Sunday, 20 April 2025
พีระพันธ์ุ_สาลีรัฐวิภาค

'อิทธิพัทธ์' เชื่อ!! 'พีระพันธุ์' เตรียมนโยบายระยะยาวช่วย ปชช. หลังแก้ปัญหาพลังงานระยะสั้น ลด 'ค่าไฟ-น้ำมัน' ราบรื่น

(25 ต.ค. 66) นายอิทธิพัทธ์ เศรษฐยุกานนท์ หรือ ‘บอย’ อดีตผู้สมัคร สส.กทม พรรครวมไทยสร้างชาติ ได้โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก ระบุว่า…

อีกผลงานของท่านพีระพันธ์ุ สาลีรัฐวิภาค รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ที่ช่วยลดภาระของประชาชน ผลักดันให้ลดราคาน้ำมันเบนซิน โดยการเสนอผ่านการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2566 สุดท้ายมีมติร่วมกันให้ลดราคาน้ำมันเบนซินโซฮอลล์ 91 ลง 2.50 บาท ต่อลิตร เป็นเวลา 3 เดือน ซึ่งคาดว่ามีผลบังคับใช้ในช่วงสัปดาห์หน้า

ผมต้องขอขอบคุณท่านพีระพันธ์ุ และคณะรัฐมนตรีทุกท่านที่ช่วยลดภาระของพี่น้องประชาชนคนไทย จากนี้ไปเราคงเห็นนโยบายที่ช่วยลดภาระพี่น้องประชาชนอีกหลายเรื่องครับ

'นิด้าโพล' ยก!! ‘พีระพันธุ์-รวมไทยสร้างชาติ’ คะแนนนิยมเพิ่มขึ้น คาด!! กระแสพุ่งอีก หลัง ‘อรรถวิชช์’ เสริมทัพ-กม.พลังงานใหม่คลอด

จากผลสำรวจโดยนิด้าโพล ครั้งที่ 2/2567 ระบุว่า ‘พีระพันธ์ุ สาลีรัฐวิภาค’ เป็นบุคคลที่ประชาชนจะสนับสนุนให้เป็นนายกรัฐมนตรีในวันนี้ ร้อยละ 6.85 เพิ่มขึ้นจากผลสำรวจของนิด้าโพลครั้งที่ 1/2567 ที่ร้อยละ 3.55 และผลสำรวจของนิด้าโพลเมื่อปี 2566 ที่ร้อยละ 2.40

คะแนนนิยมที่เพิ่มขึ้นของ ‘พีระพันธุ์’ มาจาก 'ภาพลักษณ์ที่ดี มีความน่าเชื่อถือ ทำงานด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต' 

ทั้งนี้ ‘พีระพันธุ์’ หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ รักษาการรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้สร้างผลงานอันโดดเด่น ด้วยความมุ่งมั่นและตั้งใจที่จะ ‘รื้อ-ลด-ปลด-สร้าง’ เพื่อให้ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงพลังงาน ซึ่งเป็นตัวแปรสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมของประเทศไทย มีความถูกต้อง เหมาะสม และเป็นธรรม ภายใต้นโยบายที่จะนำไปสู่การปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรมชัดเจน อันจะส่งผลให้ผู้บริโภค ‘พี่น้องประชาชนคนไทย’ ได้รับประโยชน์สูงสุดนั่นเอง

จากผลสำรวจเดียวกัน ‘พรรครวมไทยสร้างชาติ’ ได้รับคะแนนเป็นพรรคการเมืองที่ประชาชนจะสนับสนุนในวันนี้ ร้อยละ 7.55 เพิ่มขึ้นจากผลสำรวจของนิด้าโพลครั้งที่ 1/2567 ที่ร้อยละ 5.10 และผลสำรวจของนิด้าโพลเมื่อปี 2566 ที่ร้อยละ 3.20 

การที่พรรครวมไทยสร้างชาติได้รับคะแนนนิยมจาก ‘พี่น้องประชาชนคนไทย’ เพิ่มขึ้นนั้นก็เพราะการทำงานด้วยความมุ่งมั่นและตั้งใจของทีมงานของพรรคฯ ทุกคน ไม่ว่าจะมีหรือไม่มีตำแหน่งก็ตาม และได้ให้ความช่วยเหลือ ‘พี่น้องประชาชนคนไทย’ ในทุก ๆ เรื่องที่ร้องเรียนหรือขอความช่วยเหลือมายังพรรค ทั้งยังได้ตั้ง ‘สถานียุติธรรม’ เพื่อรับเรื่องราวความทุกข์ร้อนและดำเนินการช่วยเหลือแก้ไขปัญหาความทุกข์ร้อนของ ‘พี่น้องประชาชนคนไทย’ เหล่านั้นในทุกวิถีทางโดยรวดเร็ว พร้อมทั้งมีการติดตามผลจนกว่าการแก้ปัญหาทั้งหลายเหล่านั้นจะลุล่วง หรืออย่างน้อยก็ต้องบรรเทาเบาคลายลง

นอกจากจะได้รับคะแนนนิยมจาก ‘พี่น้องประชาชนคนไทย’ ที่มีต่อ ‘พีระพันธุ์’ หัวหน้าพรรคฯ และพรรค ‘รวมไทยสร้างชาติ’ ที่เพิ่มขึ้นแล้ว พรรคฯ ยังได้ ‘อรรถวิชช์ (เอ๋) สุวรรณภักดี’ มาร่วมงานอีกด้วย โดยเมื่อ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2567 ‘อรรถวิชช์’ ได้สมัครเข้าเป็นสมาชิกพรรค ‘รวมไทยสร้างชาติ’ แล้ว

‘อรรถวิชช์’ นักการเมืองคุณภาพที่เปี่ยมไปด้วยประสบการณ์ เกิดวันที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2521 สำเร็จการศึกษาชั้นประถมศึกษาและมัธยมศึกษาจากโรงเรียนเซนต์คาเบรียล นิติศาสตรบัณฑิตจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นิติศาสตรมหาบัณฑิต สาขากฎหมายการเงินการธนาคารจากมหาวิทยาลัยบอสตัน สหรัฐอเมริกา และ รัฐประศาสนศาสตรดุษฎีบัณฑิต มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี และหลักสูตรศึกษาอบรมต่าง ๆ อีกมากมาย ผู้เป็นอดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรกรุงเทพมหานคร สังกัดพรรคประชาธิปัตย์ อดีตเลขาธิการพรรคกล้า อดีตรองหัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า ประธานกรรมาธิการกิจการชายแดนไทย กรรมการสภาสถาบันพระปกเกล้า

ก่อนเข้าสู่งานด้านการเมือง ‘อรรถวิชช์’ เคยรับราชการสังกัดสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลัง โดยมีผลงานอันโดดเด่นหลายเรื่อง อาทิ การปรับโครงสร้างหนี้ภาคประชาชน การกำกับดอกเบี้ยสินเชื่อส่วนบุคคลให้อยู่ในระดับร้อยละ 28 ต่อปี การกำกับธุรกิจบัตรเครดิต และการควบรวมกิจการบรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรม ธนาคารทหารไทย และธนาคารดีบีเอสไทยทนุ รวมถึงงานร่างกฎหมายเกี่ยวกับการเงิน การธนาคาร หลายฉบับ

เส้นทางการเมืองของ ‘อรรถวิชช์’ เริ่มต้นในปี พ.ศ. 2550 ชนะการเลือกตั้ง เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร กรุงเทพมหานคร เขต 4 คือ เขตจตุจักร, บางซื่อ, หลักสี่ สังกัด พรรคประชาธิปัตย์ โดยร่วมทีมกับบุญยอด สุขถิ่นไทย และสกลธี ภัททิยกุล ต่อมา พ.ศ. 2554 ชนะการเลือกตั้ง เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร กรุงเทพมหานคร เขต 9 คือ เขตจตุจักร สังกัด พรรคประชาธิปัตย์ ในปี พ.ศ. 2558 เขาเข้ารับตำแหน่งที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร หม่อมราชวงศ์สุขุมพันธุ์ บริพัตร 

ต่อมาเมื่อ 16 มกราคม พ.ศ. 2563 ได้ยื่นหนังสือลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์เพื่อไปร่วมก่อตั้งพรรคการเมืองใหม่กับกรณ์ จาติกวณิช อดีตรองหัวหน้าพรรคที่ลาออกแล้วก่อนหน้านั้น โดยรับตำแหน่งเลขาธิการพรรค พรรคกล้า ก่อนที่กล้าจะควบรวมกับพรรคชาติพัฒนาเป็นพรรคชาติพัฒนากล้า .ในปี พ.ศ. 2566 ‘อรรถวิชช์’ ได้เสนอกฎหมายปฏิรูปเครดิตบูโรภาคประชาชน ร่วมกับ สภาองค์กรของผู้บริโภค และวันที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2567 ‘อรรถวิชช์’ ได้สมัครเป็นสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ โดยเข้ามาร่วมในทีมกฎหมายของพรรคฯ

ต้องยอมรับว่า ‘กฎหมาย’ เป็นเครื่องมือสำคัญของสังคมที่จะทำให้บ้านเมืองขับเคลื่อนไปสู่ความเจริญข้างหน้าได้ด้วยความสุจริต เป็นธรรม และสุขสงบ แม้ ‘รวมไทยสร้างชาติ’ จะมี ‘พีระพันธุ์’ หัวหน้าพรรคฯ ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายเป็นอย่างยิ่ง มีผลงานปรากฏให้เห็นเป็นประจักษ์มากมายแล้ว แต่ด้วยภาระหน้าที่ในตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน พรรคฯ จึงต้องมีนักกฎหมายที่มีความสามารถมาเสริมความแข็งแกร่งให้กับทีมงานของพรรคฯ ที่ได้สร้างผลงานอันเป็นประโยชน์แก่ ‘พี่น้องประชาชนคนไทย’ แล้วมากมาย เพื่อให้ได้ผลงานคุณภาพเกิดประโยชน์โภคผลเพื่อมากขึ้นให้เท่าทันต่อความจำเป็น ความต้องการ และความเดือดร้อนของ ‘พี่น้องประชาชนคนไทย’ อันเป็นภารกิจที่เป็นพันธกิจที่ไม่มีวันสิ้นสุดของพรรค ‘รวมไทยสร้างชาติ’ ต่อไป


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top