Sunday, 20 April 2025
ลอนดอน

ยึดรถไอศกรีมฉาว กลางย่านท่องเที่ยวดังในกรุงลอนดอน หลังกร่างขวางถนน ไร้ใบอนุญาต แถมค้ากำไรเกินควร 

(28 ส.ค. 66) ทำเสียชื่อเมืองผู้ดีเก่าอย่าง ‘กรุงลอนดอน’ ประเทศอังกฤษอย่างนี้ ต้องโดนสักที สำหรับรถเร่ขายไอศกรีมตามแหล่งท่องเที่ยวชื่อดัง ที่ตอนนี้ โดนสื่ออังกฤษรุมแฉว่า “เป็นร้านที่ขายไอศกรีมแพงที่สุดในอังกฤษแล้ว”

เมื่อตำรวจลอนดอนใน 2 พื้นที่ทั้ง ‘Lambeth Council’ และ ‘Westminster City’ ได้บุกเข้ายึดรถเร่ขายไอศกรีมคันหนึ่ง ที่จอดขายไอศกรีมโคนสไตล์อังกฤษ ที่เรียกว่า ‘99 Flake’ ให้แก่นักท่องเที่ยวบนสะพานเวสต์มินสเตอร์ เพราะจอดรถบนสะพานกีดขวางเลนจักรยาน ผิดกฏจราจร สุ่มเสี่ยงที่จะเกิดอุบัติเหตุได้ และยังพบว่ารถขายไอศกรีมคันนี้ ไม่มีใบอนุญาติในการจำหน่ายอาหาร ผิดระเบียบด้านอนามัยอีกต่างหาก

แต่ที่แสบยิ่งกว่านั้นคือ ก่อนที่ตำรวจลอนดอนจะบุกมายึดรถไอศกรีมคันนี้ไป มีการร้องเรียนจากนักท่องเที่ยวจำนวนหนึ่งว่า รถเร่คันนี้ ขายไอศกรีมโคนในราคาแพงลิว เข้าข่ายขูดรีดนักท่องเที่ยวกันเลยทีเดียว

เพราะร้านนี้ ขายไอศกรีม 99 Flake ขนาดมาตรฐาน ซึ่งเป็นไอศกรีมโคนไอคอนของเกาะอังกฤษ ในราคาสูงถึงโคนละ 7 ปอนด์ (ประมาณ 310 บาท) ซึ่งเป็นราคาที่สูงกว่าร้านทั่วไปเกือบ 5 เท่า

หากคิดว่าไอศกรีมโคนละ 7 ปอนด์ ราคาแพงมากแล้ว แต่ล่าสุด ‘โจแอน ซิมบอร์’ นักท่องเที่ยวสาวรายหนึ่ง ที่เดินทางมาพร้อมครอบครัวและลูกๆ ยืนยันว่าได้ซื้อไอศกรีมโคนกับรถคันนี้ในราคาแพงกว่า 7 ปอนด์เสียอีก โดยเธอได้สั่งไอศกรีมไปทั้งหมด 4 โคน โดนไป 30 ปอนด์ (ประมาณ 1,330 บาท) ตอนที่เจ้าของร้านบอกราคา เธออึ้งจนงง!! แม้จะเข้าใจว่าค่าครองชีพในลอนดอนนั้นสูงมาก แต่ไม่นึกว่าจะสูงถึงขนาดนี้

สิ่งที่ผิดปกติคือ ทางร้านก็ไม่ยอมติดป้ายราคาอาหารที่หน้าร้านเลย แม้คนทั่วไปจะสอบถามราคาก่อนซื้อ แต่บางครั้งหลายคนก็ชะล่าใจ ไม่นึกว่าไอศกรีมโคนเล็กๆ จะมีราคาแพงได้ถึงขนาดนี้

สำหรับไอศกรีมโคน 99 Flake ชื่อดังนี้ ถือกำเนิดขึ้นในเวลาไล่เลี่ยกับที่บริษัทผู้ผลิตช็อกโกแลต Cadbury ในเมืองเบอร์มิงแฮม ได้ออกผลิตภัณฑ์ตัวใหม่ในปี 1920 ที่ชื่อว่า ‘Flake’ มีลักษณะเป็นแท่งช็อคโกแลตอบกรอบ คล้ายตังเม และไม่ละลายในอากาศร้อน ต่อมานิยมใช้ในการตกแต่งบนหน้าขนมหวาน

โดยร้านที่อ้างว่าเสิร์ฟเมนู 99 Flake เป็นร้านแรก คือร้านไอศกรีมของ ‘นายสเตฟาโน อาร์คารี’ ซึ่งร้านของเขาตั้งอยู่บ้านเลขที่ 99 บนถนน Portobello High Street ในสก็อตแลนด์ ได้ใช้ช็อกโกแลต Flake ครึ่งแท่งปักในไอศกรีมซอฟท์ครีม 1 โคนออกขายในปี 1922 ซึ่งเชื่อว่า 99 Flake มาจากเมนูนี้ที่ร้านของเขา และเป็นเมนูไอศกรีมที่ดังมาก และมีหลายร้านนำไอเดียไปขายบ้าง และกระจายไปทั่วอังกฤษ จนบริษัท Cadbury ต้องออกช็อกโกแลต Flake ในขนาดครึ่งแท่งมาวางจำหน่ายสำหรับนำไปประดับเป็นไอศกรีม 99 Flake โดยเฉพาะในเวลาต่อมา

ดังนั้น 99 Flake จึงเป็นไอศกรีมโคนระดับมาตรฐาน สตรีทฟู้ดทั่วไปในอังกฤษ โดยมากขายในราคาเริ่มต้นเพียง 1.5 ปอนด์เท่านั้น ซึ่งก่อนหน้านั้นหลายปี ขายในราคา 99 เซนท์ตามชื่อไอศกรีมด้วยซ้ำไป

เมื่อเป็นไอศกรีมระดับตำนานของอังกฤษ ก็มีนักท่องเที่ยวหลายคนสนใจอยากลองเป็นเรื่องธรรมดา แต่พอมาเจอราคาของรถเร่ไอศกรีม ที่ตกแต่งด้วยสีสันสดใส ดูเข้าถึงง่าย แต่หลอกขายไอศกรีมในราคาที่เรียกได้ว่าขูดรีด หลอกลวงผู้บริโภค เห็นว่าเป็นนักท่องเที่ยวก็คิดจะขายในราคาแบบตีหัวเข้าบ้าน ก็ทำนักท่องเที่ยวเข็ดได้เหมือนกัน

เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็โดนยึดรถ โดนออกสื่อทั่วอังกฤษประจานไปตามระเบียบ แต่ทั้งนี้ นักท่องเที่ยวก็ต้องพึงระวังในการซื้อของกิน ของใช้เวลาเดินทางต่างแดน ต้องถามราคาก่อนสั่งเสมอ จะได้ไม่โดนโขกราคาเลือดซิบเช่นนี้

‘ลอนดอน’ ผวา!! ชายทำร้าย ‘หญิง-เด็ก’ ด้วยน้ำกรด  พบประวัติเคยขอลี้ภัย มีคดีล่วงละเมิด ยังจับตัวไม่ได้

ไม่นานมานี้ เพจ ‘Amthaipaper (หนังสือพิมพ์ไทยในอังกฤษ)’ ได้โพสต์ข้อความเผยถึงผู้ต้องสงสัยชายทำร้ายหญิง-เด็กด้วยน้ำกรด เคยขอลี้ภัย มีคดีล่วงละเมิด ระบุว่า…

ชายต้องสงสัยก่อเหตุสาดน้ำกรดใส่หญิงสาวและเด็กหญิง ในย่านแคลปแฮม กรุงลอนดอน ถูกเปิดเผยว่า เคยเป็นผู้อพยพลี้ภัยและมีคดีล่วงละเมิดทางเพศมาก่อน 

ขณะนี้ตำรวจกำลังเร่งติดตามตัว

ผู้ต้องสงสัยรายนี้มีชื่อว่า ‘อับดุล เอเซดี’ อายุ 35 ปี มาจากเมืองนิวคาสเซิล มีบาดแผลสาหัสที่ใบหน้าด้านขวา และถูกพบเห็นครั้งสุดท้ายเมื่อวันพุธที่ 31 มกราคมที่ผ่านมา ในซูเปอร์มาร์เก็ตเทสโก้ สาขาถนนคาเลโดเนียน ใกล้คิงส์ครอส เพียง 1 ชั่วโมงหลังก่อเหตุ

เหยื่อผู้เคราะห์ร้ายคือหญิงสาววัย 31 ปี และลูกสาววัย 3 และ 8 ขวบ ทั้งหมดได้รับบาดเจ็บสาหัส และยังรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล

ตำรวจหลายสิบนายในชุดป้องกัน ‘วัตถุอันตราย’ บุกค้นบ้านพักของเอเซดีใน ย่าน เลย์ตันสโตน ทางตะวันออกของกรุงลอนดอน เมื่อคืนวันพฤหัสบดีที่ 1 ก.พ. แต่ไม่พบตัว

เอเซดีถูกตัดสินว่ามีความผิดในข้อหาล่วงละเมิดทางเพศในปี 2561 และได้รับโทษรอลงอาญาจากศาลนิวคาสเซิล เขาได้รับอนุญาตให้ลี้ภัยหลังจากความพยายามล้มเหลว 2 ครั้ง เขาเดินทางเข้ามาสหราชอาณาจักรด้วยรถบรรทุกในปี 2559 และอ้างว่าเปลี่ยนมานับถือศาสนาคริสต์ เพื่อให้ได้รับการลี้ภัย

ตำรวจนครบาลเผยแพร่ภาพการพบเห็นเอเซดีครั้งสุดท้ายที่เทสโก้ เอ็กซ์เพรส บนถนนคาเลโดเนียน เมื่อเวลา 20.48 น. ของวันพุธ ซึ่งเป็นเพียงหนึ่งชั่วโมงหลังเหตุโจมตี

ผู้กำกับกาเบรียล คาเมรอน กล่าวว่า “ภาพนี้ถ่ายจากร้านเทสโก้ ซึ่งเชื่อกันว่าเอเซดีซื้อขวดน้ำหนึ่งขวด” เขาออกจากร้านแล้วเลี้ยวขวา ภาพดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าเอเซดีมีอาการบาดเจ็บสาหัสที่ใบหน้าด้านขวา 

หากพบเห็นเอเซดี ให้โทร 999 ทันที และไม่ควรเข้าใกล้เขา

>> ข้อมูลสำคัญ
• ชื่อ : อับดุล เอเซดี
• อายุ: 35 ปี
• มาจาก : เมืองนิวคาสเซิล
• ลักษณะ : บาดแผลสาหัสที่ใบหน้าด้านขวา
• สถานที่พบเห็นครั้งสุดท้าย : เทสโก้ เอ็กซ์เพรส ถนนคาเลโดเนียน เวลา 20.48 น. วันพุธที่ 31 มกราคม 2567
• เบาะแส : โทร 999

การโจมตีด้วยสารเคมีในแคลปแฮม : อัปเดต

>> ภาพใหม่ของผู้ต้องสงสัย : มีการเผยแพร่ภาพใหม่ของ Abdul Chowdhury Eisadi ผู้ต้องสงสัยในคดีโจมตีด้วยสารเคมีในย่าน Clapham ทางตอนใต้ของกรุงลอนดอน ภาพจากกล้องวงจรปิดแสดงให้เห็น Eisadi กำลังหลบหนีออกจากสถานีรถไฟใต้ดิน Clapham South

>> พบภาชนะบรรจุสารเคมี : เจ้าหน้าที่ตำรวจได้พบภาชนะบรรจุที่มีฉลาก ระบุว่า ‘กัดกร่อน’ ใกล้กับสถานที่เกิดเหตุ เชื่อกันว่าภาชนะเหล่านี้อาจเกี่ยวข้องกับการโจมตี

>> แม่ของผู้ต้องสงสัยถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล : แม่ของ Eisadi ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลหลังจากได้รับยาสลบ ตำรวจไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้

>> การติดตามตัวผู้ต้องสงสัย : เจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังติดตามตัว Eisadi อยู่ ยังไม่มีการจับกุมตัวผู้ต้องสงสัย

>> จำนวนผู้บาดเจ็บ : ผู้ได้รับบาดเจ็บ 12 คนจากเหตุการณ์โจมตีครั้งนี้

#amthaipaper #นสพแอมไทย | www.amthai.co.uk |IG: @amthaipaper | Line ID: AmthaiUK |Twitter: @amthaipaper |Tiktok: amthaipaper |YouTube: @TheAmthaipaper | Threads:@amthaipaper

Clapham chemical attack suspect revealed to be refugee sex offender as manhunt stepped up

Clapham chemical attack : New images of suspect taking Tube in escape; containers with ‘corrosive’ labels found; mother sedated in hospital.

The manhunt for Abdul Shokoor Ezedi, who is suspected of committing a chemical attack in south London on Wednesday that injured 12 people, is still ongoing.
.
The suspect had ‘significant injuries’ to his face when he was spotted entering a Tesco on Caledonian Road, near King's Cross, after the attack.
.
The manhunt for a suspect wanted over a corrosive substance attack which left a girl and her mother with potentially life-changing injuries intensified on Friday as it was revealed that he was granted asylum despite being a convicted sex offender.
.
Abdul Ezedi, 35, from the Newcastle area, was described by police as having ‘significant injuries to the right side of his face’. He was still on the run having last been seen at a supermarket in north London on Wednesday evening.

The sighting came just over an hour after the attack on the 31-year-old woman, believed to be known to Ezedi, who was with her daughters, aged three and eight. All three remain in hospital.

Dozens of police dressed in protective ‘hazmat’ suits raided an address in Leytonstone, east London, on Thursday night. It is understood Ezedi had a connection to the area but was not found.

The suspect, who is reportedly from Afghanistan, was convicted of a sexual offence in 2018 and given a suspended sentence at Newcastle crown court. The Crown Prosecution Service confirmed he was sentenced on January 9 of that year after pleading guilty to one charge of sexual assault and one of exposure.

He was granted asylum after two failed attempts, having reportedly travelled to the UK on a lorry in 2016, it is believed.

Ezedi was allowed to stay in Britain after a priest confirmed that he had converted to Christianity and was ‘wholly committed’ to his new religion, the Daily Telegraph reported. An asylum seeker can claim asylum in the UK on the basis of religious persecution in their home country.

The Metropolitan Police have released an image of Ezedi’s last-known sighting, at a Tesco Express in Caledonian Road at 8.48pm on Wednesday - just over an hour after the attack.

Superintendent Gabriel Cameron said : “The image is taken from the Tesco store, where Ezedi is believed to have purchased a bottle of water. He left the shop and turned right. The image shows Ezedi with what appears to be significant injuries to the right side of his face. This makes him distinctive. If you see Ezedi, call 999 immediately. He should not be approached.”

There was a heightened police presence in the area yesterday, including unmarked cars and vans.

'กรณ์' ทึ่ง!! รสชาติอาหารไทยสุดจี๊ดใน Soho ลอนดอน แม้ไม่ได้ขายความเป็น 'ร้านไทย' แต่สัมผัสได้ถึงไทยแท้

ไม่นานมานี้ นายกรณ์ จาติกวณิช อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง โพสต์เฟซบุ๊กแชร์ประสบการณ์สุดทึ่ง หลังจากได้ไปทานร้านอาหารย่าน Soho ที่ลอนดอน ซึ่งเสิร์ฟอาหารไทยแนว Street food ว่า...

ร้านอาหารย่าน Soho ที่ลอนดอน เป็นร้านบริหารโดยฝรั่งที่กล้าเสิร์ฟอาหารไทยแนว Street food ในบรรยากาศและการออกแบบร้านแบบเท่ๆ เมนูฉีกแนวจากร้านไทยทั่วไป ในราคาที่อยู่ในมาตรฐานร้านฝรั่งหรือร้านญี่ปุ่นในระดับเดียวกัน

ร้านเล็กแต่เป็นที่นิยม ตอนเที่ยงเราไปยืนรอร้านเปิดอยู่คู่แรก กว่าจะเปิดมีคิวยาวเต็มที่นั่งในร้านพอดีๆ 

ระหว่างรอ เราเห็นรถมาส่งวัตถุดิบในกล่องโฟมขนาดใหญ่สามกล่องซึ่งเพิ่งเดินทางมาบนเครื่องการบินไทย - อันนี้เพิ่มความมั่นใจในความจริงจังของพ่อครัว

ซึ่งในร้านไม่มีคนไทยทำครัว ไม่มีพนักงานคนไทยเลย แต่อาหาร Authentic และอร่อยมาก รสชาติและความเผ็ดอยู่ในระดับต้นๆ ที่หาทานได้ในประเทศไทย 

ในร้านไม่ได้เสิร์ฟเบียร์ไทย แต่เสิร์ฟสาเก และเหล้าไวน์เหมือนร้านฝรั่งทั่วไป

คือเขาไม่ได้ขายความเป็น 'ร้านไทย' แต่เขาขายอาหารที่อร่อย ที่เขาพบและชอบที่เมืองไทย และขายในบรรยากาศชิลๆ

และเป็นครั้งแรกที่ผมรู้ (จากฝรั่ง) ว่า ‘jin toob’ (จิ้นตุ๊บ) คืออะไร น่าอายสำหรับหลานคนลำปางคนนี้ 😅#kilnsoho

'บีบีซี' ชี้!! เหตุข่มขืนเกิดขึ้นทุกๆ ชั่วโมงในลอนดอน เฉลี่ยแล้ว 24 คดีต่อวัน อาจมีต้นตอจากวัฒนธรรมเป็นพิษทางออนไลน์-ภาพลามกอนาจารรุนแรง

(23 ก.ย. 67) BBC รายงานว่า ในกรุงลอนดอน เมืองหลวงของอังกฤษ มีเหตุข่มขืนเกิดขึ้นอย่างน้อย 1 ครั้งในทุก ๆ ชั่วโมง จากรายงานของตำรวจที่เผยแพร่เมื่อช่วงปลายสัปดาห์ ขณะที่ข้อมูลพบว่าพวกเจ้าหน้าที่ต้องจัดการกับเหตุข่มขืนเกือบ 8,800 คดีในปี 2023 ซึ่งเฉลี่ยแล้วคิดเป็น 24 คดีต่อวัน

ตัวเลขดังกล่าวเป็นข้อมูลที่สำนักข่าวบีบีซีได้มาผ่านคำร้องเสรีภาพในการเข้าถึงข้อมูล หรือ Freedom of Information ซึ่งเผยให้เห็นว่านอกจากคดีข่มขืนแล้ว ยังมีเหตุล่วงละเมิดทางเพศอื่นอีกกว่า 11,000 คดี รวมแล้วมีเหตุข่มขืนและล่วงละเมิดทางเพศอื่น ๆ เกือบ 20,000 คดีในปี 2023 เพิ่มขึ้นจากช่วง 5 ปีหลังสุดราว 14% นั่นหมายความว่าเฉลี่ยแล้ว ตำรวจได้รับแจ้งความเหตุความรุนแรงทางเพศและเหตุข่มขืนในทุก 26 นาที 30 วินาที

มูลิธิต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการพิทักษ์เด็กและสตรีจากความรุนแรงทางเพศ เปิดเผยว่าขอบเขตที่แท้จริงของเหตุการณ์ลักษณะนี้สูงกว่านี้มาก

ศูนย์วิกฤตคดีข่มขืน ซึ่งมีสำนักงานในลอนดอน ให้คำจำกัดความตัวเลขดังกล่าวว่า "น่าสยดสยอง" และเรียกร้องผ่านบีบีซีว่า "จำเป็นต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน"

องค์กรการกุศลแห่งนี้อ้างว่าในบรรดาผู้หญิงที่ถูกข่มขืนนั้น มีเพียงแค่ 1 ใน 6 เท่านั้น ที่กล้าหาญพอเข้าแจ้งความตำรวจ และว่ากันว่าในบรรดาเหยื่อนั้น มีผู้ชายรวมอยู่ด้วยคิดเป็นสัดส่วน 1 ใน 5 และมีเพียง 1 ใน 4 ที่เข้าแจ้งความเกี่ยวกับเหตุประทุษร้ายทางเพศในรูปแบบอื่นๆ

ที่น่าช็อกที่สุดคือ ข้อมูลของตำรวจยังเผยด้วยว่ามีเด็กกว่า 4,300 คนที่ตกเป็นหยื่อของเหตุข่มขืนหรือล่วงละเมิดทางเพศในปี 2023

เอียน คริต์ลีย์ หัวหน้าฝ่ายพิทักษ์เด็ก แห่งสภาผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เคยอธิบายถึงเหตุล่วงละเมิดเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี ที่เพิ่มขึ้นอย่างมากไว้เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ โดยเขาบอกในตอนนั้นว่า การเพิ่มขึ้นของเหตุเด็กถูกล่วงละเมิดทางเพศจากเด็กคนอื่น อาจมีต้นตอจากวัฒนธรรมเป็นพิษทางออนไลน์ อย่างเช่นภาพลามกอนาจารรุนแรง

ระทึก!! คนไทยในอังกฤษเจอมิจฉาชีพใช้มือถือไล่สแกนรถ โชคดีไหวตัวทัน ยัน!! เมืองไทยปลอดภัยกว่าเยอะ

(23 ก.ย. 67) ผู้ใช้เฟซบุ๊ก 'Jay Thongyai' ได้โพสต์แชร์ประสบการณ์ระทึก หลังกลายเป็นผู้ประสบเหตุและรอดมาได้จากการโจรกรรมรถในลอนดอน-สหราชอาณาจักร ระบุว่า...

เจอเหตุการณ์ระทึกขวัญนิดหน่อย เมื่อผมอยู่ในรถคนเดียว ส่วนน้องเจ้าของรถและพี่ที่มาด้วยกันลงไปซื้อของที่ Supermarket 

คันหน้ารถที่ผมนั่งรอ เป็น Mercedes G63 สีขาว สักพักนึงก็มีคนแต่งตัวสไตล์จาไมกัน ทำท่ามากดอะไรบนมือถือข้าง ๆ รถคันหน้า ตอนแรกผมเข้าใจว่าเจ้าของรถ ปรากฏว่า รถที่ผมนั่งรอและล็อกไว้ มีเสียงดัง ปิ๊บ ๆ แล้วรถคลายล็อก โชคดีที่น้องทิ้งกุญแจรถไว้ให้ ผมเลยกระโดดไปฝั่งคนขับ สตาร์ตเครื่อง และล็อกประตูอีกที ตัวแสบรีบเดินผ่านไปและหลบเข้าไปในหลืบด้านหลัง 

อีกไม่เกินสามนาที มีคนผิวสีอีกคนเดินมาท่าทางไม่น่าวางใจ ทำท่ากดมือถือเหมือนกันกับคนแรก รถคันที่ผมนั่งคลายล็อกอีกครั้ง ผมรีบกดล็อกและโทรหาน้องเจ้าของรถ 

โชคดีที่น้องอยู่ไม่ไกล เค้ารีบเดินมาที่รถ ด้วยความสูงของน้องชายผมเกือบ 190 และตัวใหญ่ คนผิวสีเลยรีบเดินไปยืนห่าง ๆ น้องผมรีบถ่ายรูปไว้ พอโดนถ่ายรูป คนผิวสีรีบหลบเข้าไปในหลืบเดียวกันกับคนแรก ผมนี่ใจเต้นตุ๊บ ๆ กะว่าถ้าน้องมาไม่ทัน แล้วมันพยายามจะเข้ารถ ผมคงบีบแตรยาว ๆ คงทำได้เท่านั้น 

จริง ๆ คาดว่าไอเวรตะไลสองคนนั้นคงตั้งใจจะสแกนรถคันหน้า เพราะเป็นรถราคาแพง แต่อาจจะโชคไม่ดี คลื่นที่พวกมันใช้ดันมาตรงกับคลื่นรีโมตคันน้องผม

หลัง ๆ เวลาเดินทางมาต่างประเทศ ผมไม่กล้าใส่เครื่องประดับใด ๆ เพราะได้ยินกิตติศัพท์มาเยอะ และพี่ ๆ น้อง ๆ ก็คอยเตือนมาตลอด แต่ก็ไม่คิดว่าจะเจออะไรแบบนี้ ตื่นตาตื่นใจหัวใจเต้นดีเหลือเกิน เลยต้องกินไอติมคลายเครียดครับ

#เมืองไทยปลอดภัยกว่าเยอะ

จมในละอองฝุ่นและหมอกควันพิษ ภาพสะท้อนจากอดีต ด้วยความคิดเอาแต่ได้

ในวันที่ผมนั่งพิมพ์เรื่องจริง เรื่องนี้อยู่ กรุงเทพฯ และหลาย ๆ จังหวัดในประเทศไทยคงพ้นจากวิกฤติฝุ่น PM2.5 กันไปบ้างแล้วหลังจากเผชิญหน้ากันมาเกือบ 2 สัปดาห์ เนื่องจากอิทธิพลของลมกำลังแรงพัดมาจากด้านตะวันออกเฉียงเหนือทำให้อุณหภูมิลดลง และฝุ่นพิษถูกพัดไปทางด้านประเทศเมียนมา 

ในประวัติศาสตร์ โลกของเราได้เผชิญปรากฏการณ์จากละอองฝุ่นควันพิษมาแล้วหลายครั้ง โดยฝุ่นและควันพิษเหตุแรก ๆ นั้นเกิดขึ้นจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงด้วยวัตถุประสงค์ต่าง ๆ เช่น บันทึกของชาวบาบิโลเนียนกว่า 2,500 ปี ระบุว่าพวกเขาเผาน้ำมันแทนไม้ ชาวจีนในช่วง 1,000 ปีก่อนคริสตกาล เป็นชนชาติแรกที่ทำเหมืองถ่านหินและขุดบ่อก๊าซธรรมชาติ แต่ชาติที่ต้องเผชิญมหันตภัยจากฝุ่นพิษอย่างหนักหน่วงที่สุดชาติแรกในโลกคือ สหราชอาณาจักร 

ต้องยอมรับก่อนว่าในฤดูหนาวนั้นสหราชอาณาจักรค่อนข้างสาหัสพอสมควร การเผาเพื่อสร้างความอบอุ่นหรือประโยชน์ในด้านพลังงานอื่น ๆ เป็นสิ่งจำเป็น จนกระทั่งพวกเขาได้มารู้จักถ่านหินซึ่งให้ความร้อนสูงกว่าเชื้อเพลิงอื่น ๆ แต่ใช่ว่าในเบื้องแรกพวกเขาจะไม่ตระหนักถึงหมอกควันที่เกิดจากการเผาถ่านหิน เพราะมีบันทึกว่าในปี ค.ศ. 1272 ได้มีประกาศจากพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 1 ห้ามเผาถ่านหินเนื่องจากหมอกและควันที่เกิดขึ้นนั้นสร้างมลภาวะให้เกิดขึ้นกับชาวลอนดอน โดยคาดโทษถึงประหารชีวิต แต่นั่นก็ไม่สามารถควบคุมได้จริง เพราะประชาชนจำนวนมากไม่มีทางเลือกอื่น 

จนมาในศตวรรษที่ 19 สหราชอาณาจักร ได้กลายมาเป็นผู้ผลิตถ่านหินรายใหญ่ของโลก เพราะในการปฏิวัติอุตสาหกรรม ถ่านหินคือพลังงานปัจจัยหลักที่อยู่ในเกือบทุกกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ทั้งการอยู่ในโรงงานอุตสาหกรรม เป็นเชื้อเพลิงในเครื่องจักรไอน้ำ เป็นแหล่งกำเนิดกระแสไฟฟ้า อยู่ในชีวิตประจำวันของประชาชนไม่ว่าจะเป็นการประกอบอาหาร เครื่องทำความร้อนในบ้าน ผสมกับภาพปกติของกรุงลอนดอนนั้นมักจะถูกหมอกปกคลุมทั่วเมืองเป็นที่คุ้นเคย ยิ่งอากาศหนาวเย็นลงเท่าไหร่ บ้านเรือนต่าง ๆ ก็โหมใช้ถ่านหินมากขึ้นเท่านั้น โดยเฉพาะการนำเอาถ่านหินคุณภาพต่ำมาใช้กันเป็นวงกว้าง ซึ่งถ่านหินเหล่านี้มีส่วนประกอบของซัลเฟอร์ไดออกไซด์อยู่ในปริมาณสูง และยังมีคาร์บอนไดออกไซด์ ไนโตรเจนออกไซด์ รวมไปถึงสารพิษต่างๆ เมื่อหมอกผสานกับละอองฝุ่นพิษจึงไม่เป็นที่สนใจหรือระแวดระวัง เพราะมันค่อย ๆ สะสมที่ละเล็กน้อยยังไม่เห็นเป็นภาพใหญ่อย่างชัดเจน อีกทั้งละอองฝุ่นและหมอกควันพิษตามปกติก็จะลอยไปในอากาศ ก่อนจะถูกลมพัดพาไปที่อื่น 

จนมาถึงในวันที่ 4 ธันวาคม ค.ศ. 1952 ลอนดอนในเวลานั้นต้องเผชิญกับภาวะความกดอากาศสูง 'anticyclone' ก่อให้เกิดความผกผันของอุณหภูมิ อากาศร้อนถูกดันขึ้นด้านบน แทนที่ด้วยอากาศเย็นที่ควบแน่นไอน้ำเกิดเป็นหมอก ปกคลุมกรุงลอนดอนเหมือนถูกครอบด้วยโดมขนาดใหญ่ ด้านบนก็ไม่มีลมพัด ทำให้อากาศและสารพิษต่างๆ ถูกกดกักไว้ ไม่สามารถลอยตัวขึ้นสู่ท้องฟ้าด้านบน ทำให้เกิดอนุภาคคงค้างอยู่ในอากาศผสมกับหมอกปกติเกิดเป็นหมอกฝุ่นพิษสีอมเหลืองที่เรียกว่า 'หมอกซุปถั่ว' (Pea-Soupers) ที่สร้างปัญหาทางระบบหายใจให้ผู้คนในลอนดอน อีกทั้งยังเกิดเป็นหมอกปกคลุมจนลดวิสัยทัศน์เหลือเพียงแค่การมองเห็นเพียงไม่กี่เมตร ซึ่งเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นระหว่างวันที่ 5 – 9 ธันวาคม ค.ศ. 1952 เพียงแค่ 5 วัน แต่ได้คร่าชีวิตผู้คนไปมากถึง 12,000 คน เหตุการณ์นี้ได้ชื่อว่า 'Great Smog of London' ซึ่งส่งผลกระทบต่อสหราชอาณาจักรมาอีกหลายปี 

'Great Smog of London' เกิดขึ้นในยุคของนายกรัฐมนตรีวินสตัน เชอร์ชิล (Winston Churchill) ว่ากันว่าก่อนจะเกิดเหตุ เอกสารรายงานที่เตือนถึงสถานการณ์ไม่ได้ถูกส่งถึงเชอร์ชิล แต่กลับถูกส่งไปยังผู้นำฝ่ายค้านโดยหนึ่งในทีมงานเลขาที่เปหนอนบ่อนไส้ของเชอร์ชิล เพื่อหวังจะใช้โจมตีเขาให้ลงจากตำแหน่ง ขณะนั้นเขาอายุ 78 ปีแล้ว แต่ยังกุมอำนาจการบริหารไว้ได้อย่างเบ็ดเสร็จ การเอาสถานการณ์นี้มาใช้ลดแรงสนับสนุนจึงเป็นอาวุธสำคัญ เพื่อไม่ให้นายกรัฐมนตรีเฒ่าแก้ไขปัญหาได้อย่างถูกทาง ซึ่งมันก็ได้ผล เพราะนักการเมืองในสภา บุคลากรทางสาธารณสุข ประชาชนบางส่วน เริ่มตั้งคำถามซ้ำเติมด้วยการโจมตีของสื่อ และนักการเมืองฝั่งตรงข้าม ว่าตัวเขาน่าจะแก่จนทำให้เชื่องช้า เงอะงะ เกินกว่าจะมาแก้ไขสถานการณ์แล้วกระมัง 

แต่มีเรื่องเล่ากันว่าหลังจากที่เหตุการณ์ผ่านไปอยู่หลายวัน เจ้าหน้าที่หลายคนของเชอร์ชิลได้หายหน้าไปจากบ้านเลขที่ 10 ถนนดาวนิ่ง ซึ่งเขาได้ทราบว่าเจ้าหน้าที่หลายคนต้องไปโรงพยาบาลเนื่องจากป่วยด้วยโรคทางเดินหายใจ และบางคนได้ประสบอุบัติเหตุจากสภาพวิสัยทัศน์ โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ทีมเลขาของเขาที่ต้องเสียชีวิตลงเพราะอุบัติเหตุ เขาจึงได้เดินทางไปโรงพยาบาลด้วยตนเอง เพื่อไปให้เห็นกับตาว่าเจ้าฝุ่นพิษจากหมอกควันที่เขามองว่าธรรมดานั้นเป็นตัวการก่อให้เกิดมหันตภัยกับผู้คนจริงหรือไม่? 

นับว่าการตัดสินไปโรงพยาบาลของเชอร์ชิลในครั้งนั้นได้ตอบคำถามให้กับเขา เพราะเขาได้ไปพบความโกลาหลของแพทย์ พยาบาล ผู้ป่วยที่ได้รับผลกระทบทางตรงจากการสูดละอองฝุ่นพิษเข้าไป และผู้ป่วยที่ได้รับผลกระทบทางอ้อมจากอุบัติเหตุ การปล้นจี้ ทำร้ายร่างกาย รวมไปถึงร่างของผู้เสียชีวิตที่มีอยู่จำนวนมาก จากภาพที่ประสบต่อหน้า ทำให้เขาตัดสินใจแถลงข่าวในทันที โดยเขาได้สั่งการให้เพิ่มงบประมาณและจำนวนบุคลากรภายในสถานพยาบาล ยุติการทำงานของเครื่องจักรในโรงงานอุตสาหกรรมเพื่อลดการปล่อยฝุ่นควันสู่อากาศชั่วคราว ปิดโรงเรียน และหยุดสถานประกอบการในบางส่วนเพื่อให้ลดการสูญเสีย 

อ่านกันเพลิน ๆ เหมือน วินสตัน เชอร์ชิล จะเป็นฮีโร่ ซึ่งในข้อมูลหลายชุดก็ไม่ได้ชี้ชัดว่านายกรัฐมนตรีของอังกฤษท่านนี้รู้หรือไม่รู้ถึงปัญหา ถ้าไม่รู้ก็น่าจะพิจารณาได้จากปัญหาอยู่ตรงหน้า แต่กลับเลือกที่จะเมินเฉยเพราะมองว่าสถานการณ์ไม่ได้รุนแรง ถ้ารู้ซึ่งผมเชื่อว่าคนระดับนี้เขาน่าจะรู้เรื่องของละอองฝุ่นและหมอกควันพิษมาตั้งแต่เริ่ม แต่กำลังดูสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เพราะหากไปแก้ไขแล้วแก้ไม่ถูกจุด แก้ไม่ได้ก็อาจจะทำให้เขากลายเป็นเป้าของนักการเมืองฝ่ายค้าน ซึ่งเอาสุขภาพของประชาชนมาเป็นตัวประกัน หรือถ้าสถานการณ์มันคลี่คลายไปก่อนที่เขาจะทำอะไร ก็เท่ากับไปสร้างปัญหากับเรื่องธรรมดาที่อาจจะเกิดขึ้นได้ สรุปคือเมื่อเวลาสุกงอมจนได้ที่เขาก็เลยมาจัดการปัญหา ซึ่งปัญหาที่เขาจัดการคือเรื่องของ 'จิตใจ' ที่จัดการด้วยธรรมชาติไม่ได้ ไม่ใช่ 'ละอองฝุ่นและหมอกควันพิษ' ที่เขาน่าจะรู้แล้วว่า 'ลม' จะมาจัดการให้หายไป 

หลังจากเหตุการณ์ในครั้งนี้รัฐบาลอังกฤษได้ออกกฎหมาย Clean Air Act (1956) เพื่อควบคุมการปล่อยควันจากโรงงานอุตสาหกรรมและส่งเสริมการใช้เชื้อเพลิงที่สะอาดขึ้น มีการกำหนดมาตรการควบคุมการใช้ถ่านหิน จำกัดการเผาถ่านหินในเขตเมือง ส่งเสริมการให้เกิดการใช้ก๊าซธรรมชาติและพลังงานทางเลือก แต่กระนั้นผลกระทบจากเหตุการณ์ครั้งนั้นก็สั่นคลอนเสถียรภาพด้านสุขภาพ และสิ่งแวดล้อมของสหราชอาณาจักรมาอีกหลายปี

เผยตัวจริงของ 'แจ็ค เดอะ ริปเปอร์' ปริศนา 137 ปี คนร้ายตัวจริงคือ 'อารอน คอสมินสกี'

(17 ก.พ. 68) หนึ่งในคดีฆาตกรรมที่มืดดำมากที่สุดในประวัติศาสตร์โลกอย่างคดีฆาตกรรมสะเทือนขวัญของ 'แจ็ค เดอะ ริปเปอร์' ที่ทำให้กรุงลอนดอนหวาดกลัวมากว่า 137 ปี อาจถูกไขกระจ่างแล้ว หลังจากมีความคืบหน้าครั้งใหญ่ในคดีนี้ 

'แจ็ค เดอะ ริปเปอร์' คือฆาตรกรต่อเนื่องที่เกี่ยวข้องกับการข่มขืนและฆาตกรรมหญิงอย่างน้อย 5 คน ซึ่งถูกเรียกว่า 'Canonical Five' แต่มีความเป็นไปได้ว่าเขาอาจก่อเหตุเพิ่มเติมอีกอย่างน้อย 6 คดี เหยื่อทั้ง 5 ราย ได้แก่ แมรี นิโคลส์ (43 ปี), แอนนี แชปแมน (47 ปี), อลิซาเบธ สไตรด์ (44 ปี), แคทเธอรีน เอดโดวส์ (46 ปี) และแมรี เจน เคลลี (25 ปี) ซึ่งถูกสังหารอย่างโหดเหี้ยมระหว่างเดือนสิงหาคมถึงพฤศจิกายน ปี 1888

สิ่งที่ทำให้คดีนี้กลายเป็นปริศนามายาวนานคือ ลักษณะอำมหิตของฆาตกร ซึ่งในบางกรณีได้ผ่าตัดเอาอวัยวะภายในของเหยื่อออกไป นำไปสู่ข้อสันนิษฐานว่า ฆาตกรอาจมีความรู้ด้านกายวิภาคศาสตร์หรือศัลยกรรม การค้นหาตัวตนของอาชญากรที่โหดร้ายรายนี้เป็นปริศนาที่ทำให้ตำรวจ นักประวัติศาสตร์ และนักสืบอาชญากรรมต่างพยายามไขคำตอบมาโดยตลอด

แต่ล่าสุด นักวิจัยด้าน 'Ripperology' และนักเขียนชาวอังกฤษ รัสเซลล์ เอ็ดเวิร์ดส์ อ้างว่าเขาสามารถเปิดเผยตัวจริงของฆาตกรรายนี้ได้แล้ว โดยอาศัยหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์จากผ้าคลุมไหล่ที่เป็นของแคทเธอรีน เอดโดวส์ หนึ่งในเหยื่อของ 'แจ็ค เดอะ ริปเปอร์' ซึ่งเขาซื้อมาในปี 2007 ผ้าชิ้นนี้มีคราบเลือดและคราบอสุจิติดอยู่ ซึ่งต่อมาได้ถูกนำไปตรวจสอบทางนิติวิทยาศาสตร์และพบดีเอ็นเอจากสองบุคคลที่แตกต่างกัน

ดีเอ็นเอหนึ่งตรงกับทายาทของเหยื่อหญิง ส่วนอีกดีเอ็นเอหนึ่งตรงกับทายาทของผู้อพยพชาวโปแลนด์ ซึ่งขณะเกิดเหตุมีอายุราว 23 ปี เมื่อทราบชื่อนี้ เอ็ดเวิร์ดส์จึงสามารถระบุตัวตนของฆาตกรได้ว่าเป็น 'อารอน คอสมินสกี' ช่างตัดผมผู้อพยพชาวโปแลนด์ที่อาศัยอยู่ในย่านไวท์แชปเพล ซึ่งตกเป็นผู้ต้องสงสัยจากก่อนหน้านี้

"เมื่อพิจารณาว่าดีเอ็นเอของเขาอยู่บนผ้าคลุมไหล่ที่พบในที่เกิดเหตุ และเขาถูกระบุชื่อมาก่อนหน้านี้ ผมไม่เคยคิดว่าใครคนอื่นจะเป็นแจ็ค เดอะ ริปเปอร์เลย" เอ็ดเวิร์ดส์กล่าวกับ news.com.au

เขายังเผยว่ากระบวนการตรวจสอบดีเอ็นเอใช้เวลานานถึง 4 ปี โดยต้องเผชิญกับปัญหาต่าง ๆ มากมาย รวมถึงการปนเปื้อนของหลักฐาน อย่างไรก็ตาม เมื่อพบว่าดีเอ็นเอบนผ้าคลุมไหล่ตรงกับทายาทของผู้ต้องสงสัย เขารู้สึกตื่นเต้นอย่างที่สุด

"มันเป็นช่วงเวลาที่ยอดเยี่ยมที่สุดในชีวิตของผม เมื่อดีเอ็นเอจากเลือดบนผ้าคลุมไหล่ตรงกับทายาทสายตรงของเหยื่อ และเมื่อเราตรวจสอบคราบอสุจิแล้วพบว่าตรงกับผู้ต้องสงสัย ผมแทบไม่อยากเชื่อว่าเราได้ค้นพบตัวตนที่แท้จริงของ 'แจ็ค เดอะ ริปเปอร์' แล้ว"

แม้จะมีการเปิดเผยนี้ แต่การไขปริศนา 'แจ็ค เดอะ ริปเปอร์' ยังคงเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ในหมู่ผู้เชี่ยวชาญ อย่างไรก็ตาม หลักฐานทางดีเอ็นเอนี้ถือเป็นก้าวสำคัญที่สุดในการค้นหาความจริงของหนึ่งในคดีฆาตกรรมที่ลึกลับที่สุดในประวัติศาสตร์อาชญากรรมโลก


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top