Sunday, 27 April 2025
วิกฤตการศึกษาของเด็กไทยและคนไทย

‘ดร.สุวินัย’ โพสต์ข้อความ แลกเปลี่ยนกับ ‘สมภพ พอดี’ เรื่อง!! ‘วิกฤตการศึกษาของเด็กไทย และคนไทย’

(4 ม.ค. 68) รองศาสตราจารย์ ดร.สุวินัย ภรณวลัย อดีตอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้โพสต์ข้อความ ระบุว่า …

แลกเปลี่ยนกับคุณสมภพ พอดี เรื่องวิกฤตการศึกษาของเด็กไทยและคนไทย

ผมเขียน : 
ในยุค post-post modern และเป็นยุค dataism อย่างในยุคปัจจุบัน การศึกษาสายสังคมศาสตร์ในมหาลัยกำลังถูกดิสรัป และเผชิญวิกฤตของการดำรงอยู่ ... มาทำความเข้าใจตรงกันในประเด็นนี้ก่อนดีมั้ยเอ่ย 

ขอให้กำลังใจคุณสมภพ พอดีที่เปิดประเด็นเรื่องวิกฤตการศึกษาของเด็กไทยและคนไทยครับ

คุณสมภพ พอดี ตอบ :
ถ้าผมตรงเกินไป ขออภัยด้วยนะครับ
การศึกษาสายสังคมปัจจุบันเป็นความสิ้นเปลือง เป็นภาระของสังคมมากครับ
เด็กนักเรียนใช้เวลาที่ดีที่สุดของชีวิต 4 ปี ใช้เงินทอง เรียนในสิ่งที่เอาไปใช้ทำอะไรในโลกปัจจุบันและอนาคตแทบจะไม่ได้ ใช้ทำธุรกิจหรืออุตสาหกรรมใดๆไม่ได้ ใช้ทำมาหากินสร้างตัว สร้างชีวิต ไม่ได้ แถมไม่สอน ไม่ฝึกฝนให้คนเรียนรู้จักคิดด้วยตรรกะ วิเคราะห์ด้วยเหตุผล

วันนึงในอนาคต หากมนุษยชาติยังคงอยู่ เขาจะตั้งคำถามว่า ทำไมคนในอดีตจำนวนมากมายถึงเสียเวลากับเรื่องพวกนี้

ผมตอบ : 
ผมเข้าใจประเด็นของคุณสมภพดีครับ อย่างไรก็ตามไม่ว่ายุคสมัยไหน สังคมย่อมต้องการ ‘นักปราชญ์’ มาพัฒนา ‘ความคิด’ อยู่ดี เพื่อตอบปัญหา ‘ความหมายของชีวิต’ (ikigai) ... เพราะในการพัฒนาความเป็นมนุษย์ให้สมบูรณ์ มันต้องการองค์ความรู้ที่กว้างกว่าและลึกกว่าวิชาทำมาหากิน 

สั้น ๆ คนเราต้องการเสพทั้ง 'ความจริง ความดี และความงาม' เพื่อบรรลุความเป็นมนุษย์ที่แท้จริง (ความรู้ทางวิทยาศาสตร์สังกัดอยู่ใน 'ความจริง', ความรู้ทางศาสนาสังกัดอยู่ใน 'ความดี' และความรู้ทางศิลปะ-วัฒนธรรมสังกัดอยู่ใน 'ความงาม')

‘นักปราชญ์’ หรือ ผู้นำความคิด/ ผู้ผลิตความคิดที่เป็น ‘ความจริง ความดี ความงาม’ จึงเป็นสิ่งที่จำเป็นในทุกยุคทุกสมัย เพื่อวิวัฒน์อารยธรรมของมนุษยชาติให้รุดหน้า

แต่ในความเป็นจริงก็คือ ยุคสมัยไม่ได้ต้องการ 'นักปราชญ์หรือผู้นำความคิด' จำนวนมากมายเลย แต่มันต้องมีและต้อง 'ผลิตซ้ำ' ออกมาอย่างต่อเนื่องในระดับหัวกะทิ เพราะคนพวกนี้เปรียบเหมือน นักกีฬาโอลิมปิคในวงการความคิด

ปัญหาของสังคม Mass Society ที่ผุดขึ้นมาพร้อมกับระบบ Mass Production ของเศรษฐกิจระบบทุนนิยม คือ มันสร้างระบบมหาลัย และคณะสังคมศาสตร์ ที่ผลิตนักศึกษาสายสังคมศาสตร์ออกมาในระดับ mass เป็นจำนวนมาก ซึ่งเป็นความสิ้นเปลืองของสังคมจริง ๆ เพราะ 99.9% ของนักศึกษาเหล่านี้ ไม่สามารถแสดงบทบาทหน้าที่ของ ‘นักปราชญ์’ หรือ ‘ผู้นำความคิด’ ที่สังคมต้องการได้

'ดร.สุวินัย' ชี้วิกฤตจากยกเลิกเอ็นทรานซ์ สู่ปัญหาคนรุ่นใหม่ความคิดตกต่ำไร้คุณภาพ

(7 ม.ค.68) รองศาสตราจารย์ ดร.สุวินัย ภรณวลัย อดีตอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์  โพสต์ข้อความแลกเปลี่ยนความคิดเห็น 'สมภพ พอดี' ระบุว่า … หายนะยุคใหม่ทางการศึกษาไทยเริ่มจากการยกเลิกการสอบเอ็นทรานซ์เข้ามหาวิทยาลัยที่ใช้คะแนนสอบครั้งเดียว 100% เป็นเกณฑ์คัดเลือกนักเรียน ในปี พ.ศ. 2542  และหลังจากนั้นก็ใช้คะแนนสอบวัดผลมัธยมปลายที่ไม่มีมาตรฐานใด ๆร่วมกับคะแนนสอบเข้า เรื่อยมาจนถึงปัจจุบันที่ใช้เกณฑ์สารพัดตั้งแต่พอร์ตโฟลิโอ จนถึงคณะจัดสอบเอง หลากหลายไปหมด 

ต่อด้วยการปล่อยให้มหาวิทยาลัยของรัฐที่ส่วนใหญ่ใช้เงินภาษีของประชาชนก่อตั้ง ทำนุบำรุง สนับสนุนให้เติบโต ออกจากระบบราชการ ด้วยความเชื่อโง่ ๆ ว่ามหาวิทยาลัยต้องมีอิสระ แต่ก็ยังต้องเอาภาษีจากประชาชนอุดหนุนแถมให้ทุกปี นอกจากที่ได้ยกทรัพย์สินของชาติให้เป็นของมหาวิทยาลัยให้ไปใช้หาประโยชน์กันเองแล้ว 

และการปล่อยและละเลยให้การศึกษาอาชีวะตกตํ่า ทั้งที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการยกระดับผลผลิต เศรษฐกิจ รายได้ของชาติ และคุณภาพชีวิตของประชาชน สำคัญมากกว่าการศึกษาสายสังคมในระดับอุดมศึกษาเป็นร้อย ๆ เท่า

ส่วนเรื่องยิบย่อยโง่ ๆ อย่าง 'ควายเซ็นเตอร์' ที่ทำให้ลูกคนเป็นลูกควายเพราะแทนที่จะได้เรียนรู้ตามศักยภาพก็ได้แค่ตามสภาพ การรับเด็กนักเรียนที่อาศัยในพื้นที่ใกล้กับโรงเรียนที่ลอกเลียนจากฝรั่งที่เขาใช้ภาษีของคนในพื้นที่สร้าง สนับสนุน และอุดหนุนการดำเนินการของโรงเรียนที่ต่างจากบ้านเราที่ โรงเรียนของรัฐบาลส่วนใหญ่ใช้ภาษีจากคนทั้งประเทศก็สะท้อนถึงความรู้และสติปัญญาของผู้บริหารในยุคนั้น 

และทำให้คุณภาพของโรงเรียนชั้นนำอย่างสวนกุหลาบ สตรีวิทยา บดินทร์เดชา ตกตํ่าลงตามคุณภาพของนักเรียน การโกงสอบในยุครวยแล้วไม่โกงที่นอกจากทำให้คนโง่ได้แย่งที่เรียนของเด็กนักเรียนคนอื่นแล้ว ยังทำให้คนไทยชินชาเฉยชากับการฉ้อฉล  การยกเลิกวิชาหน้าที่พลเมือง วิชาประวัติศาสตร์ และอื่น ๆ ก็กระหน่ำซํ้าเติมคุณภาพ คุณธรรม จริยธรรมของการศึกษาไทยให้มืดมนลงไปอีก 

นอกจากนี้ ยังมีขบวนการบั่นทอนบ่อนทำลายชาติ ซํ้าเติมด้วยการเผยแพร่ความคิดและวาทกรรมโง่ ๆ ออกมาหลอกคนโง่ ๆ ให้โง่ลง ๆ เช่น ไม่ต้องเรียนก็ประสบความสำเร็จได้อย่าง บิล เกตส์ รึ สตีฟ จ็อบส์, สโลว์ไลฟ์คือความสุข, อย่าสอนปลาให้ขึ้นต้นไม้, ไม่ต้องไปอบรมสั่งสอนเด็กรุ่นใหม่ เพราะเขาฉลาดกว่า รู้มากกว่า รู้ดีกว่า แล้ว, เครื่องแบบและทรงผมนักเรียน กฎระเบียบของโรงเรียน คือการกดขี่กดทับพัฒนาการของเด็ก

ทั้งหมดนี้ ส่งผลร้ายแรงและสร้างความเสียหายต่อสังคมไทยมาตลอด จนทำให้ผู้ที่ผ่านการศึกษาไทยจำนวนมากโง่เง่า ไม่มีความรู้อย่างที่ควรมีโดยเฉพาะคณิตศาสตร์เบื้องต้นและพื้นฐานความเป็นมนุษย์ คิดไม่ได้คิดไม่เป็น ไม่ชอบคิด ขี้เกียจคิด จนคะแนนสอบของนักเรียนส่วนใหญ่ในปัจจุบันตํ่าตมเกือบที่สุดในโลกแล้ว และคนจำนวนมากหลงเชื่อการต้มตุ๋นหลอกลวงต่างๆ มากขึ้นทุกวัน ๆ และวาทกรรมอื่น ๆ เช่น รวยแล้วไม่โกง และอัศวินควายดำ, คนเราเท่ากัน คนที่ไม่ทำหน้าที่เท่ากับคนที่ทำหน้าที่, ประชาธิปไตยคือเป้าหมายสูงสุด, ของฟรีมีในโลก เช่น รัฐสวัสดิการที่ผู้คนจ่ายแวตอย่างเดียว, ลอกเพื่อนยังสอบตก คือ เก่ง ฉลาด สมควรเป็นนายกฯ, ไฮเปอร์ลูป คริปโต วัคซีนเทวดา แชร์สารพัดแม่ ดิไอคอน ฯลฯ 

อย่างไรก็ตาม ทุกวิกฤตมีโอกาสสำหรับคนฉลาด ๆ เสมอ สิ่งที่กล่าวมาแล้ว เกิดขึ้นจริงกับคนจำนวนมาก แต่เราสามารถบริหารจัดการให้ลูกหลานของเราไม่ต้องเป็นอย่างคนจำนวนมากที่โง่เง่า สิ้นคิด ไร้ศักยภาพ ไม่มีอนาคตได้แน่นอน และเมื่อเขามีความรู้ที่มีประโยชน์ ที่ถูกต้องท่ามกลางคนที่ไม่รู้อะไร เขาคิดเป็นคิดได้ท่ามกลางคนสิ้นคิด ที่คิดแค่ อยากมีเหล้าเบียร์เสรี โสเภณีถูกกฎหมาย  เขาย่อมมีความสามารถท่ามกลางคนที่ทำอะไรไม่เป็น เขาจะไม่มีคู่แข่งในแทบทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นการเรียน การทำงาน การค้าขายทำธุรกิจ การสร้างฐานะ สร้างความมั่นคง สร้างอิสรภาพทางการเงิน จะมีและอยู่ในสังคมของเขาที่ไม่มีคนห่วย ๆ โง่ ๆ มาปะปน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top