Thursday, 8 May 2025
สตาร์ทอัพ

‘แอนโทนี่ ตัน’ ซีอีโอ Grab ทำงานหนัก วันละ 20 ชั่วโมง ด้วยเงินทุน 8 แสนบาท สร้าง ‘ยูนิคอร์น’ ตัวแรกของอาเซียนได้สำเร็จ กวาดรายได้ปีละ 6.6 หมื่นล้านบาท

(13 ต.ค. 67) ‘แกร็บ’ (Grab) สตาร์ทอัพเล็กๆ ในมาเลเซีย ที่เริ่มต้นด้วยบริการแอปพลิเคชันเรียกรถแท็กซี่ จากเงินทุนก้อนแรก 8 แสนบาท ก้าวสู่การเป็น ‘ยูนิคอร์น’ บริษัทแรกของอาเซียนในเวลาเพียงไม่กี่ปี 

เพียงเพราะ ‘แอนโทนี่ ตัน’ เด็กหนุ่มทายาทตระกูลร่ำรวยที่อยากพิสูจน์ตัวเอง จนสร้าง ‘ซูเปอร์แอป’ ที่มีรายได้ปีละ 2 พันล้านดอลลาร์ หรือราวๆ 6.6 หมื่นล้านบาท ด้วยธุรกิจเจาะกลุ่ม ‘ฐานของปิรามิด’ และทำงานหนักเพื่อสร้างแอปที่ใช้งานได้จริง 

แอนโทนี่ ตัน โตมากับตำแหน่งทายาทรุ่นที่ 3 ของตระกูลแทน  จากการทำธุรกิจผู้แทนจำหน่ายรถยนต์ข้ามชาติ บริษัทตันชงมอเตอร์ ซึ่งเป็นหนึ่งในตระกูลที่ร่ำรวยที่สุดในประเทศมาเลเซีย จนไม่จำเป็นต้องแสวงหาความร่ำรวยแล้ว 

ในปี 2552  แทนได้เข้าศึกษาต่อที่ Harvard Business School และพบกับ โฮย หลิง ตัน เพื่อนชาวมาเลเซียในชั้นเรียน ‘การทำธุรกิจในตลาดที่เป็นฐานของปิรามิด’ 

จนกระทั่งปีในปี 2554 ทั้งคู่ได้พูดคุยกันถึงปัญหาความปลอดภัยของระบบแท็กซี่ในมาเลเซีย โดยเฉพาะสำหรับผู้หญิง ซึ่งจุดประกายให้พวกเขาตัดสินใจที่จะแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น

จุดเริ่มต้นของธุรกิจ Grab หลังจากที่ทั้งคู่ได้ร่วมกันร่างแผนธุรกิจเพื่อเข้าร่วมการประกวดสตาร์ทอัพในมหาวิทยาลัย และสามรถคว้ารางวัลรองชนะเลิศพร้อมเงินรางวัล 25,000 ดอลลาร์ หรือราวๆ 8 บาทเท่านั้น

จากสตาร์ทอัพเล็กๆ ได้เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วและได้รับการสนับสนุนจากบริษัทชั้นนำอย่าง SoftBank จนมีมูลค่าตลาดสูงถึง 1.4 หมื่นล้านดอลลาร์ แต่เส้นทางการสร้างบริษัทให้ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ

ความคาดหวังของครอบครัวที่อยากให้ตันสานต่อธุรกิจที่บ้าน มำให้ไอเดียการสร้าง Grab ถูกปฏิเสธ พ่อของเขาพูดว่า “ฉันไม่คิดว่ามันจะสำเร็จ” ประโยคกลายเป็นแรงผลักดันสำคัญที่ทำให้ทันมุ่งมั่นที่จะพิสูจน์ตัวเอง

เมื่อขอเงินทุนจากพ่อไม่สำเร็จ ทันหันขอเสนอแผนธุรกิจนี้กับแม่ ซึ่งเห็นความเป็นไปได้ในธุรกิจนี้และตัดสินใจสนับสนุนเงินทุนให้เป็นคนแรก ด้วยเงินทุนที่ได้มา ทันจึงเริ่มต้นธุรกิจ Grab ภายใต้ชื่อ MyTeksi ในเดือนมิถุนายน ปี 2555 
.
ช่วงเริ่มต้นของ Grab นั้นเต็มไปด้วยความท้าทาย ตันและทีมงานต้องเผชิญกับปัญหาเรื่องงบประมาณที่จำกัดในการสร้างระบบแท็กซี่ใหม่ให้กับมาเลเซีย

สำนักงานเดิมของ Grab ตั้งอยู่ในห้องเล็กๆ ในกัวลาลัมเปอร์ เป็นห้องทำงานเล็กๆ ที่ขาดแคลนสิ่งอำนวยความสะดวกขั้นพื้นฐานอย่างเครื่องปรับอากาศขณะที่อากาศร้อนตลอดปี และไม่มีสัญญาณอินเทอร์เน็ตขนาดต้องใช้สัญญาณอินเตอร์เน็ตจากมือถือ

นอกจากนี้ ข้อจำกัดด้านงบประมาณทำให้เป็นเรื่องยากที่ทำให้ Grab ดึงคนขับมาเป็นพาร์ทเนอร์บนแพลตฟอร์ม ดังนั้นพวกเขาจึงต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ในการแก้ไขปัญหาต่างๆ

ในการเริ่มต้นธุรกิจ Grab ในช่วงแรก ๆ แทนได้เดินทางไปทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เพื่อโน้มน้าวให้พนักงานขับรถแท็กซี่มาลองใช้บริการ Grab

ตันสังเกตเห็นพฤติกรรมของคนขับแท็กซี่ในโฮจิมินห์ซิตี้ที่มักแวะดื่มกาแฟที่ปั๊มน้ำมันในช่วงเช้า จึงนำไปสู่ไอเดียแจกกาแฟฟรีตอน ตี 4 เพื่อสร้างความสัมพันธ์อันดีและชักชวนให้พวกเขามาร่วมงานกับ Grab นั่นเป็นวิธีเดียวที่ทำให้เค้าเข้าถึงกลุ่มไรเดอร์

ส่วนที่มะนิลา แทนใช้เวลาช่วงเช้ามืดไปทำความรู้จักกับคนขับแท็กซี่อย่างใกล้ชิด นั่งคุยแลกเปลี่ยนเรื่องราวชีวิตพร้อมกับดื่มเบียร์เย็นๆ เพื่อให้เข้าใจถึงปัญหาและความต้องการของพวกเขาอย่างลึกซึ้ง

ปี 2561  เป็นปีที่ตลาดบริการเรียกรถในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เมื่อ Uber ยักษ์ใหญ่ด้านการเรียกรถบริการจากสหรัฐตัดสินใจขายธุรกิจในภูมิภาคนี้ให้กับ Grab คู่แข่งรายสำคัญ โดยแลกกับหุ้นใน Grab ถึง 27.5% และ Dara Khosrowshahi ซีอีโอของ Uber เข้าร่วมคณะกรรมการของ Grab 

การตัดสินใจครั้งนี้ถือเป็นการสิ้นสุดสงครามการแข่งขันที่ดุเดือดและยาวนาน ทำให้ Grab กลายเป็นผู้เล่นรายใหญ่ที่สุดในตลาด และมีอิทธิพลต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมการขนส่งในภูมิภาคอย่างมาก

แม้ว่า Grab จะประสบความสำเร็จในการสร้างฐานลูกค้าที่แข็งแกร่งและขยายธุรกิจไปทั่วภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่บริษัทก็ต้องเผชิญกับข้อกล่าวหาเรื่องการผูกขาดตลาดจากทั้งนักวิจารณ์และหน่วยงานกำกับดูแล ซึ่งเป็นผลมาจากการเติบโตอย่างรวดเร็วและการครอบคลุมตลาดในหลายประเทศ 

Grab ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตประจำวันของผู้คนไปแล้ว เช่นการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการเดินทาง และเพิ่มโอกาสใหม่ๆ ให้กับผู้คนในทุกระดับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มผู้มีรายได้น้อยหรือที่เรียกว่า ‘ฐานของปิรามิด’

ตอนนี้นอกจาก Grab จะให้บริการเรียกแล้ว ยังขยายธุรกิจไปสู่บริการจัดส่งอาหารและสินค้า รวมถึงบริการทางการเงิน เช่น การชำระเงิน การให้กู้ยืมและธนาคารดิจิทัล ปัจจุบันแกร็บให้บริการลูกค้ากว่า 35 ล้านคน และสร้างงานอิสระกว่า 13 ล้านตำแหน่งใน 8 ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เมื่อปี 2566 ที่ผ่านมา 

‘ดร.อธิป’ เผย!! Jensen Huang ประธานบริษัท NVIDIA ผู้นำด้านชิปประมวลผล ให้ข้อมูลสำคัญ!! ‘จีน’ กำลังไล่ทัน ‘สหรัฐฯ’ ในเทคโนโลยี AI แล้ว

(5 พ.ค. 68) ดร.อธิป อัศวานันท์ นักเขียน อาจารย์พิเศษในมหาวิทยาลัยชั้นนำ ผู้ก่อตั้งบริษัทสตาร์ทอัพทางอินเทอร์เน็ต ที่ประสบความสำเร็จ ไดโพสต์คลิป โดยมีใจความว่า …

Jensen Huang ประธานบริษัท NVIDIA เพิ่งเปิดเผยว่าจีนกำลังไล่ทันสหรัฐในเทคโนโลยี AI แล้ว!!
ประเทศไทยของเรา โดยเฉพาะบอร์ด AI แห่งชาติ ควรจะเรียนรู้อะไรบ้างจากตรงนี้?

1: การทุ่มงบสนับสนุนสตาร์ทอัพด้าน AI! ... จีนตั้งกองทุนขนาดยักษ์กว่า 4.5 ล้านล้านบาทเพื่อสนับสนุนสตาร์ทอัพด้าน AI โดยเฉพาะ!
แล้วไทยล่ะ? เรายังทำแบบเล็กๆ แค่ร้อยถึงพันล้านบาทเท่านั้น ไม่ต้องเทียบกับจีน เทียบกับเพื่อนบ้านเราก็ยังสู้ไม่ได้
และไม่ใช่แค่ให้เงิน แต่เราต้องสร้างระบบนิเวศที่สมบูรณ์ ตั้งแต่การลดภาษี จัดตั้งเขตนวัตกรรมพิเศษ ดึงผู้เชี่ยวชาญต่างชาติมาร่วมงาน และมี Sandbox ให้ทดลองผลิตภัณฑ์ AI ได้จริง

2: ลงทุนสร้าง "ทุนทางปัญญา"! ... Jensen Huang เน้นย้ำว่า "นักวิจัย AI ราว 50% ของโลกเป็นชาวจีน" และในสหรัฐเองก็มีนักวิจัย AI จีนมากกว่านักวิจัยอเมริกัน!!

นี่คือจุดเปลี่ยนเกม - ทุนมนุษย์สำคัญกว่าเทคโนโลยี!
ไทยต้องมีโครงการทุนการศึกษาระดับแสนคนต่อปีในด้าน AI ตั้งแต่มัธยมถึงปริญญาเอก
มีโครงการดึงคนเก่งกลับประเทศด้วยค่าตอบแทนที่แข่งขันได้จริงๆ
และสร้างสถาบันวิจัยด้าน AI แห่งชาติที่ให้เงินเดือนนักวิจัยแข่งกับบริษัทเอกชนยักษ์ใหญ่ได้!
และเราต้องปฏิรูปหลักสูตรการศึกษาทั้ง ระบบให้เน้น AI, Coding และ Data Science ตั้งแต่ประถม เพื่อสร้างคนรุ่นใหม่ที่คิดเป็นระบบ และพร้อมนำ AI ไปใช้ในทุกสาขาอาชีพ!!

3: เล่นเกมระยะยาวไร้เส้นชัย! ... Jensen Huang บอกว่า AI คือ "เกมที่ไม่มีวันจบ" ไม่มีวันที่คนใดคนหนึ่งจะชนะตลอดกาล!
ไทยต้องวางยุทธศาสตร์ AI 20 ปี ที่ไม่เปลี่ยนแปลงไปตามรัฐบาล

มีการลงทุนอย่างต่อเนื่องที่ไม่หวังผลเร็ว และมีความอดทนสูง เหมือนที่เกาหลีใต้ทำกับอุตสาหกรรม K-Pop ที่ใช้เวลากว่า 20 ปีกว่าจะประสบความสำเร็จระดับโลก!!

ต้องสร้างวิสัยทัศน์ร่วมของชาติด้าน AI ที่ทุกภาคส่วนเห็นพ้องต้องกัน และยึดมั่นในเป้าหมายระยะยาว แม้จะมีอุปสรรคหรือความล้มเหลวระหว่างทาง
เพราะการพัฒนา AI ไม่ใช่การวิ่ง 100 เมตร แต่เป็นมาราธอนที่ต้องอาศัยความอดทนและการปรับตัวตลอดเวลา!
ถ้าจีนทุ่มงบกว่า 4 ล้านล้านบาทให้สตาร์ทอัพ AI ไทยจะให้แค่พันล้านไม่ได้อีกแล้ว! เราต้องทุ่มงบพัฒนาคนและสตาร์ทอัพแบบจริงจัง!
ถ้าเราไม่เริ่มตอนนี้ เราจะเป็นได้แค่ผู้บริโภคเทคโนโลยี ไม่ใช่ผู้นำด้านนวัตกรรม! และในยุคที่ AI กำลังเปลี่ยนโลก ประเทศที่ไม่สามารถพัฒนาเทคโนโลยีของตัวเองได้ จะถูกทิ้งไว้ข้างหลังอย่างไม่มีทางตามทัน!!

ขอบคุณสำหรับทุกความเห็น และเราจะร่วมกันผลักดันต่อเพื่อประเทศไทยของเราครับ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top