Tuesday, 13 May 2025
ศูนย์เด็กเล็ก

ครม.เห็นชอบหลักการร่างมาตรการสนับสนุนสตรีเป็นพลังสำคัญทางเศรษฐกิจ ขยายเวลาเปิดศูนย์เด็กเล็ก ข้าราชการชายลาช่วยดูลูกได้ 15 วัน ไม่ต้องติดต่อกัน ข้าราชการหญิงลาคลอดเพิ่มได้

นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 11 มกราคม 2565 ว่า  ครม.เห็นชอบหลักการร่างมาตรการสนับสนุนสตรีให้เป็นพลังสำคัญทางเศรษฐกิจ ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ เพื่อเป็นมาตรการคุ้มครอง สนับสนุน และอำนวยความสะดวกให้ผู้หญิงสามารถเข้ามามีบทบาททางด้านเศรษฐกิจ ช่วยสร้างการมีส่วนร่วมของผู้ชายในการเลี้ยงดูบุตร และสร้างกลไกการพัฒนาเด็กเพื่อลดภาระให้กับผู้หญิงที่ทำงาน ซึ่งสอดคล้องกับหลักการตามรัฐธรรมนูญและอนุสัญญาว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรีในทุกรูปแบบ (CEDAW) ที่ไทยเข้าร่วมเป็นรัฐภาคี ซึ่งมาตรการนี้ครอบคลุม 3 กลุ่มเป้าหมาย คือ 1)กลุ่มแรงงานหญิงทั้งในระบบและนอกระบบ จำนวน 17,366,400 คน 2)กลุ่มแม่เลี้ยงเดี่ยว จำนวน 1,061,082 คน และ 3)กลุ่มผู้หญิงสูงอายุที่เป็นผู้เลี้ยงดูเด็ก จำนวน 379,347 คน 

สำหรับมาตรการสนับสนุนให้สตรีเป็นพลังสำคัญทางเศรษฐกิจ ประกอบด้วย 3 มาตรการย่อย ดังนี้

1.จัดบริการศูนย์พัฒนาเด็กเล็กอายุต่ำกว่า 3 ปี โดยขยายบริการของศูนย์พัฒนาเด็กเล็กหรือสถานรับเลี้ยงเด็กให้รับอายุ 0 - 3 ปี และขยายเวลาเปิด – ปิดศูนย์พัฒนาเด็กเล็กหรือสถานรับเลี้ยงเด็กให้สอดคล้องกับวิถีชีวิตคนทำงานตามบริบทของพื้นที่

2.ส่งเสริมการลาของสามี (ข้าราชการชาย) เพื่อช่วยภรรยาดูแลบุตรหลังคลอด โดยให้ข้าราชการชายมีสิทธิลาได้ 15 วันทำการ เป็นช่วงๆ ไม่ติดต่อกันจนครบวันลา (จากเดิมที่ให้ลาครั้งหนึ่งติดต่อกันได้ ไม่เกิน 15 วันทำการ)

3.ขยายวันลาคลอดของแม่ (ข้าราชการหญิง) โดยได้รับค่าจ้าง ซึ่งระเบียบเดิมข้าราชการหญิงสามารถลาคลอดบุตรได้ไม่เกิน 90 วัน และข้าราชการหญิงที่ลาคลอดบุตรแล้ว หากประสงค์ลากิจส่วนตัวเพื่อเลี้ยงดูบุตร ให้มีสิทธิลาต่อเนื่องจากการลาคลอดบุตรได้ไม่เกิน 150 วันทำการ โดยไม่ได้รับเงินเดือน ซึ่งมาตรการใหม่นี้ ข้าราชการหญิงสามารถลาคลอดบุตรได้ 98 วัน (เพิ่มขึ้นจากเดิม 8 วัน) โดยได้รับค่าจ้าง และเมื่อครบ 98 วันแล้ว สามารถลาเพิ่มได้อีกไม่เกิน 90 วัน โดยได้รับเงินเดือนร้อยละ 50 ของเงินเดือน รวมวันลาคลอดทั้งสิ้น 188 วัน หรือประมาณ 6 เดือน ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางที่องค์การอนามัยโลกและกองทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติระบุว่า ควรให้บุตรได้รับนมแม่เพียงอย่างเดียวในช่วง 6 เดือนแรกหลังคลอด

'ไอติม' ลั่น!! กราดยิงฯ สะท้อนปัญหาที่หมักหมมในสังคมไทย ชี้!! ถือเป็นคำเตือนสุดท้าย ถึงเวลาออกแบบสังคมให้ปลอดภัย

พริษฐ์  ชี้ โศกนาฏกรรมที่หนองบัวลำภู เป็นคำเตือนครั้งสุดท้ายของสังคมไทย ถึงเวลารีบหาทางออกปัญหาครอบครองอาวุธปืน 

พริษฐ์ วัชรสินธุ ผู้จัดการการสื่อสารและการรณรงค์นโยบาย พรรคก้าวไกล กล่าวถึงเหตุการณ์โศกนาฏกรรม ที่จังหวัดหนองบัวลำภูว่า ถึงเวลาแล้วที่ประเทศไทยต้องร่วมกันเยียวยาบาดแผลที่เกิดขึ้นในสังคมด้วยการร่วมกันหาทางออกในการป้องกันเหตุการณ์ดังกล่าวไม่ให้เกิดขึ้นอีก และร่วมกันออกแบบสังคมที่เราทุกคนใช้ชีวิตได้อย่างปลอดภัยให้ได้

เหตุการณ์กราดยิงทั้งในอดีตและที่เพิ่งเกิดขึ้นสะท้อนถึงสารพัดปัญหาที่หมักหมมมายาวนานในสังคมไทย และที่ผู้เชี่ยวชาญหลายคนเริ่มออกมาฉายภาพให้เห็นอีกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นปัญหาเรื่องการใช้และการแพร่ระบาดของยาเสพติด การคัดกรองเจ้าหน้าที่ทหาร-ตำรวจ ระบบอุปถัมภ์และวัฒนธรรมอำนาจนิยมในองค์กร ความล่าช้าของตำรวจในการเข้าถึงที่เกิดเหตุ หรือ การขาดแคลนระบบแจ้งเตือนเหตุฉุกเฉินกับประชาชน

แต่ปัญหาหนึ่งที่มีส่วนสำคัญเช่นกัน คือ ปัญหาเรื่อง 'การเข้าถึงและครอบครองอาวุธปืน' ทั้งที่ถูกและผิดกฎหมาย และทั้งโดยเจ้าหน้าที่-อดีตเจ้าหน้าที่ และโดยประชาชนทั่วไป

โดยพริษฐ์ได้ชี้ให้เห็นว่า สถิติหนึ่งที่ค้นพบ คือ ปัจจุบัน ประเทศไทยมีอัตราผู้เสียชีวิตจากอาชญากรรมปืนสูงสุดเป็นอันดับ 3 ของทวีปเอเชีย (3.91 ต่อประชากร 100,000 คน) - รองจากแค่ อิรัก (9.94) และ ฟิลิปปินส์ (8.02) และสูงกว่า มาเลเซีย (0.53) เวียดนาม (0.52) เกาหลีใต้ (0.08) ญี่ปุ่น (0.08) และสิงคโปร์ (0.05) หลายเท่าตัว

ถึงแม้สหรัฐอเมริกา (10.95) - ซึ่งเป็นที่รับรู้กันว่าเป็นประเทศที่มีปัญหาเรื่องกราดยิงเยอะเป็นพิเศษ โดยบางส่วนมองว่าเป็นผลจากนโยบายปืนเสรีที่ทำให้ประชาชนเข้าถึงปืนได้ง่ายกว่าในอีกหลายประเทศ - ในช่วงหลังๆ จะมีสถิติที่แย่กว่าประเทศไทยพอควร แต่ไม่กี่ปีก่อนก็มีสถิติที่ไม่ห่าง (หรือบางปีดีกว่า) ในไทยด้วยซ้ำ

แน่นอนว่าทางออกในประเทศไทยคงไม่ได้เรียบง่ายแค่การเพิ่มความเข้มงวดของเกณฑ์การครอบครองปืน หากจะตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับ ระบบ-กฎหมาย-การบังคับใช้ ด้านการเข้าถึงอาวุธปืนที่อาจมีปัญหาบางจุด ซึ่งได้ตั้งข้อสังเกตดังนี้

1.) เกณฑ์การขอใบอนุญาตมีปืนถูกกฎหมาย ไม่ครอบคลุมด้านสุขภาพจิต-ไม่มีการสอบวัดความพร้อม หรือไม่อย่างไร

แม้จะมีหลายเอกสารที่ประชาชนต้องยื่นหากต้องการขอใบอนุญาตครอบครองปืน (แบบ ป.4) หรือใบอนุญาตพกพาปืน (แบบ ป.12) แต่ทั้งสองกระบวนการปัจจุบันไม่มีการขอใบรับรองจากจิตแพทย์เกี่ยวกับประวัติหรืออาการด้านสุขภาพจิต ซึ่งทำให้เราไม่รู้ว่าผู้ที่ครอบครองอาวุธปืนอย่างถูกกฎหมาย ณ ปัจจุบันมีสุขภาพจิตที่แพทย์เห็นว่าเหมาะสมที่จะครอบครองปืนหรือไม่

ในส่วนการเตรียมความพร้อม แม้จะมีการกำหนดว่าต้องแสดงหลักฐานว่าผ่านการฝึกอบรมการใช้อาวุธปืน แต่สังคมก็ตั้งคำถามถึงความรัดกุมของเนื้อหาการอบรมและความเข้มงวดของการรับรองมาตรฐานผู้ให้การอบรม รวมถึงการเสนอให้มีการสอบวัดความพร้อมของผู้ขอใบอนุญาตอย่างจริงจัง เหมือนในหลายประเทศทั่วโลก

2.) ข้าราชการเข้าถึงได้ง่ายกว่า แม้ในตำแหน่งที่ไม่มีความจำเป็นต้องใช้ปืนในการทำหน้าที่ จริงหรือไม่

ที่ผ่านมา รัฐมีโครงการจัดหาปืนเป็นสวัสดิการให้ข้าราชการในหลายสังกัดเข้าถึงและขอใบอนุญาตได้อย่างสะดวกสบายขึ้น แม้หลายครั้งเป็นการให้สิทธิแก่ข้าราชการในตำแหน่งที่อาจตั้งคำถามได้ในปัจจุบันว่ามีความจำเป็นแค่ไหนที่ต้องใช้ปืนในการปฏิบัติหน้าที่ (เช่น ข้าราชการกระทรวงมหาดไทย กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้บริหารท้องถิ่น สมาชิกรัฐสภา) ซึ่งการเข้าถึงปืนได้อย่างแพร่หลาย อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อความรุนแรงหรือความเสี่ยงที่อาวุธปืนจะหลุดสู่ตลาดมืดได้

3.) ระบบเส้นสายและการทุจริตคอร์รัปชันในการขอใบอนุญาต เปิดช่องโหว่ในการครอบครองปืนหรือไม่

เอกสารหนึ่งที่ข้าราชการต้องใช้เพื่อยื่นขอใบอนุญาตคือหนังสือรับรองความประพฤติจากผู้บังคับบัญชา นอกจากถูกตั้งคำถามถึงประสิทธิภาพของวิธีการดังกล่าวในการคัดกรองคน ข้อกำหนดดังกล่าวยังมีข้อครหาว่าเปิดช่องให้เกิดการเรียกสินบน หรือการเซ็นอนุมัติโดยไม่ได้อยู่บนพื้นฐานของการประเมินความเหมาะสมของผู้ขอใบอนุญาตอย่างแท้จริง


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top