Sunday, 8 June 2025
วิศวกร

หนุ่มวิศวกร ถูกสาวหลอกให้รักนาน 3 ปี  หมดเงินไปกว่า 3 ล้าน แถมยังเป็นหนี้อีก 2 ล้าน 

ผู้เสียหายเล่าว่า เมื่อช่วงตุลาคม ปี 63 ไปเจอหญิงสาวรายหนึ่งที่สถานบันเทิง โดยฝ่ายหญิงอ้างว่า ถูกชะตาจึงคุยกันเรื่อยมา และบอกว่ายังไม่มีใคร ต่อมาฝ่ายหญิงอ้างว่า แม่ป่วยเป็นมะเร็ง มีความจำเป็นต้องหาเงินรักษา ตนจึงโอนเงินไปช่วย ประมาณ 50,000-100,000 บาท โดยฝ่ายหญิงบอกว่า ให้ถือเป็นค่าสินสอด เพราะคบกัน ซึ่งในระหว่างที่คุยกัน ฝ่ายชายขอเจอครอบครัวแต่ฝ่ายหญิงก็บ่ายเบี่ยงตลอด อ้างว่าไม่สะดวก

จนเดือนเมษายน ปี 64 ฝ่ายหญิงอ้างว่าต้องใช้เงินเพื่อผ่าตัดแม่ ซึ่งขณะนั่นฝ่ายชายบอกว่าเงินเก็บที่มีหมดแล้ว อาจจะไม่สามารถโอนให้ได้ ฝ่ายหญิงจึงเริ่มขอห่าง ซึ่งฝ่ายชายพยายามติดต่อฝ่ายหญิง จนเดือนพฤษภาคม 2564 ฝ่ายหญิงบอกว่าเธอป่วยเป็นมะเร็ง และขาดการติดต่อไป กระทั่ง ตุลาคม 64 มีบุคคลอ้างว่าเป็นแม่ของฝ่ายหญิง ติดต่อมาหาฝ่ายชายผ่านทางไลน์และบอกว่าลูกสาวเสียชีวิตแล้ว

แต่ผ่านไปสักพัก ก็มีผู้หญิงอ้างว่าเป็นพี่สาวฝาแฝดของฝ่ายหญิง ติดต่อมาเมื่อเดือนมีนาคม 65 หญิงที่อ้างเป็นพี่สาวบอกว่าน้องสาวยังไม่ตาย แต่ถูกจับอยู่ที่มาเลเซีย จำเป็นต้องใช้เงินประกันตัว จำนวน 130,000 บาท เมื่อได้ประกันตัวกลับมาก็อ้างว่ากักตัวตามมาตรการป้องกันโควิด -19 จึงไม่สามารถให้เจอตัวได้ และมีการขอให้โอนเงินเรื่อยมา 
จึงทำให้ฝ่ายชายเกิดข้อสงสัยว่ารักกันจริงหรือมาหลอกกัน และเมื่อไปค้นหาข้อมูลในอินสตาแกรมและโซเชียลก็พบว่า ฝ่ายหญิงใช้ชีวิตกิน เที่ยวหรู และเจอว่าฝ่ายหญิงมีครอบครัวแล้ว เพิ่งซื้อบ้านหลังใหม่ ในพื้นที่เขตสายไหม เปิดร้านขายอาหาร และซื้อรถคันใหม่ ฝ่ายชายพยายามติดต่อไปจนถึงตอนนี้แต่ก็ไม่สามารถติดต่อได้ จึงต้องเข้าร้องทางเพจสายไหมต้องรอดให้ช่วยเหลือ เพื่อไม่ให้หญิงรายนี้ไปกระทำพฤติกรรมเช่นนี้กับบุคคลอื่นอีก

ทั้งนี้ หนุ่มวิศวกร รายนี้บอกว่า ตั้งแต่ติดต่อกันมา เคยเจอฝ่ายหญิงแค่ 3 ครั้ง ซึ่งทุกครั้งได้เจอที่สถานบันเทิง ไม่เคยเจอครอบครัวของฝ่ายหญิง และสูญเงินกว่า 3 ล้านบาทแถมยังต้องเป็นหนี้จากการกู้เงินอีก 2 ล้านบาท เพื่อช่วยเหลือฝ่ายหญิง ซึ่งทุกวันนี้ตนต้องจ่ายหนี้บัตรเครดิต เดือนละกว่า 1 แสนบาท 

ด้าน นายเอกภพ เหลืองประเสริฐ ผู้ก่อตั้งเพจสายไหมต้องรอด ระบุ ลักษณะนี้ถือเป็นการฉ้อโกง เพราะฝ่ายหญิงตั้งใจหลอก โดยมีการสร้างเรื่องต่างๆ มาหลอกให้ฝ่ายชายเชื่อและโอนเงินช่วยเหลือ ซึ่งหลังจากนี้จะดำเนินคดี โดยผู้เสียหายได้เข้าแจ้งความแล้วเมื่อวันที่ 11 มิถุนายน ที่ สภ.บางปะกง จ. ฉะเชิงเทรา

‘ภรรยา’ สุดเศร้า พาลูก 2 คน รับศพ ‘วิศวกร’ สะพานถล่ม เผย สามีเป็นคนรักงานมาก รับจากกันเร็วเกินกว่าจะทำใจได้

(11 ก.ค. 66) ที่สถาบันนิติเวช โรงพยาบาลตำรวจ นางวินุด แสนสีมล อายุ 38 ปี ภรรยา พร้อมลูกชาย 2 คน วัย 6 ปี และ 13 ปี รวมถึงญาติพี่น้องของนายฉัตรชัย ประเสริฐ วิศวกรโครงการก่อสร้างสะพานทางยกระดับอ่อนนุช-ลาดกระบัง ที่เสียชีวิตจากเหตุสะพานถล่ม เดินทางมายื่นเอกสาร เพื่อขอรับศพกลับไปบำเพ็ญกุศลที่วัดพังกิ่ง ตำบลสมหวัง อำเภอกงหรา จังหวัดพัทลุง

นางวินุด เปิดเผยว่า รู้สึกเสียใจมาก การจากไปของสามีเกิดขึ้นรวดเร็วเกินกว่าจะทำใจได้ สามีเป็นคนรักงานในอาชีพวิศวกรเป็นอย่างมาก ก่อนหน้านี้ทำงานอยู่ที่ จ.สตูล โดยจะเดินทางกลับบ้านที่ กทม. 1-2 เดือนครั้ง กระทั่งย้ายมาทำงานที่โครงการดังกล่าวได้ประมาณ 4 เดือน ถือเป็นโอกาสดีที่ได้มาอยู่ใกล้บ้านและครอบครัว

นางวินุด กล่าวต่อว่า ที่ผ่านมาเขารักและทุ่มเทกับการทำงานเป็นอย่างมาก ก่อนหน้านี้ไม่มีลางสังหรณ์อะไร สามีออกไปทำงานตามปกติ ส่วนสาเหตุตนยังไม่ทราบและไม่กล้าจะฟันธง ที่ผ่านมาทางบริษัทได้เข้ามาติดต่อพูดคุยแสดงความเสียใจแล้ว แต่ไม่ขอเปิดเผยรายละเอียด ขอให้จัดการงานศพให้เสร็จสิ้นเรียบร้อยก่อน

สำหรับผลการชันสูตรสาเหตุการเสียชีวิตเบื้องต้นเกิดจากของแข็งกระแทกบริเวณศีรษะ ทางครอบครัวจะเคลื่อนร่างกลับไปบำเพ็ญกุศลยังภูมิลำเนา ในวันพรุ่งนี้ (12 ก.ค.) เนื่องจากรอบิดาและมารดาของผู้เสียชีวิตที่กำลังเดินทางมาจาก จ.พัทลุง เพื่อมารับศพกลับไปบำเพ็ญกุศล

‘อว.’ ชวนร่วม ‘ไทยโคเซ็น แฟร์ 2023’ วันที่ 2 ธ.ค.นี้ ที่ไบเทคบางนา อย่าพลาด!! กิจกรรมดีๆ พร้อมลุ้นทุนการศึกษา-รางวัลกว่า 1 แสนบาท

‘กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม’ ชวนน้องๆ ทุกคน รวมถึงบุคคลทั่วไปที่สนใจมาร่วมงาน ‘ไทยโคเซ็นแฟร์ 2023’ ⚙️⚒️

รู้จักหลักสูตรทุกสาขาวิชาว่าพี่ๆ เรียนอะไรกันบ้าง แนะนำวิธีเตรียมตัวเพื่อสมัครเข้าศึกษาต่อ และเข้าเยี่ยมชมบูทนิทรรศการของ ‘KOSEN-KMITL’ และ ‘KOSEN KMUTT’ รวมไปถึงบูทภาคอุตสาหกรรมไทย - ญี่ปุ่น 🇹🇭🇯🇵 และพบกับกิจกรรมอื่นๆ อีกมากมาย 

เจอกันได้ในวันเสาร์ที่ 2 ธันวาคม 2566 
🕗เวลา 9.00 - 17.00 น.
📍ณ ห้องภิรัช ฮอลล์ 1 ไบเทค บางนา กรุงเทพฯ

Link สำหรับลงทะเบียนเข้าร่วมงาน Thai KOSEN Fair 2023
https://forms.gle/kaUrLAJg7nvER3JZ6

ปล. งานนี้แค่เข้าร่วมงาน ลุ้นชิงรางวัล มูลค่ากว่า 100,000 บาท 🤩🥳

🧡💙อย่าลืมมาร่วมงานกันเยอะๆ นะคะ💙🧡

#ThaiKOSEN #KOSENKMITL #KOSENKMUTT #PracticalEngineering
The new breed of engineers, Thai - KOSEN has arrived.

Don’t miss your chance to learn how to get the Thai KOSEN full scholarship. ⚙️⚒️
Ministry of higher education science research and innovation would like to invite you to attend the Thai - KOSEN Fair 2023. 🧡💙

Get up close and personal with : 
* The curriculums of Thai - KOSEN
* Personal advise on how to prepare for Thai KOSEN
scholarship exams.
* Visiting exhibition boots of KOSEN - KMITL and KOSEN - KMUTT including  many more exhibition booths of Thai - Japanese industries with many enjoyable activities.
See you on December 2nd, 2023 from 09.00 A.M. - 05.00 P.M. at Hall 1 BITEC Bang na, Bangkok.

Please see link for pre-registration of Thai - KOSEN Fair 2023‼️
https://forms.gle/kaUrLAJg7nvER3JZ6

Join us and win a grand prize  with the value of ฿100,000.00‼️🎉🎉🎉
See you there guys!!

‘วสท.-NCC’ จัดงาน ‘วิศวกรรมแห่งชาติ 2567’ 24-26 ก.ค.67 อัปเดต ‘นวัตกรรม ESG-องค์ความรู้ระดับโลก’ สู่ ‘วิศวกรไทย’

(17 ม.ค. 67) วิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ (วสท.) ลงนามข้อตกลงความร่วมมือ (MoU) กับบริษัท เอ็น.ซี.ซี. แมนเนจเม้นท์ แอนด์ ดิเวลลอปเม้นท์ จำกัด (NCC) จัดงาน ‘งานวิศวกรรมแห่งชาติ 2567’ ภายใต้ชื่อ ‘International Engineering Expo 2024’ พร้อมยกระดับการจัดงานสู่เวทีระดับนานาชาติ สร้างโอกาสให้วิศวกรไทยพร้อมก้าวสู่งานวิศวกรรมระดับโลก เสริมทัพองค์ความรู้ด้านวิศวกรรมผ่านเสวนากว่า 50 หัวข้อ อัปเดตนวัตกรรมใหม่ระดับโลกจากบูธที่มาร่วมจัดแสดง 150 บริษัท ระหว่างวันที่ 24 - 26 กรกฎาคม 2567 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ คาดผู้เข้าชมงานตลอด 3 วัน กว่า 30,000 คน สร้างรายได้จากการซื้อขายและ Business Matching กว่า 1,000 ล้านบาท

รองศาสตราจารย์ ดร.วัชรินทร์ กาสลัก นายกวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ (วสท.) กล่าวว่า การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานภาครัฐนับเป็นหนึ่งในกลไกสำคัญ ที่ช่วยขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศและยกระดับชีวิตของประชาชนให้ดีขึ้น คาดว่าปี 2566 มูลค่าการก่อสร้างของภาครัฐอยู่ที่ 8.4 - 8.5 แสนล้านบาทหรือขยายตัว 2.5 - 3.5% จากฐานในปี 2565 ส่วนปี 2567 เชื่อมั่นว่ายังคงเติบโตเช่นเดียวกับปี 2566 เนื่องจากรัฐบาลยังคงให้การสนับสนุนการลงทุนก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานภาครัฐขนาดใหญ่ (Mega Projects) อย่าง โครงการในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) นอกจากนี้ ยังมีโครงการก่อสร้างจากภาคเอกชนขนาดใหญ่ อาทิ โรงไฟฟ้าพลังงานทดแทน โครงการอสังหาต่าง ๆ เป็นต้น   

จากการเติบโตของโครงการขนาดใหญ่ทำให้ปัจจุบันความต้องการวิศวกรรมเน้นไปในเรื่องของเทคโนโลยีด้านวิศวกรรมอัจฉริยะ เครื่องจักร อุปกรณ์ทางการก่อสร้าง วัสดุที่ทันสมัยหรือนวัตกรรมที่ตอบโจทย์ที่แตกต่าง อาทิ AI โดรน หุ่นยนต์อัตโนมัติ เป็นต้น วิศวกรรุ่นใหม่จึงจำเป็นต้องเรียนรู้ศาสตร์ที่หลากหลาย เพื่อตอบรับโอกาสและรองรับความก้าวหน้างานวิศวกรรมระดับโลก นอกจากนี้ ยังต้องมีแนวคิดการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน (Environmental, Social, Governance: ESG) ด้วย  

รองศาสตราจารย์ ดร.วัชรินทร์ กล่าวถึงการจัด ‘งานวิศวกรรมแห่งชาติ’ ว่า เป็นการเปิดโอกาสให้ผู้คนในแวดวงวิศวกรได้เข้ามาอัปเดตความรู้ใหม่ ๆ ตลอด 30 ปีที่จัดงานได้รับความสนใจอย่างดี โดยเฉพาะหัวข้อเสวนาซึ่งปีนี้มีถึง 50 หัวข้อว่าด้วยเรื่อง Engineering Sustainability และจะยกระดับสู่การจัดประชุมระดับนานาชาติด้านวิศวกรรม เพื่อให้ไทยเป็นเวทีในการกำหนดเทรนด์ของภูมิภาค 

“หัวข้อเสวนาเราจะดูเรื่องที่เป็นที่พูดถึงในขณะนั้น อย่างตอนที่สนามบินสุวรรณภูมิร้าว เราก็เอาเรื่องนี้มาเสวนากัน ปีนี้เราจะเน้นในเรื่องวิศวกรรมและความปลอดภัยของระบบราง บ้านเรายังไม่มีมาตรฐานเรื่องนี้ ที่ผ่านมาเราก็อิงมาตรฐานของประเทศอื่นแทน” 

นอกจากนี้ ภายในงานจะมีการนำหุ่นยนต์ AI หรือนวัตกรรมเกี่ยวกับวิศวกรรมต่าง ๆ มานำเสนอ ผู้เข้าชมงานไม่จำเป็นต้องเป็นวิศวกร ประชาชนทั่วไปก็ชมได้ อย่างประชาชนหากต้องการสร้างอาคารสีเขียว มางานนี้จะเข้าใจว่าอาคารสีเขียวเป็นอย่างไร ก็สามารถเอาความรู้ที่ได้ไปสื่อสารกับคนออกแบบ ช่าง หรือวิศวกร ภายในงานมีคลินิกวิศวกรรมสำหรับประชาชน เพื่อให้คำปรึกษาด้านวิศวกรรม เช่น บ้านร้าว บ้านทรุด ต้องแก้ไขอย่างไร 

นายสมจิตร์ เปี่ยมเปรมสุข ประธานคณะกรรมการจัดงาน International Engineering Expo 2024 กล่าวว่า งานวิศวกรรมแห่งชาติ เป็นงานที่จัดต่อกันมาอย่างยาวนาน จนเป็นที่ยอมรับของวงการวิศวกรทั่วประเทศ โดยงานด้านวิศวกรรมเป็นหนึ่งในกลไกขับเคลื่อนเสถียรภาพเศรษฐกิจของประเทศ ผ่านโครงการต่าง ๆ ที่เป็นระบบโครงสร้างพื้นฐาน ระบบการบริหารจัดการแบบดิจิตอล การผลิตและบริหารจัดการด้านพลังงาน อาคารอัจฉริยะต่าง ๆ ซึ่งไทยเป็นประเทศที่มีโครงการด้านวิศวกรรมขนาดใหญ่มากมาย จึงเหมาะให้วิศวกรจากประเทศเพื่อนบ้าน (CLMV) เข้ามาศึกษางานวิศวกรรมขนาดใหญ่ นอกจากนี้ งานด้านวิศวกรรมปัจจุบันยังต้องคำนึงถึงความใส่ใจในความยั่งยืน (ESG) และ Net Zero ด้วย 

“การจัดงานวิศวกรรมแห่งชาติปีนี้อยู่ภายใต้แนวคิด Driving Sustainability Responsiveness ‘ขับเคลื่อนวิศวกรรม เพื่อตอบรับความยั่งยืน’ ภายในงานจะมีการนำเทคโนโลยีวิศวกรรมเพื่อความยั่งยืนมาแสดง ซึ่งปัจจุบัน ESG ในไทยยังเป็นแค่การสมัครใจ แต่ในอนาคตจะต้องบังคับ เพราะต่างชาติจะมาลงในไทยเขาให้ความสำคัญในเรื่องนี้ด้วย”

คุณสุรพล อุทินทุ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็น.ซี.ซี. แมนเนจเม้นท์ แอนด์ ดิเวลลอปเม้นท์ จำกัด กล่าวว่า ความร่วมมือในการจัดงานวิศวกรรมแห่งชาติในครั้งนี้ เป็นการรวมความแข็งแกร่งของวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ในด้านองค์ความรู้ในทุกสาขาวิศวกรรมกับความเชี่ยวชาญในการจัดงานแสดงสินค้าของบริษัท เอ็น.ซี.ซี. แมนเนจเม้นท์ แอนด์ ดิเวลลอปเม้นท์ จำกัด และศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ เข้าไว้ด้วยกัน เพื่อยกระดับการจัดงานให้เป็นงานระดับนานาชาติ พร้อมต่อยอดโอกาสทางธุรกิจ Exhibitor และ Visitor จากนานาชาติ โดยสัญญาความร่วมมือครั้งนี้จะเริ่มขึ้นในปีนี้และต่อเนื่องไป 3 ปี

“สำหรับพื้นที่ในการจัดงานใช้พื้นที่ 5,000 ตร.ม. มี 150 บริษัททั้งไทยและต่างประเทศมาออกบูธ 50 หัวข้อสัมมนา จากวิทยากร Best Practice หลากหลายแบบอย่างความสำเร็จด้านความยั่งยืน ซึ่งทางเราจะจัดรูทการเดินชมงานและการเข้าฟังสัมมนาที่เหมาะสม สำหรับชาวต่างชาติที่เข้ามาร่วมงานทาง NCC มีความพร้อมในการรองรับ อำนวยความสะดวก ทั้งเรื่องการขนย้ายเทคโนโลยีเข้ามาแสดง การจัดห้องพัก และการที่ศูนย์ประชุมสิริกิติ์อยู่ใกล้ MRT ทำให้สะดวกในการเดินทาง” 

คุณสุรพล กล่าวทิ้งท้ายว่า ปีนี้ผู้แสดงสินค้าจะมีทั้งมาจากโซนยุโรปและโซนเอเชีย ซึ่งนับเป็นปีแรกที่โซนเอเชียเข้าร่วม และยังเป็นปีแรกที่วิศวกรจากกลุ่มประเทศ CLMV จะมาเดินชมงาน ซึ่งจะช่วยเพิ่มจำนวนผู้เข้าชมงานจากภูมิภาคอื่นในปีต่อไป

“องค์ความรู้ด้านวิศวกรรมได้ช่วยให้เมื่อครั้งรีโนเวตศูนย์ประชุมสิริกิติ์ สามารถเลือกใช้นวัตกรรมที่เหมาะสมทำให้ใช้เงินลงทุนน้อยและระยะเวลาการก่อสร้างเร็ว งานดังกล่าวจึงเหมาะกับทุกท่านที่ต้องการองค์ความรู้ด้านวิศวกรรม เครื่องกล นวัตกรรม เทคโนโลยี ซึ่งสามารถมาชมแล้วนำไปขยายต่อได้”

งาน ‘International Engineering Expo 2024’ จะจัดพร้อมงาน ‘ASEAN TOOLS EXPO 2024’ งานแสดงนวัตกรรมฮาร์ดแวร์และเครื่องมือช่างระดับภูมิภาคอาเซียน ระหว่างวันที่ 24-26 กรกฎาคมนี้ ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ คาดผู้เข้าชมงานกว่า 30,000 คน สร้างรายได้จากการซื้อขายและ Business Matching กว่า 1,000 ล้านบาท

นักศึกษา ม.โคลัมเบีย ถูกพักการเรียน!! เพราะแอบพัฒนา AI ใช้โกง!! สัมภาษณ์งาน สำหรับ ‘วิศวกรซอฟต์แวร์’

(27 เม.ย. 68) เพจเฟซบุ๊ก ‘Extreme IT’ ได้โพสต์ข้อความระบุว่า ...

นักศึกษาโคลัมเบียวัย 21 ปี ชุงอิน รอย ลี และเพื่อนของเขาโดนพักการเรียน เพราะแอบพัฒนาเครื่องมือ AI ที่ช่วยโกงการสัมภาษณ์งานสำหรับวิศวกรซอฟต์แวร์ โดยจะแสดงเบราว์เซอร์แบบลับ ๆ ที่ผู้คุมมองไม่เห็น 

โดยตัวของลีและเพื่อนมีบริษัทสตาร์ตอัปของเขาเองในชื่อ Cluely แถมยังสามารถระดมทุน Seed Funding ได้ถึง 5.3 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และเป้าหมายพี่แกก็สุดซะเหลือเกิน คือการสร้าง AI ที่โกงได้ทุกสิ่งทุกอย่าง 

ปัจจุบันทั้งคู่ลาออกมาจากมหาวิทยาลัยเรียบร้อย ในขณะที่ตัวของ ลี เป็น CEO ของบริษัท Cluely ส่วนเพื่อนอีกคนเป็น COO ซึ่ง Cluely จัดเป็นสตาร์ตอัป AI ที่สร้างความขัดแย้งได้แบบสุดโต่ง เพราะรวม AI โกงหลายชนิดที่ร่วมพัฒนากับเพื่อนไว้

นอกจากนี้ตัวของลี ยังเคยพูดไว้ว่า ขนาดเครื่องคิดเลขหรือโปรแกรมตรวจคำผิดที่เคยถูกมองเป็นโปรแกรมโกง ปัจจุบันก็ยังได้รับการยอมรับแล้ว หรือจะสื่อแบบเข้าใจง่าย ๆ ว่าโปรแกรมโกงของแกที่กำลังโดนแอนตี้อยู่ตอนนี้ อนาคตจะต้องกลายเป็นที่ยอมรับแน่นอน

‘Song Wencong’ วิศวกรผู้ออกแบบ และสร้างเครื่องบินขับไล่แบบ ‘J – 10’ ราคา 30 ล้านเหรียญ สามารถยิงเครื่องบินขับไล่ 200 ล้านเหรียญสหรัฐ ตกได้

(11 พ.ค. 68) เป็นข่าวฮือฮาไปทั่วโลกเมื่อเครื่องบินขับไล่แบบ J-10C ที่มีราคา 30 ล้านเหรียญสหรัฐที่ผลิตโดยจีนของกองทัพอากาศปากีสถานสามารถยิงเครื่องบินขับไล่แบบ Rafale ราคา 200 ล้านเหรียญสหรัฐที่ผลิตโดยฝรั่งเศสของกองทัพอากาศอินเดียตก ผลลัพธ์ของการรบทางอากาศระหว่างอินเดียและปากีสถานสร้างความตกตะลึงให้กับโลก และเครื่องบินขับไล่ J-10 ก็ได้เปิดฉากช่วงเวลาสำคัญนี้ อย่างไรก็ตาม กระบวนการกว่าจะมาถึงการสร้างเครื่องบินขับไล่แบบ J-10 เป็นความยากลำบากที่มีเพียงไม่กี่คนที่ยังจำได้ เริ่มต้นในปี 1956 คณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีนและประธานเหมาเจอตงได้เรียกร้องครั้งสำคัญให้จีน “เดินหน้าสู่วิทยาศาสตร์” โดยเลือกเส้นทางของการพึ่งพาตนเองและการพัฒนาที่เป็นอิสระ โดยจีนยุคใหม่ได้นำพาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเข้าสู่การพัฒนาประเทศ

ในฤดูใบไม้ผลิของปี 1964 ท่ามกลางความขัดแย้งระหว่างจีนและสหภาพโซเวียต บุคลากรด้านการบินของจีนใหม่เริ่มพัฒนาเครื่องบินขับไล่ตามแนวคิดของประธานเหมาฯ ที่ว่า "พึ่งพาตนเองเป็นหลัก" และภารกิจพัฒนาเครื่องบินขับไล่ J-8 และ J-9 ได้รับการเสนอและดำเนินการโดยสถาบัน 601 และหน่วยงานอื่น ๆ ในเมืองเสิ่นหยางตามลำดับ เครื่องบินขับไล่ J-7 ลำก่อนหน้านี้ที่จีนผลิตนั้นเป็นเพียงสำเนาของเครื่องบินขับไล่ไอพ่นรุ่นที่ 2 ของอดีตสหภาพโซเวียตซึ่งก็คือเครื่องบินขับไล่ MiG-21 ตามแผนเดิม J-8 ถือเป็นเครื่องบินขับไล่ MiG-21 สองเครื่องยนต์รุ่นขยายใหญ่ขึ้น ในขณะที่ J-9 ถือเป็นก้าวกระโดดครั้งใหญ่ในด้านตัวบ่งชี้การออกแบบและแผนงานเมื่อเทียบกับ J-8 และได้ก้าวไปถึงระดับเครื่องบินขับไล่ไอพ่นรุ่นที่ 3 ของโลกในขณะนั้นแล้ว

ในปี 1970 จีนตัดสินใจเร่งพัฒนาเครื่องบินขับไล่ J-9 เพื่อรับมือกับภัยคุกคามจากทางเหนือ ในปีเดียวกัน Song Wencong ซึ่งเคยเป็นวิศวกรอากาศยานในสงครามเกาหลี ได้ย้ายจากเมืองเสิ่นหยางไปยังนครเฉิงตูพร้อมกับนักออกแบบเครื่องบินกว่า 300 คน ด้วยความฝันที่จะพัฒนาเครื่องบินขับไล่ ในเวลานั้น พวกเขามีชื่อรหัสเพียงว่า “สถาบัน 611” ซึ่งมีเป้าหมายที่ชัดเจนมากคือการพัฒนาเครื่องบินขับไล่ J-9 ที่สามารถแข่งขันกับเครื่องบินรบที่ทรงพลังที่สุดในโลกได้ นักออกแบบเหล่านี้ที่เพิ่งมาถึงนครเฉิงตูได้เริ่มต้นความฝันในการสร้างเครื่องบินขับไล่ขั้นสูงภายใต้เงื่อนไขทางวัสดุที่เรียบง่าย ในขณะที่พวกเขาต้องสร้างบ้านด้วยตัวเอง ปลูกข้าวและธัญญพืช และแม้กระทั่งต้องขนปุ๋ยคอกและใส่ปุ๋ยเอง

พวกเขาได้ออกแบบเครื่องบินขับไล่ J-9 ทีละขั้นตอนโดยจากแบบร่างเปล่า ภายใต้เงื่อนไขที่ยากลำบากดังกล่าว ทำให้ชุดแบบจำลองการออกแบบชุดแรกที่มีปีกหน้าสามเหลี่ยม (Canard) และเริ่มทำการทดสอบในอุโมงค์ลมความเร็วสูง ในปี 1974 หลังจากใช้งานและแก้ไขข้อบกพร่องมานานกว่า 5 ปี เครื่องยนต์ 910 (WS-6 ซึ่งเลิกผลิตไปแล้วในภายหลัง) ของ J-9 ในที่สุดก็แก้ปัญหาทางเทคนิคที่สำคัญได้ ทำความเร็วได้ 100% และเข้าสู่การทดสอบการทำงานความเร็วสูง เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 1975 คณะกรรมการวางแผนของรัฐและสำนักงานอุตสาหกรรมการป้องกันประเทศตกลงที่จะทดลองผลิต J-9 จำนวน 5 ลำ โดยต้องบินครั้งแรกในปี 1980 และเสร็จสิ้นในปี 1983 และอนุมัติในหลักการให้จัดสรรค่าใช้จ่ายด้านการวิจัยและพัฒนาเพิ่มเติมอีก 400 ล้านหยวน (400 ล้านหยวนถือเป็นตัวเลขที่สูงลิบลิ่วในขณะนั้น)

ในช่วงต้นปี 1976 สถาบัน 611 ได้ปรับโครงร่างอากาศพลศาสตร์โดยรวมและพารามิเตอร์การออกแบบเพิ่มเติมตามประเภท J-9VI โดยปรับปรุง J-9VI-2 ให้มีช่องรับอากาศทั้งสองด้านเป็นระบบมัลติเวฟแบบปรับไบนารีแบบผสมการบีบอัด เครื่องบินติดตั้งเรดาร์แบบ 205 ที่มีระยะตรวจจับ 60-70 กิโลเมตรและระยะติดตาม 45-52 กิโลเมตร ปืนกล Gatling 30 มม. 6 ลำกล้อง ขีปนาวุธสกัดกั้น PL-4 4 ลูก ซึ่งแบ่งออกเป็นสองระบบการค้นหาที่แตกต่างกันได้แก่ (1) เรดาร์กึ่งแอคทีฟประเภท PL-4A ที่มีระยะสูงสุด 1B:F- เมตร และ (2) อินฟราเรดแบบพาสซีฟประเภท PL-4B ที่มีระยะที่มีประสิทธิภาพสูงสุด 8 กิโลเมตร เครื่องบินติดตั้งเครื่องยนต์เทอร์โบแฟน 6 ที่มีแรงขับสถิตท้ายเครื่องยนต์เต็มกำลัง 124 kN

J-9VI-2 มีรูปทรงทางอากาศพลศาสตร์ของ J-9VI-2 นั้นมีความคล้ายคลึงกับ J-10 มาก เพียงแต่ Canard เป็นแบบตายตัวและไม่คล่องตัวเท่า J-10 เท่านั้นเอง J-10C ก่อนหน้านี้ ผู้คนจำนวนมากทั้งในและต่างประเทศต่างพากันปล่อยข่าวลือว่า J-10 นั้นได้ต้นแบบมาจาก Lavi ของอิสราเอล และ Gripen ของสวีเดน และ J-10 นั้นใช้เทคโนโลยีของอิสราเอล ซึ่งนั่นเป็นเรื่องไร้สาระสิ้นดี หาก J-9 ไม่ถูกยกเลิก ก็จะกลายเป็นเครื่องบินขับไล่เครื่องยนต์เดียวลำแรกของโลกที่มีเลย์เอาต์แบบ Canard ก่อน Gripen ของสวีเดนอย่างไม่ต้องสงสัย อย่างไรก็ตาม ในช่วงปลายเดือนมิถุนายน 1978 ตามคำแนะนำ โครงการ J-9 ถูกยกเลิกเนื่องจากการปรับเปลี่ยนโครงการของหน่วยพัฒนา และมีการจัดเก็บข้อมูลไว้ ในปี 1980 อันเนื่องมาจากการปรับเปลี่ยนนโยบายเศรษฐกิจแห่งชาติในขณะนั้น โครงการ J-9 จึงถูกยกเลิกโดยสิ้นเชิง

ในเดือนพฤศจิกายน 1979 ก่อนที่ J-9 จะถูกยกเลิกโดยสิ้นเชิง เครื่องยนต์ WS-6 ได้บรรลุการทำงานที่มั่นคงในระยะยาวที่ความเร็วสูง เมื่อโครงการ J-9 สิ้นสุดลงและนำเครื่องยนต์ Spey มาใช้ การพัฒนาเครื่องยนต์ WS-6 ที่เข้าคู่กันก็หยุดลงโดยสิ้นเชิงในเดือนกรกฎาคม 1983 และแผนการพัฒนาก็ถูกหยุดลงโดยสิ้นเชิงในช่วงต้นปี 1984 เรดาร์ขับไล่แบบ 205 ที่รองรับ J-9 ก็หยุดการพัฒนาเช่นกันในปี 1981 ขีปนาวุธอากาศสู่อากาศ PL-4 อยู่ในสถานะ "เฝ้าระวัง" เป็นเวลานานหลังจากเสร็จสิ้นการทดสอบต้นแบบ หลังจากการทดสอบร่วมกันในช่วงปลายปี 1985 ก็หยุดการพัฒนา ก่อนที่ J-9 จะถูกยกเลิก

ในความเป็นจริงแล้ว J-9 ใช้เงินไปเพียง 20 ล้านเหรียญสหรัฐในการวิจัยและพัฒนาเท่านั้น แต่ได้มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปและวัสดุใหม่ ๆ มากมายแล้ว มีการผลิตโมเดล ชิ้นส่วนทดสอบ และอุปกรณ์ทดสอบมากกว่า 500 ชิ้น และทดสอบอุโมงค์ลมความเร็วสูงและความเร็วต่ำ 12,000 ครั้ง รวมถึงทดสอบโครงสร้าง ความแข็งแรง ระบบ และวัสดุพิเศษ 258 ครั้ง มีการรวบรวมโปรแกรมคำนวณ 154 โปรแกรม วิเคราะห์การคำนวณมากกว่า 15,000 ชั่วโมง และแก้ไขปัญหาทางเทคนิคที่สำคัญมากกว่า 20 ปัญหา น่าเสียดายที่ J-9 ถูกยกเลิกไปแล้ว แต่การสะสมทางเทคนิคของ J-9 ได้กลายเป็นทรัพย์สินอันมีค่าสำหรับการพัฒนาเทคโนโลยีการบินของจีนในเวลาต่อมา ตัวอย่างเช่น การจัดวางแบบแคนาร์ดส่งผลกระทบต่อ J-10 และ J-20 อย่างมากมายในเวลาต่อมา มีการเก็บรักษาอุปกรณ์ทดสอบและทีมงานของ WS-6 ไว้ ซึ่งวางรากฐานที่สำคัญสำหรับการพัฒนาเครื่องยนต์ Kunlun ในเวลาต่อมา จึงเป็นการสนับสนุนที่เกี่ยวข้องกับวางรากฐานการวิจัยและพัฒนาสำหรับการพัฒนาเรดาร์และอาวุธในเวลาต่อมา

หลายคนยังคงให้ร้าย J-9 ว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่ล้มเหลวจากการก้าวกระโดดครั้งใหญ่ โดยกล่าวว่าการยุติการผลิต J-9 เป็นผลจากความทะเยอทะยานเกินไป แต่ความถูกผิดนั้นอยู่ในใจของผู้คน ข้อเท็จจริงสามารถให้ความรู้แก่ผู้คนได้ดีที่สุด ในช่วงต้นทศวรรษ 1980 แนวคิดที่ว่า "การซื้อดีกว่าการผลิต" ได้รับความนิยม และกองทัพอากาศก็เริ่มสนใจ Mirage 2000 ของฝรั่งเศสและ F16 ของอเมริกา ในเวลานั้น ความสัมพันธ์ระหว่างจีนและสหรัฐอเมริกาอยู่ในช่วงหวานชื่น และการจัดซื้อ F16 ดูเหมือนจะเป็นไปได้ อย่างไรก็ตาม สหรัฐอเมริกาต้องการขาย F16 ที่ใช้เครื่องยนต์ด้วยที่ล้าสมัย และราคาซื้อขายที่ 15 ล้านเหรียญสหรัฐ แต่สหรัฐฯ จะขาย F16 ให้กับจีนในราคา 35 ล้านเหรียญสหรัฐ หลังจากกลางทศวรรษ 1980 ความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับโซเวียตและสหรัฐอเมริกากับโซเวียตเริ่มคลี่คลายและดีขึ้นทีละน้อย และสหรัฐอเมริกาก็สูญเสียความต้องการเชิงยุทธศาสตร์ในการ "เป็นพันธมิตรกับจีนเพื่อต่อต้านสหภาพโซเวียต" ช่วงเวลาหวานชื่นระหว่างจีนและสหรัฐอเมริกาจึงสิ้นสุดลง และในที่สุด แผนการจัดหา F16 ก็พังทลายลง

ในที่สุด ความฝันที่จะการแปลงโฉม J-8 ในที่สุดก็เริ่มต้นขึ้น เดือนมกราคม 1986 คณะกรรมการวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการป้องกันประเทศแห่งชาติได้ประกาศ “อนุมัติการพัฒนาเครื่องบินขับไล่รุ่นที่ 3 ของประเทศ เครื่องบินขับไล่แบบ J-10 ซึ่งมีชื่อรหัสว่า Project No. 10 โดย Song Wencong วิศวกรอากาศยานซึ่งอายุ 56 ปีในขณะนั้น ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้าผู้ออกแบบเครื่องบินขับไล่แบบ J-10 หลังจากความสำเร็จของ J-10 สื่อบางสำนักได้ทบทวนประวัติของ J-10 และมักกล่าวถึงว่าโครงการ J-10 ใหม่นั้น "ได้รับการลงทุนในช่วงเริ่มต้นประมาณ 500 ล้านหยวน" ไม่ชัดเจนว่า โครงการดังกล่าวได้รับเงินมากมายขนาดนั้นในช่วงเริ่มต้นหรือไม่ เมื่อ Song Wencong เริ่มต้นการทำงานกับทีมของเขา โดยเขายังคงใช้แนวทางดั้งเดิมที่สุดในการพัฒนาเครื่องบินขับไล่! ทีมของ Song Wencong ไม่มีแม้แต่คอมพิวเตอร์เพราะต้องรักษาข้อมูลไว้เป็นความลับอย่างเคร่งครัด นักออกแบบเครื่องบินของสาธารณรัฐใช้พัดลมที่ดังสนั่นไหวทำงานในโกดังที่มีอุณหภูมิสูงถึง 40 องศาเซลเซียส สวมเสื้อกั๊กและกางเกงขาสั้น และวาดแบบร่างด้วยมือถึง 67,000 ภาพ! สำหรับทีมของ Song Wencong นอกจากจะมีปัญหาทางเทคนิคแล้ว ปัญหาที่ร้ายแรงที่สุดคือการขาดเงิน! เนื่องจากครอบครัวของเขาประสบปัญหาทางการเงิน Song Wencong จึงต้องขายบะหมี่ที่แผงขายของหลังเลิกงานเพื่อหาเลี้ยงชีพ ในเมื่อหัวหน้านักออกแบบยังเป็นแบบนี้ สถานการณ์ที่บรรดานักวิจัยและพัฒนาคนอื่น ๆ เผชิญก็ยิ่งจินตนาการได้ยากยิ่งไปกว่านั้นอีก อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เลวร้ายยิ่งกว่าการไม่มีเงินและไม่มีเทคโนโลยีก็คือ Song Wencong กังวลอยู่เสมอว่า J-10 จะประสบชะตากรรมเดียวกับ J-9 ในปี 1989 จีนได้จัดคณะผู้แทนทางทหารชุดใหญ่เพื่อเยือนสหภาพโซเวียต และ Song Wencong ก็ได้รับเชิญให้เข้าร่วมคณะผู้แทนด้วย หลังจากการเยี่ยมชมเครื่องบินขับไล่แบบ Su-27SK ซึ่งเครื่องบินรบล้ำสมัยของโซเวียตในขณะนั้นทำให้คณะผู้แทนจากจีนต้องตกตะลึง หลังจากกลับถึงจีน มีคนเสนอทันทีว่า "เมื่อเทียบกับJ-10 แล้ว Su-27 มีประสิทธิภาพที่ยอดเยี่ยมกว่ามาก จึงควรเลิกผลิต J-10 แล้วประหยัดเงินเพื่อซื้อ Su-27 แทน น่าจะคุ้มทุนกว่า"

ผู้นำในยุคนั้นบางคนพูดตรง ๆ ว่าการพัฒนา J-10 คือความ "ต้องการปีนกำแพงเมืองจีนด้วยเงินเพียง 5 เซนต์ ซึ่งไม่น่าจะเป็นไปได้"! แต่คนรุ่นเก่าในวงการการบินที่นำโดย Song Wencong นั้นมีจิตวิญญาณที่ไม่ยอมแพ้! ตลอด 18 ปีของการพัฒนา J-10 ที่ยากลำบาก นักออกบบและวิศวกรหลักหลายคนเสียชีวิตระหว่างทำงาน อาทิ Yang Baoshu ผู้จัดการทั่วไปของ Chengfei มีส่วนสนับสนุนอย่างมากในการพัฒนา J-10 แต่โชคร้ายที่ป่วยเป็นมะเร็งปอดและเสียชีวิตในวัย 60 ปี Su Dor รองหัวหน้าหน่วยบินทดสอบ J-10 ป่วยเป็นมะเร็งทวารหนักและอุจจาระเป็นเลือดวันละ 3-4 ครั้ง แต่เขายังคงยืนกรานที่จะทำงานจนเสียชีวิต Zhou Zhichuan หัวหน้าวิศวกรการบินทดสอบ อายุ 63 ปีแล้วในขณะนั้น แต่เขาอาศัยอยู่ในฐานบินทดสอบนาน 10 เดือน และเป็นหมดสติหลายครั้งระหว่างการทำงาน แต่สั่งอย่างเคร่งครัดให้แพทย์ที่เดินทางไปด้วย "อย่าบอกใคร" ในปี 1998 ซึ่งเป็นปีที่ J-10 ขึ้นบินเป็นครั้งแรก


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top