Wednesday, 15 May 2024
รัฐอะแลสกา

‘รัสเซีย’ เสียท่า!! ส่งความรวยให้สหรัฐฯ หลังพลาดขาย ‘อะแลสกา’ ไปในราคาแสนถูก

ชาวโลกรู้ว่าอเมริกากับรัสเซียนั้นเป็นคู่กรณีสงครามเย็น จนหลายคนคิดว่าสองชาตินี้คงไม่มีวันยิ้มให้กันได้ แต่จริงๆ แล้วครั้งหนึ่งไอ้นกอินทรีกับพี่หมีขาวเป็นมิตรกันมาก่อน ตอนช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 ยังอยู่ฝ่ายเดียวกันเลย มาแตกหักรักไม่ลงช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สองนี่แหละ แต่เชื่อไหมว่าอเมริกาได้ครอบครองดินแดนของรัสเซีย และสถาปนาเป็นรัฐของอเมริกาเต็มภาคภูมิ 

เมื่อเอ่ยถึงรัฐอะแลสกา (Alaska) หลายคนรู้สึกหนาวแทนพลเมืองที่นั่น เพราะได้ชื่อว่าเป็นรัฐที่หนาวสะท้านโลก 

อะแลสกาเป็นรัฐที่ 49 ในบรรดา 50 รัฐของอเมริกา ถูกค้นพบโดยนักเดินทางรัสเซียในปี ค.ศ.1741 พี่หมีขาวเลยกระโจนเข้าครอบครองตั้งแต่ปี ค.ศ.1784 ไอ้ที่โผเข้าหาดินแดนโน่นนี่ไม่ใช่อะไรหรอก พี่หมีแกอยากขยายอาณาจักรไปเรื่อยๆ เพราะช่วงนั้นประเทศต่างๆ ก็ล่าอาณานิคมกัน จะล่องไปล่าแถวไหน ประเทศแถบยุโรปล่ากันหมดแล้ว เลยต้องมุ่งหน้าขึ้นเหนือ 

พี่หมีขาวอยากได้อาณานิคมในดินแดนฝั่งตะวันออก เอาไว้ค้าขายชายเฟือยและเผยแพร่ศาสนาคริสต์นิกายรัสเซียนออร์โธดอกซ์ รวมถึงการเรียกเก็บภาษีและทรัพยากรจากอาณานิคม แต่อะแลสกานั้นยกเว้น เพราะการครอบครองอะแลสกาของรัสเซีย เป็นไปเพื่อการทำธุรกิจมากกว่าการตั้งถิ่นฐาน มีการจัดตั้งการค้าขนสัตว์ในปีค.ศ.1781 และตั้งบริษัท Russian American Company ในปี ค.ศ. 1799 

หากเรากางแผนที่โลก จะเห็นว่าอะแลสกาอยู่ไกลจากขอบเขตดินแดนรัสเซีย ด้วยระยะทางที่ห่างกันมากระหว่างอะแลสกากับเมืองหลวงของรัสเซีย ทำให้สื่อสารกันลำบาก แถมไม่มีชาวรัสเซียไปตั้งรกรากในอะแลสกามากนัก นอกจากหนาวแล้วยังไกลปืนเที่ยง เลยมีคนหอบผ้าหอบผ่อนไปอยู่ที่นั่นแค่ 800 คนเท่านั้นเอง  

หนักหนากว่านั้นคือหนาวหูตูบจนเพาะปลูกอะไรไม่ค่อยจะได้ ทำให้ผู้นำหมีขาวเบ้ปากมองบนว่าจะเอาไอ้แผ่นดินนี้ไว้ทำไมหนอเรา นอกจากอะแลสกาจะกลายเป็นดินแดนที่ไม่ทำกำไรให้รัสเซีย ยังเสี่ยงต่อการถูกอังกฤษรุกราน ทำให้พี่หมีขาวนอนกระดิกตีนตรอง ว่าจะเอาไงดีกับไอ้ดินแดนแห่งนี้ ที่สำคัญตอนนั้นรัสเซียกำลังถังแตกเสียด้วย

รัสเซียจนกรอบ เพราะทำสงครามอย่างหนักและต่อเนื่อง เพื่อขยายอาณาเขตให้กว้างใหญ่ไพศาล การทำสงครามแต่ละครั้งนั้นต้องใช้เงินมหาศาล โดยเฉพาะสงครามไครเมียในปี 1853-1856 สงครามหนนี้ทำเอารัสเซียสิ้นเนื้อประดาตัวแทบล้มละลาย  หลังเซ็นสนธิสัญญาสันติภาพปารีส 1856 มีการกันทะเลดำให้เป็นเขตกลางเพื่อไม่ให้รัสเซียตั้งฐานยุทธศาสตร์ นั่นยิ่งทำให้สูญเสียช่องทางการค้าขายกับประเทศอื่นไปโดยปริยาย

เมื่อถังแตกก็ต้องขายของเก่ากินนั่นแหละ กวาดสายตาทั่วแผ่นดินแล้วพบว่าอะแลสกาเป็นแผ่นดินของรัสเซียในบริเวณอเมริกาเหนือ แถมยังรกร้างว่างเปล่าเต็มไปด้วยน้ำแข็ง จนทางรัสเซียคิดว่าหาประโยชน์อะไรไม่ได้ และไม่อยากจ่ายเงินก้อนโตในการดูแล เลยเอาไปเร่ขายให้อเมริกา ซึ่งตอนนั้นยังดี ๆ กันอยู่ แถมทั้งรัสเซียและอเมริกามีศัตรูร่วมกันคืออังกฤษ เลยใส่พานวางถวาย

รัสเซียตัดสินใจเสนอขายอะแลสกาให้อเมริกาใน ค.ศ. 1859 แต่การเจรจาซื้อขายถูกชะลอไปเนื่องจากสงครามเย็น จนกระทั่งวันที่ 30 มีนาคม ค.ศ. 1867 วิลเลียม เอช. ซูเวิร์ด รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีแอนดรูว์ จอห์นสัน ซื้ออะแลสกามาจากรัสเซีย  

การซื้อขายครั้งนี้ถูกวิจารณ์อย่างหนัก สื่อในอเมริกาลงข่าวเสียดสีว่าการซื้ออะแลสกาเป็นความโง่เขลาของ ซูเวิร์ด และเป็นสวนหมีขั้วโลกของ จอห์นสัน ส่วนชาวรัสเซียต่างไม่พอใจที่อะแลสกาถูกขายไป เพราะรัสเซียทุ่มเทพัฒนาอะแลสกามาอย่างยาวนาน อยู่ ๆ จะมาขายไปง่ายๆ ได้ไง แถมขายถูกเสียด้วย

3 มกราคม ค.ศ. 1959 ‘รัฐอะแลสกา’ ถูกยกให้เข้าเป็นรัฐที่ 49 ของสหรัฐอเมริกา ถือเป็นรัฐที่ใหญ่ที่สุด และเป็นหมุดหมายที่หลายคนอยากมา

‘อะแลสกา’ พื้นที่แห่งนี้เคยเป็นส่วนหนึ่งของประเทศรัสเซียเมื่อในอดีต เป็นดินแดนที่มีพื้นที่กว้างใหญ่ กระทั่งราวปี ค.ศ. 1867 อะแลสกาก็ได้กลายไปเป็นของสหรัฐอเมริกา ในเวลานั้นชาวอเมริกันเอง ต่างพากันแปลกใจที่รัฐบาลใช้เงินซื้อพื้นที่ที่ไกลแสนไกล แถมยังร้างไร้ผู้คน หนำซ้ำยังมีแต่ก้อนน้ำแข็ง

แต่แล้วเมื่อเวลาผ่านไป อะแลสกากลายเป็นดินแดนแห่งความหวัง เริ่มมีการค้นพบทองคำ น้ำมัน และก๊าซธรรมชาติมากมาย พื้นที่แห่งนี้ค่อย ๆ ถูกยกระดับจากทางการสหรัฐฯ กระทั่งเมื่อวันที่ 3 มกราคม ค.ศ. 1959 (หรือราวปี พ.ศ. 2502) อะแลสกาก็ถูกยกสถานะให้กลายเป็น ‘รัฐที่ 49’ ของประเทศสหรัฐอเมริกาในที่สุด

เสน่ห์ของรัฐอะแลสกา คือความเป็นอเมริกาที่ไม่ใช่อเมริกา ด้วยพื้นเพของผู้คนดั้งเดิมในพื้นที่นั้นเป็นชาวเอเชียที่มาตั้งรกรากอยู่เมื่อกว่า 10,000 ปีก่อน จึงทำให้ผู้คนที่นี่มีลักษณะที่ต่างจากชาวอเมริกันออกไป มากไปกว่านั้น คือพื้นที่อันกว้างใหญ่ไพศาล (เป็นรัฐที่ใหญ่ที่สุดของอเมริกา) ที่นี่จึงเต็มไปด้วยธรรมชาติอันหลากหลาย เป็นหนึ่งในหมุดหมายของนักเดินทางทั่วโลกที่อยากมาเยือนให้ได้สักครั้ง


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top