Friday, 25 April 2025
พระสงฆ์

ยกเป็นแบบอย่างสังคม ‘ผบ.ตร.’ มอบรางวัล ‘พระกระโดดกำแพง’ ช่วยป้าร้านขายของชำ ถูกคนร้ายจี้คอ

(3 มี.ค. 66) พล.ต.ต.อาชยน ไกรทอง โฆษก สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า “ตามที่ปรากฏตามสื่อสังคมออนไลน์  พระ 2 รูป กระโดดกําแพงช่วยป้าเจ้าของร้านของชํา ขณะโดนชายบุกล็อคคอ ซึ่งพระ 2 รูปดังกล่าวคือ พระขวัญเมือง ศิริธัมโม และ พระสมศรี ธรรมะสาโร วัดโขดหิน ต.เนินพระ อ.เมือง จ.ระยอง โดยตามวันเวลาที่เกิดเหตุ พระขวัญเมืองฯ และ พระสมศรีฯ ได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือ จึงได้พากันกระโดดกําแพงสูง 3 เมตร เข้าไปช่วยเหลือนางสําเนา เค้าคล่อง ที่กําลังถูกคนร้ายล็อคคอและใช้มีดจี้ เมื่อคนร้ายเห็นพระขวัญเมืองฯ และพระสมศรีฯ วิ่งเข้ามา คนร้ายก็ได้ปล่อยตัว นางสําเนา และหลบหนีไป
.
สํานักงานตํารวจแห่งชาติ พิจารณาแล้วเห็นว่าการกระทําของ พระขวัญเมืองฯ และ พระสมศรีฯ สมควรได้รับการเชิดชูเกียรติยกย่องสรรเสริญเพื่อเป็นตัวอย่างที่ดีแก่สังคมทั้งนี้ พล.ต.อ.ดํารงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. ได้กล่าวชื่นชมในความกล้าหาญเด็ดเดี่ยว พร้อมด้วยไหวพริบปฏิภาณและจิตวิญญาณของความเป็นพลเมืองที่ดี คิดถึงผลประโยชน์ส่วนรวม มีจิตสํานึกที่ดีหรือจิตสาธารณะ ที่เห็นบุคคลอื่นได้รับอันตราย ต้องได้รับการช่วยเหลืออย่างรวดเร็วและทันท่วงที โดยมิได้เกรงกลัวต่อภยันอันตรายแต่อย่างใด ทําให้ไม่เกิดความสูญเสียหรือเหตุการณ์ร้ายแรงขึ้น สมควรได้รับการเชิดชูเกียรติ ยกย่องสรรเสริญ “ตามโครงการทำดีมีรางวัล” เพื่อเป็นแบบอย่างที่ดีแก่สังคมสืบไป” 
 

อึ้งเมนต์ชาวเน็ต “เอื้อเฟื้อที่นั่ง-ไม่ได้บังคับ-ขึ้นอยู่ที่จิตใจคน” กรณีพระสงฆ์ยืนบนรถไฟฟ้า แล้วไม่มีใครลุกให้นั่ง

เมื่อวันที่ 1 ก.ย. 66 มีผู้ใช้เฟซบุ๊ก ‘Bannasan Chansomsak’ โพสต์ภาพพระสงฆ์รูปหนึ่ง ยืนอยู่บนรถไฟฟ้า MRT ซึ่ง ‘ที่นั่งสำรองบุคคลพิเศษ’ (Priority seat) มีผู้โดยสารนั่งอยู่ โดยผู้โพสต์ระบุข้อความว่า “ข้างป้าย ที่นั่งสำรองบุคคลพิเศษ MRT พระภิกษุยืน บุคคลพิเศษกว่า นั่งกันตรึม”

สำหรับ ‘ที่นั่งพิเศษ’ หรือที่เรียกกันว่า ‘Priority Seat’ เป็นที่นั่งไว้คอยบริการแก่บุคคลพิเศษ เด็ก, สตรีมีครรภ์, คนชรา, พระสงฆ์, ผู้พิการ ซึ่งผู้โดยสารทุกท่านสามารถนั่งได้ แต่ก็ต้องพร้อมเสมอที่จะลุกเสียสละ เมื่อมีบุคคลพิเศษจำเป็นต้องใช้บริการ

อย่างไรก็ตาม โพสต์ดังกล่าวมีชาวเน็ตแสดงความคิดเห็นกันเป็นจำนวนมาก เช่น

“ยุคนี้ ประเด็นเรื่องลุกให้นั่งยังมีอีกหรอ คนเหมือนกัน”
“อยู่ที่สามัญสำนึกของบุคคลที่ถูกสั่งสอนมาไม่เหมือนกันแต่ละครอบครัว คำว่าเอื้อเฟื้อที่นั่ง ไม่ได้บังคับ แต่ขึ้นอยู่จิตใจคน”
“ส่วนตัวมองว่ามันเป็นเรื่องของ policy มากกว่าในเมื่อจะเลือกไปใช้รถไฟที่เขามีกฎแบบนี้ ก็ต้องทำตาม เออแต่ถ้าไม่มีกำหนดก็ไม่ต้องก็ไม่มีใครว่า ปล.พระอาจยืนให้เพราะเหมือนที่นั่งอาจจะอายุเยอะแล้ว” เป็นต้น

'หลวงพี่' อดีตกู้ภัย ออกบิณฑบาต พบผู้หญิงถูกรถชนนอนเจ็บ รีบเข้าช่วย บอกญาติโยมที่มาใส่บาตรให้ "รอแปบ" ลั่น!! ชีวิตคนสำคัญกว่าอาบัติ

(12 ม.ค. 67) ผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่งโพสต์ภาพเจ้าหน้าที่กู้ภัยมูลนิธิการกุศลสมุทรสาคร เข้าช่วยเหลือผู้ประสบอุบัติเหตุ บริเวณปากซอยยิ่งเจริญ ถนนเลียบคลองสี่วาตากล่อม หมู่ที่ 8 ต.นาดี อ.เมือง จ.สมุทรสาคร โดยในภาพดังกล่าวมีพระภิกษุสงฆ์รูปหนึ่ง ปฐมพยาบาลช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ พร้อมกับมีข้อความว่า “เช้านี้ ญาติโยมที่จะใส่บาตรรอแปป หลวงพี่ขอช่วยคนเจ็บแปป เสร็จแล้วจะรีบไปรับบาตร” ซึ่งก็มีผู้เข้าไปคอมเมนต์ชื่นชมพระสงฆ์รูปดังกล่าว และแชร์ ต่อๆ กันไปด้วยนั้น

ต่อมาเมื่อเวลาประมาณ 10.00 น. ของวันที่ 11 มกราคม 2567 ผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปที่วัดสุวรรณรัตนาราม (วัดแคราย) ต.แคราย อ.กระทุ่มแบน จ.สมุทรสาคร ซึ่งเป็นวัดที่พระลูกวัดรูปนี้อยู่ พบกับพระมาย หรือ พระจิตตฺสีโล หรือ นายบุญชัย ทองเรืองรอง อายุ 32 ปี บวชที่วัดแห่งนี้มาเป็นเวลา 6 เดือนกว่าแล้ว โดยพระมายเล่าให้ฟังว่า อุบัติเหตุดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 10 มกราคม 2567 ซึ่งตนผ่านไปพบในช่วงเช้าเวลาราว 06.40 น. ขณะที่กำลังออกไปบิณฑบาต ตอนนั้นเห็นมีคนมุง จึงได้เดินย้อนกลับไปแล้วก็เห็นว่ามีอุบัติเหตุรถยนต์เก๋งชนกับรถจักรยานยนต์ มีคนเจ็บอยู่ตรงที่พักรอรถข้างทางจำนวน 2 คน เป็นผู้หญิงวัยกลางคน 1 คน กับ เด็กผู้ชาย อีก 1 คน พอตนเข้าไปถึงชาวบ้านก็บอกว่า “อย่าจับ อย่าจับ โทรเรียกรถพยาบาลแล้ว แต่ผมก็บอกกลับไปว่า ไม่เป็นไร ตอนนี้รถพยาบาลยังไม่มา ขอผมดูคนเจ็บเพื่อประเมินอาการก่อน เพราะตอนที่ยังไม่ได้บวชนั้น ผมเคยเป็นเจ้าหน้าที่อาสากู้ภัย (มูลนิธิร่วมกตัญญู) สามารถช่วยผู้บาดเจ็บและประเมินคนเจ็บได้”

ซึ่งพอเห็นอาการของน้องผู้ชายนั้นมีอาการบาดเจ็บเล็กน้อย ไม่น่าเป็นห่วงเท่าไหร่ แต่ผู้บาดเจ็บอีกรายที่เป็นหญิงนั้น บาดเจ็บค่อนข้างสาหัส มีกระดูกโผล่ที่หัวเข่าและข้อเท้าขวา พอดีกับที่ทางเจ้าหน้าที่กู้ภัยมูลนิธิการกุศลสมุทรสาครมาถึงที่เกิดเหตุ ซึ่งน้องมาคนเดียวนั้น ตนจึงขอน้องกู้ภัยฯ อาสาที่จะช่วยเหลือผู้บาดเจ็บร่วมกัน เพราะต้องดามขา และใส่บอร์ดก่อนรีบนำส่งโรงพยาบาล โดยตอนนั้นทีแรกผมก็รู้สึกลังเลเรื่องความไม่เหมาะสม ที่จะถูกตัวคนเจ็บที่เป็นผู้หญิง แต่เมื่อตัดสินใจแล้วว่า ชีวิตคนสำคัญกว่าอื่นใด จึงได้เข้าไปช่วยเหลือ ทั้งนี้พอช่วยเหลือผู้บาดเจ็บเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ตนก็เดินกลับไปรับบิณฑบาตจากญาติโยมที่รอใส่บาตรอยู่

ขณะที่ ‘นายเอกสิทธิ์ พรอยศรี’ เจ้าหน้าที่กู้ภัยของมูลนิธิการกุศลสมุทรสาคร เล่าว่า วันนั้นตนได้รับแจ้งให้เข้าตรวจสอบและช่วยเหลือผู้บาดเจ็บจากอุบัติเหตุรถชนกัน เมื่อไปถึงก็พบพระรูปหนึ่ง อยู่ข้างๆ ผู้บาดเจ็บ 2 คน โดยเด็กผู้ชายมีอาการเล็กน้อย แต่ผู้หญิงค่อนข้างหนัก พระรูปนั้นได้บอกว่า เคยเป็นเจ้าหน้าที่อาสาฯ มาก่อน จึงขอช่วยผู้บาดเจ็บด้วย จะได้รีบนำคนเจ็บส่งโรงพยาบาล

ตอนแรกตนก็ถามพระว่า “ไม่กลัวอาบัติเหรอ แต่พระก็บอกว่า ไม่เป็นไรชีวิตคนต้องมาก่อน หลวงพี่ขอช่วยด้วยอีกแรง เพราะคนเจ็บรอไม่ได้” จากนั้นก็ได้ช่วยกันให้การปฐมพยาบาลแล้วนำผู้บาดเจ็บส่งเข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลสมุทรสาคร ซึ่งเหตุการณ์ในครั้งนี้ผมมองว่า พระรูปนี้น่าชื่นชม เพราะไม่ว่าคนเราจะอยู่ในฐานะอะไร แต่ชีวิตของเพื่อนมนุษย์นั้นสำคัญที่สุด

‘วีวี่ มิสแกรนด์ร้อยเอ็ด’ โร่ขอโทษ ปมแต่งกายเลียนแบบพระสงฆ์ หลังร่วมปาร์ตี้วันเกิด ‘อิงฟ้า’ สัญญาจะไม่ให้เกิดเรื่องแบบนี้

(22 ก.พ. 67) กรณีเฟซบุ๊ก ‘ว่างจัด x นางงาม’ โพสต์ภาพหญิงแต่งกายคล้ายพระสงฆ์ ถือพัดสีทอง ระบุข้อความว่า “ใส่สบงแล้วทรงพลัง มิสแกรนด์ร้อยเอ็ด ร่วมงานปาร์ตี้ วันเกิดอิงฟ้า วราหะ” ซึ่งภาพดังกล่าว มีบางส่วนที่หัวเราะขบขันกันการแต่งกายเป็นพระสงฆ์ แต่อีกฝ่ายก็ดรามาอยู่ไม่น้อยว่าเป็นพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม

ซึ่งต่อมามีการลบคลิปภาพต้นฉบับออก ก่อนที่ ‘วีวี่ ฐาสุปางค์ เดชะอัครอนันต์’ มิสแกรนด์ร้อยเอ็ด 2024 ได้ออกมายกมือไหว้ขอโทษ เผยผ่านอมรินทร์ ทีวี รับผิดกับการกระทำ เพราะทำให้เกิดความเสื่อมเสีย สร้างความไม่พอใจให้พี่น้องชาว จ.ร้อยเอ็ด

วีวี่เผยว่าตนขออภัยไว้ ณ ที่นี้อย่างสุดซึ้ง สัญญาว่าจะไม่ทำแบบนี้อีกแล้ว และจะให้กรณีนี้เป็นกรณีศึกษา เพื่อให้ตนได้ใช้ความคิด ใช้วิจารณญาณในการที่จะทำคอนเทนต์ออกมา ครั้งนี้ตนกราบขออภัย ขอให้ผู้ใหญ่ทุกท่านให้อภัยตักเตือน สั่งสอนตน การประกวดมิสแกรนด์ในครั้งนี้ มีความตั้งใจมากที่จะสร้างชื่อเสียงให้กับพี่น้องชาว จ.ร้อยเอ็ด ตนสัญญาว่าจะไม่ให้เกิดเรื่องแบบนี้อีก

‘มจร.วัดไร่ขิง’ เปิดสอนหลักสูตร ‘อินฟลูเอนเซอร์สไตล์พุทธ’ ปั้น ‘พระสงฆ์’ เป็นนักสื่อสาร เผยแพร่หลักธรรมที่ถูกต้องให้ ปชช.

(11 มิ.ย.67) พระมหาบุญเลิศ อินฺทปญฺโญ รองผู้อำนวยการ วิทยาลัยสงฆ์พุทธปัญญาศรีทวารวดี มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย หรือ มจร.วัดไร่ขิง จ.นครปฐม กล่าวว่า มจร.วัดไร่ขิง จัดโครงการผลิตบัณฑิตพันธุ์ใหม่ และกำลังคนที่มีสมรรถนะ เพื่อตอบโจทย์ภาคการผลิตตามนโยบายการปฏิรูปการอุดมศึกษาไทย ปี พ.ศ.2567 ประเภทประกาศนียบัตร ในหลักสูตร ‘อินฟลูเอนเซอร์สไตล์พุทธ’ หรือ Buddhist Influencer สำหรับพระสงฆ์

เพื่อพัฒนาพระสงฆ์เป็นพระนักสื่อสารเพื่อสร้างศรัทธา และนำพาปฏิบัติในการพัฒนาชีวิตที่ดีงามตามแนวพุทธ สร้างแรงบันดาลใจในการนำญาติโยมทำความดี พัฒนาศิลปะการสร้างคาแร็กเตอร์ในพื้นที่สื่อสาธารณะ สร้างคอนเทนต์ความดี ทั้งด้านศาสนธรรม ศาสนบุคคล ศาสนสถาน ศาสนพิธี รีวิวคนดี นำคนที่สนใจธรรมมาพบธรรม

พระมหาบุญเลิศ กล่าวต่อว่า ทั้งนี้สำหรับหลักการเปิดหลักสูตรดังกล่าว เนื่องจากพบว่าพระสงฆ์ที่ต้องการเป็นพระนักสื่อสารเพื่อสร้างศรัทธา และนำพาปฏิบัติในการพัฒนาชีวิตที่ดีงามตามแนวพุทธ ในการเผยแผ่หลักธรรมสู่ประชาชน

สร้างศรัทธาและความเลื่อมใส ยังขาดทักษะการสร้างเนื้อหา การสื่อสารธรรมะที่จูงใจให้พุทธศาสนิกชน แต่ละช่วงวัยเข้าใจในเนื้อหาของธรรมะและปฏิบัติได้ถูกต้อง และสามารถใช้หลักธรรมะในการจัดการอารมณ์หรือรับมือกับสถานการณ์ต่าง ๆ ในชีวิตประจำวันได้เหมาะสมตามจริตของแต่ละบุคคล

ขณะที่ความคาดหวังของประชาชน อยากเห็นพระที่เป็นต้นแบบ Influencer ที่มีปฏิปทาน่าเลื่อมใส สามารถสื่อสารธรรมะจูงใจให้เข้าใจและปฏิบัติได้อย่างถูกต้อง ไม่เน้นการบริจาค เน้นช่องทางในการสื่อสารชักจูงใจให้คนสนใจใฝ่ธรรมะ เข้าถึงได้ง่าย สามารถสร้างความเข้าใจในหลักธรรมะที่ถูกต้อง

“เมื่อผู้เรียนผ่านการเรียนรู้จากหลักสูตรนี้แล้ว จะเป็น Buddhist Influencer ที่สามารถสร้างศรัทธาและนำพาปฏิบัติเพื่อพัฒนาชีวิตที่ดีงามตามแนวพุทธ เสริมสร้างความมั่นคงของพระพุทธศาสนา พระสงฆ์ที่สนใจสามารถสมัครได้ที่ วิทยาลัยสงฆ์พุทธปัญญาศรีทวารวดี วัดไร่ขิง ไม่มีค่าใช้จ่ายในการเข้าอบรม และมีที่พักสำหรับท่านที่เดินทางไกล รับจำนวนจำกัด 40 รูปเท่านั้น จะมีการอบรมทุกวันพุธ จำนวน 16 สัปดาห์ สอบถามโทร. 084-5455144, 090-6703835” พระมหาบุญเลิศ กล่าว

เปิดประวัติ 'พระชินวงศวชิรเวที' วัดราชบพิธฯ พระราชาคณะชั้นสามัญที่อายุน้อย จบฮาร์วาร์ด-เปรียญ 7

เมื่อวันที่ (26 ก.พ.68) เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษาได้เผยแพร่ประกาศที่สำคัญ พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระบรมราชโองการโปรดพระราชทานสัญญาบัตรตั้งสมณศักดิ์ 'พระครูสุตตาภิรม เตชินท์' จากวัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม ราชวรวิหาร พระอารามหลวง กรุงเทพมหานคร เป็น พระราชาคณะชั้นสามัญ มีนามว่า 'พระชินวงศวชิรเวที'

ล่าสุด, เพจเฟซบุ๊ก 'ข่าวสารงานพระพุทธศาสนา' ได้เผยแพร่บทความเกี่ยวกับพระชินวงศวชิรเวทีในฐานะพระราชาคณะชั้นสามัญที่มีพรรษาน้อยที่สุดในสังฆมลฑล โดยพระชินวงศวชิรเวที (นามเดิม เตชินท์ จุลเทศ) เกิดเมื่อวันอาทิตย์ที่ 3 มิถุนายน พ.ศ.2533 เป็นบุตรของนายเลอศักดิ์ จุลเทศ อดีตผู้อำนวยการธนาคารออมสิน และนางศิริพร จุลเทศ นับเป็นพระสงฆ์ที่อายุน้อยที่สุดในกลุ่มพระราชาคณะชั้นสามัญ โดยมีอายุเพียง 34 ปี และพรรษาเพียง 7 พรรษา

พระชินวงศวชิรเวทีมีการศึกษาที่โดดเด่น ตั้งแต่สมัยเยาว์วัย สำเร็จการศึกษาชั้นประถมศึกษาและมัธยมศึกษาตอนต้น จากโรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ สำเร็จการศึกษาชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายจากโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา รุ่นที่ 68 ขณะศึกษาชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย มีความสนใจด้านคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ ได้เป็นผู้แทนประเทศไทยไปแข่งขันเคมีโอลิมปิกระหว่างประเทศ ประจำปี พ.ศ.2550 ณ สหพันธรัฐรัสเซีย และประจำปี พ.ศ.2551 ณ ประเทศฮังการี ได้รับรางวัลเหรียญเงิน

จนกระทั่งสำเร็จการศึกษาระดับอุดมศึกษาที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด สหรัฐอเมริกา โดยเขาได้รับปริญญาตรี (A.B.) สาขาเศรษฐศาสตร์และสถิติ และปริญญาโท (S.M.) สาขาคณิตศาสตร์ประยุกต์และเศรษฐศาสตร์ในปี พ.ศ. 2556 หลังจากนั้นได้ทำงานในภาคเอกชนระหว่างปี พ.ศ. 2556-2560 ก่อนที่เขาจะตัดสินใจอุปสมบทเมื่ออายุ 27 ปี

ในด้านการศึกษาพระปริยัติธรรม, พระชินวงศวชิรเวทีสอบได้เปรียญธรรม 7 ประโยคในปี 2567 และได้รับพระอนุญาตให้แสดงพระปาฏิโมกข์ตั้งแต่ปี 2562

พระชินวงศวชิรเวทีดำรงตำแหน่งสำคัญในหลายสถาบัน รวมถึง รองอธิการบดีด้านแผนพัฒนาและพันธกิจสากล ที่มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย และยังได้รับมอบหมายให้ทำงานเกี่ยวกับการต่างประเทศในโอกาสต่าง ๆ รวมถึงบทบาทสำคัญในสำนักงานเลขานุการสมเด็จพระสังฆราช

พระชินวงศวชิรเวทีได้รับการโปรดเกล้าฯ ให้เป็นพระครูฐานานุกรมชั้นเอก เมื่อวันที่ 22 มกราคม 2568 และในวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2568 ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็น พระราชาคณะชั้นสามัญ ตามพระบรมราชโองการ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top