Wednesday, 15 May 2024
พล.อ.ประยุทธ์

ตม.ขอนแก่น เด้งรับนโยบายกวาดล้าง!! สืบจนเจอหัวโจกสายตี้ ฝ่าพ.ร.ก.ฉุกเฉิน ซ้ำ Over stay กว่า 6 ปี

ตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เรื่องการควบคุมกำกับดูแลชาวต่างชาติที่เข้ามาพำนักอาศัยหรือเข้ามาเพื่อท่องเที่ยวในประเทศไทย โดย พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. มอบหมายให้ สตม.ดำเนินการตรวจสอบชาวต่างชาติที่มีหมายจับตำรวจสากล หรือพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมในขณะที่พำนักในประเทศไทย กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิต  และทรัพย์สินของประชาชน หรือเป็นลักษณะการกระทำผิดเข้าข่ายอาชญากรรมข้ามชาติ ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศสกัดกั้นการลักลอบเข้า-ออกต่างประเทศโดยผิดกฎหมาย

สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง โดย พล.ต.ท.ภาคภูมิภิภัทฒ์ สัจจพันธุ์ ผบช.สตม. พร้อมด้วย พล.ต.ต.ณฐพล แสวงกิจ รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.ยิ่งยศ เทพจำนงค์ รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.อาชยน  ไกรทอง รอง ผบช.สตม. ได้สั่งการให้ พล.ต.ต.เดชา กัลยาวุฒิพงศ์ ผบก.ตม.4, พ.ต.อ.เอกกมนต์ พรชูเกียรติ รอง ผบก.ตม.4 ,พ.ต.อ.วีรยศ การุณยธร รอง ผบก.ตม.4, พ.ต.อ.ปรีชา กองแก้ว รอง ผบก.ตม.4 และ พ.ต.ท.สราวุฒิ ปรีดากรณ์ สวญ.ตม.จว.ขอนแก่น ร่วมแถลงข่าวจับกุมผู้ต้องหา

ตม.จว.ขอนแก่น บูรณาการกำลังร่วมกับ เจ้าหน้าที่ กก.1 บก.ทท.2 จับกุมบุคคลต่างด้าว Mr.Sunjiฯ อายุ 36 ปี สัญชาติแคเมอรูนข้อหา “เป็นบุคคลต่างด้าวเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด” จำนวน 2,431 วัน ตาม ม.81 พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ.2522 สถานที่จับกุม หน้าบ้านแห่งหนึ่งใน ต.บ้านเป็ด อ.เมือง จ.ขอนแก่น

ตามนโยบายของ ผบ.ตร. ให้มีการระดมกวาดล้างบุคคลต่างด้าวที่เข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรและกระทำความผิด ตม.จว.ขอนแก่น ได้สนองนโยบาย โดยสั่งการเจ้าหน้าที่สืบสวนออกติดตามหาข่าวบุคคลต่างด้าวที่กระทำผิดในพื้นที่รับผิดชอบ ต่อมาได้สืบทราบว่ามีบุคคลต่างด้าวผิวสี อาศัยอยู่ในพื้นที่ ต.บ้านเป็ด อ.เมือง จ.ขอนแก่น มักจะชักชวนเพื่อนมาสังสรรค์ มั่วสุมกันในที่พักทั้งส่งเสียงดังก่อกวนประชาชนผู้พักอาศัยอยู่ในบริเวณใกล้เคียง อันเป็นกิจกรรมเสี่ยงแพร่โควิด ฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน จึงประสานกับหน่วยงานข้างเคียง ลงพื้นที่ตรวจสอบ พบบ้านพักของบุคคลต่างด้าวรายดังกล่าว และมีชายผิวสีกำลังออกมาจากบ้าน

จากการสอบถามเพื่อนบ้านบริเวณใกล้เคียงแจ้งว่าบ้านหลังดังกล่าวมักจะมีการรวมกลุ่มมั่วสุมกันอยู่บ่อยครั้ง เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมจึงแสดงตัวเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ขอตรวจสอบเอกสารหนังสือเดินทาง บุคคลต่างด้าวรายดังกล่าวไม่สามารถนำมาแสดงได้ แต่พบใบอนุญาตขับขี่ (International driver license) ระบุชื่อ Mr.Sunjiฯ เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมจึงได้เชิญตัวมาที่ทำการตรวจคนเข้าเมืองเพื่อตรวจสอบโดยใช้ระบบสาระสนเทศตรวจคนเข้าเมือง (PIBICS) จากการตรวจสอบพบข้อมูลการเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักร และข้อมูลการขออยู่ต่อ โดย Mr.Sunjiฯ ได้รับอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรถึงวันที่ 15 มิ.ย.58 ซึ่งเป็นการอยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุดจำนวน 2,314 วัน จึงแจ้งข้อกล่าวหาให้ทราบว่า “เป็นคนต่างด้าวเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด” พร้อมนำตัวส่ง พงส.กก.สส.บก.ตม.4 ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

ตม.โคราช สกัดเข้มต่อเนื่อง!! สืบข่าวจนสามารถจับรถตู้ เย้ยกฎหมายขนต่างด้าวกว่า 20 ราย มุ่งเข้ากรุง

ตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เรื่องการควบคุมกำกับดูแลชาวต่างชาติที่เข้ามาพำนักอาศัยหรือเข้ามาเพื่อท่องเที่ยวในประเทศไทย โดย พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. มอบหมายให้ สตม. ดำเนินการตรวจสอบชาวต่างชาติที่มีหมายจับตำรวจสากล หรือพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมในขณะที่พำนักในประเทศไทย กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิต  และทรัพย์สินของประชาชน หรือเป็นลักษณะการกระทำผิดเข้าข่ายอาชญากรรมข้ามชาติ ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศสกัดกั้นการลักลอบเข้า-ออกต่างประเทศโดยผิดกฎหมาย

สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง โดย พล.ต.ท.ภาคภูมิภิภัทฒ์ สัจจพันธุ์ ผบช.สตม. พร้อมด้วย พล.ต.ต.ณฐพล แสวงกิจ รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.ยิ่งยศ เทพจำนงค์ รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.อาชยน  ไกรทอง รอง ผบช.สตม., ได้สั่งการให้  พล.ต.ต.เดชา กัลยาวุฒิพงศ์  ผบก.ตม.4, พ.ต.อ.เอกกมนต์ พรชูเกียรติ รอง ผบก.ตม.4 ,พ.ต.อ.วีรยศ การุณยธร รอง ผบก.ตม.4,พ.ต.อ.ปรีชา กองแก้ว รอง ผบก.ตม.4 และ พ.ต.อ.วิทวัส บูรณะ ผกก.ตม.จว.นครราชสีมา ร่วมแถลงข่าวจับกุมผู้ต้องหา

ตม.จว.นครราชสีมา ร่วมบูรณาการตั้งด่านจุดตรวจยานพาหนะ อ.สีคิ้ว บก.ปส.2 จับกุมคนไทย 2 คนใช้รถตู้ขนบุคคลต่างด้าวหลบหนีเข้าเมือง 7 คน และ ข้อหาฝ่าฝืน พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 และข้อหา "ขัดคำสั่ง ผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา"

ตามนโยบายของ ผบช.สตม.ให้ติดตามดำเนินคดีกับกลุ่มขบวนการลักลอบขนคนต่างด้าวเข้าเมือง เพื่อป้องกันการนำเชื้อไวรัสโคนา 2019 (โควิด-19) เข้ามาแพร่ระบาดในพื้นที่จังหวัดชั้นใน พล.ต.ต.เดชา กัลยาวุฒิพงศ์ ผบก.ตม.4 จึงสั่งการให้ ตม.จังหวัดในสังกัด บก.ตม.4 เพิ่มความเข้มในการสกัดจับกุมขบวนการลักลอบขนคนเข้าเมืองมาลงโทษ โดย บก.ตม.4 ได้มีผลการปฏิบัติมาอย่างต่อเนื่องตลอดมา จนกระทั่ง ได้รับแจ้งจากสายลับไม่ประสงค์ออกนามว่า จะมีการลักลอบขนคนต่างด้าว โดยใช้เส้นทาง สีคิ้ว จ.นครราชสีมา จึงประสาน เจ้าหน้าที่ชุดจับกุม ตม.จว.นครราชสีมา บูรณาการร่วมกับหน่วยงานข้างเคียงดักซุ่มรอจนกระทั่งพบรถตู้ลักษณะตรงกับที่ได้รับแจ้งขับขี่ผ่านมา จึงแจ้งชุดจับกุมที่ดักซุ่มอยู่ในเส้นทางเข้าสกัดจับ ผลการตรวจสอบพบรถยนต์ตู้สาธารณะไม่ประจำทาง ยี่ห้อโตโยต้า สีขาว ทะเบียน กทม. บรรทุกบุคคลต่างด้าวจำนวน 20 คน

สตม. ร่วมกับกรมการปกครอง ทลายเครือข่ายนายหน้า!! ‘นำคนต่างด้าวสวมบัตรประชาชนไทย’

ตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เรื่องการควบคุมกำกับดูแลชาวต่างชาติที่เข้ามาพำนักอาศัย หรือเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.สุวัฒน์  แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. มอบหมายให้ สตม.ดำเนินการตรวจสอบชาวต่างชาติที่มีหมายจับตำรวจสากล หรือมีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในขณะที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทย กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน หรือเป็นลักษณะการกระทำผิดเข้าข่ายอาชญากรรมข้ามชาติ ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ

สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองโดย พล.ต.ท.ภาคภูมิภิภัทฒ์ สัจจพันธุ์ ผบช.สตม. มอบหมายให้ พล.ต.ต.ณฐพล แสวงกิจ รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.ยิ่งยศ  เทพจำนงค์ รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.อาชยน ไกรทอง รอง ผบช.สตม.,พล.ต.ต.ปิติ นิธินนทเศรษฐ์ ผบก.ตม.1, พ.ต.อ.ยศเอก รักษาสุวรรณ รอง ผบก.ตม.1, และ พ.ต.อ.กีรติศักดิ์ ก้องเกียรติศิริ ผกก.สส.บก.ตม.1 พร้อมชุดปฏิบัติการสืบสวนฯ

ร่วมแถลงข่าวการจับกุมคนร้าย ดังนี้ 

เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.สส.บก.ตม.1 ได้ทราบข้อมูลจากสายลับว่ามีขบวนการรับจ้างสวมบัตรประชาชนไทย ให้กับบุคคลต่างด้าว ที่มีความประสงค์จะมีบัตรประชาชนไทย โดยอาศัยช่องโหว่และขั้นตอนกระบวนการอันทุจริต ไม่เป็นไปตามกฎหมาย นับเป็นหนึ่งในภัยคุกคามต่อความมั่นคงในราชอาณาจักร สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง โดยกองกำกับการสืบสวน กองบังคับการตรวจคนเข้าเมือง 1 ได้เร่งลงพื้นที่สืบสวนหาข่าว จนทราบแหล่งที่ซ่อนตัว ของบุคคลต่างด้าวสัญชาติจีนรายหนึ่ง คือนายเหม่ย และบุคคลต่างด้าวสัญชาติมาเลเซียอีกรายหนึ่งคือนางสาวซุน หลังตรวจพบมีพฤติกรรมในการแอบอ้าง สวมรายการข้อมูลบัตรประชาชนบุคคลสัญชาติไทย ที่ปรากฏข้อมูลอยู่บนฐานข้อมูลทะเบียนราษฎร์แต่ไม่มีความเคลื่อนไหวทางทะเบียน จึงได้สืบสวนติดตามจนนำไปสู่การจับกุม ผู้ต้องหาให้การสารภาพโดยรับว่าได้ว่าจ้างให้นายหน้าคนไทยดำเนินการโดยเสียค่าจ้างไปเป็นจำนวนเงินกว่า 1 ล้านบาท

โดยในการสืบสวนในครั้งนี้ ทางสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองได้รับความร่วมมือในการประสานงานข้อมูลทางทะเบียนในเชิงลึก กับทางสำนักการสอบสวนและนิติการ กรมการปกครอง จนทราบข้อมูลโครงข่ายและแผนประทุษกรรมของขบวนการสวมบัตรประชาชนไทยให้กับบุคคลต่างด้าวโดยทุจริต ดังนี้

สืบเนื่องจากเมื่อช่วงเดือนเมษายน 2563 ที่ผ่านมา ส่วนป้องกันและปราบปรามการทุจริต สำนักบริหารการทะเบียน กรมการปกครอง ได้ตรวจสอบพบความผิดปกติทางทะเบียนและบัตรประจำตัวประชาชน ของ สำนักทะเบียน อ.วังม่วง จ.สระบุรี จนนำไปสู่การดำเนินคดีกับขบวนการนายหน้านำพาคนต่างด้าวสวมตัวทำบัตรประจำตัวประชาชน จำนวน  4 ราย โดยมีแผนประทุษกรรมและตัวละครที่เกี่ยวข้องคือ นางเล็ก (นามสมมติ) แม่บ้านผู้ดูแลความสะอาดเรียบร้อยในที่ว่าการ อ.วังม่วง ได้ลักลอบทำปลอมลูกกุญแจ ห้องสำนักทะเบียนอำเภอวังม่วง และแอบนำบัตรประจำตัว

ประชาชนและรหัสผ่านเข้าระบบของปลัดอำเภอวังม่วง จำนวน 3 คน และนำไปมอบให้กับ นางน้อย (นามสมมติ) พนักงานลูกจ้างที่ทำงานอยู่ที่สำนักทะเบียน อ.วังม่วง โดยนางเล็ก และนางน้อย ยังได้ร่วมกับนายหน้าและผู้ร่วมขบวนการอีก 2 ราย คือ นางสม (นามสมมติ) ซึ่งมีหน้าที่ติดต่อ ชักชวน และนำพาคนต่างด้าวมาที่ อ.วังม่วง และ นายศักดิ์ (นามสมมติ) ซึ่งยินยอมเป็นเจ้าบ้าน ให้บุคคลต่างด้าวที่สวมบัตรเรียบร้อยแล้ว จดแจ้งเข้าเป็นผู้อาศัยโดยทุจริต

คดีนี้ได้มีการดำเนินคดีกับผู้ร่วมขบวนการทั้งหมด ตั้งแต่ช่วงเดือนกันยายนที่ผ่านมา โดยกล่าวหาว่า ร่วมกันนำเข้าข้อมูลอันเป็นเท็จในระบบทะเบียนราษฎรและนำคนต่างด้าวสวมตัวคนไทยทำบัตรประจำตัวประชาชน ตาม พ.ร.บ.บัตรประจำตัวประชาชน พ.ศ. 2526 พ.ร.บ.การทะเบียนราษฎร พ.ศ.2534, พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 และประมวลกฎหมายอาญาในฐานความผิดเกี่ยวกับการแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงาน, ความผิดเกี่ยวกับการทำลายเอกสารของ และความผิดเกี่ยวกับการปลอมหรือการแปลง

 

 

รวบ!! 'เครือข่ายค้ามนุษย์' หลอกคนไทยทำงานผิดกฎหมายในกัมพูชา พร้อมจับกุมสมาชิกเครือข่ายค้าแรงงานข้ามชาติเมื่อปี 2558

จากกรณีปรากฏข่าวทางสื่อโซเชียลมีเดียและสื่อโทรทัศน์ต่าง ๆ ว่ามีคนไทยถูกหลอกลวงและบังคับให้ทำงานผิดกฎหมายในเมืองพระสีหนุ ประเทศกัมพูชา และได้ร้องขอความช่วยเหลือจากหน่วยราชการไทยให้ช่วยเหลือเดินทางกลับประเทศไทย ผ่านทางสื่อโซเชียลมีเดีย ตามที่ทราบแล้วนั้น

จากกรณีดังกล่าว พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้สั่งการให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ดำเนินการให้การช่วยเหลือเหยื่อคนไทยให้ได้กลับประเทศเป็นการเร่งด่วน และทำการปราบปรามคนร้ายข้ามชาติและการกระทำผิดเกี่ยวกับการค้ามนุษย์อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพสังคมและเศรษฐกิจ เนื่องจากปัจจุบันยคนร้ายหรืออาชญากรได้ถือโอกาสที่คนได้รับผลกระทบจากปัญหาในช่วงไวรัสโควิด-19 สร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชน โดยการหลอกลวงให้ไปใช้แรงงาน ทำงานผิดกฎหมายในต่างประเทศ ซึ่งลักษณะดังกล่าวเป็นภัยต่อประเทศ ในการนี้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยศูนย์พิทักษ์เด็ก สตรี ครอบครัว ป้องกันปราบปรามการค้ามนุษย์ และภาคประมง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศพดส.ตร.) จึงได้ทำหน้าที่สืบสวนและปราบปรามอาชญากรรมในรูปแบบดังกล่าวอย่างจริงจัง

พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. จึงได้สั่งการให้ พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ/ผู้อำนวยการ ศพดส.ตร. และ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ/ รองผู้อำนวยการ ศพดส.ตร. ให้ดำเนินการสืบสวนสอบสวนกรณีดังกล่าว โดยได้สั่งการให้ พ.ต.อ.เขมรินทร์ พิสมัย หัวหน้าชุดปฏิบัติการสืบสวน พร้อมพวก ทำการรวบรวมข้อมูลและพยานหลักฐานในกรณีดังกล่าว จนสามารถออกหมายจับเครือข่ายผู้กระทำความผิดได้ทั้งหมด 10 ราย ประกอบด้วยผู้ต้องหาชาวจีนจำนวน 4 ราย, ผู้ต้องหาชาวกัมพูชาจำนวน 4 ราย และผู้ต้องหาชาวไทยจำนวน 2 ราย

ต่อมาเมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2564 ชุดปฏิบัติการสืบสวน ศพดส.ตร. ได้ทำการจับกุม สองผู้ต้องหาชาวไทยที่ได้ถูกออกหมายจับจากกรณีดังกล่าว ประกอบด้วย

1) น.ส.อุบลรัตน์ พุฒิไพรสกุล อายุ 22 ปี

    ผู้ต้องหาตามหมายจับของศาลอาญาที่ 1701/2564 ลงวันที่ 19 ต.ค.64

2) น.ส.เทียนฟ่ง แซ่หลี่ อายุ 28 ปี

    ผู้ต้องหาตามหมายจับของศาลอาญาที่ 1702/2564 ลงวันที่ 19 ต.ค.64

โดยสามารถจับกุมตัวผู้ต้องหาทั้งสองได้ในพื้นที่ สภ.ฝาง และสภ.เวียงแหง จว.เชียงใหม่ จากนั้นได้นำตัวผู้ต้องหาทั้งสองนำส่งพนักงานสอบสวน บก.ปคม. เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

ทั้งนี้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย ศพดส.ตร. ได้ประสานขอความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในประเทศกัมพูชา เพื่อให้ความช่วยเหลือเหยื่อคนไทยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ปัจจุบันอยู่ในขั้นตอนการดำเนินการทางเอกสารเพื่อขอรับตัวเหยื่อคนไทยกลับประเทศไทยต่อไป

นอกจากนี้ ได้มีกรณีที่ทางการมาเลเซีย โดยสถานเอกอัครราชทูตมาเลเซียประจำประเทศไทย ได้มีคำร้องผ่านกระทรวงการต่างประเทศ ร้องขอให้ทางการไทยส่งตัวบุคคลสัญชาติไทยจำนวน ๙ รายเป็นผู้ร้ายข้ามแดน โดยกลุ่มบุคคลดังกล่าวมีส่วนเกี่ยวข้องกับการลักลอบขนย้ายแรงงานโดยผิดกฎหมายในประเทศมาเลเซีย ต่อมา พนักงานอัยการ สำนักงานอัยการสูงสุดของไทย ได้ยื่นคำร้องขอหมายจับบุคคลทั้ง ๙ รายตามคำร้องขอของทางการมาเลเซีย เพื่อดำเนินการจับกุมและส่งตัวไปดำเนินคดีตามกฎหมายในประเทศมาเลเซียต่อไปนั้น

จากกรณีดังกล่าว พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. ได้สั่งการให้ พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ/ผู้อำนวยการ ศพดส.ตร. และ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ/รองผู้อำนวยการ ศพดส.ตร. ให้ดำเนินการสืบสวนติดตามจับกุมผู้ต้องหาทั้ง 9 ราย ดังกล่าว

‘ตำรวจภูธรภาค 5’ กวาดล้างอาชญากรรมทุกรูปแบบ!! พบยาบ้า 20 ล้านเม็ด - ไอซ์ 631 กิโลกรัม - เฮโรอีน พร้อมอาวุธปืนอีก 500 กว่ากระบอก

ตามนโยบายของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ,พลเอกประวิตร  วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง มีความห่วงใยในชีวิตและทรัพย์สินของพี่น้องประชาชน จึงได้สั่งการให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ดำเนินการป้องกันปราบปรามอาชญากรรมทุกรูปแบบที่สร้างความเดือดร้อนให้แก่ ประชาชน และเป็นภัยกับสังคม ไม่ว่าจะเป็นคดีเกี่ยวกับอาวุธปืน ยาเสพติด ,ชีวิต ร่างกายและเพศ และเกี่ยวกับทรัพย์ หรือกระทั่งอาชญากรรมทางเทคโนโลยี เช่น การหลอกลวงประชาชนโดยใช้ Social Media โดยเฉพาะในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด - 19 นั้น

เพื่อให้การขับเคลื่อนนโยบายของรัฐบาลดังกล่าว ให้บังเกิดผลเป็นรูปธรรม และเป็นการเตรียมความพร้อมสำหรับการเปิดประเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.สุวัฒน์  แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. ,พล.ต.อ.สุชาติ  ธีระสวัสดิ์ รอง ผบ.ตร.(สส.) ,พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ รอง ผบ.ตร.(ปป) , พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์  กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร.(มค) จึงได้สั่งการให้ทุก บช. มีการะดมกวาดล้างอาชญากรรมตามเป้าหมายต่างๆ ในห้วงวันที่ 20 -31 ตุลาคม 2564 

วันที่ 2 พฤศจิกายน 2564 เวลา 10:30 น. ณ กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 5

ตำรวจภูธรภาค 5 ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.ปิยะ ต๊ะวิชัย ผบช.ภ.5, พล.ต.ต.บัณฑิต ตุงคะเศรณี ,พล.ต.ต.พฤทธิพงษ์ประยูรศิริ, พล.ต.ต.พิเชษฐ จีระนันตสิน, พล.ต.ต.วีรชน บุญทวี รอง ผบช.ภ.5, พล.ต.ต.วรพงศ์ คำลือ ผบก.สส.ภ.5 และ ผบก.ทุก ภ.จว. ในสังกัด ภ.5 ได้ดำเนินการสนองตอบนโยบายรัฐบาล และสำนักงานตำรวจแห่งชาติดังกล่าว โดยบูรณาการกำลังร่วมกันกับฝ่ายปกครอง หน่วยทหารกองทัพภาคที่ 3 และป.ป.ส.ภาค 5 โดยขอแถลงสรุปผลการปฏิบัติระดมกวาดล้างอาชญากรรมตามเป้าหมายที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติกำหนด ในห้วงวันที่ 20 -31 ตุลาคม 2564 สามารถจับกุมผู้ต้องหาได้ดังนี้

1. ความผิดเกี่ยวกับการพนัน 1,017 ราย ผู้ต้องหา 1,136 คน

2. ความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด 3,567 ราย ผู้ต้องหา 2,681 คน

3. ความผิดเกี่ยวกับการลักลอบหลบหนีเข้าเมือง 770 ราย ผู้ต้องหา 772 คน

4. ความผิดเกี่ยวกับอาวุธปืน 1,240 ราย ผู้ต้องหา 796 คน

5. ความผิดเกี่ยวกับสถานบริการ 90 ราย ผู้ต้องหา 89 คน

6. จับกุมบุคคลตามหมายจับ 2,081 ราย ผู้ต้องหา 2,057 คน

7. อาชญากรรมทางเทคโนโลยี 288 ราย ผู้ต้องหา 75 คน

รวมทั้งสิ้น 9,053 ราย ผู้ต้องหา 7,606 คน

โดยเฉพาะผลการปฏิบัติที่สำคัญ มีการจับกุมเกี่ยวกับยาเสพติดรายใหญ่ที่ผ่านมา ได้แก่ที่

1.สภ.ฝาง จว.เชียงใหม่ ยาบ้า 100,000 เม็ด (20 ต.ค.64)

2.สภ.แม่สรวย จว.เชียงราย ยาบ้า 310,000 เม็ด ไอซ์ 58 กก. เฮโรอีน 7 กก. (20 ต.ค.64)

3.สภ.เมืองเชียงราย ,แม่สรวย ยาบ้า 1,696,000  เม็ด ไอซ์ 9 กก. (20 ต.ค.64)

4.กก.สส.ภ.5 ร่วมกับ ป.ป.ส. 4,400,000 เม็ด ไอซ์ 288 กก. (20 ต.ค.64) ต้นทางจาก อ.ภูซาง อ.เชียงคำ จว.พะเยา จับกุมได้ที่ จ.อยุธยา

5.สภ.ห้วยไร่ จว.แพร่ ยาบ้า 5,000,000 เม็ด (23 ต.ค.64)

6.สภ.แม่ลาว จว.เชียงราย ยาไอซ์ 235 กก. (29 ต.ค.64)

ซึ่งในวันนี้ ตำรวจภูธรภาค 5 ได้นำมาร่วมแถลงข่าว จำนวน 3 คดี คือ

คดีที่ 1 : ตรวจยึดยาบ้า 7,970,000 เม็ด

วันเดือนปีที่ตรวจยึด : วันที่ 30 ตุลาคม 2564

สถานที่ตรวจยึด : จุดตรวจแพร่ธรรมาราม อ.เด่นชัย จว.แพร่

ของกลาง : ตรวจยึดยาเสพติดประเภทยาบ้า 7,970,000 เม็ด และ รถยนต์ขนส่ง 6 ล้อ จำนวน 1 คัน

ข้อกล่าวหา : มียาเสพติดให้โทษประเภท 1 (เมทแอมเฟตามีนหรือยาบ้าและไอซ์) ไว้ในครอบครอง เพื่อจำหน่าย โดยผิดกฎหมาย

พฤติการณ์แห่งคดี: ด้วยเมื่อ วันที่ 30 ต.ค.2564 เวลา 10:00 น. ผู้ขับขี่รถยนต์บรรทุก หมายเลขทะเบียน 72-4852 นครปฐม ได้รับการติดต่อจากเพื่อนกลุ่มขับรถรับจ้างให้ไปรับงานที่ห้องพัก ต.ร่องฟอง อ.เมืองแพร่ จว.แพร่ เพื่อนำส่งปลายทางที่เขตมีนบุรีกรุงเทพฯ ซึ่งผู้ติดต่อแจ้งว่าเป็นสุ่มไก่ เมื่อถึงจุดขึ้นของมีผู้ชาย 2 คน ยกของขึ้นรถบรรทุก เป็นลังไม้และสุ่มไก่ ผู้ขับขี่ฯ จะช่วยยกของขึ้นรถ ชายทั้งสอง บอกว่าไม่ต้องช่วย และไม่ต้องเปิดลังดูเพราะข้างในเป็นยาสำหรับไก่ชน ในระหว่างที่รอผู้ชายทั้งสองยกของขึ้นรถบรรทุก ผู้ขับขี่ฯ ก็เดินไปทำธุระส่วนตัวที่ปั้ม เมื่อกลับมาถึงรถบรรทุกชายทั้งสองก็แจ้งว่าเรียบร้อยแล้ว จากนั้นนายรุ่งเพชรฯ ก็คลุมผ้าใบท้ายรถและขับรถบรรทุกออกจากจุดขึ้นของมุ่งหน้าทาง อ.เด่นชัย - อุตรดิตถ์ เมื่อมาถึงปั๊มน้ำมัน ที่ อ.เด่นชัย ผู้ขับขี่ฯ จึงหยุดรถ แล้วเปิดดูลังไม้ที่บรรทุกมาให้หายสงสัยว่าเป็นสิ่งของผิดกฎหมายหรือไม่ เปิดดูพบด้านในลังไม้มีถุงสีดำบรรจุก้อนสี่เหลี่ยมห่อด้วยกระดาษสีเหลืองประทับตรา 999 และโทรศัพท์แจ้ง สภ.เด่นชัย ช่วยตรวจสอบ เจ้าหน้าที่ตำรวจฯ ตรวจสอบเบื้องต้นพบเป็นยาบ้า จำนวน 54 ถุง สรุปยาบ้าจำนวน 7,970,000 เม็ด ขณะนี้ อยู่ระหว่างสืบสวนข้อเท็จจริง เพื่อติดตามหาผู้กระทำผิด และผู้ร่วมขบวนการมาดำเนินคดี ตามกฎหมายต่อไป

คดีที่2 : สภ.เวียงมอก จว.ลำปาง จับกุมยาบ้า 599,600 เม็ด, ไอซ์ 41 กิโลกรัม

วันเดือนปีที่จับกุม : วันที่ 30 ตุลาคม 2564

สถานที่จับกุม : ด่านตรวจสะเลียมหวาน ต.เวียงมอก อ.เถิน จว.ลำปาง

ผู้ต้องหา : นายศักดิ์สิทธิ์ อำพันทอง อายุ 47 ปี ภูมิลำเนาอยู่ ต.สมเด็จ อ.สมเด็จ จว.กาฬสินธุ์

ของกลาง : ยาบ้า 599,600 เม็ด,ไอซ์ 41 กิโลกรัม,รถยนต์ (ซีอาร์วี) จำนวน 1 คัน

พฤติการณ์แห่งคดี : เมื่อวันที่ 30 ต.ค.64 เวลา 06:10 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เวียงมอก ได้ตั้งด่านตรวจยาเสพติด ต่อมาได้มี นายศักดิ์สิทธิ์ อำพันทอง ขับรถยนต์หมายเลขทะเบียน กง 5906 กาญจนบุรี จึงได้ทำการตรวจค้น ผลการ ตรวจค้นพบยาบ้า ลักษณะกลมแบน ประทับอักษร WY จำนวนประมาณ 599,600 เม็ด และไอซ์จำนวน 41 ห่อ น้ำหนัก 41 กก. ซุกซ่อนอยู่บริเวณด้านหลังรถยนต์ ซึ่ง ผตห.รับว่าของกลางทั้งหมดรับมาจาก อ.เชียงดาว จว.เชียงใหม่ เพื่อส่งไปให้เป้าหมายที่กรุงเทพมหานคร ขณะนี้อยู่ระหว่างการสืบสวนขยายผล เพื่อติดตามหา ผู้ร่วมขบวนการมาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

คดีที่3 สภ.เกาะช้าง จว.เชียงราย ร่วมกับ กองกำลังผาเมือง ตรวจยึดยาบ้า 320,000 เม็ด

วันเดือนปีที่ตรวจยึด : วันที่ 30 ตุลาคม 2564

สถานที่ตรวจยึด : ช่องทางธรรมชาติบ้านป่าซาง ม.6 ต.เกาะช้าง อ.แม่สาย จว.เชียงราย

ของกลาง : ตรวจยึดยาเสพติดประเภทยาบ้า 320,000 เม็ด

พฤติการณ์แห่งคดี : ในห้วงวันที่ 30 ต.ค.2564 เวลา 14:00 น. จนท.กกล.ผาเมือง ได้ตรวจพบกลุ่มคนประมาณ 4 คน แบกถุงพลาสติกสีดำเดินมาจากประเทศเมียนม่า เจ้าหน้าที่จึงแสดงตัว ขอทำการตรวจค้นกลุ่มคนดังกล่าว จึงได้ทิ้งถุงพลาสติกสีดำไว้แล้วได้วิ่งหลบหนีกลับไปยังประเทศเมียนม่า ชป.ขอกำลังสนับสนุน เข้าปิดล้อมสถานที่เกิดเหตุตรวจสอบบริเวณพื้นที่โดยรอบ พบเป็นวัตถุมีลักษณะเป็นกล่อง ห่อหุ้มด้วยถุงพลาสติกสีดำจำนวน 2 กล่อง บรรจุยาบ้ากล่องละประมาณ 160,000 เม็ด รวมเป็นยาบ้าทั้งหมด จำนวนประมาณ 320,000 เม็ด ขณะนี้อยู่ระหว่างสืบสวน ขยายผลเพื่อติดตามหาผู้กระทำผิด และ ผู้ร่วมขบวนการมาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

รวมของกลางทั้งหมด ยาบ้า 19,896,000 เม็ด , ไอซ์ 631 กิโลกรัม และ เฮโรอีน 7 กิโลกรัม

 

‘สตม.’ บุกทลาย!! 'ปาร์ตี้ผิวสี' ย่านรามคำแหง ลักลอบมั่วสุมยันหว่างร่วมครึ่งร้อย!! หวั่นแพร่เชื้อโอไมครอน

ตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เรื่องการควบคุมกำกับดูแลชาวต่างชาติที่เข้ามาพำนักอาศัย หรือเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.สุวัฒน์  แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ดํารงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร มอบหมายให้ สตม.ดำเนินการตรวจสอบชาวต่างชาติที่มีหมายจับตำรวจสากล หรือมีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในขณะที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทย กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน หรือเป็นลักษณะการกระทำผิดเข้าข่ายอาชญากรรมข้ามชาติ ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ

สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง โดย พล.ต.ท.ภาคภูมิภิภัทฒ์ สัจจพันธุ์ ผบช.สตม. พร้อมด้วย พล.ต.ต.อาชยน  ไกรทอง รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.ปิติ  นิธินนทเศรษฐ์  ผบก.ตม.1, และ พ.ต.อ.ระพีพัฒน์ อุตสาหะ ผกก.สส.บก.ตม.1 พร้อมชุดปฏิบัติการสืบสวนฯ ร่วมแถลงข่าวการจับกุมคนร้าย ดังนี้ 

สืบเนื่องจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ กองกำกับการสืบสวน กองบังคับการตรวจคนเข้าเมือง 1 ได้ทราบข้อมูลจากแหล่งข่าวว่าที่ร้านนครบาร์บางกอก ในย่านรามคำแหงจะมีการลักลอบจัดปาร์ตี้สังสรรค์ และจำหน่ายสุราหรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้กับกลุ่มลูกค้า โดยมีกลุ่มลูกค้าส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติผิวสี และมีหญิงไทยร่วมด้วย ซึ่งมักมีการนัดรวมตัวเพื่อมั่วสุมดื่มสุราหรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ร้านดังกล่าวเป็นจำนวนมาก เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมจึงได้มีการประชุม วางแผนในการเข้าปิดล้อมตรวจสอบร้านดังกล่าว

ต่อมาในวันที่ 13 ธันวาคม 2564 เวลาประมาณ 01.45 น. สตม. โดย กก.สส.บก.ตม.1 ได้สนธิกำลังกับ กก.2 บก.ปส.1 และ สน.หัวหมาก เข้าปิดล้อมตรวจค้นร้านนครบาร์บางกอก ที่เกิดเหตุ พบสภาพภายในร้านมีลักษณะเป็นตู้คอนเทนเนอร์ ตกแต่งภายในโดยมีโต๊ะพูล รวมทั้งมีการจัดโต๊ะเก้าอี้สำหรับนั่งรับประทานอาหารและดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์  มีลูกค้าทั้งคนไทย และคนต่างชาติ กำลังใช้บริการอยู่จำนวนหลายสิบราย

จากการตรวจสอบเอกสารหนังสือเดินทางของกลุ่มลูกค้าชาวต่างชาติทั้งหมดในร้าน พบเป็นบุคคลต่างด้าวผิวสีจากประเทศในแถบแอฟริกาเช่น ไนจีเรีย คองโก แคเมอรูน เป็นต้น โดยในจำนวนบุคคลต่างด้าวทั้งหมดนี้ เจ้าหน้าที่พบว่ามีบุคคลต่างด้าวที่ไม่มีหนังสือเดินทาง หรือมีหนังสือเดินทางที่ไม่มีรอยตราประทับจากช่องทางด่านตรวจคนเข้าเมือง เป็นจำนวนถึง 15 ราย ในเบื้องต้นเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมจึงได้แจ้งข้อกล่าวหาต่อบุคคลต่างด้าวในจำนวนนี้ว่า “เป็นบุคคลต่างด้าวเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยผิดกฎหมาย และไม่ผ่านการตรวจของพนักงานเจ้าหน้าที่ตามกฎหมาย” นอกจากนี้ในที่เกิดเหตุ เจ้าหน้าที่ตำรวจยังพบนางสาวดา (นามสมมุติ) อายุ 41 ปี สัญชาติไทย แสดงตนเป็นเจ้าของและผู้ดูแลร้าน โดยอ้างกับเจ้าหน้าที่ว่าได้มีการเช่าช่วงจากเจ้าของร้านเดิม ซึ่งร้านดังกล่าวนี้เคยเปิดเป็นร้านจำหน่ายสุราและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ได้รับอนุญาตอย่างถูกต้อง แต่ได้รับผลกระทบจากภาวะโรคระบาดโควิด-19 จนต้องปิดตัวไป     

โดยหลังจากทำการเช่าช่วงร้านดังกล่าว นางสาวดาได้ลักลอบใช้ร้านดังกล่าวเป็นที่นัดรวมตัวมั่วสุมของกลุ่มคนต่างชาติผิวสีเรื่อยมาเป็นเวลากว่า 1 เดือน โดยจะใช้แผ่นเมทัลชีทปิดช่องแสงโดยรอบจนทึบและปิดเสียงดนตรี เพื่อปิดบังอำพรางเจ้าหน้าที่เพื่อให้ยากต่อการตรวจสอบพบ

ซึ่งในส่วนของเจ้าของร้านที่เกิดเหตุนั้น เจ้าหน้าที่ได้จับกุมในข้อหา “จำหน่ายสุราหรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์โดยไม่ได้รับอนุญาต และ จำหน่ายอาหารหรือเครื่องดื่มโดยร้านไม่ผ่านการประเมินมาตรฐานความปลอดภัยด้านสุขอนามัยฯ โดยจัดให้มีการบริโภคสุราหรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในร้านเกินเวลา อันเป็นการฝ่าฝืนประกาศกรุงเทพมหานคร ฉบับที่ 47 ข้อ 2 ลงวันที่ 29 พ.ย.64” และควบคุมตัวทั้งนางสาวดาฯ และบุคคลต่างด้าวทั้งหมด ส่งพนักงานสอบสวน สน.หัวหมากดำเนินคดีตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่อไป

 


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top