Thursday, 2 May 2024
ศักดิ์สยามชิดชอบ

‘ก.คมนาคม’ ผุดแคมเปญมอบของขวัญปีใหม่ให้คนไทย ‘มอเตอร์เวย์-ทางด่วน-รถไฟสีแดง-เรือไฟฟ้า’ เปิดบริการฟรี

‘คมนาคม’ จัดเต็มทุกโหมดมอบของขวัญปีใหม่ 2566 วิ่งฟรี 7 วัน มอเตอร์เวย์สาย 7, 9 และ M 6 ช่วงปากช่อง - สีคิ้ว - ขามทะเลสอ ส่วนทางด่วนบูรพาวิถีและบางพลี - สุขสวัสดิ์ฟรี 6 วัน สายสีแดงฟรีด้วยตั้งแต่เที่ยงวันที่ 31 ธ.ค.- เที่ยงวันที่ 1 ม.ค. ส่วนเรือไฟฟ้าฟรี 31 ธ.ค.65-1 ม.ค.66

นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ตามที่รัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้มีนโยบายให้ทุกหน่วยงานพิจารณามอบของขวัญปีใหม่ 2566 เพื่อมอบความสุขให้กับประชาชนทุกคน ที่ได้ร่วมกันผ่านวิกฤต COVID-19 ในช่วงที่ผ่านมาด้วยกัน โดยกระทรวงคมนาคม ได้มอบหมายให้หน่วยงานในสังกัด อำนวยความสะดวกและความปลอดภัยในการเดินทาง พร้อมรังสรรค์ความสวยงามรื่นรมย์ให้กับพื้นที่คมนาคมเพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยว โดยมีแผนดำเนินการใน 5 มิติ ภายใต้หลักการ ‘GIFTS’ ดังนี้

G (Gift to People) คมนาคมส่งต่อความสุข ประกอบด้วย
1. เปิดให้วิ่งฟรีทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง (มอเตอร์เวย์) หมายเลข 6 สายบางปะอิน - สระบุรี -นครราชสีมา ช่วงอำเภอปากช่อง - อำเภอสีคิ้ว - อำเภอขามทะเลสอ และยกเว้นค่าผ่านทาง มอเตอร์เวย์หมายเลข 7 และหมายเลข 9 ระหว่างวันที่ 29 ธันวาคม 2565 เวลา 00.01 น. จนถึงวันที่ 4 มกราคม 2566 เวลา 24.00 น.
2. ยกเว้นค่าผ่านทาง ทางพิเศษบูรพาวิถีและกาญจนาภิเษก ระหว่างวันที่ 29 ธันวาคม 2565 เวลา 00.01 น. จนถึงวันที่ 3 มกราคม 2566 เวลา 24.00 น.
3. ยกเว้นค่าโดยสารรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดง ระหว่างวันที่ 31 ธันวาคม 2565 เวลา 12.00 น. จนถึงวันที่ 1 มกราคม 2566 เวลา 12.00 น.
4. ลดค่าโดยสาร บขส. 10% ทุกเส้นทาง สำหรับผู้โดยสารที่จองตั๋วรถ บขส. ล่วงหน้าผ่านช่องทางออนไลน์
5. ตรวจรถฟรี ขับขี่ปลอดภัย โดยกรมการขนส่งทางบก ตลอดเดือนธันวาคม 2565

I (Inspiration for Society and Environment) : คมนาคมสร้างสรรค์สังคมไทย ห่วงใยสิ่งแวดล้อม ประกอบด้วย
1. รถโดยสารประจำทางพลังงานไฟฟ้า (EV Bus) มาให้บริการประชาชนได้ครบทั้ง 1,250 คัน ภายในเดือนมกราคม 2566 ซึ่งเป็นรถเมล์ใหม่ที่จะอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้โดยสาร และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
2. รถไฟที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า (EV on Train) โดยจะเริ่มทดสอบการเดินรถได้ ในเดือนมกราคม 2566 ซึ่งจะทำให้ลดต้นทุนการใช้พลังงานได้ถึงร้อยละ 40 เมื่อเทียบกับหัวรถจักรดีเซล
3. เรือไฟฟ้า (EV Boat) ได้นำมาให้บริการประชาชนแล้ว ตั้งแต่ปี 2565 ในช่วงเทศกาลส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ เรือไฟฟ้า จะให้บริการฟรี ตั้งแต่วันที่ 31 ธันวาคม 2565 ถึงวันที่ 1 มกราคม 2566

F (Facilitation) : คมนาคมสะดวก บริการประทับใจ ประกอบด้วย
1. ขยายเวลาการเดินรถเมล์ ในเขตกรุงเทพมหานคร ในเส้นทางที่ผ่านสถานที่จัดงานเคานท์ดาวน์ (Count Down) เช่น สยามพารากอน ไอคอนสยาม และเอเชียทีค ถึงเวลา 02.00 น. ของวันที่ 1 มกราคม 2566
2. ขยายเวลาเปิดให้บริการเดินรถของโครงการรถไฟฟ้ามหานคร สายเฉลิมรัชมงคล (สายสีน้ำเงิน) และสายฉลองรัชธรรม (สายสีม่วง) ตั้งแต่เวลา 06.00 น. ของวันที่ 31 ธันวาคม 2565 จนถึงเวลา 02.00 น. ของวันที่ 1 มกราคม 2566
3. ขยายเวลาให้บริการของอาคารและลานจอดรถ MRT ทั้ง 2 สาย (สีน้ำเงิน และสีม่วง) ตั้งแต่เวลา 05.00 น. ของวันที่ 31 ธันวาคม 2565 จนถึงเวลา 03.00 น. ของวันที่ 1 มกราคม 2566
4. บริการจอดรถฟรี ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ และ ท่าอากาศยานภูเก็ต 29 ธันวาคม 2565 ถึงวันที่ 3 มกราคม 2566

T (Tourist Promotion) : คมนาคมส่งเสริมการท่องเที่ยว ประกอบด้วย

1. ปรับปรุงภูมิทัศน์ให้เป็น '3 จุดเช็กอินแห่งใหม่'
- สกลนคร : โครงการปรับปรุงภูมิทัศน์ทางหลวงหมายเลข 213 ตอนสร้างค้อ - สกลนคร
- กรุงเทพมหานคร : โครงการปรับปรุงภูมิทัศน์ทางหลวงหมายเลข 9 (กาญจนาภิเษก) ตอนบางแค – คลองมหาสวัสดิ์
- เชียงใหม่ : โครงการปรับปรุงภูมิทัศน์ทางหลวงหมายเลข 107 ตอนแม่ทะลาย - หัวโท

2. โครงการถนนสายแยกทางหลวงหมายเลข 2 - พิพิธภัณฑ์ธรรมเจดีย์ จังหวัดอุดรธานี เพื่อรองรับพุทธศาสนิกชนและนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางมาสักการะบูชาพิพิธภัณฑ์ธรรมเจดีย์ พระธรรมวิสุทธิมงคล (หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน)

‘ศักดิ์สยาม’ ตั้งเป้า 3 ปี ไทยเป็นฮับในอาเซียน ถ่ายทอดนวัตกรรมและเทคโนโลยีระบบราง

เมื่อไม่นานมานี้ (15 ธ.ค. 65) นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยภายหลังเป็นประธานและสักขีพยานในพิธีลงนามข้อตกลงความร่วมมือ ‘ผนึกกำลังพันธมิตรพัฒนาเทคโนโลยีระบบรางของภูมิภาค’ ระหว่างสถาบันวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีระบบราง (องค์การมหาชน) และกลุ่มธุรกิจระบบรางฝรั่งเศส โดยการสนับสนุนของสถานเอกอัครราชทูตฝรั่งเศส ว่า การลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือครั้งนี้ ไม่มีกำหนดกรอบระยะเวลา เป็นการต่อยอดความร่วมมือการผนึกกำลังพัฒนาศักยภาพบุคลากร เทคโนโลยี และนวัตกรรม ระหว่างสถาบันวิจัยฯ และกลุ่มอุตสาหกรรมระบบรางจากประเทศฝรั่งเศส 5 บริษัท โดยเป็นบริษัทที่มีความรู้ด้านเทคโนโลยีระบบราง ซึ่งเป็นที่ยอมรับในระดับโลก

นายศักดิ์สยาม กล่าวอีกว่า ความร่วมมือนี้จะทำให้เกิดการทำงานร่วมกันที่เป็นรูปธรรมเรื่องต่าง ๆ ได้แก่ 

1. การสร้างสถาบันพัฒนาบุคลากรระบบราง ที่เป็นกลไกการพัฒนาบุคลากรระบบราง ทั้งระดับช่างเทคนิคทักษะสูง และระดับวิศวกรผู้เชี่ยวชาญ โดยร่วมกับสถาบันและหน่วยงานเครือข่าย เช่น การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) และหน่วยงานภาครัฐ และเอกชนที่เกี่ยวข้อง

2. การสร้างความร่วมมือระหว่างภาคเอกชนฝรั่งเศส และภาคเอกชนไทย เพื่อสร้างอุตสาหกรรมการผลิตชิ้นส่วนระบบรางภายในประเทศ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของนโยบาย Thai First ของกระทรวงคมนาคม โดยไม่เพียงแค่ผลิตได้ แต่คาดหวังให้เกิดผู้ประกอบการไทยที่มีความเข้มแข็ง สามารถแข่งขันในเวทีโลกได้

และ 3. การวิจัยและพัฒนาร่วมกัน และถ่ายทอดเทคโนโลยีและนวัตกรรมระบบรางชั้นแนวหน้าระหว่างกลุ่มธุรกิจระบบรางชั้นนำของฝรั่งเศส และเครือข่ายการวิจัยและพัฒนาของประเทศไทย เพื่อส่งเสริม และผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลาง (ฮับ) การถ่ายทอด และการสร้างเทคโนโลยีและนวัตกรรมของภูมิภาคอาเซียนภายใน 2-3 ปีหลังจากนี้

นายศักดิ์สยาม กล่าวต่อว่า ดังนั้นเวลานี้ประเทศไทยจึงจำเป็นต้องรับความรู้ และเทคโนโลยีจากหลากหลายประเทศที่มีความเชี่ยวชาญ ซึ่งนอกจากจะนำความรู้เพื่อมาใช้ผลิตบุคลากรในการเตรียมรองรับทางคู่ 4,000 กิโลเมตร (กม.) ทั่วประเทศ และสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ ให้กับประเทศไทยแล้ว ยังสามารถนำไปถ่ายทอดให้กับประเทศอื่น ๆ เพื่อร่วมพัฒนาระบบขนส่งทางรางในระดับอาเซียนด้วย

'อนุทิน-ศักดิ์สยาม' ประสานเสียง ปมป้าย 33 ลบ.สถานีบางซื่อ ลั่น!! หากพบสิ่งผิดปกติ ต้องยกเลิกและลงโทษ

'อนุทิน - ศักดิ์สยาม' ประสานเสียง พบสิ่งผิดปกติเปลี่ยนป้ายชื่อสถานีกลางบางซื่อสุดแพง พร้อมยกเลิกและลงโทษ 

(3 ม.ค. 65) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม กล่าวอีกครั้งถึงกรณีที่มีการเปิดเผยถึงการลงนามในสัญญาจ้างการก่อสร้างโครงการปรับปรุงป้ายชื่อสถานีกลางบางซื่อเป็นสถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์และตราสัญลักษณ์ของการรถไฟแห่งประเทศไทย มูลค่าสูงถึง 33 ล้านบาท ว่า ได้สั่งการให้ปลัดกระทรวงคมนาคมไปดำเนินการตรวจสอบแล้ว แต่ป้ายมันใหญ่ ก็ต้องดูว่าราคากับปริมาณงานเป็นอย่างไรเพราะเป็นป้ายลักษณะพิเศษตัวหนังสือใหญ่ และเป็นการทำป้ายทั้งหมดหลายรายการ 

เมื่อถามว่าแต่กระแสสังคมว่าแพงไป นายศักดิ์สยามกล่าวว่า คงมีการชี้แจง เพราะเรามีสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอยู่ ไม่ต้องกลัวในเรื่องเหล่านี้ ถ้าถูกก็คือถูก ถ้าผิดก็คือผิด ทั้งนี้ได้สั่งการไปตั้งแต่เมื่อวันที่ 2 ม.ค.แล้ว ไม่เกิน 7 วันก็คงทราบผล

‘ศักดิ์สยาม’ ลงนามตั้ง 10 คณะกรรมการ สอบปมเปลี่ยนป้ายชื่อ ‘สถานีกลางบางซื่อ’

(5 ม.ค. 65) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อ 4 ม.ค.ที่ผ่านมา นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้ลงนามในคำสั่ง แต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อพิจารณาตรวจสอบข้อเท็จจริงการก่อสร้างในโครงการปรับปรุงป้ายชื่อ ‘สถานีกลางบางซื่อ’ เป็น ‘สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์’ และตราสัญลักษณ์ของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) แล้ว

โดยประกาศเนื้อหาระบุว่า ตามที่ปรากฏข้อมูลทางโซเชียลมีเดีย (Social Media) และ เว็บไซต์ข่าว เกี่ยวกับการลงนามในสัญญาจ้างการก่อสร้างโครงการปรับปรุงป้ายชื่อสถานีกลางบางซื่อเป็นสถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์และตราสัญลักษณ์ของการรถไฟแห่งประเทศไทย ที่มีมูลค่าสูงถึง 33 ล้านบาทเศษ (วงเงินงบประมาณที่ได้รับจัดสรรจำนวน 34 ล้านบาท) มีราคากลางคำนวณ ณ วันที่ 9 ธันวาคม 2566 จำนวน 33,169,726.39 บาท โดยใช้วิธีการจัดซื้อหรือจ้างแบบเฉพาะเจาะจง ซึ่งผู้ที่ได้รับ การคัดเลือกและราคาที่ตกลงซื้อหรือจ้าง ได้แก่ บริษัท ยูนิค เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ UNIQ

เป็นเหตุให้มีการตั้งข้อสังเกตถึงความเหมาะสมในการใช้งบประมาณ รวมถึงนายสราวุธ สราญวงศ์ ประธานสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจรถไฟแห่งประเทศไทย ได้ยื่นหนังสือเพื่อขอให้การรถไฟแห่งประเทศไทย ตรวจสอบเรื่องดังกล่าว เนื่องจากไม่ใช่เหตุของความจำเป็นเร่งด่วนที่ต้องดำเนินการโดยใช้วิธีการว่าจ้างเอกชนด้วยวิธีเฉพาะเจาะจง ซึ่งจะทำให้การรถไฟแห่งประเทศไทยสูญเสียงบประมาณในการว่าจ้างปรับปรุงป้ายชื่อที่มีมูลค่าสูงเกินกว่าปกติ

ทั้งนี้ หากดำเนินการให้เป็นไปตามขั้นตอนของการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 โดยวิธีการประกาศเชิญชวนหรือวิธีการคัดเลือกก่อนจะทำให้การใช้งบประมาณของการรถไฟแห่งประเทศไทยเป็นไปอย่างเหมาะสมเพื่อให้ทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการก่อสร้างโครงการดังกล่าวว่า ได้มีการปฏิบัติให้เป็นไปตามกฎหมาย กฎ และระเบียบที่เกี่ยวข้องหรือไม่ อย่างไร และการใช้งบประมาณเหมาะสมกับปริมาณงาน และราคากลางของกรมบัญชีกลางหรือไม่ และเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมตามหลักธรรมาภิบาลและรักษาผลประโยชน์ของชาติ จึงอาศัยอำนาจตามมาตรา 22 แห่งพระราชบัญญัติการรถไฟแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2494 แต่งตั้ง คณะกรรมการพิจารณาตรวจสอบข้อเท็จจริงการก่อสร้างในโครงการปรับปรุงป้ายชื่อสถานีกลางบางซื่อเป็นสถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์และตราสัญลักษณ์ของการรถไฟแห่งประเทศไทย โดยมีองค์ประกอบ ดังนี้

'ศักดิ์สยาม' ตอบหมด 6 ปมฝ่ายค้าน พร้อมตอกหน้า!! โชว์อันดับ Logistic Performance Index ไทยดีขึ้น

(17 ก.พ. 66) ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร 16 ก.พ.66 นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ชี้แจงการดำเนินการของกระทรวงคมนาคม โดยยืนยันว่า ได้บริหารด้วยความซื่อสัตย์สุจริตและโปร่งใสมาตลอด รวมทั้งได้กำหนดเป็นนโยบายให้ทุกหน่วยงานปฏิบัติราชการให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ มติคณะรัฐมนตรี และหลักธรรมาภิบาลอย่างเคร่งครัด ตลอดระยะเวลาเกือบ 4 ปีที่ผ่านมาได้ผลักดันการดำเนินการสำคัญจนมีผลเป็นรูปธรรมถึง 79 นโยบาย 157 โครงการ ซึ่งสิ่งที่สะท้อนถึงผลงานของกระทรวงคมนาคมตลอดช่วงเวลาดังกล่าวได้เป็นอย่างดี คือ ผลการจัดอันดับ Logistic Performance Index โดยธนาคารโลก ที่ไทยได้รับการจัดอันดับสูงขึ้นกว่าเดิมถึง 13 อันดับ โดยปรับจากอันดับที่ 45 มาเป็นอันดับที่ 32

นายศักดิ์สยาม กล่าวว่า 1.) ประเด็นการต่อขยายสัญญาทางด่วนขั้นที่ 2 และทางพิเศษสายบางปะอิน-ปากเกร็ด จากการสอบถามการทางพิเศษแห่งประเทศไทย มูลหนี้ที่มีการอภิปรายว่า หากแพ้คดีกับเอกชนผู้รับสัมปทาน จะมีมูลค่าสูงถึงประมาณ 3 แสนล้านบาทนั้น เป็นมูลค่าที่สูงกว่าข้อเท็จจริง ที่จะมีมูลหนี้จำนวน 1.37 แสนล้านบาท และการทางพิเศษแห่งประเทศไทยได้เจรจาต่อรองจนเหลือ 7.8 หมื่นล้านบาท ซึ่งเป็นฐานที่เอามาคำนวณขยายระยะเวลาสัญญา

นอกจากนี้ยังมีการเพิ่มเงื่อนไขให้ประชาชนขึ้นทางด่วนฟรี ในวันหยุดนักขัตฤกษ์ โดยจะมีประชาชนได้รับประโยชน์ เป็นจำนวน 19 วันต่อปี หรือ 300 วัน ตลอดระยะเวลาสัมปทาน คิดเป็นมูลค่า 10,867.50 ล้านบาท ส่วนตัวเลขการขาดทุนที่มีการอภิปรายว่าจะมีการขาดทุน 65,000 ล้านบาทนั้น เป็นตัวเลขทางบัญชีเท่านั้น สถานะทางการเงินในภาพรวมที่แท้จริงยังมีผลประกอบการที่กำไรทุกปี โดยการทางพิเศษแห่งประเทศไทยสามารถนำเงินส่งรัฐปีละประมาณ 3,000-4,000 ล้านบาท มาอย่างต่อเนื่อง สุดท้ายนี้ กรณีการขยายสัญญาตามมติคณะรัฐมนตรีชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ยังอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลปกครอง ที่ยังไม่ได้มีข้อสรุป

2.) ประเด็นการไม่บันทึกบัญชีที่ดินเขากระโดง ในงบการเงินของการรถไฟแห่งประเทศไทย เนื่องจาก การบันทึกบัญชีที่ดินในงบการเงิน จะต้องเป็นไปตามมาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 16 เรื่องที่ดิน อาคารและอุปกรณ์ ซึ่งจะต้องเป็นที่ดินที่ไม่มีปัญหาการโต้แย้งกรรมสิทธิ์ ดังนั้น ในกรณีที่ดินบริเวณเขากระโดง จึงได้บันทึกเฉพาะที่ดิน จำนวน 69.19 ไร่ ซึ่งเป็นที่ดินเส้นทางเดินรถแยกจากสถานีรถไฟบุรีรัมย์เข้าไปที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทย บริเวณเขากระโดง ซึ่งไม่มีปัญหาการโต้แย้งกรรมสิทธิ มีข้อมูลครบถ้วน ชัดเจน สำหรับพื้นที่ที่เหลือในจำนวน 5,083 ไร่ ที่ยังไม่ได้บันทึกทะเบียนสินทรัพย์ นั้น เป็นที่ดินที่ยังมีปัญหาการโต้แย้งกรรมสิทธิ และอยู่ระหว่างกระบวนการพิสูจน์สิทธิ ทำให้ไม่สามารถลงบันทึกในทะเบียนสินทรัพย์ ซึ่งเป็นไปตามมาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 16 ได้ ซึ่งการรถไฟแห่งประเทศไทยได้ฟ้องเพื่อพิสูจน์สิทธิต่อศาลปกครองกลางไปแล้ว ทั้งนี้ นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมไม่เคยเข้าไปแทรกแซงการดำเนินการของการรถไฟแห่งประเทศไทยแต่อย่างใด

3.) ประเด็นการเตรียมการรองรับผู้โดยสารที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมินายศักดิ์สยาม ได้ลงพื้นที่ตรวจสภาพปัญหาความแออัดคับคั่งของผู้โดยสาร ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ พร้อมมอบนโยบายการแก้ไขปัญหา โดยได้เตรียมความพร้อมอำนวยความสะดวกนักท่องเที่ยวในด้านต่าง ๆ รวมถึงได้เปิดให้บริการจุดเช็กอินด้วยตนเองอัตโนมัติ (Common Use Self Check-In: CUSS) และจุดโหลดกระเป๋าสัมภาระอัตโนมัติ (Common Use Bag Drop: CUBD) บริเวณโถงผู้โดยสารขาออก ชั้น 4 อาคารผู้โดยสาร เพื่อช่วยแก้ไขปัญหาความแออัดคับคั่งบริเวณเคาน์เตอร์เช็กอิน ซึ่งสถานการณ์การให้บริการในปัจจุบันดีขึ้นอย่างมาก

รวมทั้ง ได้แก้ไขปัญหาความล่าช้าในการรอสัมภาระในระยะเร่งด่วน โดยให้บริษัทผู้ให้บริการภาคพื้น ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ทั้ง 2 ราย มีการเพิ่มจำนวนบุคลากรและอุปกรณ์ให้สอดคล้องกับจำนวนเที่ยวบินที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วหลังจากการเปิดประเทศ รวมทั้ง บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) ได้ขยายระยะเวลาให้บางสายการบินบริการภาคพื้นด้วยตนเอง เป็นการชั่วคราว สำหรับการแก้ไขปัญหาในระยะยาว บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) อยู่ระหว่างการสรรหาผู้ให้บริการภาคพื้นเพิ่มเติม เพื่อช่วยบรรเทาปัญหาที่เกิดขึ้น และเป็นการเพิ่มขีดความสามารถในการรองรับปริมาณเที่ยวบิน จำนวนผู้โดยสารที่จะเพิ่มขึ้นอีกในอนาคตได้อย่างยั่งยืน

ศาลรัฐธรรมนูญ สั่ง หยุดปฏิบัติหน้าที่รัฐมนตรี ปม 'ถือหุ้น-เป็นเจ้าของ' หจก.บุรีเจริญ

(3 มี.ค.66) องค์คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ มีการประชุมปรึกษาคดี กรณีที่ประธานสภาผู้แทนราษฎรส่งคําร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ 170 วรรคสาม ประกอบมาตรา 82 ว่า ความเป็นรัฐมนตรีของ นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (5) ประกอบ มาตรา 187 หรือไม่

ทั้งนี้ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จํานวน 54 คน ยื่นคําร้องต่อประธานสภาผู้แทนราษฎร ว่า นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม (ผู้ถูกร้อง) ยังคงไว้ซึ่งหุ้นส่วนและยังคงเป็นผู้ถือหุ้น และเจ้าของห้างหุ้นส่วนจํากัด บุรีเจริญคอนสตรัคชั่น อย่างแท้จริง ซึ่งจะทําให้ผู้ถูกร้องเข้าไปเกี่ยวข้องกับ การบริหารจัดการหุ้นหรือกิจการของห้างหุ้นส่วน

เป็นการกระทําอันเป็นการต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญมาตรา 187 ประกอบพระราชบัญญัติการจัดการหุ้นส่วนและหุ้นของรัฐมนตรี พ.ศ. 2543 มาตรา 4 (1) เป็นเหตุให้ ความเป็นรัฐมนตรีของผู้ถูกร้องสิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (5) หรือไม่ ผู้ร้องจึงส่งคําร้องเพื่อขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคสาม ประกอบมาตรา 82 ผลการพิจารณา

‘อนุทิน’ ขอบคุณนายกฯ แม้ป่วย ยังห่วง ‘ศักดิ์สยาม’

(7 มี.ค. 66) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.สาธารณสุข ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย กล่าวถึงอาการป่วยของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ต้องเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาล ว่า ทราบข่าวจากสื่อก็เป็นห่วง และได้เขียนข้อความไปเยี่ยมแล้ว เข้าใจดีว่าเคยป่วยต้องนอนพักเยอะ ๆ หากรับแขกเยอะจะไม่ค่อยหาย

ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเอกฉันท์ ไม่รับคำร้อง 'ปกรณ์วุฒิ' ปม 'ศักดิ์สยาม' เสนองบปี 64 เป็นประโยชน์ต่อ หจก.บุรีเจริญ

(31 มี.ค.66) ศาลรัฐธรรมนูญเป็นเอกฉันท์ไม่รับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัยในคดีที่ นายปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล และส.ส. รวม 47 คน ซึ่งมีจำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งในสิบของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร ยื่นคำร้องเสนอความเห็นต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 วรรคสาม กรณีที่ นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม เป็นผู้เสนองบประมาณของกระทรวงคมนาคม ผู้พิจารณา และคณะกรรมาธิการ ที่มีส่วนโดยทางตรงและทางอ้อมในการใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 และยังคงไว้ซึ่งความเป็นหุ้นส่วนในห้างหุ้นส่วนจำกัด บุรีเจริญ คอนสตรัคชั่น ที่อยู่ในความครอบครองหรือดูแลของบุคคลอื่น เนื่องจากกรณีดังกล่าวน่าเชื่อได้ว่านายศักดิ์สยามใช้สถานะการเป็น รมว.คมนาคมและกรรมาธิการ ใช้อำนาจในตำแหน่งดังกล่าวจัดทำหรือให้ความเห็นชอบโครงการใด ๆ ของหน่วยงานของรัฐ โดยมีเจตนาพิเศษส่งผลทำให้หจก.ฯ และบริษัทที่บริจาคเงินให้กับพรรคภูมิใจไทยรับงานเข้าเป็นคู่สัญญากับกระทรวงคมนาคม อันเป็นการฝ่าฝืนบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 วรรคสอง

‘ศาลรัฐธรรมนูญ’ มีคำสั่งให้บุคคลผู้เกี่ยวข้อง ส่งหลักฐานเพิ่มรอบ 2 คดี ‘ศักดิ์สยาม’ ถือหุ้นบุรีเจริญ

(12 ก.ค.66) สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ ออกเอกสารข่าวเผยแพร่ผลการประชุมกรณีตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ รับคำร้องที่ประธานสภาผู้แทนราษฎรขอให้วินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญมาตรา 170 วรรคสาม ประกอบมาตรา 82 ว่าความเป็นรัฐมนตรีของนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญมาตรา 170 วรรคหนึ่ง (5) ประกอบมาตรา 187 หรือไม่ไว้พิจารณาและมีคำสั่งให้นายศักดิ์สยาม ผู้ถูกร้องหยุดปฏิบัติหน้าที่รัฐมนตรีตั้งแต่วันที่ 3 มีนาคม 2566 จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัยนั้น 

ทั้งนี้ ศาลรัฐธรรมนูญอภิปรายเพื่อนำไปสู่การวินิจฉัยแล้วเห็นว่าเพื่อประโยชน์แห่งการพิจารณาให้บุคคลที่เกี่ยวข้องจัดส่งเอกสารหลักฐานเพิ่มเติมต่อศาลรัฐธรรมนูญ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับคำร้องดังกล่าว ส.ส. พรรคร่วมฝ่ายค้าน จำนวน 54 คนได้ยื่นคำร้องต่อประธานสภาผู้แทนราษฎรว่านายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ยังคงไว้ซึ่งหุ้นส่วนและเป็นผู้ถือหุ้นและเจ้าของห้างหุ้นส่วนจำกัดบุรีเจริญคอนสตรัคชั่น ทำให้เข้าไปเกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการหุ้นหรือกิจการของห้างหุ้นส่วนเป็นการกระทำต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญมาตรา 187 ประกอบพระราชบัญญัติการจัดการหุ้นส่วนและหุ้นของรัฐมนตรี 2543 มาตรา 4 (1) เป็นเหตุให้ความเป็นรัฐมนตรี สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญมาตรา 170 วรรคหนึ่ง (5) หรือไม่

‘ปกรณ์วุฒิ’ หอบหลักฐานปึกใหญ่ เตรียมยื่น ป.ป.ช.เพิ่ม จ่อสอย ‘ศักดิ์สยาม’ คดีซุกหุ้น ยัน ไม่เกี่ยวกดดันจัดตั้งรัฐบาล

(25 ก.ค. 66) นายปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ได้แถลงข้อมูลเพิ่มเติมคดี นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ซุกหุ้น จนนำมาสู่การสั่งให้ยุติปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราวว่า ได้รับเอกสารชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาเมื่อ 3-4 สัปดาห์ก่อน ตนพบพิรุธหลายจุด และพบหลักฐานใหม่ว่า มีหนี้สินคงค้างกับห้างหุ้นส่วนฯ ในวันเข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรี และไม่ได้ยื่นแสดงบัญชีทรัพย์สินต่อ ป.ป.ช.

โดยข้อมูลระบุว่า เคยกู้เงินในปี 2558-2559 จำนวน 4 ครั้ง วงเงินจำนวน 108.4 ล้านบาท มีสัญญากู้ยืมเงิน และชำระหนี้คืนทั้งก้อน 22 เม.ย 2562 ก่อนเข้ารับตำแหน่ง 33 วัน โดยอ้างอิงว่าการอภิปรายไม่ไว้วางใจเมื่อปี 2565 ซึ่งได้ถามว่าหนี้สินที่นายศักดิ์สยามมีกับห้างหุ้นส่วนแห่งนี้ ได้โอนออกพร้อมกับการโอนหุ้นหรือไม่ แต่ไม่เคยได้รับคำตอบ

นายปกรณ์วุฒิ กล่าวต่อ ข้อมูลดังกล่าวที่ห้างหุ้นส่วนจำกัดไม่เปิดเผย ชี้เห็นว่า หลังจากการโอนหุ้นแล้วไม่มีการโอนหนี้สินก้อนนี้ออกไปด้วย เอกสารเป็นการมัดตัวว่าหนี้สินจำนวนนี้ ยังเป็นของนายศักดิ์สยาม หลังการโอนหุ้นเมื่อปี 2561 จึงเกิดคำถามว่ามีการชำระหนี้คืนเมื่อวันที่ 22 เมษายน 2562 จริงหรือไม่

เพราะงบการเงินของห้างหุ้นส่วนสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2562 ระบุชัดเจนว่า ยังมีเงินให้ในส่วนผู้จัดการกู้ยืมคงค้างจำนวน 38 ล้านบาท จากนั้นยอดหนี้สินจึงถูกปิดลงเหลือ 0 บาท ในงบการเงินสิ้นปี 2563 ซึ่งการปิดงบจะต้องสอดคล้องกับเอกสารและยอดเงินในธนาคารทั้งหมดของห้างหุ้นส่วน เพราะจะต้องยื่นต่อหน่วยงานราชการตามกฎหมาย

“จึงเป็นไปได้ว่านายศักดิ์สยามเป็นหนี้ห้างหุ้นส่วนอยู่ 38 ล้านบาทเมื่อสิ้นปี 2562 และไม่ได้ยื่นบัญชีทรัพย์สินต่อ ป.ป.ช. สมมติมองในแง่ดีวันที่ 22 เมษายน 2562 มีการโอนเงิน 108 ล้านบาท ให้ห้างหุ้นส่วนตามเอกสาร” นายปกรณ์วุฒิ กล่าว

นายปกรณ์วุฒิ กล่าวต่อ พิรุธในประการต่อไป เมื่อพิจารณาเอกสารชี้แจง จะพบว่าห้างหุ้นส่วนได้ระบุว่า นายศักดิ์สยามกู้ยืมเงิน 4 ครั้ง ตั้งแต่ปี 2559, 2560, 2561 ระบุยอดตรงกัน 69 ล้านบาท ซึ่งตรงกับการกู้ยืมครั้งที่ 3-4 รวมกัน แต่การกู้เงินครั้ง 1-2 เป็นจำนวนเงิน 39 ล้านบาท ทำไมไม่เคยปรากฏในงบการเงินแม้แต่ครั้งเดียว และยอดเงินจำนวนดังกล่าวมาจากไหน

ขอตั้งข้อสันนิษฐานว่า มีความเป็นไปได้หรือไม่ ว่าอาจไม่ได้มีการชำระหนี้และยังมียอดหนี้คงค้างตามงบการเงิน จึงใช้วิธีหายอดเงินที่มีการโอนเข้าห้างหุ้นส่วนจริงๆ ซึ่งอาจเป็นการทำทธุรกรรมเพื่อการอื่นมากล่าวอ้างว่าเป็นการใช้หนี้ แต่ยอดเงินดังกล่าวไม่ตรงกับ 69 ล้านบาท จึงต้องสร้างยอดหนี้ใหม่ที่ไม่เคยปรากฏ ทำสัญญาเงินกู้ขึ้นมา ที่ส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญนั้นมีการติดอากรแสตมป์ ที่จะมีการประทับวันที่มีผลทางกฎหมายเป็นทางการหรือไม่ โดยชี้ว่าเป็นอำนาจหน้าที่ของ ป.ป.ช. ที่จะสืบสวนต่อไป

และข้อสงสัยมากที่สุดคือ ตัวเลขในการยื่นแสดงบัญชีทรัพย์สิน ไม่สอดคล้องกับการขายหุ้นของห้างหุ้นส่วนดังกล่าว หากขายจริงและได้รับเงิน 120 ล้านบาทจริงในเดือนมกราคม 2561 เหตุใดในการยื่นทรัพย์สินในช่วง 16 เดือนหลังจากนั้นกลับมีเงินสด ซึ่งเป็นเงินฝากเพียงจำนวน 76 ล้านบาท หากเป็นตัวเลขจริงอาจเป็นการใช้เงินที่ไม่ใช่การซื้อทรัพย์สินอย่างน้อย 40 ล้านบาท ภายใน16 เดือน และตัวเลข 40 ล้านบาทตั้งอยู่บนสมมติฐานว่า ก่อนเดือนมกราคม 2561 นายศักดิ์สยามไม่มีเงินเลยแม้แต่บาทเดียว

พร้อมทั้งหยิบยกคำชี้แจงในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ของนายศักดิ์สยามว่า เงินจากการขายหุ้นเป็นเรื่องส่วนตัวที่จะนำไปใช้ จึงไม่จำเป็นรายงานต่อสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จึงตั้งข้อสงสัยว่า หากมีการจ่ายเงินคืนหนี้สิน 22 เมษายน 2562 เหตุใดนายศักดิ์สยามจึงไม่นำข้อมูลหลักฐานมาชี้แจงในสภาฯ ซึ่งหนี้สินก้อนนี้คือฟางเส้นสุดท้ายในการยึดโยงนายศักดิ์สยามกับห้างหุ้นส่วนแห่งนี้

นายปกรณ์วุฒิ กล่าวต่อ หากมีการชำระหนี้ไปแล้วจริง จะเป็นหลักฐานสำคัญว่า ได้ตัดขาดจากห้างหุ้นส่วนแห่งนี้โดยเด็ดขาด และจะสามารถหักล้างข้อสงสัยได้ทันทีทันใด และยอมรับว่าจะกลายเป็นตนเองนั้นถูกน็อคกลางสภา แต่นายศักดิ์สยามไม่ชี้แจงว่า นำเงินจากการขายหุ้นมาใช้คืนหนี้สินให้กับทางหุ้นส่วนจำกัดแห่งนี้มูลค่า 108 ล้านบาท

นอกจากนี้ ยังกล่าวว่า ยังพบพิรุธในเอกสารที่แจ้ง ต้องถามรัฐธรรมนูญหลายจุดเช่น นายศักดิ์สยามให้ขอเอกสารจากห้างหุ้นส่วนฯ เป็นเอกสารใบรับวางบิล หุ้นส่วนฯ และผู้จัดการคนใหม่ได้เข้ามาควบคุมเซ็นเอกสารตั้งแต่ต้นปี 2561 ตามที่มีการโอนหุ้นจริง

พร้อมกับให้เปิดเผยว่า ได้ยื่นรายชื่อพยานต่อศาลรัฐธรรมนูญจำนวน 22 คน และรายชื่อพยานเอกสาร รายการเพื่อให้ศาลเรียกเพื่อหักล้างคำขี้แจงแก้ข้อกล่าวหาของนายศักดิ์สยาม และยังพบรายการเดินบัญชี 27 บัญชีของนายศักดิ์สยามและผู้เกี่ยวข้อง ขณะเดียวกันยังมีทีมงานเพื่อชี้เบาะแสผู้ที่น่าเชื่อว่า ร่วมกันกระทำความผิดฐานฟอกเงินที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ‘DSI’

จึงขอเรียกร้องไปยังองค์กรอิสระ ทั้ง ป.ป.ช. และศาลรัฐธรรมนูญ เรียกศรัทธาจากสังคมและการปฏิบัติกับทุกคำร้องตามกฎหมาย ตามกำหนดระยะเวลาดำเนินงานในกระบวนการยุติธรรม และ มาตรฐานในการทำงานที่กำลังถูกสังคมจับจ้องและตั้งคำถาม

นายปกรณ์วุฒิ กล่าวเพิ่มเติมว่า ประมาณ 9-10 เดือนที่ยื่นเรื่องร้องเรียนต่อ ป.ป.ช. และฝั่งศาลรัฐธรรมนูญก็มีเวลาใกล้เคียงกันแต่มีความคืบหน้าไปแล้ว ตอนนี้รอเพียงศาลรัฐธรรมนูญเรียกพยานบุคคลไปให้ข้อมูลเพิ่มเติม

เมื่อถามว่า หากเทียบเคียงกับคดีของ สส.ก้าวไกลความรวดเร็วและการทำงานแตกต่างกันอย่างไร นายปกรณ์วุฒิ กล่าวว่า คงไม่ใช่แค่เรื่องนี้ และเรื่องนี้คงเป็นแค่เรื่องหนึ่ง หากย้อนไปตั้งแต่ยุคของ คสช.ที่มีการยื่นคุณสมบัติของรัฐมนตรีแต่ละกรณีพิจารณาไม่ต่ำกว่า 300 กว่าวันหรือบางทีก็มากกว่านั้น แต่หากเป็นเคสของพรรคอนาคตใหม่และพรรคก้าวไกล ก็จะค่อนข้างรวดเร็วอย่างที่เห็น

ส่วนที่ต้องยื่นเอกสารใหม่อีกครั้งที่ ป.ป.ช. เพราะเป็นหลักฐานเพิ่มเติมและเป็นเด็นที่แยกย่อยมาจากคำร้องครั้งที่แล้วในคดีซุกหุ้น จึงอยากให้ ป.ป.ช.เรียกดูเอกสารตามอำนาจที่มี ทั้งจากธนาคาร และเอกชน รวมถึงราชการที่จะมาเชื่อมโยงได้ว่าทั้งหมดที่มีการกล่าวอ้างจริงหรือไม่ และตัวเลขหนี้ที่คงค้างอยู่ในงบการเงินนั้น เป็นความผิดพลาดทางงบการเงิน หรือเป็นความผิดพลาดที่ไม่เคยมีการใช้หนี้มาก่อน

เมื่อถามว่า เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับประเด็นการจัดตั้งรัฐบาลที่มีการพูดถึงพรรคอันดับที่ 3 จะมาเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลด้วยหรือไม่ นายปกรวุฒิ กล่าวว่า ตนได้รับทราบว่ามีเอกสารชุดนี้เมื่อประมาณ 4 สัปดาห์ที่แล้วจาก พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง เลขาธิการพรรคประชาชาติ และช่วงที่ผ่านมาตนก็ได้ยังไม่มีเวลาที่จะดูเรื่องนี้ แต่หลังจากเปิดประชุมสภาแล้ว และได้มีเวลาดูเอกสารประมาณ 1 สัปดาห์ ก็ทำเรื่องนี้เสร็จเมื่อวันเสาร์ (22 ก.ค.) ที่ผ่านมา จึงนำมาสู่การแถลงข่าว โดยไม่มีเหตุผลใดที่จะต้องรออะไรในการที่จะไปยื่น เพราะหากรอไปเกิดมีเหตุการณ์อย่างใดอย่างหนึ่งเกิดขึ้น อาจจะไม่ทันการ จึงคิดว่าจะต้องยื่นเลย

ส่วนจะกระทบไปยังการจัดตั้งรัฐบาล ที่มีการขอเสียงพรรคภูมิใจไทยหรือไม่นั้น มองว่า เป็นการทำหน้าที่ตามปกติ เพราะตนก็ออกมาเปิดเผยเรื่องนี้ ตั้งแต่ปีที่แล้ว และยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจเอง รวมไปถึงยื่นต่อป.ป.ช.และศาลรัฐธรรมนูญเอง ดังนั้น ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องไม่ทำ ส่วนเรื่องการร่วมรัฐบาลหรือไม่ร่วมรัฐบาล เราเคยประกาศชัดเจนอยู่แล้วว่า ต่อให้นายพิธา เป็นนายกฯ หรือไม่ได้เป็นนายกฯ ก็จะตรวจสอบรัฐมตรีทุกคน ไม่เว้นแม้แต่รัฐมนตรีของพรรคก้าวไกล รวมไปถึงประเด็นเรื่องความซื่อสัตย์สุจริต ที่ได้เซ็นต์ไว้ใน MOU ของ 8 พรรคร่วมด้วย

ส่วนจะเป็นการสื่อสารว่า ไม่เอาพรรคภูมิใจไทยหรือไม่นั้น นายปกรณ์วุฒิ กล่าวว่า จริงๆ ก็ไม่ใช่ไม่ว่าเราจะร่วมหรือไม่ร่วม ในท้ายที่สุดเราก็ต้องทำงานตรวจสอบพรรคร่วมรัฐบาลทุกคน รวมไปถึงพรรคตัวเองด้วย ที่เข้าไปดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี หากมีพฤติกรรมอย่างไรที่ไม่ดีหรือไม่ ซึ่งเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับการเจรจา เพราะการเจรจาร่วมรัฐบาลในตอนนี้ เป็นหน้าที่ของพรรคเพื่อไทยและทีมเจรจาของพรรคก้าวไกล ซึ่งตนไม่ได้อยู่ในทีมเจรจา

เมื่อถามว่า ยอมรับหรือไม่ว่า จะกระทบกับการจัดตั้งรัฐบาล มองว่า ไม่กระทบ เพราะถือว่าเป็นระบบปกติ ทุกคนทราบอยู่แล้วว่า ดีเอ็นเอของพรรคก้าวไกลเป็นแบบนี้ ตนคิดว่าถ้าพรรคก้าวไกลได้เป็นรัฐบาลแะนายพิธา ได้เป็นนายกฯ ภาพของการที่พรรคก้าวไกลตรวจสอบพรรคร่วมรัฐบาลด้วยกังเอง คงไม่เป็นที่น่าแปลกใจเท่าไร ดังนั้นเมื่อเคยพูดแบบไหนก็ทำแบบนั้นดีกว่า วันนี้แกล้งทำเป็นหลับหูหลับตา แล้ววันหนึ่งเรากลับมาตรวจสอบเขาอย่างเข้มข้น ตนคิดว่าเป็นภาพที่ดูไม่งามเท่าไร ซึ่งตนคิดว่าการตรวจสอบการทุจริตไม่มีเวลาที่ไม่เหมาะสม ในการยืนยันสิ่งที่ถูกต้อง

ส่วนจะบีบให้ทางเลือกเหลือน้อยลงหรือไม่ เพราะหากไม่เอาพรรค 2 ลุง ก็จะเหลือทางเลือกเดียวคือภูมิใจไทย โดยมีนายศักดิ์สยาม เป็นเลขาธิการพรรค นายปกรณ์วุฒิ กล่าวว่า เป็นเรื่องของทีมเจรจาว่า จะไปเจรจาด้วยเงื่อนไขอย่างไร แต่เราก็ยืนยันตรงนี้ ว่าเราทำหน้าที่ของเราอย่างต่อเนื่อง ถ้าจะบอกว่าเราต้องรอการเจรจาให้จบก่อน ก็ไม่รู้ว่าการเจรจาจะจบเมื่อไร แล้วจะต้องรอเรื่องที่เราตรวจสอบไว้นานแล้ว ไปอีกนานเท่าไร ดังนั้นจึงมองว่า ไม่มีทางออกที่ดีกว่านี้ นอกจากทำไปตามกระบวนการตามปกติ

ทั้งนี้ ถ้าศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยอย่างใดอย่างหนึ่ง ไม่ว่านายศักดิ์สยาม จะยังคงตำแหน่งรัฐมนตรีอยู่เหมือนเดิมหรือไม่ เพราะจะมีผลในอนาคต หากคำร้องนี้มีคำวินิจฉัยว่าผิดจริง อย่างน้อยก็ไม่สามารถดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีได้อีกอย่างน้อยสองปี

จากนั้นในเวลา 11.30 น. นายปกรณ์วุฒิเดินทางไปยัง ป.ป.ช. เพื่อยื่นหนังสือและเอกสารเกือบ 100 แผ่น ให้ตรวจสอบการยื่นบัญชีทรัพย์สิน ของนายศักดิ์สยามต่อไป


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top