Saturday, 19 April 2025
สงครามใหญ่

'ฮามาส' บุก 'อิสราเอล' ยุทธการของ 'เบี้ยสละทิ้ง' แบบหน่วยกล้าตาย  ภายใต้ 'สงครามใหญ่' ระหว่างค่ายตะวันตกกับค่ายตะวันออก

(12 ต.ค. 66) นายวรพจน์ ตั้งพันธุ์เพียร ได้เผยแพร่บทความในหัวข้อ 'เมื่อฮามาสบุกอิสราเอล แบบ Suicide mission' (ภารกิจฆ่าตัวตาย) ระบุว่า...

เกือบทศวรรษที่ไม่มีข่าวกองกำลังฮามาสสู้รบกับอิสราเอลเต็มรูปแบบ จนโลกทั้งโลกแทบจะลืมปัญหา ปาเลสไตน์-อิสราเอล กันไปแล้ว แม้แต่โลกอิสลามเอง ก็ยังมีบางส่วนหันไปญาติดี เริ่มเปิดความสัมพันธ์กับอิสราเอล อย่างบาร์เรน สหรัฐอาหรับอิมิเรตส์ ซาอุฯ

นั่นจึงไม่ต้องแปลกใจ ที่ฮามาส ในฐานะตัวแทนของปาเลสไตน์ จะรู้สึกว่าถูกโลกอิสลามทอดทิ้งให้ไร้อนาคต โดยเฉพาะชาวปาเลสไตน์ 5 ล้านคนต้องอยู่กับการปิดล้อมในพื้นที่เล็กๆ อย่าง กาซา และเวสต์แบงค์ ทั้งๆ ที่ตนเองเป็นผู้อยู่อาศัยมาก่อนที่อิสราเอลจะเข้ามาแทนที่ และทำการขับไล่ รวมทั้งตีกรอบ จนพวกเขาไม่มีความหวังที่จะได้ตั้งประเทศปาเลสไตน์อย่างที่เคยมีข้อตกลงกันไว้ที่ แคมป์เดวิด สหรัฐฯ (ในขณะที่ชาวอิสราเอลมีจำนวน 7 ล้านคน คุมพื้นที่กว่า 80% และยังมีท่าทีจะรุกคืบเพิ่มเรื่อยๆ)

เมื่อเป็นเช่นนี้ ฮามาสก็ย่อมรู้สึกว่าไม่มีอะไรจะเสียอีกต่อไป และได้ดำเนินการบุกอิสราเอล ภายใต้ชื่อปฏิบัติการ Al-Aqsa Flood โดยเลือกเอาวันสำคัญทางศาสนายิว ซิมหัต โทราห์ (Simchat Torah) ในการยิงขีปนาวุธกว่า 5,000 ลูกจากกาซาไปยังอิสราเอล ในวันเดียว และส่งนักรบข้ามแดนไปด้วยการขุดดิน บินข้ามกำแพง รวมทั้งทางน้ำ เพื่อทำการยิงสังหารแบบไม่เลือกเป้าหมาย และจับตัวประกันกลับเข้าไปในกาซา (ล่าสุดอิสราเอลตายเกือบพันคน และส่งเครื่องบินเข้ายิงถล่มกาซา จนประเมินว่ามีปาเลสไตน์เสียชีวิตไม่ต่ำกว่า 500 คน)

ปฏิบัติการครั้งนี้ทำให้โลกตะลึง และทำให้อิสราเอลเสียศูนย์ เพราะหน่วยสืบราชการลับมอสสาด ที่ว่าข่าวกรองดีที่สุดในโลกไม่ได้ระแคะระคายมาก่อนเลย - อียิปต์ได้เตือนอิสราเอลแล้วว่าอาจมีเหตุรุนแรง แต่อิสราเอลไม่คิดว่าจะเกิดในช่วงวันสำคัญทางศาสนา เพราะฮามาสไม่เคยบุกในวันสำคัญเลย รวมทั้งที่ผ่านก็เชื่อมั่นว่า นโยบายให้ชาวปาเลสไตน์เข้ามาทำงานและได้รับค่าจ้างสูงกว่าในกาซาสิบเท่า น่าจะช่วยให้ชาวปาเลสไตน์เลิกคิดเรื่องการทำสงคราม

ประเด็นก็คือ นายกฯ เนทันยาฮู ของอิสราเอลที่เป็นสายเหยี่ยวตกขอบ ได้ประกาศระดมกำลัง 3 แสนนายเพื่อจะเดินเท้าบุกเข้าเคลียร์กองกำลังฮามาสในกาซา โดยไม่เกรงใจบรรดาประเทศมุสลิมอีกต่อไป โดยเฉพาะเมื่อโลกตะวันตกแถลงว่า อิสราเอลมีสิทธิ์ป้องกันตนเอง และพร้อมสนับสนุนอาวุธ ในขณะที่ประเทศอิสลามสายกลาง พยายามขอให้มีการหยุดยิง และเจรจา โดยเริ่มที่การแลกตัวประกันชาวอิสราเอลกับ นักโทษปาเลสไตน์ที่ถูกควบคุมตัวไว้นานแล้ว

ฮามาสเลือกที่จะบุกทั้งๆ ที่รู้อยู่แล้วว่าจะโดนสวนกลับอย่างรุนแรง จนถึงขั้นล่มสลาย นั่นก็เพื่อส่งสัญญานไปยังโลกมุสลิมว่า การที่ UAE และซาอุในฐานะพี่ใหญ่โลกอิสลามไปจับมือกับอิสราเอล ถือเป็นเรื่องที่รับไม่ได้ ดังนั้น การบุกอิสราเอลเต็มรูปแบบ จะเป็นการวัดใจว่า ถ้ากาซาถูกอิสราเอลบุกกลับมาถล่มยับ บรรดาประเทศมุสลิมตะวันออกกลางจะยืนนิ่งเฉย ปล่อยให้ชาวปาเลสไตน์ในฐานะพี่น้องมุสลิมถูกกวาดล้างโดยอิสราเอลหรือไม่? หรือจะเข้ามาปกป้อง และกดดันอิสราเอล ให้มีการตั้งประเทศปาเลสไตน์อย่างจริงจังเสียที?

ด้วยเหตุนี้ จึงกล่าวได้ว่า ภารกิจฮามาสครั้งนี้ คือภารกิจฆ่าตัวตายโดยแท้

แม้การวัดใจโลกมุสลิมครั้งนี้ ถือเป็นการทุ่มสุดตัวของฮามาส แต่ก็ยังไม่สามารถคาดเดาได้ว่า มุสลิมสายกลางจะตัดสินใจอย่างไร? เนื่องจาก ฮามาสถูกระบุว่าเป็นกลุ่มผู้ก่อการร้าย ไม่ใช่รัฐประเทศ รวมทั้งครั้งนี้มีพฤติกรรมบุกก่อน และสังหารแบบไม่เลือกเป้าหมาย แม้แต่อิหร่านที่เป็นแบ็คอัพใหญ่ให้ฮามาส ก็ยังอ้อมๆ แอ้มๆ ไม่ออกมาประกาศชัดเจน ทั้งๆ ที่ก่อนหน้าก็ส่งเสบียงให้กับฮามาสมาโดยตลอด

ในกรณี โลกอิสลามสายกลางตัดสินใจนิ่งเฉย ปล่อยให้อิสราเอลถล่มกาซาตามอำเภอใจ ฮามาสก็จะถูกกวาดล้างอย่างหนักจนอาจไม่มีความสามารถในการตอบโต้ไปอีกนาน และอิสราเอลคงบุกเข้าเวสแบงค์ด้วยอีกที่ ในการนี้จะส่งผลให้มีการสอดส่องครับคุมดูแลชาวปาเลสไตน์ที่เข้มงวดมากกว่าเดิม และสงครามจะไม่น่ายืดเยื้อนาน แม้จะมีประเทศอิสลามสายแข็งให้การสนับสนุนฮามาสก็ตาม

แต่หากโลกอิสลามสายกลางตัดสินใจตัดความสัมพันธ์กับอิสราเอล และส่งความช่วยเหลือให้ปาเลสไตน์ ความขัดแย้งก็มีท่าทีว่าจะขยายวงขึ้นทันที ขึ้นกับว่าจะมีประเทศมุสลิมใดช่วยเหลือปาเลสไตน์บ้าง หากหันมาช่วยกันหมดเหมือนสมัยสันนิบาตอาหรับ กับสงคราม 6 วัน อิสราเอลจะกลายเป็นแนวรบตะวันออกกลาง ลักษณะสงครามตัวแทน (Proxy War) ระหว่าง ตะวันตกที่ถือหางอิสราเอล กับ ตะวันออก (มุสลิม + จีน + รัสเซีย) ทันที

ซึ่งน่าจะยืดเยื้อไม่แพ้ สงครามยูเครน-รัสเซีย ที่เป็นสมรภูมิแนวรบในยุโรป ซึ่งจะยิ่งฉุดรั้งเศรษฐกิจโลกเข้าไปอีกขั้น เพราะรู้ๆ กันว่า ตะวันออกกลางคือแหล่งน้ำมันโลก ในขณะที่ยูเครนและรัสเซียเป็นแหล่งวัตถุดิบอาหารสัตว์ และปุ๋ยโลก

หากเกิดแบบกรณีหลัง คงได้เดือดร้อนทั้งโลกแน่นอน และถ้าเหตุการณ์บานปลาย ก็มีโอกาสที่จะนำไปสู่สงครามโลกครั้งที่ 3 ได้ไม่ยาก

ทั้งหมดนี้ มีเพียงสิ่งเดียวจะช่วยให้อุณหภูมิการเมืองโลกไม่เดือด นั่นคือการเปลี่ยนใจนายกฯ เนทันยาฮู ให้เลิกล้มแผนบุกกาซา และหันมาปัดฝุ่นข้อตกลงแคมป์เดวิด ที่จะตั้งประเทศปาเลสไตน์ และกำหนดเขตแดนระหว่างกันอย่างชัดเจน รวมทั้งยอมให้กองกำลัง UN เข้าไปควบคุมสันติภาพในกาซา และเวสแบงค์ ซึ่งดูแล้วคงเป็นเรื่องระดับปาฏิหารย์หากจะเกิดขึ้นได้

ในฐานะชาวโลก ก็คงต้องพยายามทำใจ และอยู่กับความขัดแย้งทางการเมืองโลกให้ได้ และคงต้องนั่งลุ้นกันต่อไปว่า ฝ่ายตะวันตกจะเปิดแนวรบทะเลจีนใต้ ที่มีไต้หวันเป็นชนวน อีกแนวรบหรือไม่?

อาจจะเพราะหลังการล่มสลายของโซเวียต โลกเราสงบสุขมานานเกินไป จนทำให้ชาวโลกลืมไปว่าก่อนหน้านั้น เราก็มีความขัดแย้งระหว่างประเทศอยู่บ่อยๆ มีสงครามกันเนืองๆ ในภูมิภาคต่างๆ ไม่หยุดหย่อน

เพียงแต่ยุคนั้น แต่ละฝ่าย ยังไม่มีระเบิดนิวเคลียร์อยู่ในมือกันมากมายขนาดทุกวันนี้เท่านั้นเอง

โลกนี้แม้จะใหญ่พอที่จะแบ่งปันให้มนุษยชาติทุกคน

แต่กลับใหญ่ไม่พอให้กับมนุษย์ที่โลภและบ้าอำนาจเพียงคนเดียว

ขณะที่ ดร.สุวินัย ภรณวลัย ประธานยุทธศาสตร์วิชาการ สถาบันทิศทางไทย อดีตอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้เสริมมุมมองบทความดังกล่าวด้วย ว่า...

แนวโน้มคงเกิดเป็นกรณีหลัง และจะบานปลายเป็นสงครามใหญ่ค่อนข้างแน่ ... เพราะมันเป็นบทที่เขียนไว้แล้ว

ถ้าเราอ่านสถานการณ์สงครามฮามาส-อิสราเอลครั้งนี้ จากมุมมองของนักยุทธศาสตร์ เราจะรู้ทันทีว่าฝ่ายฮามาสจะต้องมี 'หมากตามหลัง' มาแน่นอน 

เพราะฮามาสเป็นแค่ 'เบี้ยสละทิ้ง' แบบหน่วยกล้าตาย ใน 'สงครามใหญ่' ระหว่างค่ายตะวันตก กับค่ายตะวันออกเท่านั้น


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top