Friday, 19 April 2024
ผนงรจตกม

ไทยเกือบเหมือน 'ยูเครน' หากไร้ 'ปราชญ์แห่งสยาม' พลิกเกม!! หลังพลาดตามก้นเมกา ปล่อยตั้งฐานทัพบินถลาถล่มเพื่อนบ้าน

เป็นที่รู้กันว่า เหตุที่ยูเครนถูกรัสเซียถล่มในตอนนี้ ก็เพราะหลังจากสหภาพโซเวียตล่มสลายในสมัยประธานาธิบดี มิคาอิล กอร์บาชอฟ แตกเป็นรัฐเล็กๆ ถึง ๑๕ รัฐ หลายรัฐได้หันเข้าไปหาชาติตะวันตก หวังจะให้ช่วยคุ้มกัน ยอมร่วมสนธิสัญญานาโต้ จึงค่อยๆ ขยายตัวโอบล้อมรัสเซียเข้ามา จนกระทั่งยูเครนที่รัสเซียหวังให้เป็นกันชน เมื่อประธานาธิบดีคนปัจจุบันที่มาจากคนดังแต่ยังอ่อนประสบการณ์ทางด้านการเมือง ก็จะเข้าเป็นสมาชิกนาโต้ด้วย รัสเซียจึงยอมไม่ได้ที่จะให้นาโต้ที่ตั้งขึ้นมาก็เพื่อจะเล่นงานรัสเซียโดยเฉพาะ เอาอาวุธนิวเคลียร์เข้ามาตั้งจ่อคอ

ไทยเราก็เกือบเหมือนยูเครน เมื่อรัฐบาลยุคหนึ่งใช้นโยบาย “ตามก้นอเมริกา” ส่งทหารไปร่วมรบในเวียดนามแล้ว ยังยอมให้สหรัฐเข้ามาตั้งฐานทัพที่อู่ตะเภา, อุดรธานี, นครพนม, อุบล, โคราช, ตาคลี รวมทั้งดอนเมือง ส่งเครื่องบินรบทรงอานุภาพที่สุดเท่าที่มี ขนระเบิดไปถล่มเวียดนามเหนือและลาว สัปดาห์ละ ๘๗๕-๑,๕๐๐ เที่ยว เครื่องบินทิ้งระเบิด B-๕๒ เที่ยวหนึ่งขนได้ ๓๒ ตัน รบกันถึง ๑๙ ปี ๖ เดือน ไม่รู้ว่าถล่มระเบิดไปกี่ล้านตัน แต่ก็แพ้ ต้องถอนทหารกลับไป

แต่เมื่อสหรัฐต้องถอนทหารออกจากเวียดนามใต้ในเดือนเมษายน ๒๕๑๘ ก่อนหน้านั้นเพียงไม่กี่วัน ประเทศไทยก็ได้นายกรัฐมนตรีคนที่ ๑๓ คือ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ผู้เป็นปราชญ์ที่ลึกซึ้งทั้งประวัติศาสตร์และการเมือง ไม่ใช่มือใหม่หัดขับ อ่านสถานการณ์ได้ทะลุว่า ขืนล่มหัวจมท้ายกับอเมริกันต่อไปต้องถูกเวียดนามคิดบัญชีแน่

ในการแถลงนโยบายต่อสภาในวันที่ ๑๙ มีนาคม ๒๕๑๘ นายกรัฐมนตรีจึงประกาศว่าปรารถนาจะสถาปนาการทูตระหว่างไทยจีนขึ้นใหม่ เป็นการส่งสัญญาณไปถึงจีนก่อน

ต่อจากนั้นในวันที่ ๓๐ มิถุนายน นายกรัฐมนตรีพร้อมด้วย พล.ต.ชาติชาย ชุณหะวัณ รัฐมนตรีต่างประเทศ ก็บินเงียบฝ่ากฎหมายป้องกันการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์ไปพบผู้นำจีน ซึ่งทำให้โลกเสรีต้องตกตะลึง

การต้อนรับคณะนายกรัฐมนตรีไทยนั้น เป็นการต้อนรับที่ยิ่งใหญ่เป็นประวัติการณ์อย่างที่จีนไม่เคยต้อนรับใครมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นประธานาธิบดีของประเทศมหาอำนาจหรือมุขบุรุษของประเทศใด นอกจากได้เข้าพูดคุยกับนายกรัฐมนตรีโจวเอนไล และรองนายกรัฐมนตรีเติ้งเสี่ยวผิงแล้ว ประธานเหมาเจ๋อตุงในวัยชรา ยังเพิ่มรายการพิเศษแหวกคิวกะทันหันให้ไปพบขณะพักผ่อนอยู่ที่บ้าน และคุยกันอย่างเป็นกันเองเป็นเวลายาวนาน ซึ่ง สละ ลิขิตกุล นักหนังสือพิมพ์อาวุโส ผู้ติดตามคึกฤทธิ์บันทึกไว้ว่า

"ถึงใจพระเดชพระคุณ" อย่างผู้ใหญ่พูดกับลูกกับหลาน ถาม พล.ต.ชาติชายว่า “ไอ้หนูนี่เคยมาเมืองจีนแล้วไม่ใช่หรือ” ส่วน ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ก็เรียก “ไอ้หนู” เหมือนกัน เข้ามากอดและตบบ่า เป็นการทูตแบบตะวันออกที่ตะวันตกไม่มีทางเข้าใจ
ก่อนหน้าที่ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์จะพาทีมไปจีนนั้น ได้เกิดเหตุการณ์ที่สำคัญขึ้นอย่างหนึ่ง ซึ่งเปิดโอกาสให้ไทยได้ประกาศเปลี่ยนนโยบาย

ในวันที่ ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๑๘ หลังจากที่ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์แถลงนโยบายต่อสภาในวันที่ ๑๙ มีนาคม ก็เกิด “กรณีมายาเกซ” ขึ้น เมื่อเรือสินค้าของสหรัฐอเมริกาชื่อ มายาเกซ บรรทุกเวชภัณฑ์และเสบียงจะมาท่าเรือสัตหีบ ขณะแล่นผ่านเข้าไปใกล้ชายฝั่งกัมพูชา ได้ถูกเรือปืนเขมรแดงยึดและจับลูกเรือเป็นประกัน สหรัฐจึงส่งนาวิกโยธินจำนวน ๑,๐๐๐ นายจากโอกินาวามายังฐานทัพอู่ตะเภา และเข้าไปชิงลูกเรือที่ถูกควบคุมอยู่บนเกาะแห่งหนึ่งโดยมีเครื่องบินจากฐานทัพอุดรธานีและนครราชสีมาเข้าร่วม หลังจากรบกัน ๓ วันก็สามารถช่วยลูกเรือกลับมาได้ แต่ทหารสหรัฐเสียชีวิตไป ๔๐ คนและสูญหายไปอีกจำนวนหนึ่ง

เรื่องนี้เป็นข่าวดังไปทั่วโลก รัฐบาลไทยเห็นว่าสหรัฐใช้ดินแดนไทยไปปฏิบัติการในครั้งนี้เป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ จึงได้เชิญอุปทูตสหรัฐมาพบ ประท้วงอย่างเป็นทางการต่อการกระทำของสหรัฐ และเรียกร้องให้สหรัฐถอนกำลังกลุ่มนี้ออกไปทันที

ต่อมาในวันที่ ๑๗ พฤษภาคม พล.ต.ชาติชาย ชุณหะวัณ รัฐมนตรีต่างประเทศ ยังได้เชิญอุปทูตสหรัฐมาพบ เพื่อแจ้งอย่างเป็นทางการว่า รัฐบาลไทยจะทบทวนความร่วมมือและข้อผูกพันระหว่างไทยกับสหรัฐทั้งหมด และในวันเดียวกันก็มีคำสั่งให้เอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงวอชิงตันเดินทางกลับกรุงเทพฯ แสดงความไม่พอใจในการกระทำในครั้งนี้


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top