‘ราชันชุดขาว’ เรอัล มาดริด ยักษ์ใหญ่จากสเปน ครองเจ้ายุโรปสมัยที่ 15 เอาชนะ ‘เสือเหลือง’ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ จากเยอรมนี 2-0
(2 มิ.ย.67) เกมที่สนามนิว เวมบลีย์ มหานครลอนดอน อังกฤษ ‘ดอร์ทมุนด์’ ต้องเจ็บปวดที่สนามแห่งนี้เป็นคำรบที่ 2 หลังจากเคยแพ้ บาเยิร์น 1-2 เมื่อปี 2013 มาในครั้งนี้พวกเขามีโอกาสมากกว่าบานตะไทในครึ่งแรก โดยเฉพาะการเล่นหนามยอกเอาหนามบ่ง
บอลทะลุไลน์ที่เป็นจุดเด่นของ เรอัล มาดริด วันนี้โดน ดอร์ทมุนด์ ดักได้ดีและมีวินัยสูงมาก แค่ครึ่งชั่วโมงแรก โดน ดอร์ทมุนด์ แทงตัดขั้วหัวใจไปแล้ว 3 ที ดีที่ไม่เสียประตู
มาดริด ครองบอลมากกว่าแต่ ‘ตัวทำ’ อย่าง จู๊ด เบลลิ่งแฮม ไร้บทบาท และ ‘ตัวจ่าย’ อย่าง โทนี่ โครส ไม่มีโอกาส
ดอร์ทมุนด์ เล่นได้ดีมากกับแผนการปิดพื้นที่ได้เหนียวแน่น ทุกคนวินัยสูงมาก และมีโอกาสทำประตูจะแจ้งกว่าโดยเฉพาะบอลทะลุถึง 4 ครั้ง แต่เมื่อทำไม่ได้ ทุกคนเห็นภาพซ้ำเดิม ๆ ในครึ่งหลัง เปิดครึ่งหลังมา 15 นาทีแรก
จังหวะบอลของ เรอัล มาดริด เร็วขึ้นและแรงขึ้น บีบพื้นที่ขึ้นมาสูงขึ้น และฟรีคิกของ โทนี่ โครส เกือบเสียบตาข่าย แต่ ดอร์ทมุนด์ ยังคงอยู่ในแผนที่ดี โดยเฉพาะการเล่นเป็นกลุ่ม กระทั่ง คาริม อเดเยมี่ วิ่งจนหมดถูกปรับทัพคนแรก ด้วยการส่ง มาร์โก้ รอยส์ อดีตกัปตันทีมลงสนาม
แต่แค่ไม่ถึงสองนาที นาฬิกาเดินมา นาทีที่ 73.14 เรอัล มาดริด นำจนได้ 1-0 จากลูกเตะมุม
ดานี่ คาร์บาฆาล ขึ้นไปโหม่งที่เสาแรกเสียบตาข่าย เป็นประตูแรกของเขาในการเตะยูซีแอลตลอด 9 ปีที่่ผ่านมา แต่เป็นประตูทองจริง ๆ ต้นครึ่งหลัง เขามีโอกาสได้โหม่งจุดเดิมจุดเดียวแบบนี้มาแล้ว แต่ข้ามคาน และหนนี้ฉีกมาอยู่จุดมาร์กจุดเดิม ซึ่งไม่พลาด
แล้วไม่กี่นาทีต่อมา หลังจาก ดอร์ทมุนด์ ตัดสินใจเกหมดหน้าตัก ก็มาพลาดเองเมื่อ มาตเซ่น ที่เล่นได้เด่นตลอดครึ่งซีซั่นหลัง ไปจ่ายบอลขวางสนาม ทำให้พวกเขาสังเวียประตูที่ 2 ให้กับ วินิซิอุส นาทีที่ 83
ปีกแซมบ้า วัย 23 ปี 325 วัน ทำสถิติเป็นนักฟุตบอลอยู่น้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ที่ยิงในแชมเปียนส์ลีกสองสมัย แซงหน้า ลีโอเนล เมสซี่ ไปแล้ว โดยทำไว้ 23 ปี 338 วัน
ดอร์ทมุนด์ ดีที่สุดเกมนี้คือ ความวูบวาบ และปิดโอกาสของอดีตเด็กเก่าอย่าง จู๊ด เบลลิงแฮม ได้อย่างสมบูรณ์ แต่พวกเขาทิ้งโอกาสสำคัญ ซึ่งเกมใหญ่ขนาดนี้มันพลาดไม่ได้
ติบอร์ กูร์กตัวส์ นายประตูเรอัล มาดริด โชว์เกมใหญ่อีกครั้ง หลังจากไม่ได้เล่นเลยด้วยซ้ำในปีนี้ถ้วยนี้ แต่กลายเป็นฮีโร่ เซฟให้ทีมจะ ๆ อย่างน้อย 4 ครั้ง ก่อนทำให้ทีมอยู่ในเกมและก้าวไปสู่ชัยชนะ ไม่รู้ว่าใครจะเบื่อขั้นไหน แต่นี่คือความสำเร็จที่น่ายกย่องอีกครั้งของ เรอัล มาดริด กับแชมป์สมัยที่ 15
