Monday, 12 May 2025
ประท้วงหยุดงาน

‘นักเขียน-นักแสดง’ นับแสนประท้วงหยุดงาน เรียกร้องขึ้นค่าตอบแทน เดือดขึ้นอีก!! หลัง CEO ‘Disney’ จุดประเด็นต่อต้านการประท้วงครั้งนี้

เมื่อวานนี้ (15 ก.ค. 66) กลายเป็นการประท้วงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของชาวฮอลลีวู้ดในรอบหลายทศวรรษ หลังจากสมาคมนักแสดงภาพยนตร์และโทรทัศน์ SAG-AFTRA ทำการสไตรค์หยุดงาน ซึ่งกลายเป็นการผนึกกำลังกับสมาคมนักเขียนแห่งอเมริกา Writers Guild of America ที่ประท้วงหยุดงานยืดเยื้อมาเป็นเวลา 2 เดือนแล้ว เพื่อเรียกร้องรายได้เพิ่มขึ้นอย่างเป็นธรรม รวมถึงเรื่องข้อกำหนดในการใช้ AI ในการสร้างสรรค์ผลงาน แต่การเจรจาหาข้อตกลงกับทางสตูดิโอและผู้ให้บริการระบบสตรีมมิ่งเซอร์วิสไม่เป็นผล จนทำให้เกิดการหยุดงานของทั้ง WGA ที่มีสมาชิก ซึ่งมีสมาชิกกว่า 11,000 คน และนักแสดงสมาชิกของ SAG-AFTRA จำนวนกว่า 160,000 คน หยุดงานจนการถ่ายทำรายการโทรทัศน์และภาพยนตร์ต่าง ๆ ในตอนนี้ต้องหยุดชะงัก

Fran Drescher ประธานของ SAG-AFTRA ได้นำทีมนักแสดงเดินประท้วงหน้าสตูดิโอ Paramount Pictures ใน Los Angeles และยังมีสมาชิกอีกหลายกลุ่มที่กระจายตัวไปประท้วงตามสตูดิโอต่าง ๆ โดยชูป้ายข้อความประท้วงมากมาย เช่น “บีบแตรถ้าคิดว่าเจ้านายของคุณได้เงินเยอะเกินเหตุ”, “ AI ไม่ใช่ศิลปะ” และ “รวมพลังสไตรค์ครั้งใหญ่” 

สิ่งหนึ่งที่ทำให้ผู้ประท้วงออกอาการเดือดก็คือ การให้สัมภาษณ์ของ ‘Bob Iger’ CEO ของ Disney ที่วิจารณ์การประท้วงหยุดงานว่าเป็นการเรียกร้องในสิ่งที่ไม่อยู่บนพื้นฐานความเป็นจริง เพราะวงการยังอยู่ในช่วงที่บอบช้ำหนักจาก COVID และอยู่ในช่วงที่ต้องการการฟื้นฟู การประท้วงหยุดงานในเวลานี้เป็นช่วงเวลาที่แย่ที่สุด ทำให้ป้ายประท้วงบางส่วนได้เขียนข้อความโจมตี ‘Bob Iger’ ด้วย

โดย Fran Drescher ได้ประณาม ‘Bob Iger’ ว่าไม่ควรออกมาพูดอะไรแบบนี้ ในฐานะที่เป็นผู้บริหารที่มีรายได้มหาศาล แต่เขากลับมองไม่เห็นปัญหาของกลุ่มคนที่ทำงานหนักแต่กลับได้รายได้ที่ไม่มีวันที่จะเทียบเท่าเขาได้เลย

การประท้วงหยุดงานทำให้นักแสดงส่วนใหญ่ไม่สามารถเข้าร่วมการถ่ายทำรวมถึงการร่วมงานอีเวนต์ต่าง ๆ จนกว่าจะมีการเจรจาเสร็จสิ้น ซึ่งทำให้กองถ่ายภาพยนตร์และซีรีส์ทั้งหลายหยุดชะงักรวมถึงการโปรโมทภาพยนตร์ต่าง ๆ ในช่วงนี้ด้วย เช่น Mission : Impossible :
Dead Reckoning PART ONE ซึ่ง Tom Cruise มีกำหนดเดินทางไปโปรโมทที่ประเทศญี่ปุ่นวันที่ 17-18 กรกฎาคม นี้ก็ต้องประกาศยกเลิก

แต่มีกองถ่ายหนึ่งที่ยังคงถ่ายทำได้อยู่ก็คือ ‘House of the Dragon’ ซีรีส์ฮิตที่นักแสดงส่วนใหญ่เป็นชาวอังกฤษ และได้รับการคุ้มครองโดย Equity องค์กรนักแสดงของ สหราชอาณาจักร เนื่องจากสมาชิกนักแสดงที่มีจำนวนกว่า 47,000 คนนั้นไม่ได้รับอนุญาตตามกฎหมายให้เข้าร่วมการประท้วง ที่จัดขึ้นโดยองค์กรของสหรัฐอเมริกา โดยทาง Equity ได้ประกาศสนับสนุน SAG-AFTRA ในกิจกรรมที่ถูกกฎหมาย เพียงแต่ว่าหากนักแสดงที่สมาชิกของ Equity เข้าร่วมการหยุดงานประท้วงจะไม่ได้รับการคุ้มครองในกรณีถูกเลิกจ้างหรือถูกฟ้องร้องเนื่องจากละเมิดสัญญา โดยสรุปคือองค์กร Equity ไม่สามารถเข้าร่วมการประท้วงร่วมกับ SAG-AFTRA ได้ เพราะจะเป็นการผิดกฎหมายของประเทศอังกฤษ ซึ่งทางองค์กรได้ย้ำกฎการทำงานให้นักแสดง เข้าใจตรงกันว่า สมาชิกของ Equity ที่ไม่ได้เป็นสมาชิกของ SAG-AFTRA สามารถทำงานต่อไปได้ เพราะไม่ได้รับการคุ้มครองใด ๆ จาก SAG-AFTRA อยู่แล้ว ส่วนนักแสดงที่เป็นสมาชิก SAG-AFTRA ที่ไม่ได้เป็นสมาชิกของ Equity ก็ต้องดำเนินการตามกฎของ SAG-AFTRA ที่ต้องหยุดงานไม่สามารถปฏิบัติงานใด ๆ บนโลกนี้ในขณะที่เกิดการสไตรค์ได้ 

'เกาหลีใต้' จับหมอมือแฉ!! ปล่อย Blacklist กลุ่มหมอกลับใจ เพียงเพราะเลือกกลับไปดูแลประชาชน ตีจากวงประท้วงรัฐบาล

กล้าแฉ ก็กล้าจับ เมื่อตำรวจเกาหลีใต้จับแพทย์ฝึกหัด 1 คน ที่ได้เผยแพร่รายชื่อกลุ่มแพทย์ฝึกหัดที่ไม่ยอมเข้าร่วมประท้วงนัดหยุดงาน หรือ เคยหยุดงานไปแล้ว และตัดสินใจกลับไปปฏิบัติหน้าที่ต่อ ด้วยการประจานออกสื่อออนไลน์ Telegram เพื่อหวังให้เป็นบทลงโทษทางสังคมจากกลุ่มแพทย์รุ่นใหม่ที่ยังคงแสดงจุดยืนหยุดงานประท้วงรัฐบาล

นับเป็นเคสแรกที่หมอเกาหลีใต้ถูกจับ ตั้งแต่มีการนัดหยุดงานของกลุ่มแพทย์ฝึกหัดมากกว่า 80% ทั่วประเทศ ที่ประกาศทิ้งงาน-ลาออก เพราะไม่เห็นด้วยที่รัฐบาลเกาหลีใต้ต้องการเพิ่มโควตาการรับนักศึกษาแพทย์ในมหาวิทยาลัยแพทย์กว่า 40 สถาบัน อีก 1,500 ที่นั่ง หรือเท่ากับภายในปี 2025 รัฐบาลเกาหลีใต้ตั้งเป้าที่จะเพิ่มนักศึกษาแพทย์เป็น 4,567 คน เพื่อรองรับสังคมสูงวัย และ ปัญหาขาดแคลนบุคลากรการแพทย์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน 

ทว่าเรื่องดังกล่าวกลับเจอกระแสต่อต้านรุนแรงจากกลุ่มแพทย์ฝึกหัดจบใหม่ ที่มองว่าการเพิ่มจำนวนนักศึกษาแพทย์ส่งผลเสียต่อคุณภาพการศึกษา และรัฐบาลควรเพิ่มงบประมาณสนับสนุนสวัสดิการให้กับกลุ่มแพทย์ที่ทำงานในปัจจุบันมากกว่า 

เหตุการณ์นี้ลุกลามจนกลายเป็นการนัดหยุดงานประท้วงที่ต่อเนื่องยาวนานมากกว่า 6 เดือน และแม้รัฐบาลเกาหลีใต้จะส่งแพทย์ทหารเข้าไปเสริมในโรงพยาบาลต่าง ๆ ที่ขาดแคลนบุคลากรแพทย์อย่างหนัก แต่ก็ไม่อาจบรรเทาความปั่นป่วนจากการนัดหยุดครั้งใหญ่ของกลุ่มแพทย์ฝึกหัดเกือบหมื่นคนในคราวเดียวกันได้ และเป็นเหตุให้คนไข้ฉุกเฉินบางรายต้องเสียชีวิตเพราะหลายโรงพยาบาลมีแพทย์หน้างานไม่พอ 

อย่างไรก็ตาม หลังจากที่รัฐบาลออกมาเรียกร้อง และ 'คาดโทษ' กลุ่มแพทย์ฝึกหัดที่ประท้วงหยุดงาน ก็เริ่มมีแพทย์หลายคนที่เปลี่ยนใจกลับมาทำงานเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ และนั่นก็กลายเป็นชนวนให้กลุ่มแพทย์ที่ยังยืนหยัดประท้วง หันมาทำบัญชีรายชื่อ พร้อมประวัติส่วนตัว โดยจัดทำเป็น Blacklist ของ 'แพทย์ฝึกหัดแตกแถว' ที่ไม่ยอมเข้าร่วมประท้วง หรือ ตัดสินใจกลับไปปฏิบัติหน้าที่ในโรงพยาบาลต่อ และปล่อยรายชื่อลงใน Telegram เพื่อหวังประจานแพทย์เหล่านี้ในฐานะ 'คนที่หักหลังเพื่อน' และถือเป็นแรงกดดันหมู่ในสังคมแพทย์เพื่อป้องกันคนแตกแถวเพิ่มขึ้นไปในตัว

แต่งานนี้ผู้แฉก็ไม่รอดเสียแล้ว เพราะเมื่อวันศุกร์ (20 ก.ย. 67) ที่ผ่านมามีการจับกุมแพทย์ฝึกหัด 1 คน ที่ระบุว่าเป็นคนปล่อย Blacklist ดังกล่าวลงในโลกออนไลน์ ซึ่งตอนนี้ถูกคุมขังในสถานีตำรวจแห่งหนึ่งในกรุงโซล

ทว่า 'ลิม ฮยุน-แท็ก' หัวหน้าสมาพันธ์แพทย์เกาหลีใต้ที่ได้ติดต่อขอพูดคุยกับแพทย์ที่ถูกจับกุม และออกมาให้สัมภาษณ์กับสื่อว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นนี้ ล้วนเป็นความผิดพลาดของรัฐบาลเกาหลีใต้ ทั้งแพทย์ฝึกหัดที่อยู่ในรายชื่อบัญชีดำ รวมถึงแพทย์ที่ถูกจับกุมเพราะเผยแพร่รายชื่อนั้น ล้วนแต่เป็นเหยื่อของสถานการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ทั้งสิ้น

แต่มุมมองของหัวหน้าแพทย์ฯ ก็ไม่ใช่ในมุมมองของกฎหมาย เพราะแพทย์ฝึกหัด ที่ตอนนี้กลายเป็นผู้ต้องหาจะต้องถูกดำเนินคดีในความผิดข้อหาการสะกดรอย ที่คุกคามผู้อื่นด้วยการเผยแพร่ข้อมูลส่วนบุคคล อันได้แก่ ชื่อจริง สถานที่ทำงาน หมายเลขโทรศัพท์ส่วนตัว หรือประวัติการศึกษา โดยไม่ได้รับความยินยอม

ที่สำคัญยิ่งกว่านั้น เหยื่อที่น่าสงสารที่สุดในตอนนี้ ก็ไม่ใช่กลุ่มแพทย์ในหรือนอกบัญชีดำแต่อย่างใด หากแต่เป็นคนไข้ที่กำลังเดือดร้อนจากสถานการณ์บุคลากรแพทย์ขาดแคลนอยู่ในขณะนี้ และถ้าปัญหาความขัดแย้งระหว่างองค์กรแพทย์และรัฐบาลยังคงดำเนินต่อไปใน ระบบรักษาสุขภาพถ้วนหน้าของเกาหลีใต้อาจเข้าใกล้คำว่าวิกฤติมากกว่าถึงฝั่งฝัน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top