Saturday, 21 June 2025
ภูฏาน

“บิ๊กช้าง” ประธานร่วม ส่งมอบ 15 ยานเกราะล้อยาง ให้ภูฏาน "มาดามรถถัง" ปลื้ม ยานเกราะไทย ไปไกลถึง UN ครั้งแรก ยันไม่มีค่าคอม-แป๊ะเจี๊ยะ 

ที่กระทรวงกลาโหม(สรีสมาน) พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล รมช.กลาโหม เป็นประธาน ในพิธีส่งมอบยานเกราะล้อยางแบบ 4x4  จำนวน 15 คัน ให้กับรัฐบาลราชอาณาจักรภูฏาน เพื่อนำไปใช้ในภารกิจรักษาสันติภาพ  ในห้วงเดือนธันวาคมนี้ ณ สาธารณรัฐแอฟริกากลาง และเป็นครั้งแรกที่นำไปใช้ในภารกิจของ UN   โดยมีนายคินซัง ดอร์จิ เอกอัครราชทูตราชอาณาจักรภูฏาน ประจำประเทศไทย  เข้าร่วมแสดงความยินดี 

โดยพล.อ.ชัยชาญ กล่าวว่าเรามีสายสัมพันธ์อันดี กับภูฏาน  การส่งมอบไปใช้ในภารกิจสันติภาพครั้งนี้ ก็ถือว่าไทยมีส่วนร่วมในภารกิจสันติภาพของ UN ด้วย ทั้งนี้รัฐบาลมีนโยบายที่จะพัฒนาอุตสาหกรรมป้องกันประเทศไปสู่การพึ่งพาตัวเอง สู่ พาณิชย์ ส่งออก นำเงินตราเข้าประเทศ  ล็อตต่อไปก็ได้มีการเจรจากับบางประเทศที่มีความสนใจในรถรุ่นนี้ 

ขณะที่พล.อ.วรเกียรติ รัตนานนท์ ปลัดกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงความสำเร็จ ของความร่วมมือ ระหว่าง กระทรวงกลาโหม กับบริษัท ชัยเสรี เม็ททอล แอนด์รับเบอร์ จำกัด บริษัทสัญชาติไทย   ในการส่งออก ยานเกราะล้อยาง FirstWin 4x4 ให้กับราชอาณาจักรภูฏาน ซึ่งเอกอัครราชทูตภูฏานประจำประเทศไทย ก็ได้ระบุ ว่าการที่เลือกใช้ยุทโธปกรณ์จากชัยเสรี เพราะเชื่อมั่นในคุณภาพและสมรรถนะของบริษัทจากไทย อีกทั้งทั้งสองประเทศ ยังมีความผูกพันกัน  และมีสถาบันพระมหากษัตริย์ที่ใกล้ชิดกัน ในขณะที่ ราคา ก็ถือเป็นราคามิตรภาพ ซึ่งยืนยันว่าคุณภาพไม่ได้เป็นรองใคร 

และถือเป็นนโยบายของรัฐบาลที่จะส่งเสริมอุตสาหกรรมภายในประเทศให้สามารถส่งออกได้ รวมถึงผลิตใช้ภายในประเทศ ซึ่งก็มีการผลิตอยู่เรื่อยเรื่อยเพื่อให้ตรงกับความต้องการของกองทัพ เช่น ปืนใหญ่ และระเบิด ซึ่งขณะนี้ทางบริษัทชัยเสรี ที่ร่วมทุนกับ สปท. กำลังเจรจากับฟิลิปปินส์หากเจรจากันได้ก็จะเป็นออเดอร์ ที่ใหญ่พอสมควร ในลักษณะแบบจีทูจี  


ขณะที่ นางนพรัตน์ กุลหิรัญ หรือมาดามรถถัง เจ้าของบริษัทชัยเสรี  กล่าวว่า เป็นครั้งแรกที่เราได้มีโอกาสส่งรถให้กับกองทัพภูฏาน  ถือเป็นความภาคภูมิใจของบริษัท เพราะเราทำงานนี้มาตั้งแต่ปี 2517 รวม 54 ปีแล้ว ซึ่งถือเป็นความร่วมมือระหว่างกระทรวงกลาโหม และบริษัท ซึ่งรถเกราะของเรา ก็ผ่านมาตรฐานอุตสาหกรรมทหารกระทรวงกลาโหม ทำให้เรามีความน่าเชื่อถือ ในขณะที่คุณภาพก็เป็นที่ยอมรับ และการส่งออกครั้งนี้ก็ไม่ใช่ครั้งแรก เพราะเราเคยส่งไปประจำการในกองทัพหลายประเทศแล้ว และยืนยันว่าไม่มีค่าคอมมิชชั่น หรือเงินใต้โต๊ะ

กลาโหมส่งมอบ 'รถหุ้มเกราะ-ปืน' ฝีมือคนไทยให้ภูฏาน เพื่อนำไปใช้ในภารกิจรักษาสันติภาพในประเทศ

กห.ส่งมอบ 'รถหุ้มเกราะ-ปืน' ฝีมือคนไทยให้ภูฏานใช้รักษาสันติภาพ ขณะที่ 'มาดามรถถัง' ผู้บริหารชัยเสรี ภูมิใจร่วมงานกลาโหมส่งเสริมอุตสาหกรรมอาวุธ ระบุ กองทัพฟิลิปปินส์มีแผนสั่งซื้อรถหุ้มเกราะ First Winอีก 900 คัน 

(27 พ.ค.67) ที่อาคารสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม (ศรีสมาน) นายสุทิน คลังแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานในพิธีส่งมอบรถยานเกราะล้อยางแบบ 4x4 จำนวน 10 คัน ของบริษัท ไทยดีเฟนส์อินดัสตรี จำกัด (TDI) และ อาวุธปืนเล็กสั้น อาวุธปืนพก จำนวน 230 กระบอก ของบริษัท อุตสาหกรรมผลิตอาวุธ จำกัด (WMI) ให้กับเอกอัครราชทูตราชอาณาจักรภูฏานประจำประเทศไทย เพื่อให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติราชอาณาจักรภูฏาน นำไปใช้ในภารกิจรักษาสันติภาพ โดยมี พลเอกพอพล มณีรินทร์ ประธานกรรมการสถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ พลเอกสนิธชนก สังขจันทร์ ปลัดกระทรวงกลาโหม และผู้บริหารบริษัท TDI และ บริษัท WMI ร่วมพิธีส่งมอบ

นายสุทิน ระบุว่า ถือเป็นการสร้างความเชื่อมั่น และความสัมพันธ์อันดี ระหว่างรัฐบาลทั้งสองประเทศ ซึ่งสถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ หรือ สทป. ร่วมกับ บริษัทร่วมทุนทั้งสองบริษัทดำเนินการสอดคล้องตามนโยบายในการส่งเสริมอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ ให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อขับเคลื่อนอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ รวมถึงการส่งเสริมและสนับสนุน ภาคเอกชน โดยมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาต่อยอดและเพิ่มขีดความสามารถของทุกภาคส่วน เพื่อให้เกิดการพึ่งพาตนเองได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน พร้อมกันนี้ ยังกล่าวถึงความสำคัญของสถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ ที่มีบทบาทในการส่งเสริมอุตสาหกรรมป้องกันประเทศของรัฐบาล ไปสู่การผลิตและจำหน่ายได้อย่าง เป็นรูปธรรม 

ขณะที่นางนพรัตน์ กุลหิรัญ ผู้บริหารบริษัทชัยเสรี ที่ร่วมทุนกับสถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ ในนามบริษัท ไทยดีเฟนส์อินดัสตรี จำกัด ระบุว่า ยานเกราะล้อยาง First Win 4x4 รุ่น ATV (Armored Tactical Vehicle) จำนวน 10คัน ราชอาณาจักรภูฏานจะนำไปใช้ สหภาพแอฟริกากลาง หลังจากที่ ปี 2564 ได้ส่งมอบให้ทางภูฏานไปแล้ว 45 คัน 

นอกจากนี้ยังมีการให้บุคลากรทางภูฏานมาเรียนรู้แลกเปลี่ยนในเรื่องของการผลิตการ ซ่อม และองค์ความรู้ต่าง ๆ อีกทั้งยังมีประเทศอื่น ๆ ที่สั่งซื้อรถหุ้มเราะของทางบริษัทเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะกองทัพฟิลิปปินส์ ที่มีแผนสั่งซื้อ 900 คัน ชุดแรกสั่งซื้อก่อน 200 คัน ขณะเดียวกันยังมี 46 กองทัพทั่วโลกที่จัดซื้อรถหุ้มเกราะของบริษัทชัยเสรีไปใช้งาน โดยมีการอออกแบบตามความต้องการของลูกค้าและการใช้งาน เช่น การออกแบบหลังคากันกระสุน ป้องกันการโจมตีจากโดรน   

ส่วนความต้องการภายในประเทศไทย ยังมีการสั่งซื้อจาก กอ.รมน. กองทัพเรือ ตำรวจตระเวนชายแดน  และย้ำว่า เป็นความภูมิใจของบริษัทที่ได้สนับสนุนอุตสาหกรรมป้องกันประเทศร่วมกับกระทรวงกลาโหม โดยได้เห็นยุทโธปกรณ์จากฝีมือคนไทยไปใช้ในภารกิจสหประชาชาติ

สำหรับยุทโธปกรณ์ที่มีการส่งมอบประกอบด้วย ยานเกราะล้อยาง First Win 4x4 รุ่น ATV (Armored Tactical Vehicle) จำนวน 10 คัน ที่ออกแบบและผลิตโดยคนไทย ที่ได้สร้างชื่อเสียงให้กับประเทศ ไทยมาอย่างต่อเนื่องในระดับนานาชาติ โดยยานเกราะล้อยาง First Win 4x4 รุ่น ATV เป็นยานเกราะล้อยาง สมรรถนะสูงด้วยเครื่องยนต์ขนาด 300 PS ที่มาพร้อมกับการป้องกันตามมาตรฐาน Nato standard Stanag 4569 ที่ระดับ 2 ซึ่งจะช่วยป้องกันกำลังพลที่อยู่ในรถได้กว่า 11 นาย ให้ปฏิบัติภารกิจได้สำเร็จและปลอดภัย ในทุก ๆ สภาพภูมิประเทศ 

พร้อมกันนี้ยังมีอีกหนึ่งยุทโธปกรณ์ที่สร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทยจากการส่งมอบในครั้งนี้ คือ อาวุธปืนเล็กสั้น และอาวุธปืนพก ของบริษัท WMI ที่ได้มีการส่งมอบอาวุธปืนเล็กสั้น ขนาด 7.62 มิลลิเมตร รุ่น MI-47 จำนวน  200 กระบอก และอาวุธปืนพก ขนาด 9 มิลลิเมตร รุ่น MI-9 จำนวน 30 กระบอก โดยอาวุธปืนทั้งสองแบบได้รับ การออกแบบให้มีความแม่นยำและคล่องแคล่วในการใช้งาน อีกทั้งยังมีความแข็งแรงและมีความทนทานเป็นอย่างดี ความสำเร็จของบริษัท TDI และ WMI 

นับว่าเป็นอีกหนึ่งก้าวของอุตสาหกรรมป้องกันประเทศของไทย ไปสู่การขับเคลื่อนเทคโนโลยีป้องกันประเทศ เพื่อการพึ่งพาตนเอง การผลิตและจำหน่ายที่เป็นรูปธรรม

‘กองทัพอากาศ’ ยกระดับความพร้อมเต็มขีดความสามารถ ดูแลถวายความปลอดภัย ‘ในหลวง-พระราชินี’ เตรียมเสด็จฯ เยือนภูฏาน

(24 เม.ย. 68) กองทัพอากาศดำเนินการเตรียมความพร้อมขั้นสุดท้าย เพื่อสนับสนุนและถวายความปลอดภัยในโอกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี จะเสด็จพระราชดำเนินเยือนราชอาณาจักรภูฏานอย่างเป็นทางการ ระหว่างวันที่ 25 – 28 เมษายน พ.ศ. 2568 โดยมีการจัดกำลังพลและยุทโธปกรณ์อย่างรอบด้าน เพื่อให้การเสด็จฯ เป็นไปอย่างเรียบร้อยและสมพระเกียรติ

เมื่อวันที่ 22 – 23 เมษายน พลอากาศเอก พันธ์ภักดี พัฒนกุล ผู้บัญชาการทหารอากาศ พร้อมคณะ ได้เดินทางไปยังสนามบินนานาชาติพาโร ประเทศภูฏาน เพื่อสำรวจพื้นที่จริง ตรวจสอบความพร้อมของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงประสานงานกับเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นด้านความปลอดภัยและการบิน

การเยือนในครั้งนี้นับเป็นหมุดหมายสำคัญในสายสัมพันธ์ระหว่างไทยและภูฏาน กองทัพอากาศจึงให้ความสำคัญสูงสุดในการดำเนินภารกิจ ทั้งในด้านการสนับสนุนทางเทคนิคและการถวายความปลอดภัย เพื่อแสดงถึงความจงรักภักดีและความพร้อมของกองทัพในการรับใช้ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทอย่างเต็มกำลัง

ภูฏานประดับพระบรมฉายาลักษณ์-ธงชาติไทยทั่วเมือง เตรียมต้อนรับเสด็จฯ ในหลวง–พระราชินี เยือนอย่างเป็นทางการ 25–28 เม.ย.นี้

(24 เม.ย. 68) เพจเฟซบุ๊ก 'โบราณนานมา' โพสต์ภาพพร้อมข้อความเผยว่า ราชอาณาจักรภูฏานได้ประดับพระบรมฉายาลักษณ์และธงชาติไทยในพื้นที่ต่าง ๆ เตรียมความพร้อมรับเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี

ทั้งสองพระองค์จะเสด็จพระราชดำเนินเยือนราชอาณาจักรภูฏานอย่างเป็นทางการ ระหว่างวันที่ 25–28 เมษายน 2568 ตามคำทูลเชิญของสมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก ซึ่งในหลวงทรงรับคำเชิญด้วยความปีติยินดียิ่ง

การเสด็จฯ เยือนในครั้งนี้ถือเป็นโอกาสสำคัญในการกระชับความสัมพันธ์และความร่วมมืออันแน่นแฟ้นระหว่างสองราชอาณาจักร ที่มีมิตรภาพอันยาวนาน สืบเนื่องจากมรดกทางวัฒนธรรมร่วมกันในพระพุทธศาสนา และสายสัมพันธ์ระหว่างราชวงศ์และประชาชนของทั้งสองประเทศ

‘สนามบินพาโร ภูฏาน’ ลงจอดยากมาก ไม่มีเรดาร์ช่วย ต้องอาศัยประสบการณ์ ส่วนใหญ่ผู้ที่ลงจอดได้ เป็นนักบินจาก ‘Drukair - Bhutan Airlines’ ที่ผ่านการรับรอง

(27 เม.ย. 68) เพจเฟซบุ๊ก ‘Sierra Charlie Lima’ ได้โพสต์ข้อความ ระบุว่า ...

มีนักบินจำนวนไม่มากที่ได้รับอนุญาตให้บินขึ้นลงที่ท่าอากาศยานนานาชาติพาโร ประเทศภูฏาน เนื่องจากสนามบินแห่งนี้ตั้งอยู่ในหุบเขาที่ล้อมรอบด้วยยอดเขาสูงกว่า 5,500 เมตร อากาศบาง และไม่มีระบบนำร่องด้วยสัญญาณวิทยุ (ILS) หรือเรดาร์ช่วย นักบินต้องอาศัยการบินด้วยสายตา (Visual Flight Rules) และประสบการณ์สูงในการจดจำภูมิประเทศ คาดว่ามีนักบินเพียงประมาณ 20-30 คนทั่วโลกที่ผ่านการรับรอง โดยส่วนใหญ่เป็นนักบินของสายการบิน Drukair และ Bhutan Airlines ซึ่งเป็นสายการบินที่ได้รับอนุญาตให้บินที่นี่

‘ภูฏาน’ ประกาศตั้งสหพันธ์มวยไทยแห่งชาติ ครั้งแรกในประวัติศาสตร์ เสริมสัมพันธ์ไทย-ภูฏาน IOC ร่วมผลักดันเยาวชนสู่เวทีโอลิมปิก

เมื่อวันที่ (27 เม.ย.68) ที่ผ่านมา ราชอาณาจักรภูฏานได้ประกาศจัดตั้ง สหพันธ์มวยไทยแห่งชาติ ขึ้นเป็นครั้งแรก โดยเป็นความร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับ สหพันธ์สมาคมมวยไทยนานาชาติ (IFMA) ซึ่งเป็นองค์กรกำกับกีฬามวยไทยที่ได้รับการรับรองจากคณะกรรมการโอลิมปิกสากล (IOC)

การเปิดตัวตรงกับช่วงเสด็จเยือนภูฏานอย่างเป็นทางการของ พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว และ สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พระบรมราชินี ภายในงานมีการสาธิตมวยไทยและการแสดงศิลปวัฒนธรรมไทย-ภูฏาน เพื่อเน้นย้ำถึงคุณค่าของมวยไทยทั้งในฐานะศิลปะการต่อสู้และกีฬาระดับโอลิมปิก

สำหรับสหพันธ์มวยไทยแห่งภูฏานอยู่ภายใต้การดูแลของ คณะกรรมการโอลิมปิกแห่งภูฏาน นำโดย เจ้าฟ้าชายจิกเยล อุกเยน วังชุก ซึ่งทรงมีบทบาทสำคัญในการผลักดันโครงการร่วมกับ IFMA และหน่วยงานมวยไทยของไทย อาทิ สมาคมมวยไทยสมัครเล่น (AMTAT) และสมาคมมวยอาชีพ (PAT)

ดร.ศักดิ์ชาย ทัพสุวรรณ ประธาน IFMA กล่าวว่า ภูฏานในฐานะสมาชิกใหม่ลำดับที่ 157 ของ IFMA สะท้อนถึงความภาคภูมิใจของวงการมวยไทยทั่วโลก และเป็นก้าวสำคัญของการพัฒนามวยไทยบนเวทีนานาชาติ โดยเฉพาะการเตรียมความพร้อมเข้าสู่การแข่งขันอย่าง Asian Youth Games 2025 และรายการกีฬาภายใต้ IOC อื่น ๆ

การจัดตั้งสหพันธ์มวยไทยแห่งชาติในภูฏานนับเป็นจุดเริ่มต้นของความร่วมมือด้านกีฬาและวัฒนธรรมไทย-ภูฏานที่แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น อีกทั้งยังช่วยตอกย้ำบทบาทของมวยไทยในฐานะมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมที่สามารถเติบโตและยั่งยืนในระดับสากล

ตุ๊กตาถักไหมพรม 2 ตัว จาก คุณยุ้ย 'ศิริลักษณ์ ใจชื่น' เจ้าหน้าที่กงสุลไทยประจำราชอาณาจักรภูฏาน สะท้อนความอบอุ่น สายสัมพันธ์แน่นแฟ้น ระหว่างสองแผ่นดิน

(1 พ.ค. 68) ภาพตุ๊กตาถักไหมพรม 2 ตัวที่อยู่ในพระหัตถ์สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ตุ๊กตาคู่นี้ มาจาก คุณยุ้ย–ศิริลักษณ์ ใจชื่น เจ้าหน้าที่กงสุลไทยประจำราชอาณาจักรภูฏาน

คุณยุ้ยได้ตั้งใจนำมาติดเข็ม แล้วทูลเกล้าฯ ถวายเป็นของที่ระลึกแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีในโอกาสการเสด็จเยือนราชอาณาจักรภูฏานอย่างเป็นทางการ

เป็นอีกหนึ่งเรื่องราวเล็ก ๆ แต่เต็มไปด้วยความภักดีและหัวใจไทยที่สะท้อนความอบอุ่นและสายสัมพันธ์แน่นแฟ้นระหว่างสองแผ่นดิน

สื่อจีน ยกย่อง!! พระอัจฉริยภาพ ‘ในหลวง - พระราชินี’ ทรงขับเครื่องบิน เสด็จเยือนภูฏาน ด้วยพระองค์เอง

(1 พ.ค. 68) สื่อ Shanghai Daily ของจีนรายงานผ่านแพลตฟอร์ม X ว่า พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พระบรมราชินี ได้เสด็จเยือนราชอาณาจักรภูฏานอย่างเป็นทางการเป็นเวลา 4 วัน เริ่มตั้งแต่วันที่ 25 เมษายน 2568 นับเป็นการเสด็จเยือนต่างประเทศอย่างเป็นทางการครั้งแรกในรัชกาลนี้

ที่ได้รับการพูดถึงอย่างกว้างขวางในสื่อสังคมออนไลน์คือ ทั้งสองพระองค์ ทรงขับเครื่องบินพระที่นั่งด้วยพระองค์เอง โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงทำหน้าที่นักบิน และสมเด็จพระราชินีทรงเป็นผู้ช่วยนักบิน ในการนำเครื่องลงจอดที่สนามบินนานาชาติปาโร ซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็นหนึ่งในสนามบินที่มีความยากที่สุดในโลก

การเสด็จเยือนครั้งนี้มีขึ้นตามคำกราบบังคมทูลเชิญของ สมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก และ สมเด็จพระราชินีเจตซุน เปมา แห่งภูฏาน โดยมีพิธีต้อนรับอย่างอบอุ่นจากประชาชน พร้อมการแสดงวัฒนธรรมและพิธีกรรมทางศาสนา

นอกจากนี้ทั้งสองพระองค์ยังได้ เสด็จไปยัง พระพุทธรูปโดร์เดนมา (Buddha Dordenma) เพื่อทรงร่วมพิธีสวดมนต์ถวายพระพร โดยมีพระสงฆ์ไทยและภูฏานจำนวน 74 รูปร่วมพิธี

นอกจากนี้ ยังเสด็จเยือน โครงการหลวงที่เมืองเดเชนโชลิง เพื่อทอดพระเนตรความร่วมมือระหว่างโครงการหลวงของไทยกับหน่วยงานในภูฏาน รวมถึงเยี่ยมชม ตลาดกลางในกรุงทิมพู และทรงร่วมกิจกรรมวัฒนธรรมต่าง ๆ กับประชาชน

การเสด็จเยือนครั้งนี้นับเป็นก้าวสำคัญในการเสริมสร้างความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นระหว่างราชอาณาจักรไทยและภูฏาน ซึ่งมีรากฐานร่วมกันทางวัฒนธรรมและพระพุทธศาสนา

ทั้งสองพระองค์เสด็จกลับประเทศไทยในวันที่ 28 เมษายน โดยทรงขับเครื่องบินพระที่นั่งกลับด้วยพระองค์เองอีกครั้ง

ภาพแห่งความรักที่งดงามของ สมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี แห่งภูฏาน กับสมเด็จพระราชินี เจ้าชาย และพระธิดาน้อย ในทะเลทรายโกบี

(5 พ.ค. 68) แสงแห่งความรัก และอบอุ่นหัวใจของครอบครัวพระราชา

ภาพแห่งความรักที่งดงามของสมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี แห่งภูฏาน กับสมเด็จพระราชินี เจ้าชาย และพระธิดาน้อย

รอยยิ้มที่เปี่ยมด้วยความอ่อนโยนในค่ำคืนหนึ่งของทะเลทรายโกบี เป็นภาพสะท้อนถึงพระราชหฤทัยที่ทรงรักและห่วงใยครอบครัว — เฉกเช่นเดียวกับความรักอันลึกซึ้งที่พระองค์ทรงมีต่อพสกนิกรชาวภูฏาน

และนั่นเอง...ทำให้เราไม่แปลกใจเลยว่าเหตุใดพระองค์จึงทรงร่วมรับเสด็จในหลวงของไทยอย่างอบอุ่น ใส่ใจ และเปี่ยมด้วยไมตรีจิตสมกับเป็นมิตรแท้ระหว่างราชอาณาจักรทั้งสอง

ขอขอบคุณ Gan-Ulzii Photographer ซึ่งคุณ Gan Ulzii เป็นช่างภาพประจำประธานาธิบดีแห่งมองโกเลีย ผู้บันทึกภาพนี้ไว้ได้อย่างละเมียดละไม และอนุญาตให้เผยแพร่เพื่อแบ่งปันความประทับใจให้กับชาวโลก 
(ภาพถ่าย ณ ทะเลทรายโกบี ระหว่างการเสด็จเยือนมองโกเลียอย่างเป็นทางการ)


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top