Thursday, 5 June 2025
ปิติศรีแสงนาม

'รศ.ดร.ปิติ' เผยความประทับใจใน 'อ.สมเกียรติ โอสถสภา' หนึ่งในนักเศรษฐศาสตร์ที่เชี่ยวชาญที่สุดคนหนึ่งของไทย

เรียกว่าเป็นอีกหนึ่งบุคคลที่ให้ความเคารพ อ.สมเกียรติ โอสถสภา อย่างสูง สำหรับ ‘รศ.ดร.ปิติ ศรีแสงนาม’ ผู้อำนวยการศูนย์อาเซียนศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยไม่นานมานี้ อ.ปิติ ได้โพสตฺ์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก กราบลา อ.สมเกียรติ ความว่า...

ผมพบอาจารย์สมเกียรติตั้งแต่ก่อนเข้าเรียนที่คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพราะท่านจะมารับส่งลูกชายที่เป็นรุ่นน้องที่โรงเรียนสาธิตจุฬาฯ เสมอๆ แม้ตอนนั้นจะไม่รู้ว่าท่านเป็นใคร แต่เด็กสาธิตจุฬาฯ ก็จะแสดงความเคารพเสมอๆ เพราะส่วนใหญ่พ่อแม่พวกเรามักจะเป็นอาจารย์จุฬาฯ

จนผมเข้าเรียนที่คณะเศรษฐศาสตร์ในช่วงปลายทศวรรษ 1990 ในช่วงเวลาที่ประเทศไทยกำลังอยู่ในภาวะวิกฤตเศรษฐกิจ 1997-1998 Asian Financial Crisis หรือที่คนไทยเรียกว่า #วิกฤตต้มยำกุ้ง นั่นคือช่วงเวลาที่ผมได้เรียนกับท่านอาจารย์สมเกียรติ

จำได้ว่า ขณะนั้นท่านสอนวิชา International Monetary Policy เรื่องแรกที่ท่านสอน คือ 'หากพวกคุณเป็นลูกหนี้แล้วไม่มีเงินจ่ายหนี้ เทคนิคในทางปฏิบัติเพื่อไปขอเจรจาปรับลดยอดหนี้กับสถาบันการเงินต้องทำอย่างไร' 

โคตรสนุกครับ!! อาจารย์เริ่มตั้งแต่เสื้อผ้าหน้าผม ว่าต้องแต่งตัวยังไง ที่ห้ามเด็ดขาดคือ ห้ามใส่นาฬิกา แล้วออกจากบ้านไปแบงก์ ให้นั่งรถเมล์ไป ให้ไปสายประมาณ 20 นาที ให้เดินไปแบงก์จากป้ายรถเมล์เอาให้เหงื่อออก เพื่อเวลาไปคุยกับ Banker เขาจะได้รู้ว่าคุณไม่เหลืออะไรแล้วจริงๆ เจรจาลดหนี้จะง่ายขึ้น เพราะนายแบงก์จะคิดทันทีว่ากำขี้ดีกว่ากำตด จ่ายคืนบางส่วน แบงก์ยังได้เงิน ดีกว่าไม่ได้อะไรเลย

เวลานั้นคือ โคตรสนุก ตลอดเทอมอาจารย์จะค่อยๆ เอาประสบการณ์ต่างๆ ตั้งแต่ช่วงที่ท่านไปเรียนที่เนเธอร์แลนด์ ช่วงที่ทำงานกับองค์ระหว่างประเทศ และช่วงที่ลงพื้นที่ 

อาจารย์สมเกียรติเป็นหนึ่งในผู้บุกเบิกโครงการ #หกเหลี่ยมเศรษฐกิจ ปัจจุบันเรานิยมเรียกกันว่า #GMS Greater Mekong Subregional อาจารย์ลงพื้นที่ ศึกษาข้อมูลกับคน กับสิ่งแวดล้อม กับหน้างานจริงๆ แล้วคิด วิเคราะห์กับทฤษฎี รวมกับประสบการณ์จริงจากการทำงานในระดับนานาชาติ เพื่อหวังจะเห็นการพัฒนาประเทศ อาจารย์เป็นหนึ่งในบุคคลต้นแบบที่ทำให้ผมอยากจะลงพื้นที่ทำงานวิจัยในชนบทและประเทศเพื่อนบ้าน

เมื่อผมเรียนจบ กลับมาเป็นอาจารย์ สถานที่ที่ๆ มักจะพบกับอาจารย์บ่อยๆ คือ อาจารย์จะมานั่งตรงม้าหินของ รปภ. ใกล้กับตู้โทรศัพท์สาธารณะ ตรงที่จอดรถหน้าตึกคณะเศรษฐศาสตร์ นั่นคือสถานที่ที่ผมมักจะลงไปคุยเรื่องราวต่างๆ ฟังการวิเคราะห์ของอาจารย์อย่างสนุกสนานเป็นกันเอง 

บางคนอาจมองว่าท่านคือ ลุงคนนึงมารอรับหลานที่หน้าคณะ แต่สำหรับพวกเรา นั่นคือ หนึ่งในนักเศรษฐศาสตร์ที่เชี่ยวชาญและมีประสบการณ์เอกอุใน Mainland ASEAN เพียงแต่ท่านชอบมานั่งตรงที่นั่ง รปภ ก็เท่านั้นเอง

นอกนั้นก็จะมีโอกาสได้พบท่านบ้างในงานเสวนาต่างๆ โดยเฉพาะของกระทรวงพาณิชย์ รวมทั้งอ่านข้อเขียนของท่านอาจารย์ผ่าน FB

จนปัจจุบันไม่มีแล้วทั้งตู้โทรศัพท์ ที่จอดรถหน้าคณะ และท่านอาจารย์สมเกียรติ

‘อ.ปิติ’ กางตำรา ‘สมรภูมิพลิกอำนาจโลก’ ตีแผ่ชนวนรบ ‘อิสราเอล-ปาเลสไตน์’ การแทรกแซงจากชาติมหาอำนาจ สู่สงครามตัวแทน ‘สหรัฐฯ-มุสลิม’

(8 ต.ค. 66) รศ.ดร.ปิติ ศรีแสงนาม อาจารย์ประจำ คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว กรณีสถานการณ์ ‘ภาวะสงคราม’ ระหว่างประเทศอิสราเอล ปะทะกับกลุ่มฮามาสในดินแดนปาเลสไตน์ โดยระบุว่า…

“ความขัดแย้งครั้งล่าสุดในดินแดนตะวันออกกลาง ที่กลุ่ม #ฮามาส #Hamas เรียกร้องให้ ชาว #ปาเลสไตน์ ที่ถูกย่ำยีตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมาโดย #ชาวยิว ออกมาใช้ความรุนแรงเพื่อปกป้อง #มัสยิดอัลอักศอ #AlAqsaMosque ในดินแดน #กาซา มีปฐมบทอย่างไร?

ทั้งนี้ เนื่องจาก ได้เห็นข้อความ X (Twitter) ของท่านนายกรัฐมนตรี ‘เศรษฐา ทวีสิน - Srettha Thavisin’ แล้วมีความห่วงกังวลครับ การแสดงออกเรื่องการประณามการใช้ความรุนแรงในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เป็นสิ่งที่ถูกต้องครับ แต่เนื้อความในส่วนต่อจากนั้นที่ค่อนไปทางอิสราเอล อาจไม่ใช่สิ่งที่เหมาะสมนัก เพราะความรุนแรงที่เกิดขึ้น เอาเข้าจริงมีเหตุผลมาจากทั้ง 2 ฝ่าย และต้องอย่าลืมว่า เพื่อนบ้านมุสลิมของไทยสนับสนุนปาเลสไตน์อย่างมาก ดังนั้น การเขียนข้อความที่เลือกข้างอิสราเอลอย่างชัดเจน ทั้งที่ประเทศไทยมีความสัมพันธ์กับทั้ง 2 ฝ่าย อาจถูกตีความได้หลายมิติ

ดังนั้น เพื่อให้พวกเราได้เข้าใจสถานการณ์ ขออนุญาตนำเนื้อหาบางส่วนจากหนังสือ ‘Amidst the Geopolitical Conflict #สมรภูมิพลิกอำนาจโลก’ ที่ ผม ปิติ ศรีแสงนาม และ ‘จักรี ไชยพินิจ Chakkri Chaipinit’ ร่วมกับเขียน และจะวางจำหน่ายในงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ 12-23 ตุลาคมนี้ โดย Matichon Book - สำนักพิมพ์มติชน มาเผยแพร่ เพื่อความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง สำหรับการติดตามสถานการณ์นะครับ”

“ประเด็นปัญหาเรื่องความขัดแย้งระหว่าง #อิสราเอล และ #ปาเลสไตน์ เป็นปัญหาที่มีรากฐานมาอย่างยาวนานหลายช่วงอายุคน โดยเกี่ยวข้องกับประเด็นด้านศาสนา และเป็นปัญหาที่สะท้อนให้เห็นถึงความวุ่นวายจากการที่ชาติมหาอำนาจเข้ามามีบทบาทในดินแดนบริเวณนี้ และการเขียนประวัติศาสตร์ที่มีทั้งรูปแบบเข้าข้างอิสราเอลและเข้าข้างปาเลสไตน์ ความสลับซับซ้อนของเหตุการณ์ความขัดแย้งนี้ จึงทำให้การเมืองในตะวันออกกลางซับซ้อนไปด้วย

หากย้อนไปเมื่อกว่า 2,000 ปีที่แล้ว ดินแดนอิสราเอลหรือพื้นที่เยรูซาเล็ม ซึ่งเป็นข้อพิพาทในปัจจุบัน เคยอยู่ในการครอบครองของชาวยิวมาก่อน แต่ในฐานะที่อาณาบริเวณแห่งนี้เป็น ‘ทางแยก’ ที่อยู่กลางแผนที่ ส่งผลให้พื้นที่ดังกล่าวกลายเป็นดินแดนอันศักดิ์สิทธิ์ของทั้งศาสนา #ยูดาห์ #คริสต์ และ #อิสลาม จวบจนกระทั่งจักรวรรดิออตโตมันได้เข้ามาปกครองบริเวณแถบนี้ ในช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 จึงตั้งชื่อ ‘เยรูซาเล็ม’ และบริเวณโดยรอบว่าเป็น ‘ปาเลสไตน์’ โดยชาวมุสลิมที่อาศัยอยู่ในบริเวณแถบนี้ก็ถูกเรียกว่าเป็น ‘ชาวปาเลสไตน์’

จุดเปลี่ยนที่สำคัญเกิดขึ้นเมื่อ สงครามโลกครั้งที่ 1 ได้ปะทุขึ้น อังกฤษได้ให้คำมั่นสัญญากับชาวยิวว่า หากให้ความช่วยเหลือกับอังกฤษจนได้รับชัยชนะในสงคราม พวกเขาจะได้รับดินแดนปาเลสไตน์เป็นการตอบแทน บทสรุปของสงครามทำให้ชาวยิวได้เข้าไปอาศัยอยู่ในดินแดนแถบนี้ตามสัญญา อย่างไรก็ดี จุดเริ่มต้นของสถานะชาวยิวในดินแดนแถบนี้ก็มาพร้อมกับความขัดแย้งระหว่างยิวและอาหรับอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งหลังสงครามโลกครั้งที่ 2

ความสลับซับซ้อนของสถานการณ์ยิ่งทวีความเข้มข้นขึ้น เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง ทำให้ชาวยิวสามารถสถาปนารัฐเอกราชได้สำเร็จในวันที่ 14 พฤษภาคม ค.ศ.1948 ในชื่อว่า ‘อิสราเอล’ การเกิดขึ้นขององค์การสหประชาชาติเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดการแบ่งดินแดนออกเป็นของชาวยิวและชาวอาหรับ โดยมีเยรูซาเล็มเป็น ‘#ดินแดนร่วม (common land)’ สำหรับทั้ง 2 ฝ่ายตามมติ ค.ศ.1947

ในสายตาของ ‘องค์การสหประชาชาติ’ การแบ่งแยกดินแดนนี้เป็นการยุติปัญหาอย่างสันติ แต่กลับกลายเป็นว่า ความขัดแย้งระหว่างชาวยิวและชาวอาหรับได้ยกระดับกลายเป็น ‘สงครามระหว่างประเทศ’ ที่มีคู่ขัดแย้งหลักคืออิสราเอลและปาเลสไตน์ โดยมีพันธมิตรจากโลกตะวันตกและจากโลกมุสลิมเป็นฉากทัศน์ของความขัดแย้งที่ดำเนินไปนี้

ตลอดช่วงสงครามเย็น ความขัดแย้งของทั้ง 2 ฝ่ายดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง แต่ผลลัพธ์ของการต่อสู้นั้น ฝ่ายอิสราเอลได้รับประโยชน์โดยได้ดินแดนที่เพิ่มขึ้น ปาเลสไตน์ที่เพลี่ยงพล้ำในการรบ จึงได้จัดตั้ง #องค์การปลดปล่อยปาเลสไตน์ (#PLO) เพื่อเคลื่อนไหวแบบกองโจรในการขับไล่อิสราเอล กระนั้นก็ตาม ในเหตุการณ์สำคัญอย่าง ‘#สงครามหกวัน’ ใน ค.ศ.1967 อิสราเอลก็สามารถผนวกเอาฉนวนกาซา และเขตเวสต์แบงก์ซึ่งเคยเป็นดินแดนที่ไม่มีเจ้าของ เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของตนเองได้สำเร็จ

หลังจากนั้น ทั้ง 2 ฝ่ายก็มีการปะทะกันอย่างต่อเนื่อง อาทิ #วิกฤติการณ์อินทิฟาดา (#Intifada) ครั้งที่ 1 (ค.ศ.1987-1993) และครั้งที่ 2 (ค.ศ.2000-2005) รวมไปถึงการเกิดขึ้นของกองกำลังฮามาส (Hamas) ซึ่งมีวิธีการรบที่ดุดันมากกว่ากลุ่มองค์การปลดปล่อยปาเลสไตน์ ถึงแม้ว่านานาชาติจะพยายามไกล่เกลี่ยผ่านข้อตกลงสำคัญ เช่น #การเจรจาที่แคมป์เดวิด (ค.ศ.1978)  #ข้อตกลงออสโล (ค.ศ.1993 และ 1995) แต่ก็ไม่เป็นผล ทั้ง 2 ฝ่ายมีแนวโน้มการใช้อาวุธหนักมากกว่าเดิม ขณะเดียวกัน จำนวนผู้เสียชีวิตก็เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเมื่อเวลาผ่านไป

ปัจจุบันความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตน์ ทำหน้าที่เสมือนเป็นสงครามตัวแทนระหว่างสหรัฐฯ และโลกมุสลิมไปโดยปริยาย ความขัดแย้งที่ดำเนินมากว่า 7 ทศวรรษจะคลี่คลายหรือดำเนินไปในลักษณะใด ย่อมส่งผลโดยตรงต่อหน้าตาของภูมิรัฐศาสตร์ใหม่แบบสามก๊กอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

รูปที่นำมาให้ชมคือ แผนที่แสดงภาพการเปลี่ยนแปลงพื้นที่ระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตน์ ระหว่างปี ค.ศ. 1917-2020 ซึ่งจะทำให้เราเข้าใจว่าเพราะเหตุใดกลุ่ม Hamas ถึงเรียกร้องว่า ชาวปาเลสไตน์ถูกกดดันย่ำยีตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา เพราะบ้านของพวกเขาถูกยึดเอาไปทีละน้อยๆ และพื้นที่ศักสิทธิ์สุดท้ายที่พวกเขาต้องปกป้องคือ ‘มัสยิดอัลอักศอ’ (Al-Aqsa Mosque) 1 ใน 3 สถานที่สำคัญสูงสุดของชาวมุสลิม (ร่วมกับ มัสญิดอัลฮะรอม ในนครมักก๊ะฮฺ ซึ่งเป็นที่ตั้งของก๊ะอฺบ๊ะฮฺ และ มัสญิดนะบะวีย์ หรือ ‘มัสญิดของท่านนบีมุฮัมมัด’ ซึ่งตั้งอยู่ที่นครมะดีนะฮฺ)

และในขณะเดียวกัน ชาวยิวก็เชื่อว่าสถานที่เดียวกันนี้คือที่ตั้งของ Temple Mount ซึ่งคัมภีร์ฮีบรูระบุว่าพระเจ้าโซโลมอน (สุไลมาน) ราชโอรสแห่งกษัตริย์เดวิด โปรดให้สร้างพระวิหารแรก (First Temple) ซึ่งเป็นศูนย์กลางของศาสนายูดาห์ตามบทบันทึกคัมภีร์ฮีบรู

ถามว่า แล้วพวกเขาจะไม่สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติเลยหรือ?

คำตอบคือ ได้ครับ และได้มาตลอดหลายร้อยปีด้วย โดยผมมีแผนที่ยืนยัน

ดูจากแผนที่แสดงการแบ่งเขตพื้นที่การอยู่ร่วมกันของพหุวัฒนธรรมในเขตเยรูซาเล็ม ก่อนการเกิดขึ้นของรัฐอิสราเอล นี่คือ ‘การอยู่ร่วมกันอย่างสันติในดินแดนศักดิ์สิทธิ์’ ก่อนที่จะมีการแทรกแซงของมหาอำนาจอย่างอังกฤษและสหรัฐภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2

นอกจากดินแดนแห่งนี้แล้ว ในหนังสือเล่มนี้ พวกเรายังพิจารณาว่า ทั่วโลกยังมีจุดปะทุที่คนไทยต้องให้ความสนใจอีก 8 แห่ง ได้แก่ 

1.) NATO vs รัสเซีย : สงครามเย็นที่ไม่สิ้นสุด
2.) เอเชียใต้ : ดินแดนแห่งตัวแปรของภูมิรัฐศาสตร์
3.) แอฟริกา : กาฬทวีปที่ถูกมองข้าม
4.) ตะวันออกกลาง : ทางแยกของแผนที่โลก
5.) คาบสมุทรเกาหลี : ภูมิรัฐศาสตร์เก่าในบริบทใหม่ (บทความพิเศษ โดย Seksan Anantasirikiat)
6.) ช่องแคบไต้หวัน : การช่วงชิงพื้นที่ระหว่างจีนและสหรัฐอเมริกา
7.) ทะเลจีนใต้ : เขตอิทธิพลของจีนกับประเด็นพิพาทของอาเซียน
8.) Zomia : จากดินแดนแห่งเทือกเขาสู่พื้นที่ยุทธศาสตร์การเมืองในเมียนมา

‘ดร.ปิติ’ ชี้ ‘2475 รุ่งอรุณแห่งการปฏิวัติ’ ตีแผ่ความจริง ที่ไม่เคยมีในหนังสือเรียน ย้ำ ต้องศึกษาให้ละเอียด ป้องกัน ผู้ไม่หวังดี บิดเบือนประวัติศาสตร์

(16 มี.ค.67) รศ.ดร.ปิติ ศรีแสงนาม ผู้อำนวยการบริหาร มูลนิธิอาเซียน ณ กรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย และรองศาสตราจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้โพสต์เฟซบุ๊กเกี่ยวกับ  แอนิเมชัน 2475 Dawn of Revolution หรือ 2475 รุ่งอรุณแห่งการปฏิวัติ โดยได้ระบุว่า ...

ถึงแม้ด้วยข้อจำกัดด้านงบประมาณจะทำให้ 2475 Dawn of Revolution หรือ 2475 รุ่งอรุณแห่งการปฏิวัติ จะมีงานภาพที่ไม่ถึง รวมทั้งการบอกเล่าเรื่องประวัติศาสตร์อย่างตรงไปตรงมา ด้วยวิธีเล่าเรื่องตามลำดับเวลา จะทำให้ animation เรื่องนี้มีรสชาติที่ไม่ร้อนแรง

แต่ในห้วงเวลาที่ประวัติศาสตร์กำลังถูกบิดเบือนด้วยความไม่ปรารถนาดีของบุคคลบางกลุ่ม 

ในห้วงเวลาที่คนบางกลุ่มถูกขังอยู่ใน Echo chamber ที่เต็มไปด้วย disinformation 

ในห้วงเวลาที่คิดว่าตนเองรู้ดี แต่กลับไม่ศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม

Animation เรื่องนี้ทำหน้าที่ของมันได้อย่างสมบูรณ์ที่สุดในการ ตีแผ่ความจริง ที่ไม่เคยมีอยู่ในหนังสือเรียน ได้อย่างที่ตัวละครในเนื้อเรื่องได้กล่าวไว้

สุดสัปดาห์นี้ ใครมีเวลาว่างๆ แนะนำให้ดูครับ

https://youtu.be/rmNvPB6Jxzo?si=hKTN_aliLagHFHyH

เมื่อดูการ์ตูนจบแล้ว ใครอยากเรียนรู้เพิ่มเติมในรายละเอียด Chayodom Sabhasri อาจารย์ผู้ใหญ่ที่ผมเคารพนับถือแนะนำ

2475 untold history ด้วยครับ 20 ตอน ตอนละ 10 นาที ทำ 3 ปีก่อน 
สาระละเอียดกว่าการ์ตูน แต่สอดคล้องกัน กินใจยิ่งกว่าการ์ตูน เพราะนำเอกสารจริงมาแสดง
https://youtu.be/bJifRslul34?si=GvoxM9IhvjGC3Dzl

ต่อจาก Animation และสารคดี ใครอยากเห็นของจริง Kidakorn Angkanarak แนะนำ
ดู ๒๔๗๕ Dawn of Revolution แล้วก็ขอเชิญเข้าเยี่ยมชม พิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๗ (King Prajadhipok Museum) ด้วยนะครับ แหล่งความรู้มากมาย เปิด 09:00 - 16:00 น. ปิดวันจันทร์ อยู่ถนนหลานหลวงตัดกับถนนราชดำเนิน เชิงสะพานผ่านฟ้าลีลาศ ใกล้ ภูเขาทอง ป้อมมหากาฬ โลหะปราสาท
https://maps.app.goo.gl/wKpGDN8RE9X4EYfq5?g_st=ic

‘อ.ปิติ’ ย้อนความหลังเหตุ!! ตกหลุมรักวิชาภูมิศาสตร์ เผย!! อ่านแล้ว มีงานทำ มีเรื่องเล่า มีเรื่องให้อยากรู้

(17 พ.ค. 68) รศ.ดร.ปิติ ศรีแสงนาม อาจารย์ประจำ คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่า …

ปี 2017 ผมและ ทีม Indian Studies Center of Chulalongkorn University พานิสิต คณาจารย์และเจ้าหน้าที่เดินทางไปประเทศอินเดียในโครงการ 'ภารตสิกขยาตรา' และหนึ่งในที่ ๆ พวกเราชาวคณะอินเดียศึกษา และเอเชียใต้ศึกษา จุฬาฯ ต้องไปทุกครั้ง และจะเสียเงินกันคราวละมาก ๆ นั่นคือ ร้านหนังสือในอินเดีย เพราะประเทศนี้หนังสือราคาถูก และมีหนังสือเกือบทุกประเภทให้เลือกซื้อ และร้านที่พวกเรามักจะไปกันเสมอ ๆ คือ Bahrisons แห่งตลาด Khan Market ใจกลางกรุงนิวเดลี

ผมเป็นคนชอบดูแผนที่มาตั้งแต่เด็ก ๆ พอเจอหนังสือที่ชื่อว่า Prisoners of Geography ที่มีคำโปรยหนังสือว่า Ten maps that tell you everything you need to know about Global Politics มีหรือที่ผมจะไม่ซื้อ จำได้คร่าว ๆ ว่าฉบับที่ขายในอินเดียราคาน่าจะประมาณ 150-160 บาทไทย ยิ่งทำให้จำเป็นต้องซื้อยิ่งขึ้นไปอีก

หลังจากอ่านหนังสือ เล่มนี้ไปได้ซักหนึ่งถึงสองบท ผมรู้ตัวทันทีว่าผมตกหลุมรักกับวิชาภูมิรัฐศาสตร์ไปแล้ว Tim Mashall ผู้เขียนเป็น War correspondent (นักข่าวในสนามรบ) ที่ใช้เวลากว่า 24 ปีเข้าไปทำข่าวใน 12 สมรภูมิ งานเขียนของเค้าทำให้ผมเข้าใจว่าถ้าจะเข้าใจความเป็นไปของโลกเศรษฐศาสตร์แบบที่เป็นแบบจำลองอย่างที่ผมเคยทำมาตั้งแต่เรียนจบคงไม่สามารถอธิบายได้มากสักเท่าไหร่ ตั้งแต่นั้นมาผมก็เริ่มต้นอ่านหนังสือ หาความรู้ และทำงานวิจัย รวมทั้งเอามาสอนในวิชาที่คณะเศรษฐศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จนในที่สุดเอามาเขียนเป็นหนังสือทั้งสามเล่ม โดยที่เล่มล่าสุด ไทยในสงครามเย็น 2.0 Amidst the Geo-Economic crashes ได้รับรางวัลพระราชทานหนังสือดีเด่นประจำปี 2568 

ทั้งหมดคงไม่ได้เกิดขึ้นถ้าผมไม่ได้อ่านหนังสือเล่มนี้ 

และปีนี้ปี 2025 หนังสือเล่มนี้มีอายุครบ 10 ปี เสด็จพ่อแห่งวงการนักเขียนภูมิรัฐศาสตร์อย่าง Tim Marshall ก็เอาหนังสือเล่มนี้มาอัปเดตอีกครั้งหนึ่งโดยใส่ข้อมูลที่เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาเข้าไปเพิ่มเติมจากต้นฉบับเดิมและมีคำโปรยที่ว่า  fully updated to cover global events of the last 10 years มีหรือที่ผมจะไม่รีบซื้อหนังสือเล่มนี้ทั้งที่ความจริงเคยอ่าน ฉบับพิมพ์ครั้งที่หนึ่งภาษาอังกฤษ และภาษาไทยมาแล้ว

ไม่น่าเชื่อว่าหนังสือเล่มนึงจะทำให้ผมมีงานทำ มีเรื่องเล่า มีเรื่องให้อยากรู้ ได้ตลอดมาเกือบ 10 ปี และยังคงสนใจเรื่องแบบนี้ไปเรื่อย ๆ 

ป.ล. อินเดียทริปนั้นสนุกมาก เพราะได้เดินทางกับ dream team Chayodom Sabhasri Surat Horachaikul Jirayudh Jahangir Sinthuphan Kittipong Boonkerd ผมว่า บัดนี้ได้เวลาอันสมควรที่เราน่าจะทำทริปแบบนี้กันอีกนะครับ

จิ้นห่วย Chin Huay CH ส่งออกสินค้าไทย!! ขายไปทั่วโลก 100 ปี เจริญอุตสาหกรรม ทำยอดขายกว่า 2 พันล้านบาท

1 มิ.ย. 68) รศ.ดร.ปิติ ศรีแสงนาม อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า …

100 ปี เจริญอุตสาหกรรม จิ้นห่วย Chin Huay CH

ขยัน & ประหยัด คือ DNA ของโรงงานเครื่องกระป๋องแห่งแรกๆ ของสยาม คุณทวด ฮวงน้ำ ศรีแสงนาม และคุณปู่ ประชา ศรีแสงนาม ริเริ่มมรดกไว้ให้พวกเราเมื่อปี 1925 ด้วยโรงหมักน้ำปลา&ซีอิ๊ว ที่อำเภอ ท่าฉลอม สมุทรสาคร 

ต่อมาขยายเป็นโรงงานปลากระป๋อง ผลไม้กระป๋อง อาหารทะเลอบแห้ง ผลไม้และผักแช่แข็ง และกิจการห้องเย็น 

วันนี้กิจการของเรายังคงผลิตปลากระป๋อง และเสริมทัพด้วยผลไม้อบแห้ง และ ขนมขบเคี้ยว

วันนี้กิจการของเราจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ และมียอดขายราว 2,000 ล้านบาท

วันนี้กิจการของเราส่งออกสินค้าไทยออกไปมากกว่า 40 ประเทศทั่วโลกตั้งแต่ร้านชำใน China Town ไปจนชั้นวางใน Harrod's

วันนี้กิจการของเราออกไปลงทุนในกัมพูชา และสิงคโปร์

ทั้งหมดวางอยู่บน DNA ของเรา นั่นคือ "ขยัน" "ประหยัด" และ "กตัญญูกตเวที"


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top