Tuesday, 21 May 2024
พระมหากษัตริย์

'ผู้พันเบิร์ด' เผย ข่าวให้ร้ายสถาบันฯ มาจากผู้เสียผลประโยชน์ ยืนยัน!! 'ในหลวง' ไม่เคยแบ่งแยก มองทุกคนเป็นคนไทย

'ผู้พันเบิร์ด' บรรยายพิเศษ เนื่องในวันเฉลิมพระชนม 70 พรรษา ย้ำ ข่าวลือให้ร้ายสถาบัน เกิดจากกลุ่มเสียผลประโยชน์ ยัน 'ในหลวง' ไม่เคยแบ่งแยก มองทุกคนเป็นคนไทย มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี

เมื่อวันที่ 27 ก.ค. 65 พ.อ. วันชนะ สวัสดี หรือ ผู้พันเบิร์ด รองโฆษกกระทรวงกลาโหม และจิตอาสา 904 บรรยายพิเศษในงานกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติ วันเฉลิมพระชนมพรรษา 70 พรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ให้กับหัวหน้าส่วนราชการ จ.นครนายก และนักเรียนเสธนาธิการทหารบกหลักสูตรหลักประจำชุดที่ 100 ในตอนหนึ่งเกี่ยวข้องกับเรื่องข่าวลือให้ร้ายสถาบันว่า เกิดจากพวกเสียประโยชน์ประกอบกับ พวกแสวงประโยชน์ผสมโรงให้ร้าย บิดเบือน ในหลวงไม่เคยมองใครเป็นคนอื่น ทุกคนคือ เรา พวกเรา คือคนไทย มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี และทรงตอบคำถามแบบเป็นกันเอง ว่า

"ไม่มีใครคิดว่าหนูเป็นอื่น และหนูก็ไม่ได้เป็นอื่น เป็นคนไทย"

ผู้พันเบิร์ด ยังระบุอีกว่า ในต้นรัชกาลที่ 9 ก็เจออุปสรรคมากมาย แต่พระองค์ก็ใช้ความเพียร จนเอาชนะมาได้ จนมาวันนี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ก็อยู่ช่วงต้นรัชกาลเช่นกัน ข่าวลือในทางลบก็เกิดมาก แต่พระองค์ก็มีราชธรรมและบารมี ที่รวมใจคนไทยไว้ได้ โดยทั้งสองพระองค์ไม่เคยคิด แบ่งเขาแบ่งเรา ทุกคนที่ได้อาศัยผืนดินแห่งนี้ คือ พวกเราทุกคน ไม่ว่าจะนับถือศาสนาใด ชนชาติใด ไม่มีคำว่าคนอื่น เป็นครอบครัว

'นันทิวัฒน์' จวก ใครไม่เอาเจ้า ให้ย้ายไปอยู่ที่อื่น ลั่น!! พรรคไหนล่วงละเมิดสถาบัน อย่าไปเลือกมัน

(24 ก.พ. 66) นายนันทิวัฒน์ สามารถ อดีตรองผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ ได้โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว ชื่อ 'Nantiwat Samart' ในหัวข้อ 'อย่าเลือกมัน' โดยมีเนื้อหาระบุว่า...

อย่าเลือกมัน

จำให้ขึ้นใจ ประเทศไทยคงความเป็นไท และเจริญรุ่งเรืองมาได้จนถึงทุกวันนี้ ไม่ใช่นักการเมือง หรือพรรคการเมืองใด ๆ นักการเมืองต่างเข้ามากอบโกย ทุจริต โกงกิน

แต่เป็นพระมหากษัตริย์ที่ปกป้องแผ่นดินไทย พัฒนาประเทศให้เจริญก้าวหน้า นับตั้งแต่อดีตมา นี่คือ เหตุผลที่คนไทยรักและภักดีต่อสถาบัน

หลังการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง พระมหากษัตริย์ทรงอยู่เหนือการเมือง และไม่ทรงเกี่ยวข้องทางการเมือง และไม่ได้สนับสนุนพรรคการเมืองใด ๆ

‘ป๋าเทพ’ ตลกอาวุโสชื่อดัง ลั่น!! ไม่เห็นด้วยที่รัฐบาลชุดใหม่จะมาแตะต้อง ม.112

เมื่อไม่นานมานี้ นายสุเทพ โพธิ์งาม นักแสดงตลกชาวไทย กล่าวถึงเรื่องการเมืองในขณะนี้ว่า ตนเองเป็นไทยคนหนึ่งไม่อยากให้เกิดเรื่องเกิดราวขึ้นมาหากรัฐบาลใหม่จะไปแก้ ม.112 บางทีเราฟังแล้วเป็นห่วง ทั้งที่ท่านไม่ได้มายุ่งมาเกี่ยวอะไรกับพวกเรา หากว่าปล่อยไป ใครทำอะไรขึ้นมา เช่น อยู่ๆ ก็ไปเผารูปบ้าง เวลาท่านเสด็จไปไหนก็ไปขวางรถ ไปสร้างความรำคาญให้ท่านบ้าง แล้วเอาผิดอะไรไม่ได้ กฎหมายมฝมีทั้งนั้นท่านเป็นประมุขนะ คนธรรมดายังมีกฎหมายคุ้มครองเลย ม.112 นั้น หากมีใครไปยุ่งกับท่านมันถึงจะผิด ถ้าเราไม่ยุ่ง มันก็ไม่ผิดอะไร เราต้องมีชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์อยู่แล้ว ประเทศอื่นที่เขามีประธานาธิบดีมีปัญหา มีการล้มล้าง มีการฆ่ากัน บ้านเราไม่ค่อยมีอะไร เพราะมีระบบกษัตริย์ ซึ่งเป็นระบบที่ไว้วางใจได้

“เป็นห่วงแค่นี้แหละ เรื่องอื่นจะทำอะไรก็ทำไป เรื่องนี้ไม่ควรไปยุ่ง เราเป็นห่วงบ้านเมือง ไม่อยากให้มันเป็นอย่างนั้น ถ้าเรารักคนที่เขาไม่ชอบ เขาก็จะด่า เสียผู้เสียคน แค่ความคิดไม่ตรงกันเท่านั้น เหมือนโกรธกันมา 10 ชาติ อยากให้เขาดูด้วยว่าป๋าพูดเรื่องอะไร เพื่ออะไร เพื่อบ้านเมืองเท่านั้น ถ้าหากไม่มีกฎหมายก็ทำกันตามอำเภอใจเท่านั้น มันไม่ถูกต้อง ม.112 ไม่อยากให้ไปยุ่ง ประเทศเรา เราก็รักประเทศของเรา รักพระมหากษัตริย์ของเรา ไม่อยากให้ใครมายุ่ง มีคนมาด่าตนว่าแก่แก่กะโหลกกะลา ก็เฉพาะเรื่องนี้ ขอร้องเถอะครับ” ป๋าเทพ กล่าวทิ้งท้าย

นายอลงกรณ์ พลบุตร รักษาการรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์เปิดเผยว่าวันนี้ว่าได้ตัดสินใจลงสมัครเป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ในการประชุมใหญ่พรรควันที่ 9 กรกฎาคมนี้

นายอลงกรณ์กล่าวย้ำว่า วันนี้พรรคประชาธิปัตย์ต้องการก้าวใหม่ของตัวเองและโอกาสใหม่จากประชาชนด้วยการแสดงออกถึงภาวะผู้นำที่เข้มแข็งและกล้าหาญบนจุดยืนประชาธิปไตยที่ชัดเจนนำประเทศออกจากกับดักความขัดแย้งและวงจรอุบาทว์ด้วยหลักนิติรัฐและธรรมาภิบาลสู่เอกภาพและศักยภาพใหม่ของประเทศเพื่ออนาคตที่ดีกว่าของทุกคน โลกเปลี่ยนเร็วและแข่งขันแรงทั้งการเมือง เศรษฐกิจและเทคโนโลยี ประเทศไทยต้องมีพรรคการเมืองที่ทันสมัยก้าวหน้าทันโลกทันเกมและก้าวใหม่ประชาธิปัตย์คือคำตอบ”

“ผมเชื่อมั่นว่า ด้วยวิสัยทัศน์ความรู้และอุดมการณ์ที่มั่นคงกับพรรคประชาธิปัตย์ตลอด 30 ปีรวมทั้งประสบการณ์เป็นรองหัวหน้าพรรค4สมัยเป็น ส.ส.6สมัยและเป็นรัฐมนตรีมาแล้วจะสามารถนำพรรคสู่ก้าวใหม่ด้วยการปฏิรูปพรรคเป็นสถาบันทางการเมืองของประชาชนด้วยแนวทางเสรีนิยมก้าวหน้าภายใต้ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หากได้รับความไว้วางใจจากสมาชิกพรรคและส.ส.ของพรรคเลือกเป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์คนที่ 9” นายอลงกรณ์กล่าวในที่สุด

นายอลงกรณ์ พลบุตร เมื่อครั้งเป็น ส.ส. และรองหัวหน้าพรรคเคยเสนอให้ปฏิรูปพรรคประชาธิปัตย์ในปี 2556 และเคยลงสมัครชิงตำแหน่งหัวหน้าพรรคแข่งขันในระบบไพรมารี่ในปี 2561แต่ไม่ได้รับเลือกตั้ง.

ประวัติและผลงาน
นายอลงกรณ์ พลบุตร อดีตรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ 4 สมัยและอดีต ส.ส. เพชรบุรีและ ส.ส. บัญชีรายชื่อ6สมัย 
.
>จบปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ปริญญาโทจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้รับประกาศนียบัตรชั้นสูงจากหลายประเทศเช่นสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น ปอร์ตุเกส ฯลฯ 
>เป็น ส.ส.สมัยแรกในปี 2535
>เป็นเลขานุการผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎรและเลขานุการนายกรัฐมนตรี(ชวน หลีกภัย) ปี 2539-2544
>ได้รับฉายา”มิสเตอร์เอทานอล” ปี 2543-2544 ในฐานะประธานโครงการเอทานอลทำให้มีน้ำมันแก๊ซโซฮอลล์จำหน่ายทั่วประเทศ
>เป็น”ดาวเด่นแห่งปีของรัฐสภา”ปี 2546จากผลงานการปราบปรามคอรัปชั่น
>ได้รับรางวัล”คนดีสังคมไทย”และรางวัล”บุคคลดีเด่นประจำปี 2548-2549”
>เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์และทำหน้าที่รมต.เศรษฐกิจอาเซียน ปี 2551-2554
>ได้รับการโหวตให้เป็นรัฐมนตรีที่มีผลงานดีเด่น2ปีซ้อน ปี 2552-2553
>เป็นรองประธานสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ปี 2558-2560
>เป็นที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ที่ประชุมการตั้งถิ่นฐานมนุษย์ของสหประชาชาติ (UN-GFHS) ปี2660-2561
>เป็นที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และประธานคณะกรรมการความร่วมมือระหว่างกระทรวงเกษตรฯ.กับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(2562-2566)
>เป็นผู้บรรยายพิเศษปริญญาเอก ปริญญาโทและปริญญาตรีของมหาวิทยาลัยหลายแห่ง
>เป็นผู้บรรยายพิเศษหลักสูตรผู้บริหารระดับสูงภาครัฐและเอกชนเช่น บยส. นธป.วตท. Tepcot สวปอ. นบส. วกส. วพน. วิทยาการตำรวจ สถาบันพระปกเกล้า  ฯลฯ
>มีผลงานเขียนหนังสือ 4 เล่มด้านต่างประเทศ วิทยาศาสตร์และการเมือง
 

'อ.เทพมนตรี' ดึงสติ!! คนรักเจ้ามิใช่แค่เปล่งเสียงคำว่า "ทรงพระเจริญ" แต่จง 'รัก-สรรเสริญ' อย่างเข้าใจใน 'ประวัติศาสตร์-ความเป็นมา-กาลเวลา'

(3 ก.ย. 66) อาจารย์เทพมนตรี ลิมปพยอม นักประวัติศาสตร์ โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก 'Thepmontri Limpaphayorm' ว่า...

อยากบอกคนรักเจ้า ราชาธิปไตยที่มีพระราชภาระ

คนรักเจ้ามิใช่แค่เปล่งเสียงคำว่าทรงพระเจริญ แต่ต้องรักเจ้าบนพื้นฐานความเข้าใจทั้งประวัติศาสตร์ความเป็นมาของราชวงศ์ ทั้งขนบธรรมเนียมโบราณราชประเพณี ทั้งรัฐธรรมนูญ เลือดขัตติยะ และพระราชสถานะ กาลเวลาปัจจุบันสมัย

ใครที่รักเจ้าแค่เปล่งเสียงทรงพระเจริญแล้วมาอ้างสิทธิ์จะไม่เอาอย่างนั้น จะเอาอย่างนี้ พอเจ้าทำอะไรไม่พอใจก็ใช้สิทธิ์ อภิสิทธิ์ที่ได้เปล่งเสียงทรงพระเจริญมาด่าทอ ทำตัวสิ้นศรัทธา เขาไม่ได้เรียกว่า รักเจ้า

นอกจากนี้คนประเภทที่ว่าจัดอยู่พวกที่มิได้ศึกษาหาความรู้จริง แม้แต่รัฐธรรมนูญและพระราชอำนาจในรัฐธรรมนูญที่เจ้ามีอยู่อย่างจำกัด ก็ยังไม่พยายามทำความเข้าใจ หรือได้อ่านหรือเปล่าไม่ทราบ

นี่แหละคนรักเจ้าที่อ้างสิทธิ์ อภิสิทธิ์กัน แท้ที่จริงเขาไม่ได้รักเจ้าแต่รักตัวเอง โดยอ้างว่าเจ้าต้องมีความเป็นธรรม ต้องยุติธรรม ต้องเป็นแบบอย่าง

ถ้าเขาได้ศึกษาอย่างถ่องแท้แแล้ว เขาจะเข้าใจ ดูตัวอย่างในหลวงรัชกาลที่ 7 กับคณะราษฎร

เมื่อคณะราษฎรก่นด่าพระองค์ท่านชนิดป่าวประกาศไปทั่วขยายผลลงด่าในหนังสือพิมพ์ พระองค์ท่านก็มีวิริยะอุตสาหะที่จะอุเบกขา คนในคณะราษฎรก็ไม่เข้าใจว่าพระองค์ท่านทำไมทรงวางพระราชหฤทัยเช่นนั้น นั่นก็เป็นเพราะทรงมีพระราชภาระอันยิ่งใหญ่กว่าใครๆ การได้รับพระราชมรดกให้ดำรงสถานะเป็นพระมหากษัตริย์เหนือผู้คนทั้งผอง มันหนักหน่วงเสียยิ่งกว่า

คนทั่วไปจึงไปคิดแต่เพียงว่าพระองค์ท่านทรงร่ำรวยแต่เปล่าเลยนั่นน่ะเป็นพระราชภาระ ลดลงไม่ได้ สูงกว่าไม่ได้

เมื่อมีสายพระโลหิตเป็นเลือดขัตติยะ จำต้องคำนึงถึงบ้านเมืองประเทศชาติ และความรักที่มีต่อพสกนิกรเสียยิ่งกว่าใครๆ

พระมหากษัตริย์ที่รับพระราชมรดกต้องรักษาพระราชวงศ์ ต้องรักษาซึ่งปฐมบรมราชโองการที่ตกทอดกันมาตั้งแต่รัชกาลต้น

การทำให้ราชวงศ์และพระนครล่มสลายเป็นตราบาปที่ไม่มีสิ่งใดมาลบล้างออกไปได้ เช่นเดียวกันกับกรณีกรมขุนอนุรักษ์มนตรี หรือพระเจ้าเอกทัศ ที่คนไทยยังจดจำว่าเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์สุดท้ายของราชวงศ์อยุธยา ที่ทำให้ราชวงศ์ล่ม อยุธยาแตกพ่าย

จนพวกเราจำกันจนถึงทุกวันนี้และตราบนานเท่านาน…

ดังนั้นการรักเจ้า มิใช่เพียงแค่เปล่งเสียงทรงพระเจริญเท่านั้น เพราะพวกล้มเจ้าหรือคิดร้ายต่อพระบรมราชจักรีวงศ์ก็เปล่งเสียงทรงพระเจริญเช่นกัน บางคนอาจเปล่งเสียงทรงพระเจริญอยู่บ่อยด้วยซ้ำ

คนรักเจ้าที่แท้จริงต้องทำความเข้าใจ ต้องรู้จักวางใจตนเอง เมื่อรักเจ้าจริงๆ ก็ต้องรักด้วยหัวใจ ต้องเข้าใจพระราชหฤทัยของเจ้าที่มีพระราชภาระอันหนักหน่วงดังที่ว่ามา

แต่งตั้ง ‘องคมนตรี’ คุณสมบัติที่มิใช่แค่ ‘คนเก่ง-ผลงานดี’ ก็ได้ดำรงตำแหน่ง แต่ต้อง ‘ซื่อสัตย์-ไว้ใจได้’ คอยเป็นผู้ช่วยเหลืองานข้างกายพระมหากษัตริย์

เมื่อไม่นานนี้ ได้มีผู้ใช้ติ๊กต็อกท่านหนึ่ง ชื่อบัญชี @flukepatsmile ได้โพสต์คลิปตอบกลับความคิดของผู้ใช้ติ๊กต็อกอีกท่านหนึ่ง ที่ได้มาแสดงความคิดถึงการตั้งแต่งอดีตนายกรัฐมนตรี ‘พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา’ ขึ้นเป็น ‘องคมนตรี’ ระบุว่า…

“ปกติครับ เห็นมีอยู่แค่ไม่กี่คนที่เป็นนายกฯ แล้วไม่ได้เป็นองคมนตรี เช่น คุณทักษิณและคุณยิ่งลักษณ์ เพราะว่าโดนรัฐประหาร”

โดยเจ้าของบัญชี ได้ตอบกลับว่า…

“ผมคิดว่าคุณอคติไม่หาข้อมูลนะครับ คนที่เป็นนายกรัฐมนตรีแล้วได้เป็นองคมนตรี มีอยู่ไม่ถึง 5-6 คนเท่านั้น ซึ่งถือว่าน้อยมากนะครับ เพราะนายกรัฐมนตรีในประเทศเรา ที่เคยมีมานั้น มีอยู่ประมาณ 30 คน ถามว่าทุกคนจะได้เป็นองคมนตรีหมดเลยเหรอครับ?

มันเป็นไปไม่ได้นะครับ มันเป็นหลักการที่ไม่สมเหตุสมผลครับ

การจะแต่งตั้งใครเป็นองคมนตรีนั้น เกิดจากการที่พระมหากษัตริย์ท่านทรงไว้ใจ จึงทรงโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งขึ้น เพื่อให้องคมนตรีคอยช่วยเหลืองาน คอยเป็นที่ปรึกษาให้กับพระมหากษัตริย์

การที่คุณจะเลือกใครสักคนมาเป็นที่ปรึกษา มาอยู่ใกล้ชิดนั้น คุณก็ต้องเลือกคนที่ซื่อสัตย์ คนที่คุณไว้ใจ คนที่คุณเชื่อถือ ถูกไหมครับ? ไม่ใช่แค่เพียงเพราะว่าคนคนนั้นเขามีแค่ผลงานดีอย่างเดียว หรือว่ามีตําแหน่งที่สูงอย่างเดียว

และตั้งแต่อดีต หากองคมนตรีทําผิดพลาด ก็เปรียบเหมือนเสนาบดีทําผิดพลาดครับ เพราะจะส่งผลเสียไปถึงตัวของพระมหากษัตริย์ด้วย

เพราะฉะนั้น นับตั้งแต่อดีตเป็นต้นมา เวลาแต่งตั้งใครเป็นเสนาบดี หรือแต่งตั้งองคมนตรี พระมหากษัตริย์ท่าจะทรงเลือกคนที่ซื่อสัตย์ คนที่ไว้ใจได้ คนท่านที่คิดว่า จะไม่ทําให้พระองค์ท่านเสื่อมเสียครับ

ดังนั้น ไม่ใช่ว่าทุกคนที่ได้เป็นนายกรัฐมนตรี แล้วจะได้ขึ้นเป็นองคมนตรีนะครับ”

‘ดร.เสรี’ ฟาด!! 'ไอซ์ รักชนก' หยุดสร้างวาทกรรมให้ตัวเองไม่ผิด ชี้!! ประเด็นสำคัญคือการ ‘จาบจ้วง’ สถาบันฯ ด้วย ‘ความเท็จ’

(19 ธ.ค.66) ดร.เสรี วงษ์มณฑา นักวิชาการด้านตลาดและการสื่อสาร โพสต์เฟซบุ๊กว่า ปากดี ไม่สำนึก สร้างวาทกรรมว่าตัวเองไม่ผิด แต่การบังคับใช้กฎหมายผิด ทั้ง ๆ ที่ไม่เคยแก้ข้อกล่าวหาใด ๆ

อ้างว่าไม่ควรติดคุกเพราะการแสดงความคิดเห็น ทั้ง ๆ ที่สิ่งที่โพสต์ไม่ใช่แสดงความคิดเห็นแต่เป็นการหมิ่นประมาท

นอกจากนั้นยังแสดงท่าทีข่มขู่อาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ มันเป็นความผิดอาญาด้านความมั่นคง

คุณจะล้มเจ้าได้หรือไม่ได้ ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ แต่คุณจาบจ้วงล่วงละเมิดเพื่อสั่นคลอนสถาบันพระมหากษัตริย์ด้วยความเท็จ

อย่าคิดว่าประชาชนจนไม่รู้เจตนาของคุณเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์คืออะไร

ซึ่งผู้สื่อข่าวรายงานว่าก่อนนี้ รักชนก ศรีนอก หรือ ไอซ์ สส.กรุงเทพมหานคร พรรคก้าวไกล ถูกศาลอาญา รัชดา พิพากษาจำคุก 6 ปี ไม่รอลงอาญา ในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา ม.112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ แต่ศาลมีคำสั่งให้ประกันตัว ด้วยหลักทรัพย์ 500,000 บาท ได้เผยแพร่คลิปตัวเองในประเด็นล้มเจ้า


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top