันทร์ นายธารา ปิตุเตชะ จ.ระยอง นายนิติรัฐ สุนทรวร จ.สมุทรสาคร และ นายปรพล อดิเรกสาร จ.สระบุรี 

“ทั้งหมดนี้เป็นทัพหน้าของประชาธิปัตย์ ที่จะลงพื้นที่บุกเขตเลือกตั้ง เพื่อนำชัยชนะมาสู่พรรคในพื้นที่ภาคกลางในการเลือกตั้งที่จะมาถึงนี้ ผมขอฝากไว้กับพี่น้องภาคกลางทุกจังหวัด ขอให้ช่วยสนับสนุนประชาธิปัตย์ ทั้งคนทั้งพรรคในการเลือกตั้งที่จะมาถึง” นายจุรินทร์กล่าว 

นายสาธิต กล่าวว่า ขณะนี้ภาคกลางมีความพร้อม 100% เพื่อเดินหน้าไปสู่การรับสมัครในวันที่ 3 เม.ย.นี้ โดยผู้สมัครของพรรค มีความหลากหลายตั้งแต่ผู้นำท้องถิ่น ผู้นำเกษตรกร ผู้นำสตรี อดีตรัฐมนตรี นอกจากนี้ยังมีคนรุ่นใหม่ที่จะมีส่วนในการสร้างอนาคตอีกด้วย ดังนั้นถือว่าพรรคประชาธิปัตย์ของเรามีความพร้อมเข้าสู่สนามเลือกตั้งแล้วอย่างเต็มที่ 

จากนั้นนายสาธิตให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมว่า วันนี้เปิดตัวทั้งหมดแล้ว เหลือเพียงอีก 4 เขต คิดว่าไม่มีปัญหา โดยในวันพรุ่งนี้ (29 มี.ค.) จะทำไพรมารีและส่งให้คณะกรรมการสรรหารับรองต่อไป ซึ่งถือว่าทุกคนเป็นคนรุ่นใหม่มีความสามารถ โปรไฟล์ดี พร้อมที่จะต่อสู้ในสนามเลือกตั้งครั้งนี้แน่นอน

เมื่อถามว่า การปรับยุทธศาสตร์ในการหาเสียง เนื่องจากพื้นที่ภาคกลางมีการต่อสู้กันสูง นายสาธิต กล่าวว่า มีการอบรมกติกาและระบบการเลือกตั้งให้กับว่าที่ผู้สมัคร ซึ่งทุกเขตต้องมีศูนย์อำนวยการเลือกตั้ง ซึ่งการหาเสียงจะใช้วิธีเดิมไม่ได้ จะต้องมีทั้งระบบเครือข่ายอยู่ในทุกพื้นที่ เพื่อนำข้อมูล ผลงานของพรรคฯและผู้สมัครเข้าถึงประชาชนให้ได้มากที่สุด รวมถึงการใช้โซเชียลมีเดียเพื่อให้ข้อมูลผู้สมัครอยากนำเสนอเข้าถึงประชาชนให้มากที่สุด ซึ่งเป็นระบบที่พรรคฯได้วางให้ผู้สมัครทุกคนได้ทำในแพตฟอร์มเดียวกัน ถือว่าเป็นการวางระรบบให้เข้าถึงเพื่อจูงใจประชาชน ในเขตเลือกตั้งนั้นๆ

เมื่อถามว่าในส่วนของภาคกลางได้ตั้งเป้าว่าจะได้ส.ส.เท่าไหร่ นายสาธิต กล่าวว่า เดิมในพื้นที่ภาคกลางพรรคปชป.ได้ 8 คน ดังนั้นการเลือกตั้งครั้งนี้ตั้งเป้าว่าจะได้ส.ส.ให้มากที่สุด เพราะการประเมินยังทำได้ยาก เนื่องจากเวลาเราลงพื้นที่แม้จะมีคนตัดสินใจไปแล้ว นับตั้งแต่วันที่ผู้สมัครได้เบอร์ ยังมีผู้ยังไม่ได้ตัดสินใจเยอะ จึงมั่นใจว่าความขยัน และระบบการหาเสียงที่ใช้เทคโนโลยีรูปบบแบบใหม่ จะจูงใจให้คนที่ยังไม่ตัดสินใจมาสนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์และผู้สมัครของเราได้ ทั้งนี้การหาเสียงรูปแบบใหม่เวลาปราศรัยไม่จำเป็นต้องมีคนเยอะ และจะไม่ทำผิดกฎหมายเพราะขณะนี้มีการไลฟ์สดออกโชเชียลมีเดียได้ ถ้าเราโพสต์ในเฟสบุคก็ซื้อไลฟ์ได้ แต่ต้องแสดงค่าใช้จ่ายทั้งหมด ซึ่งถือเป็นเทคโนโลยีที่เราต้องนำมาใช้ให้ทันยุคสมัย

‘สาธิต’ ชี้!! 'ปดิพัทธ์' ยังไม่เหมาะนั่งประธานสภาฯ เชื่อ!! คุณสมบัติที่มีควรเป็นรัฐมนตรีมากกว่า

(3 ก.ค. 66) นายสาธิต ปิตุเตชะ รมช.สาธารณสุข และสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่า…

ตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งเป็นประธานรัฐสภา ประมุขฝ่ายนิติบัญญัติ 1 ใน 3 อำนาจเสาหลักของการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ในระบบรัฐสภาควรมีคุณสมบัติอย่างไร

ส่วนตัวผมในฐานะที่เป็น ส.ส. มาหลายสมัย และศรัทธาในระบอบประชาธิปไตย ผมคิดว่า ตำแหน่งดังกล่าวจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องมีความน่าเชื่อถือ มีความเป็นผู้ใหญ่ ‘มีความเป็นกลางแบบเป็นที่ประจักษ์’ และพร้อมที่จะประสานงานได้กับทุกพรรคการเมือง รวมถึงสมาชิกวุฒิสภา และฝ่ายบริหาร

ในทางกลับกัน ถ้าคุณสมบัติของตำแหน่งคือโดดเด่นแปลกไม่เหมือนคนอื่นๆ เก่งเชี่ยวชาญด้านใดด้านหนึ่งเป็นพิเศษ ไม่ประนีประนอม รุนแรงในการแสดงออกในทุกเรื่องจะเหมาะสมหรือไม่?

รวมถึงการคัดเลือกบุคคลดังกล่าวไม่ควรถูกเลือกโดยพรรคการเมืองใดเพียงเพราะมีโควต้าแล้วจะเสนอใครที่มีคุณสมบัติอะไรก็ได้ แต่ควรพิจารณาจากคุณสมบัติที่กล่าวมาแล้ว

ด้วยความเคารพเท่าที่ผมเคยสัมผัสพูดคุย และติดตามงานในสภาฯ ของท่านปดิพัทธ์ สันติภาดา หรือ ‘หมออ๋อง’ เพื่อน ส.ส.รุ่นน้อง

ท่านเป็นคนหนุ่มที่มีความมั่นใจสูง เป็นตัวของตัวเอง มีความรู้ ความสามารถ พูดจาแสดงออกได้อย่างตรงไปตรงมา ท่านน่าจะทำงานได้ดีในตำแหน่งที่ต้องใช้การตัดสินใจ ความกล้าคิด กล้าทำ และโดดเด่นไม่เหมือนใคร ท่านน่าจะเหมาะสมกับงานบริหารงานในตำแหน่งรัฐมนตรี กระทรวงใดกระทรวงหนึ่งมากกว่า

“เขาไม่เหมาะกับตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งเป็นประธานรัฐสภา ประมุขของฝ่ายนิติบัญญัติครับ”

‘สาธิต’ ยกพลร่อนหนังสือ จี้ ‘จุรินทร์’ ลงดาบ 16 สส.โหวตเศรษฐา ซัด!! ทำพรรคเสื่อมเสีย 'สิ้นศรัทธา-เป็นปฏิปักษ์-ผิดข้อบังคับร้ายแรง'

เมื่อวานนี้ (25 ส.ค.66) นายสาธิต ปิตุเตชะ รักษาการรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ดูแลภาคกลาง พร้อมด้วย นางสาวผ่องศรี ธาราภูมิ รักษาการกรรมการบริหารพรรค นายไชยวัฒน์ ไตรยสุนันท์ สมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ ยื่นหนังสือถึงนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รักษาการหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เพื่อขอให้ลงโทษผู้มีพฤติกรรมทำผิดข้อบังคับพรรคอย่างร้ายแรง ด้วยการเป็นปฏิปักษ์กับพรรค ด้วยการฝ่าฝืนมติคณะกรรมการบริหารพรรค และที่ประชุม สส.ของพรรค ทำให้พรรคเสื่อมเสียชื่อเสียงและสร้างความแตกแยกในพรรค

หนังสือระบุว่า กระผมนายสาธิต ปิตุเตชะ ในฐานะกรรมการบริหารพรรค รวมทั้งสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) อีกจำนวนหนึ่ง พบสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของพรรค ปชป. (“สส.”) กระทำความผิด ฝ่าฝืนข้อ 18 (1) และ (2) และข้อ 124 ของข้อบังคับพรรคประชาธิปัตย์ พ.ศ.2566 (“ข้อบังคับพรรคฯ”) และจรรยาบรรณพรรค ปชป. โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้

1.นายเดชอิศม์ ขาวทอง และนายชัยชนะ เดชเดโช รวมถึง สส.ของพรรค ปชป.อื่นๆ รวมทั้งสิ้น 16 คน ลงมติในที่ประชุมรัฐสภาขัดกับมติของคณะกรรมการบริหารพรรคและที่ประชุม ส.ส. โดยไม่สุจริต โดยเมื่อวันที่ 21 สิงหาคม ก่อนวันประชุมร่วมกันของรัฐสภากำหนดการเลือกตั้งนายกรัฐมนตรีนั้น พรรค ปชป.ได้มีมติของที่ประชุม สส. ว่าให้ สส.ของพรรค ปชป. “ลงมติงดออกเสียง” ต่อมา เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม ที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภาเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบบุคคลซึ่งสมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย ปรากฏข้อเท็จจริงว่ามี สส.ของพรรค ปชป. ได้แก่ นายเดชอิศม์ และนายชัยชนะ รวมถึง สส.ของพรรค ปชป. อื่นๆ รวมทั้งสิ้น 16 คนออกเสียง “เห็นชอบ” ต่อการเลือกนายเศรษฐา ทวีสิน ซึ่งเป็นผู้ถูกเสนอชื่อให้ได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี

ต่อมา เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม นายเดชอิศม์ และนายชัยชนะ รวมถึง สส.ของพรรค ปชป. อื่นๆ รวมทั้งสิ้น 16 คนออกเสียง “เห็นชอบ” ต่อการเลือกนายเศรษฐา ทวีสิน ซึ่งเป็นผู้ถูกเสนอชื่อให้ได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทยนั้นได้ออกมาแถลงการณ์ต่อสื่อมวลชนในลักษณะที่ทำให้พรรค ปชป. ได้รับความเสียหาย เสื่อมเสียชื่อเสียง ทำให้พรรค ปชป. เกิดความแตกแยกสามัคคีภายใน การกระทำของนายเดชอิศม์ และนายชัยชนะ รวมถึง สส.ของพรรคฯ คนอื่นๆ รวมทั้งสิ้น 16 คน ซึ่งเป็นการกระทำที่ขัดมติของพรรค เป็นปฏิปักษ์ต่อพรรค และกระทำความผิดข้อบังคับพรรค อย่างร้ายแรง เนื่องจากตามข้อบังคับพรรค สส.ซึ่งเป็นสมาชิกพรรคจะต้องปฏิบัติตามข้อบังคับพรรค ดังนี้

ข้อ 18 ระบุว่า “สมาชิกมีหน้าที่จะต้องปฏิบัติดังต่อไปนี้ (1) ปฏิบัติตามกฎหมายข้อบังคับพรรค และมติคณะกรรมการบริหารพรรค (2) รักษาชื่อเสียงของพรรคโดยไม่ปฏิบัติไปในทางที่จะนำความเสื่อมเสียมาสู่พรรค…”
ข้อ 96 ระบุว่า “ให้ที่ประชุมร่วมระหว่างคณะกรรมการบริหารพรรคและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในขณะนั้น เป็นผู้ลงมติว่าจะจัดตั้งรัฐบาลหรือร่วมรัฐบาลหรือถอนตัวจากการร่วมรัฐบาลหรือไม่”
ข้อ 115 ระบุว่า “นอกเหนือไปจากการปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ กฎหมายและข้อบังคับตามหมวด 4 ว่าด้วยมาตรฐานทางจริยธรรมของสมาชิกแล้ว ให้ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองต้องปฏิบัติตามวินัย ดังต่อไปนี้ (6) ห้ามดำเนินการอื่นใดอันอาจจะนำความเสื่อมเสียมาสู่พรรค…”
ข้อ 124 ระบุว่า “การลงโทษสมาชิกผู้ถูกกล่าวหาให้พ้นจากสมาชิกภาพจะกระทำได้ต่อเมื่อปรากฏว่าสมาชิกผู้นั้นกระทำการให้พรรคเสียหายอย่างร้ายแรง หรือทำให้เกิดการแตกแยกสามัคคีภายในพรรค หรือผู้ถูกกล่าวหาได้ฝ่าฝืนข้อบังคับพรรคหรือจรรยาบรรณของพรรค มติหรือคำสั่งของคณะกรรมการบริหารพรรค”

หนังสือระบุอีกว่า 2.การกระทำของนายเดชอิศม์สร้างความเสียหายต่อพรรคอย่างร้ายแรง นอกจากการกระทำความผิดของนายเดชอิศม์ ในข้อ 1. ข้างต้นแล้ว นายเดชอิศม์ยังกระทำการสร้างความเสียหายต่อพรรคอย่างร้ายแรงด้วยการพูดจาไม่น่าเชื่อต่อสาธารณชน พูดกลับกลอกไม่มีความจริง โดยมีรายละเอียดดังนี้...

2.1 เมื่อวันที่ 3 สิงหาคม นายเดชอิศม์ได้ให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนว่าไม่ได้เดินทางไปฮ่องกงเพื่อพบนายทักษิณ ชินวัตร เพียงแต่ไปฮ่องกงเพื่อแก้บนให้แก่ภรรยาเท่านั้น นายเดชอิศม์ได้ให้สัมภาษณ์ว่า “สัปดาห์ที่ผ่านมาได้เดินทางไปฮ่องกงเพื่อแก้บนหลายประเทศรวมทั้งในประเทศไทย เนื่องจากได้บนไว้ให้ภรรยาชนะการเลือกตั้ง ส่วนได้ไปพบนายทักษิณหรือไม่ ไม่ขอพูดดีกว่า” และยังพูดถึงเรื่องการร่วมรัฐบาลต่อไปอีกว่า “ส.ส.ในกลุ่มของนายเดชอิศม์ จะไปร่วมรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทย นายเดชอิศม์กล่าวว่า ขึ้นอยู่กับมติพรรค และการจะร่วมรัฐบาลหรือไม่จะเป็นมติของคณะกรรมการบริหารพรรค ชุดที่มีอยู่ รวมกับ ส.ส.ปัจจุบัน เหมือนปี 2562 ที่มีการเถียงกัน 1 วัน 1 คืน สุดท้ายมีมติ 61 ต่อ 16 ให้ร่วมรัฐบาล ถ้าไปก็ไปทั้งพรรค และยืนยันจะไม่มีใครฉีกมติพรรค และไม่มีงูเห่าจากพรรคประชาธิปัตย์แน่นอน ภายใต้มติของกรรมการบริหารพรรค”

2.2 แต่ทว่า ต่อมาเมื่อวันที่ 10 สิงหาคม นายเดชอิศม์ได้ให้สัมภาษณ์ยอมรับว่าได้เดินทางไปฮ่องกงเพื่อพบนายทักษิณและพูดคุยถึงการร่วมรัฐบาลจริง และยังมีการพูดถึงแนวทางการร่วมจัดตั้งรัฐบาลตอนหนึ่งว่า “จริงๆ หลักของประชาธิปัตย์ การร่วมรัฐบาลตนคิดคนเดียวไม่ได้ โดยหลักแล้ว 1.ต้องเทียบเชิญก่อน 2.กรรมการบริหารพรรคประชุมร่วม ส.ส. 25 คน รวม 52 คน ซึ่งการประชุมนี้ส่วนใหญ่ว่าอย่างไรถือเป็นมติพรรค” และกล่าวยอมรับว่าได้เจอนายทักษิณที่ฮ่องกงจริงเมื่อโดนถามว่าไปฮ่องกงไหมจึงตอบว่า “ไป ซึ่งเป็นช่วงวันเกิดนายทักษิณพอดี ส่วนเจอนายทักษิณหรือไม่ นายเดชอิศม์กล่าวว่า เจอครับ ซึ่งก่อนหน้านี้ที่ไม่อยากพูดเพราะกลัวว่านายทักษิณ หรือใครก็ตามจะเสียหาย ซึ่งนายทักษิณสนิทสนมกับตนส่วนตัว เพราะเคยลงสมัครพรรคไทยรักไทยปี 2548 ซึ่งก็ไม่มีความแค้นส่วนตัวกับใครอยู่แล้ว” และยังกล่าวต่อไปอีกว่า “ส่วนตัวผมจริงๆ ผมอยากให้ร่วมรัฐบาล เพื่อแนวคิดของเราอยากแก้ปัญหาประชาชนจะแก้ได้”

ทั้งนี้ จากข้อเท็จจริง พรรค ปชป.ไม่ได้รับเชิญให้เข้าร่วมจัดตั้งรัฐบาล และพรรค ปชป.ก็ไม่เคยมีมติเข้าร่วมรัฐบาลในครั้งนี้กับพรรคเพื่อไทยและพรรคอื่นๆ แต่อย่างใด หากพรรค ปชป.จะเข้าร่วมรัฐบาลนั้นจะต้องมีมติพรรคจัดตั้งรัฐบาลหรือเข้าร่วมรัฐบาล และจะต้องมีการแต่งตั้งบุคคลกลุ่มหนึ่งเพื่อเข้าร่วมการเจรจาจัดตั้งรัฐบาลดังกล่าว ไม่ใช่เป็นกรณีดังเช่นนายเดชอิศม์จะสามารถดำเนินการเจรจาโดยการตัดสินใจเพียงลำพัง

ด้วยเหตุนี้ การกระทำของนายเดชอิศม์ จากข้อเท็จจริงในข้อ 2.1 และ 2.2 ข้างต้นเป็นที่ประจักษ์ชัดแจ้งว่านายเดชอิศม์ พูดจากลับไปกลับมา และการเข้าไปพูดพบนายทักษิณเพื่อพูดคุยเรื่องการร่วมรัฐบาลนั้น เป็นการกระทำโดยไม่สุจริตและสร้างความเสียหายอย่างร้ายแรง และสร้างความไม่น่าเชื่อถือต่อประชาชนเป็นอย่างมาก ทั้งๆ ที่แท้จริงแล้วนายเดชอิศม์ ซึ่งดำรงตำแหน่งเป็นถึง สส.ของพรรค ปชป. พึงดำรงตนปฏิบัติตามข้อบังคับพรรค และมติของพรรค รวมถึงจรรยาบรรณของพรรคอย่างเคร่งครัด เพื่อเป็นแบบอย่างที่ดีให้แก่ประชาชนและสมาชิกพรรคคนอื่น ดังนั้น การกระทำของนายเดชอิศม์ จึงเป็นเหตุสมควรให้ได้รับการลงโทษตามข้อ 124 ของข้อบังคับของพรรค

3.นายเดชอิศม์ และนายชัยชนะ เคยกล่าวว่า ต้องทำตามมติพรรค แต่ต่อมากลับกระทำการฝ่าฝืนมติพรรคอย่างชัดเจน เป็นการพูดไม่ตรงกับการกระทำ ไม่รักษาสัจจะ ไม่รักษาชื่อเสียงพรรค ทำให้ประชาชนขาดความเชื่อมั่นในพรรคและทำให้พรรคได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรง ตามที่ก่อนหน้านี้ นายเดชอิศม์ และนายชัยชนะ เคยกล่าวว่า สมาชิกพรรคทุกคนจะต้องทำตามมติพรรค หากใครลงคะแนนเสียงขัดมติพรรคจะต้องลาออก แต่ต่อมาพวกเขากลับดำเนินการลงคะแนนเสียงเลือกนายกรัฐมนตรีฝ่าฝืนมติพรรคโดยการลงคะแนนเสียงเห็นชอบให้นายเศรษฐา เป็นนายกรัฐมนตรี เป็นการพูดไม่ตรงกับการกระทำ ไม่รักษาสัจจะ ไม่รักษาชื่อเสียงพรรคทำให้ประชาชนขาดความเชื่อมั่นในพรรค ปชป. และอุดมการณ์ของพรรค ปชป. ซึ่งกรณีนี้เป็นเหตุให้พรรค ปชป.ได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรง นอกจากนี้ การกระทำทั้งหมดดังที่ได้เรียนข้างต้นของนายเดชอิศม์ ขาวทอง และนายชัยชนะ เดชเดโช กับ สส.ของพรรค ปชป. อื่นๆ รวมทั้งสิ้น 16 คน ทำให้เห็นว่าเจตนาของ สส.ทั้งหมดในการแหกมติเป็นการส่อให้เห็นว่าอยากร่วมรัฐบาล แม้ว่าพรรค ปชป.จะไม่ได้มีมติให้เข้าร่วม ยิ่งเป็นการตอกย้ำและทำให้ประชาชนเสื่อมความศรัทธาและความนิยมต่อพรรค ปชป. อันก่อให้เกิดความเสียหายต่อพรรคอย่างร้ายแรง

ด้วยเหตุนี้ จากข้อเท็จจริงและเหตุผลดังกล่าว การกระทำของนายเดชอิศม์ และนายชัยชนะ รวมถึง สส.พรรคคนอื่นๆ รวมทั้งสิ้น 16 คน ลงมติเห็นชอบให้แต่งตั้งนายเศรษฐา เป็นนายกรัฐมนตรีนั้นฝ่าฝืนมติของคณะกรรมการบริหารพรรคและที่ประชุม สส. เนื่องจากพรรคไม่เคยมีมติหรือเห็นชอบในการเข้าร่วมรัฐบาลแต่อย่างใด และพรรคได้มีมติอย่างชัดเจนว่าจะลงคะแนนเสียงในการให้ความเห็นชอบบุคลซึ่งสมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี

ฉะนั้น จากข้อเท็จจริงในกรณีดังกล่าว นายเดชอิศม์ และนายชัยชนะ รวมถึง สส.ของพรรครวมทั้งสิ้น 16 คน เป็นการกระทำโดยเจตนาไม่สุจริต จงใจกระทำการฝ่าฝืนกับข้อบังคับพรรคด้วยการฝ่าฝืนมติของคณะกรรมการบริหารพรรคและที่ประชุม สส. อีกทั้งเป็นการกระทำที่เป็นปฏิปักษ์กับพรรค ทำให้เกิดการแตกแยกสามัคคีภายในพรรค และทำให้พรรค ที่มีอุดมการณ์มั่นคงมาเป็นระยะเวลาเนิ่นนานนั้นได้รับความเสื่อมเสียชื่อเสียง เสื่อมศรัทธาและคะแนนนิยมของประชาชน ทำให้พรรคได้รับความเสียหายร้ายแรงอย่างชัดเจน จึงเป็นการกระทำความผิดข้อบังคับข้อ 18, 96, 115 และ 124

ด้วยเหตุผลดังที่เรียนไว้ในข้างต้นนี้ ขอให้รักษาการหัวหน้าพรรคตั้งกรรมการขึ้นมาสอบสวนการกระทำความผิดดังกล่าวโดยเร็วที่สุดและดำเนินการลงโทษ นายเดชอิศม์ และนายชัยชนะ รวมถึง สส.ของพรรครวมทั้งสิ้น 16 คน ที่กระทำการผิดข้อบังคับพรรค ฝ่าฝืนมติคณะกรรมการบริหารพรรคและที่ประชุม สส. ทำให้พรรคได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรงตามข้อบังคับพรรคด้วย


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top