Wednesday, 25 June 2025
รมว.อุตสาหกรรม

รมว.อุตสาหกรรม เรียกกลุ่มอุตสาหกรรมเหล็ก สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และ 10 สมาคมเหล็ก ถกเร่งแก้วิกฤตอุตสาหกรรมเหล็กของไทย

(4 พ.ย. 67) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมเปิดกระทรวง เชิญแกนนำกลุ่มอุตสาหกรรมเหล็ก สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และ 10 สมาคมเหล็ก ร่วมหารือปัญหาวิกฤตอุตสาหกรรมเหล็ก และหาแนวทางแก้ไขเพื่อความอยู่รอดตลอดจนการพัฒนาอย่างยั่งยืน

นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม  เป็นประธานในการประชุมที่กระทรวงอุตสาหกรรมพร้อมนายณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม และผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม หารือกับผู้แทนอุตสาหกรรมเหล็กไทย นำโดย นายนาวา จันทนสุรคน รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) และนายบัณฑูรย์ จุ้ยเจริญ ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมเหล็ก คณะกรรมการกลุ่มอุตสาหกรรมเหล็ก ส.อ.ท. และ 10 สมาคมผู้ประกอบการอุตสาหกรรมเหล็ก ซึ่งมีสมาชิกรวม 510 บริษัท จ้างงานโดยตรงกว่า 50,000 อัตรา และจ้างงานทั้งระบบกว่า 3 แสนคน

นายนาวา จันทนสุรคน รองประธานส.อ.ท. กล่าวขอบคุณรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมที่ให้ความสำคัญต่อการรักษาและพัฒนาอุตสาหกรรมเหล็กของประเทศไทย โดยอุตสาหกรรมเหล็กเปรียบเสมือนกระดูกสันหลังของระบบอุตสาหกรรม เพราะเหล็กเป็นวัตถุดิบที่นำไปใช้ในอุตสาหกรรมต่อเนื่องมากมาย ได้แก่ ก่อสร้าง รถยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องจักรกล เฟอร์นิเจอร์ ฯลฯ โดยหลายประเทศต่างก็ปกป้องอุตสาหกรรมเหล็กภายในประเทศเพื่อรักษาความมั่นคงแห่งชาติของตน แต่ขณะนี้โลกเผชิญวิกฤตกำลังการผลิตเหล็กของโลกล้นเกินความต้องการใช้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ประเทศจีนซึ่งประสบปัญหาเศรษฐกิจและธุรกิจภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ถดถอย ส่งผลให้ความต้องการใช้เหล็กภายในประเทศของจีนลดลง ในขณะที่ผู้ผลิตเหล็กในจีนยังคงผลิตเหล็กในสัดส่วนสูงมากราวร้อยละ 58 ของการผลิตเหล็กของทั้งโลกรวมกัน จีนจึงมุ่งส่งออกสินค้าเหล็กไปยังภูมิภาคหรือประเทศที่มีช่องโหว่ซึ่งจีนสามารถทุ่มตลาดได้ โดยในช่วง 9 เดือนแรก ประเทศจีนได้ส่งออกสินค้าเหล็กแล้ว 81 ล้านตัน และคาดว่าทั้งปี 2567 จีนจะส่งออกสินค้าเหล็กมากสุดในรอบ 8 ปี ปริมาณสูงถึง 109 ล้านตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 21 จากปีก่อนหน้า โดยสินค้าเหล็กจากจีนที่ส่งมายังประเทศไทยปีนี้มีแนวโน้มปริมาณมากกว่า 5.1 ล้านตัน และครองส่วนแบ่งปริมาณเหล็กนำเข้ามากที่สุดร้อยละ 44 ส่งผลให้ผู้ผลิตเหล็กในไทยมีการใช้กำลังการผลิต (Production Capacity Utilization) ถึงขั้นวิกฤตต่ำกว่าร้อยละ 30 แล้วจนหลายโรงงานเหล็กต้องทยอยปิดกิจการและเลิกจ้างแรงงานไป ดังนั้น กลุ่มอุตสาหกรรมเหล็ก สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และ 10 สมาคมเหล็ก จึงขอเสนอ 7 แนวทางบรรเทาวิกฤตอุตสาหกรรมเหล็ก ดังนี้

มาตรการห้ามตั้งห้ามขยายโรงงานเหล็กเฉพาะประเภทที่มีกำลังการผลิตมากเกินความต้องการใช้ภายในประเทศไทยแล้ว ได้แก่ โรงงานเหล็กเส้นเสริมคอนกรีตหรือเหล็กแท่งเล็กสำหรับเหล็กเส้นเสริมคอนกรีต และโรงงานผลิตเหล็กแผ่นรีดร้อน เป็นต้น มาตรการส่งเสริมให้โครงการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐใช้สินค้าเหล็กในประเทศที่ผลิตจากโรงงานที่ได้รับการรับรองอุตสาหกรรมสีเขียว (Green Industry) ตั้งแต่ระดับ 4 ขึ้นไป เพื่อส่งเสริมให้เกิดการลงทุนปรับปรุงเทคโนโลยีที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม มุ่งสู่เป้าหมาย Net Zero Carbon การเร่งกำหนดมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) เหล็กโครงสร้างสำเร็จรูป มาตรการสงวนเศษเหล็กเพื่อใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตสินค้าเหล็กในประเทศ นโยบายส่งเสริมอุตสาหกรรมจัดการซากรถยนต์ เพื่อให้มีการบริหารจัดการและสามารถนำวัสดุต่างๆ มาแปรใช้ใหม่ (Recycle) ได้อย่างเกิดประโยชน์สูงสุด นโยบายส่งเสริมการใช้สินค้าที่ได้รับการรับรองจากส.อ.ท. ว่าผลิตในประเทศไทย (Made in Thailand หรือ MiT) ไม่เพียงแค่เฉพาะการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐเท่านั้น โดยขยายไปยังโครงการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน (Public – Private Partnership หรือ PPP) และโครงการก่อสร้างของกิจการที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (Board of Investment หรือ BOI) ด้วย

การสนับสนุนให้ใช้มาตรการทางการค้าต่างๆ โดยเข้มข้นขึ้นตามสถานการณ์และทันท่วงที เนื่องจากปัจจุบัน ประเทศไทยมีการใช้มาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด (Anti-Dumping หรือ AD) มาตรการตอบโต้การหลบเลี่ยง (Anti-Circumvention หรือ AC) กับสินค้าเหล็กบางประเภทเท่านั้น โดยไม่มีการใช้มาตรการตอบโต้การอุดหนุน (Countervailing Duty หรือ CVD) และมาตรการปกป้องการนำเข้าที่เพิ่มขึ้น (Safeguard หรือ SG) แต่อย่างใด ในขณะที่ประเทศไทยยังคงถูกจีนส่งสินค้าเหล็กมาทุ่มตลาดปริมาณเฉลี่ยกว่า 4.2 แสนตันต่อเดือน

นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ได้รับทราบข้อเสนอดังกล่าวและยืนยันว่าอุตสาหกรรมเหล็กเป็นหนึ่งในหลายอุตสาหกรรมของประเทศไทยต้องสนับสนุนด้วยมาตรการต่างๆ อย่างทันท่วงที โดยกลุ่มอุตสาหกรรมเหล็กก็ต้องมีการปรับตัวรับการพัฒนาในด้านต่างๆ เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืนและประโยชน์ของประเทศชาติด้วย ทั้งนี้หลายข้อเสนอจากกลุ่มอุตสาหกรรมเหล็กก็สอดคล้องกับนโยบายและมาตรการที่กระทรวงอุตสาหกรรมกำลังดำเนินการอยู่ ได้แก่ มาตรการห้ามตั้งห้ามขยายโรงงานเหล็กบางประเภท การกำหนดมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) อาคารโครงสร้างเหล็ก มาตรการที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมเศษเหล็ก รวมถึงการจัดการซากรถยนต์ เป็นต้น โดยจะเร่งรัดผลักดันมาตรการต่างๆ ให้มีผลบังคับใช้โดยเร็วที่สุด เพื่อให้อุตสาหกรรมเหล็กยังคงอยู่เป็นพื้นฐานสำคัญในห่วงโซ่อุตสาหกรรมต่อเนื่องภายในประเทศไทย

ณัฐธภพ พันสาย / จ.ประจวบคีรีขันธ์   0649646443

‘เอกนัฏ’ ข้องใจ 21 สส. รทสช. ปมร่อนเอกสารบีบปรับครม. ไล่เช็กรายตัว จริงหรือมั่ว!! ขณะที่ ‘เฮ้ง’ เมินรับสาย ซัด คนเสียประโยชน์ ป่วนให้แตกแยก

เมื่อเวลา 10.45 น. วันที่ (10 มิ.ย. 68) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รมว.อุตสาหกรรม ในฐานะเลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ(รทสช.) ให้สัมภาษณ์ก่อนประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) ถึงปัญหาภายในพรรคว่า ในพรรคไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนไป ยังเหมือนยังเดิม

ผู้สื่อข่าวถามว่ากรณีมีเอกสารรายชื่อ 21 สส.ส่งถึงนายกฯ ขอปรับครม. เป็นเพราะคุยกันในพรรคไม่รู้เรื่องหรือไม่ นายเอกนัฏ กล่าวว่า ในข้อเท็จจริงทั้งตนและนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกฯและรมว.พลังงาน รู้ดีว่าในภารกิจการทำงานที่กระทรวงพลังงาน และกระทรวงอุตสาหกรรม ต้องเจออะไรบ้าง แต่เราต้องมุ่งมั่นภารกิจของเรา

ส่วนข่าวเรื่องเอกสารที่ออกมา ขอตั้งข้อสังเกตว่าเป็นเอกสารจริงหรือไม่ และยังไม่ทราบว่ามีการยื่นเอกสารให้กับนายกฯจริงหรือไม่ เพราะมีข้อพิรุธหลังจากมีเอกสารออกมาแล้ว พบว่าสส.หลายคนออกมาปฏิเสธ เช่น สส.ชุมพร 3 คนที่ออกมาพูดเพราะเอกสารออกไปแล้วทำให้คนเข้าใจผิด

นอกจากนั้นยังเห็นสิ่งผิดปกติของลายเซ็น ที่บางคนออกมาปฏิเสธ รวมถึงในเนื้อความเขียนว่า รัฐมนตรีของพรรครวมไทยสร้างชาติไม่มีความรู้ความสามารถ ขาดจริยธรรม และลงชื่อนายสุชาติ ชมกลิ่น รมช.พาณิชย์ ซึ่งเป็นรัฐมนตรีของพรรค ลำดับแรก รับรอง จึงไม่ทราบข้อเท็จจริงว่านายสุชาติได้เห็นและลงนามในเอกสารจริงหรือไม่

ถ้าลงลายมือชื่อก็เท่ากับรับรองและด่าตัวเองว่าไม่มีความรู้ ความสามารถ และต้องไปถามนายสุชาติว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร เท่าที่ดูหลายลายเซ็นไม่ตรงกับเอกสารที่ใช้ในราชการ สส.คนอื่นที่สมัครสมาชิกพรรคลายเซ็นไม่ตรงบางคนเซ็นแค่ตัวอักษรนำ ซึ่งผิดวิสัยเอกสารสำคัญ เช่น เขียนตัวพีตัวเดียว

ทั้งนี้ ตนยังไม่เห็นเอกสารตัวจริง และเรื่องในพรรคต้องไปจัดการในพรรค ไม่เกี่ยวกับเสถียรภาพ แต่ไม่เคยเห็นมีการไปเซ็นเอกสารที่ต่อว่าหัวหน้าพรรค เลขาฯ ที่ท้าทายกดดันนายกฯ ให้ปรับครม.ที่มีใจความในลักษณะนี้

เมื่อถามว่าเรื่องนี้ได้พูดคุยกับนายพีระพันธุ์ หรือยัง นายเอกนัฏ กล่าวว่า ตอนนี้ให้โอกาสและขอสื่อสารผ่านสื่อว่าขอให้ทำให้โปร่งใส ใครที่มีรายชื่อปรากฏในเอกสารดังกล่าว ที่ไม่ได้มีเจตนากดดันนายกฯ ไม่ได้มีเจตนาด่ารัฐมนตรีของพรรค ไม่มีความรู้ความสามารถจริยธรรม ก็ต้องออกมาชี้แจง

โดยตนได้พูดคุยกับสส.ทีละคนตั้งแต่มีภาพปรากฏไปรวมตัวกัน และมีข่าวจะย้ายพรรคขณะที่ส.ส. ก็ออกมาประกาศว่าไม่เป็นความจริง และวงที่คุยไม่ใช่เรื่องการย้ายพรรค เหตุการณ์ครั้งนี้ที่มีรายชื่อก็เช่นเดียวกัน ที่ขอตั้งข้อสังเกตและชวนสื่อไปดูว่าใครที่อยู่เบื้องหลังเอกสารดังกล่าว วันนี้เมื่อมีคนออกมาปฏิเสธไม่ต่ำกว่า 3-4 รายชื่อ จาก 21 รายชื่ออย่างนี้เรียกว่าเป็นเอกสารเถื่อน

ผู้สื่อข่าวถามว่ามองว่าใครเป็นคนดำเนินการเอกสารดังกล่าว เลขาฯรทสช.กล่าวว่า ยังไม่ทราบว่าใครเป็นคนรวบรวมรายชื่อ แต่ตั้งข้อสังเกตว่าการทำงานของทั้งตนและนายพีระพันธุ์ เราไปสร้างศัตรูไว้เยอะ ก่อนหน้านี้มีการไปลงขันกันด้วยเงินหลายร้อยล้านบาท หลังจากโรงงานที่ตนไปยกเลิกและปิดโรงงาน ซึ่งการลงทุนฆ่าหรือย้ายตนง่ายกว่าไปปรับคุณภาพโรงงาน เพราะภารกิจของเขา คือต้องการเอาตนเอาออกตำแหน่งให้ได้

ผู้สื่อข่าวถามว่ากระแสข่าวที่ทำเช่นนี้เพื่อขอให้ขับออกจากพรรคหรือไม่ นายเอกนัฏ กล่าวว่า ถ้าใครเห็นว่าจุดยืนและอุดมการณ์ของพรรค ไม่เป็นไปตามอุดมการของเขาก็มีสิทธิ์ลาออก แต่ตราบใดที่เป็นสมาชิกของพรรค ต้องปฏิบัติตามข้อบังคับของพรรค

เมื่อถามย้ำว่าคนที่ลาออก อาจจะขาดสมาชิกภาพ จึงต้องการให้พรรคขับออก นายเอกนัฏ กล่าวว่า ต้องย้อนดูว่าการกระทำที่มีความผิดต่อพรรคร้ายแรง เช่น การผิดจริยธรรมร้ายแรงและการบิดเบือนเอกสาร การปลุกปั่นทำให้เกิดความแตกแยกภายในพรรคเพื่อหวังผลใดๆ และสิ่งเหล่านี้อาจมีผลทำให้ขาดสมาชิก และขอให้กลับไปอ่านข้อบังคับพรรคดูดีๆ

คนที่ปรากฏลงลายมือชื่อ ให้ไปถามสส.ว่าได้ลงลายมือชื่อจริงๆหรือไม่ ส่วนที่มีชื่อของนายสุชาติ ก็ต้องไปถามนายสุชาติ เพราะตนโทรไปไม่รับ แต่สส.คนอื่นที่ตนโทรไปรับและระบุว่าไม่มีอะไร เช่นนายจิรวุฒิ สิงห์โตทอง สส.ชลบุรี ยังระบุว่ารักพรรคเหมือนเดิม ไม่น่าจะมีอะไร แต่หากทำอะไร ไม่ถูกต้องก็อาจขาดสมาชิกภาพที่ขัดข้อบังคับพรรค โดยไม่ต้องใช้มติกรรมการบริหารพรรคขับออกได้

“ขอตั้งข้อสังเกตว่าแปลกหรือไม่ ที่ใครจะเซ็นชื่อตัวเองมาปลดตัวเอง โดยให้เหตุผลว่าตัวเองขาดคุณสมบัติ ถามว่าใครจะไปเซ็นรับรองข้อความนั้น” นายเอกนัฏ กล่าว

ผู้สื่อข่าวถามว่านายกฯเปิดโอกาสให้แต่ละพรรคเสนอชื่อปรับครมในส่วนของพรรค จะปรับหรือไม่ไหน นายเอกนัฏ กล่าวว่า ปรับหรือไม่ปรับ ต้องรอสัญญาณจากนายกฯก่อนเพราะนายกฯจะเป็นคนลงนามภายใต้สัญญาที่มีให้กัน ส่วนจะปรับหรือไม่ปรับอย่างไรเป็นกลไกของแต่ละพรรค ขอให้เป็นไปตามการตัดสินใจของกรรมการบริหารพรรค เพราะบ้านมีกฎบ้าน เมืองมีกฎเมืองทุกอย่างมีกติกาอยู่

เมื่อถามว่าใน 21 รายชื่อ มีใครที่ไม่ได้เซ็นชื่อจริงได้ตรวจสอบหรือยัง นายเอกนัฏ กล่าวว่า มีทยอยมาชี้แจง แต่ยังไม่ได้พูดคุยในเรื่องนี้ จึงเกิดข้อสงสัยว่าได้ยื่นเอกสารจริงหรือไม่ และที่ตนได้พบกับนายกฯ เมื่อตอนเช้า ก็พูดถึงเรื่องของเกษตรกรชาวไร่อ้อย ซึ่งนายกฯ ให้กำลังใจในทุกเรื่องและที่ผ่านมาก็สนับสนุนการทำงานของตนตลอดมา

เมื่อถามว่ามองอย่างไรที่มีปรากฏการณ์ความแตกแยกภายในพรรค มาเป็นระยะ นายเอกนัฏ กล่าวว่า ได้เตรียมใจไว้แล้ว ตนเป็นคนยอมหัก ไม่ยอมงอ การทำงานของตนอาจจะไปเหยียบเท้าใครก็ได้ จึงทำทุกวิธีการในการจัดการ คนแทงจากข้างนอกอาจเห็นว่าไม่เจ็บเท่าข้างใน จึงต้องมาป่วนข้างใน

เชื่อว่าคนที่ขัดผลประโยชน์สร้างเรื่องเพื่อให้เกิดความแตกแยก ตนเชื่อว่าเป็นอย่างนั้น ที่ผ่านมากรรมการบริหารพรรคได้สื่อสารพูดคุยกับสส.ที่มีการประชุมมาตลอดไม่มีปัญหา

‘เอกนัฏ’ อ้างปัญหาปท. รุมเร้า ต้องอยู่ช่วย ‘นายกฯอิ๊งค์’ แก้จนกว่าจะผ่านวิกฤต รับเป็นประสบการณ์แย่ที่สุดทางการเมืองในการตัดสินใจ

(24 มิ.ย. 68) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รมว.อุตสาหกรรม ในฐานะเลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ให้สัมภาษณ์ถึงผลการประชุมคณะกรรมการบริหารพรรค รทสช.เมื่อวันที่ 19 มิ.ย.มติออกมาว่าอย่างไร ว่า ถือเป็นประสบการณ์การเมืองสำหรับตนที่แย่ที่สุด จะตัดสินใจทำอะไรก็ไม่ง่าย ในพรรคก็มีการพูดคุยกันตลอด ตอนนี้รทสช.มีทั้งศึกนอกศึกใน เราต้องคุยกันเพื่อรับฟังสถานการณ์ว่าเป็นยังไง ยอมรับว่าอยู่จุดที่เราตัดสินใจยาก ซึ่งพยายามคุยกับ สส.และหัวหน้าพรรคตลอดเวลา เราต้องเลือกทางที่ดีที่สุด

เมื่อถามว่า กระแสข่าวข้อเสนอให้นายกรัฐมนตรีลาออก ไม่เช่นนั้นรทสช.จะถอนตัวจากรัฐบาล ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร นายเอกนัฏ ตอบว่า จุดแรกรับเสียงสะท้อนจากผู้สนับสนุนรทสช. ที่ขณะนี้ไม่ใช่ฝั่งเราหมด โดยเรียกร้องให้รทสช.แสดงจุดยืน และความรับผิดชอบ ซึ่งเราก็พูดคุยอยู่ แต่ในสถานการณ์แบบนี้ต้องยอมรับว่าที่ประเทศอยู่ในจุดสั่นคลอน โดยเฉพาะปัญหาชายแดนไทย กัมพูชา ที่กำลังจะสู้รบกันอยู่ และตนก็สนับสนุนเต็มที่ว่ากองทัพต้องเอาจริง สิ่งที่กัมพูชาทำเป็นการเหยียดหยามเกียรติของประเทศไทย เราจึงต้องสนับสนุนให้เขาหน้าที่ของเขาอย่างเต็มที่ รวมถึงปัญหาอื่นๆ เช่นภาษีทรัมป์ และสถานการณ์สู้รบในอิหร่าน 

"สิ่งที่เราอยากทำกับสิ่งที่เราต้องทำมันก็ตัดสินใจไม่ง่ายเลยให้มันผ่านสถานการณ์แบบนี้ไปได้ก่อน ในระหว่างนี้ก็ต้องเป็นอย่างนั้น" นายเอกนัฏ กล่าว

เมื่อถามต่อว่า จะรับมือกับผู้สนับสนุนรทสช.ที่รับไม่ได้ กับการตัดสินใจแบบนี้ และโบกมือลาอย่างไร นายเอกนัฏ กล่าวว่า "เราต้องรับผิดชอบต่อการตัดสินใจ มันเป็นอย่างนั้นแหละ แต่เป็นเรื่องตัดสินใจยาก หากผมเป็นแค่สมาชิกพรรค หรือผู้สนับสนุน ผมก็คงตัดสินใจเช่นนั้น แต่วันนี้ผมเป็นกัปตัน เรือก็กำลังล่องผ่านมรสุม ให้ผมทิ้งตอนนี้คนบนเรือก็ตายกันหมด" 

ถามต่อว่า ยังประคับประคองพรรครทสช.ได้หรือไม่ นายเอกนัฏ กล่าวว่าตนพยายามทำให้ดีที่สุด  ที่ผ่านมาเราทำการเมืองเอาอุดมการณ์เป็นที่ตั้ง แต่ก็ต้องรับสภาพกับสิ่งที่เกิดขึ้นในทางปฏิบัติด้วย 

ถามอีกว่า แล้วสิ่งที่เลือกเช่นนี้ จะสามารถดึงกองเชียร์กลับมาได้หรือไม่ นายเอกนัฏ กล่าวว่า"ไม่มั่นใจ ผมเข้าใจสำหรับทุกคนที่คิดและตัดสินใจ และผมก็ไม่อยากจะหลบ และไม่ปิด อยากจะพูดตรงไปตรงมาได้ "

เมื่อถามว่า จะยืนยันได้หรือไม่ว่า รทสช.จะสนับสนุนรัฐบาลไปจนสุดทาง นายเอกนัฏ กล่าวว่า ทางมันไปทางไหน  เราก็อยู่ประคับประคองให้ผ่านสถานการณ์วิกฤติไปก่อน ซึ่งตอนนี้ไม่มีอะไรแน่นอน เพราะมีเรื่องศาลรัฐธรรมนูญที่จะพิจารณาเกี่ยวกับตัวนายกฯอีกในสัปดาห์หน้า ฉะนั้นเหตุการณ์อะไรก็เกิดขึ้นได้ ทำวันนี้ให้ดีที่สุด

เมื่อถามว่า ทำไมนายเอกนัฏไม่ลาออก แล้วไปทำในสิ่งที่ใจต้องการ นายเอกนัฏ ย้อนถามว่า "แล้วประเทศได้อะไร ผมเข้าใจ แต่ถ้าวันนี้ไม่มีรัฐบาล ในการแก้ปัญหาต่างๆ แล้วมันใช่หรือ สำหรับผมเราต้องมีความรับผิดชอบตรงนี้อยู่"  

เมื่อถามต่อว่า ตอนนี้ได้พูดคุยกับนายวิทยา แก้วภราดัย และนายจุติ ไกรฤกษ์ รองหัวหน้ารทสช.ที่ออกตัวว่าถ้านายกฯไม่ลาออก จะถอนตัวเอง แล้วหรือไม่ นายเอกนัฏ กล่าวว่า ตนไม่ทราบ แต่ได้เจอนายจุติที่จังหวัดพิษณุโลกเมื่อ 1-2 วันที่ผ่านมาก็ไม่ได้คุยเรื่องนี้

เมื่อถามว่า การจัดสรรรัฐมนตรีในโควตารทสช.ลงตัวแล้วยัง นายเอกนัฏ ตอบว่า ในหัวตนไม่มีเรื่องเหล่านี้อยู่ในใจ ที่ผ่านมาการตัดสินใจคือว่าจะอยู่หรือใครจะไป เรื่องตำแหน่งไม่มีอยู่ในหัวเลย ถ้าอยากได้ตำแหน่งของตน ก็เอาไปได้เลย ไม่ได้ยึดติดอะไร ตนอายุแค่นี้เอง เป็นไปได้ก็อยากทำการเมืองต่อไป แต่ต้องอยู่ในหลักการที่ถูกต้อง แต่ตอนนี้อำนาจหน้าที่ ความรับผิดชอบเราอยู่ตรงนี้ ตนคิดอยู่ในใจว่าทำไมต้องเป็นเราด้วย เหมือนดวงไม่ดี ก็ไม่เป็นไร จะทำให้ดีที่สุด

ถามต่ออีกว่า ได้รับแจ้งนายกฯหรือไม่ ว่าจะได้เก้าอี้เพิ่ม นายเอกนัฏ กล่าวว่า ตนยังไม่มีโอกาสคุยกันนายกฯเลย พูดจริงนะ ไม่เอา

เมื่อซักต่อว่า แสดงว่าพอใจเก้าอี้ที่มีอยู่ใช่หรือไม่ นายเอกนัฏ ตอบว่า "จะอยู่หรือเปล่ายังอีกเรื่องนึง จะไปขออะไรมาเพิ่ม เพื่ออะไร ไม่ขอเพิ่ม ถ้าอยู่ก็อยู่ทำงานต่อไป"


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top