Saturday, 18 May 2024
บัตรเครดิต

‘เจ้ากระทรวงดีอี’ เผย ‘ลุงตู่’ กำชับชัด ต้องเร่งจับมิจฉาชีพแฮกบัญชีธนาคาร

นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) กล่าวถึงกรณีผู้ถือบัตรเครดิตและบัตรเดบิตจำนวนมากประสบปัญหาในการชำระเงิน โดยที่ไม่ได้ทำธุรกรรมด้วยตนเองว่า ย้ำว่ากรณีนี้ไม่ได้เป็นการแฮก เพราะระบบธนาคารมีความมั่นคงปลอดภัย แต่ที่เกิดขึ้นมีการเอาข้อมูลเดบิตไปใช้โดยที่เจ้าของบัญชีไม่รู้ อย่างไรก็ตามขณะนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังติดตามสืบสวนสอบสวนว่ามาจากแหล่งใด ใครไปใช้ประโยชน์ และกำลังสืบสวนว่าเงินไปตัดที่แพลตฟอร์มใด เช่น เกมหรือช่องทางออนไลน์ต่างๆ เพื่อนำตัวผู้กระทำความผิดมาดำเนินคดี ส่วนเป็นการตัดเงินจากในประเทศหรือต่างประเทศนั้น เจ้าหน้าที่ก็กำลังตรวจสอบอยู่ แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นในปัจจุบันมีการใช้เงินออนไลน์และผ่านระบบดิจิทัลจำนวนมาก

‘ก้าวไกล’ ติงภาครัฐ ควรรับมือเงินรั่วไหลดีกว่านี้  ย้ำ!! ลูกค้าไม่ผิด อย่าผลักภาระให้ผู้เสียหาย

ปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ออกมาแสดงความเห็นเกี่ยวกับกรณีที่ประชาชนกว่าหมื่นคนถูกตัดเงินจากบัตรเดบิตและบัตรเครดิตโดยไม่รู้ตัวว่า เรื่องนี้ค่อนข้างซับซ้อน แต่จากการตรวจสอบพบข้อสังเกตหลายอย่างที่ทำให้เห็นว่า ธนาคารและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรรับมือกับเรื่องดังกล่าวได้ดีกว่านี้

“แม้ข้อสันนิษฐานตามแถลงการณ์ล่าสุด ของ ธปท. จะมีความเป็นไปได้สูงว่าจะเกิดจากมิจฉาชีพที่สุ่มเลขบัตรและรหัส โดยใช้บอตหรือโปรแกรมอัตโนมัติ และนำไปทำธุรกรรมกับร้านค้าออนไลน์ ที่อยู่ต่างประเทศ แต่ทั้งกว่าหมื่นกรณีอาจไม่ได้เกิดจากสาเหตุนี้ทั้งหมดก็ได้ และแม้จะยังไม่สามารถกล่าวโทษได้อย่างชัดเจนว่าเป็นช่องโหว่จากจุดใด แต่ก็ชัดเจนว่า ไม่ใช่ความผิดพลาดจากผู้ใช้หรือลูกค้าธนาคารอย่างแน่นอน และแม้ผู้ที่ไม่เคยทำธุรกรรมทางออนไลน์ ก็สามารถตกเป็นเหยื่อในกรณีนี้ได้เช่นกัน”

ทั้งนี้ ปกรณ์วุฒิ ยังมีข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะต่อหน่วยงานภาครัฐและเอกชนต่างๆ ว่า เบื้องต้น ธนาคารควรให้ข้อมูลที่ชัดเจน และการระบุผู้เสียหายโดยธนาคาร แต่หลายวันที่ผ่านมาแอปพลิเคชัน รวมถึง Line Official Account ของธนาคารต่างๆ เท่าที่ตนมี หรือช่องทาง SMS ก็ยังคงไม่มีการแจ้งเตือนให้ข้อมูลถึงกรณีดังกล่าวมาถึงเลยแม้แต่ครั้งเดียว 

“ที่สำคัญ คือ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น อาจเกิดกับคนที่ไม่เคยใช้งานออนไลน์เลย หลายคนที่มีแค่บัญชี และบัตรเอทีเอ็ม แต่ไม่ได้ใช้อินเทอร์เน็ตแบงก์กิ้ง ซึ่งไม่สามารถตรวจสอบธุรกรรมย้อนหลังของตนเองได้อย่างสะดวก และอย่างที่กล่าวว่า กรณีนี้ ‘ไม่ใช่ความผิดของลูกค้า’ ดังนั้น ภาระในการ ‘สืบหาผู้เสียหาย’ จึงควรจะเป็นของธนาคาร และติดต่อกลับไปแจ้งลูกค้า ไม่ใช่ให้ลูกค้าตรวจสอบความเสียหายของตนเองและแจ้งไปที่ธนาคาร และที่สำคัญคือการชดใช้จะต้องทำทันทีและเร่งด่วน”

“โฆษกรัฐบาล” แจง แบงค์ชาติจับมือสมาคมธนาคาร หามาตรการเข้มป้องสวมรอยธุรกรรมการเงิน หลัง “นายก”สั่ง ดูแลปชช.จากการตัดเงินบัตรเครดิต-เดบิต ผิดปกติ

นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี  กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม รับทราบรายงานความคืบหน้ากรณีมิจฉาชีพสวมรอยทำธุรกรรมการเงิน โดยตัดเงินผิดปกติผ่านบัตรเครดิตและบัตรเดบิตธนาคาร จำนวน 10,700 ใบ มูลค่าความเสียหายรวมกว่า 130 ล้านบาท  โดยสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการยกระดับป้องกันการทำธุรกรรมการเงิน ผ่านช่องทางระบบออนไลน์และบัตรเครคิต รวมทั้งขอให้สถาบันการเงินช่วยดูแลประชาชนที่ได้รับความเสียหาย ซึ่งธนาคารรายงานว่า ได้คืนเงินให้ลูกค้าบัตรเดบิตที่ได้รับความเสียหายครบทุกรายแล้ว ส่วนบัตรเครดิตได้เร่งตรวจสอบและยกเลิกรายการ โดยจะดำเนินการตามขั้นตอนโดยเร็วที่สุดต่อไปด้วย

นายธนกร กล่าวว่า ล่าสุดธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ประสานกับสมาคมธนาคารไทย ยกระดับการป้องกันและแก้ไขปัญหาระยะเร่งด่วนแล้ว ได้แก่ 1.ตรวจจับธุรกรรมที่ผิดปกติ ให้ครอบคลุมธุรกรรมที่มีจำนวนเงินต่ำและที่มีความถี่สูง 2. ติดตามเฝ้าระวังรายการธุรกรรมจากต่างประเทศเป็นพิเศษ 3.แจ้งเตือนลูกค้าในการทำธุรกรรมทุกรายการตั้งแต่รายการแรก และ4. ประชาสัมพันธ์วิธีการป้องกันความเสี่ยง เช่น การปรับวงเงินในบัตรให้เหมาะสมกับการใช้จ่าย หลีกเลี่ยงการผูกบัตรกับเว็บไซต์หรือแพลตฟอร์มที่ไม่น่าไว้ใจ 

นายธนกร กล่าวว่า นอกจากนี้  ธปท. และสมาคมธนาคารไทย จะผลักดันให้ผู้ให้บริการบัตรกำหนดมาตรการเพิ่มเติมในการบังคับใช้การยืนยันตัวตนก่อนทำรายการชำระเงินกับบัตรเดบิตสำหรับทุกร้านค้าออนไลน์ โดยเฉพาะร้านค้าในต่างประเทศ เช่น การใช้เลข OTP ยืนยันตัวตนก่อนร้านค้าทำการตัดบัญชี รวมทั้งนำเทคโนโลยีมาใช้ป้องกันและตรวจจับภัยคุกคามทางการเงินในรูปแบบใหม่ ทั้งนี้นายกฯ เตือนประชาชน ถึงภัยออนไลน์โดยเฉพาะภัยจากธุรกรรมทางการเงินในรูปแบบใหม่ เนื่องจาก ปัจจุบันระบบการเงินของไทยมีการก้าวหน้ามาก

ตร. แนะนำ!! “กำหนดวงเงินบัตร” ให้พอดีกับค่าใช้จ่าย ลดความเสี่ยงถูกสูบเงิน

วันที่ 13 ธ.ค. 2564 พ.ต.อ.ศิริวัฒน์ ดีพอ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า ตามที่ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. ได้มีนโยบายให้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ แจ้งเตือนและประชาสัมพันธ์ให้พี่น้องประชาชนรู้เท่าทันถึงอาชญากรรมทางเทคโนโลยี และได้กำชับให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทำการสืบสวนจับกุมผู้กระทำผิดมาดำเนินคดีตามกฎหมายอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอดนั้น

ปัจจุบันเทคโนโลยีมีความเจริญก้าวหน้า ทำให้ประชาชนได้รับความสะดวกสบายมากขึ้น โดยทุกคนสามารถทำธุรกรรมต่าง ๆ ผ่านบัตรเครดิตและบัตรเดบิต ด้วยระบบอินเทอร์เน็ต ของสถาบันการเงิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการซื้อสินค้าและบริการ ที่มีการผูกบัตรเข้ากับเว็บไซต์ของร้านค้าหรือผู้ให้บริการต่าง ๆ เพื่อความสะดวกในการชำระเงิน เป็นจำนวนมาก

พ.ต.อ.ศิริวัฒน์ กล่าวต่อไปอีกว่า การทำธุรกรรมผ่านบัตรเครดิตและบัตรเดบิตเป็นการเพิ่มความสะดวกสบายให้กับพี่น้องประชาชนก็จริง แต่ก็ต้องแลกมาด้วยความเสี่ยงในการถูกคนร้ายดักรับข้อมูลหมายเลขหน้าบัตร และหมายเลขรหัส CVV ซึ่งจะถูกนำไปใช้ในการทำธุรกรรมของคนร้าย ทำให้เจ้าของบัตรมีความเสี่ยงที่จะสูญเสียทรัพย์สินผ่านช่องทางบัตรดังกล่าว

เพื่อให้รู้เท่าทันมิจฉาชีพ สำนักงานตำรวจแห่งชาติมีความห่วงใยพี่น้องประชาชนเป็นอย่างมาก จึงขอแนะนำพี่น้องประชาชนถึงเทคนิคในการลดความเสี่ยง และป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจากบัตรเครดิต และบัตรเดบิต ดังนี้

1. ควรกำหนดวงเงินบัตรเครดิต/บัตรเดบิต ให้พอดีกับค่าสินค้าและบริการ เพื่อลดความเสียหายที่จะเกิดขึ้น

2. ควรกำหนดวงเงินบัตรเครดิต/บัตรเดบิต ไว้ที่ 0 บาท หรือระงับบัตรชั่วคราวผ่านแอปพลิเคชันในโทรศัพท์มือถือ แล้วเปิดใช้งานหรือเพิ่มวงเงินเฉพาะเมื่อจำเป็นต้องใช้บัตรในการชำระเงิน (ทั้งนี้ขึ้นกับเงื่อนไขการให้บริการของแต่ละธนาคาร ซึ่งอาจมีการจำกัดจำนวนครั้งในการปรับวงเงิน หรือระงับบัตรชั่วคราว)

3. ควรยกเลิกบัตรเครดิต/บัตรเดบิต ที่ไม่ได้ใช้งาน โดยให้ถือบัตรเฉพาะเท่าที่จำเป็น เพื่อให้ง่ายต่อการตรวจสอบยอดธุรกรรมที่ผิดปกติ

4. หากต้องการผูกบัตรเครดิต/บัตรเดบิต กับร้านค้าหรือผู้ให้บริการเพื่อชำระยอดค่าบริการแบบตัดผ่านบัตรอัตโนมัติ ควรเลือกบัตรที่สามารถกำหนดวงเงิน หรือบัตรที่ต้องใช้การเติมเงินเข้าไปในบัตรก่อนจึงจะสามารถใช้ในการชำระเงินได้ เพราะจะเป็นทางเลือกที่ปลอดภัย และสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายไม่ให้เกิดความจำเป็น

 

‘ตร.ไซเบอร์’ เตือน ‘ผูกบัตรเครดิต’ ในแอปฯ เสี่ยงถูก ‘มิจฉาชีพ’ สวมรอยใช้จ่ายเงินแบบไม่รู้ตัว

พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ โฆษก กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) ขอประชาสัมพันธ์เตือนภัยกรณีการผูกบัญชีธนาคาร บัตรอิเล็กทรอนิกส์ ไว้ชำระค่าสินค้ากับแอปพลิเคชันต่าง ๆ รวมถึงระมัดระวังการกรอกข้อมูลทางการเงินผ่านเว็บไซต์ปลอม หรือแอปพลิเคชันปลอม

จากกรณีที่สื่อสังคมออนไลน์ได้นำเสนอข่าวเกี่ยวกับมีผู้เสียหายผูกบัญชีธนาคารไว้กับแอปพลิเคชันขายของออนไลน์ ต่อมาทราบว่าเงินในบัญชีถูกนำไปชำระค่าสินค้าหลายรายการ ความเสียหายกว่า 50,000 บาท โดยไม่ทราบสาเหตุนั้น

กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี โดย พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผู้บัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ผบช.สอท.) ได้ขับเคลื่อนตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ซึ่งให้ความสำคัญและมีความห่วงใยต่อภัยการหลอกลวงผ่านช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เกี่ยวข้องกับการการทำธุรกรรมการเงินออนไลน์ และการซื้อขายของออนไลน์ โดยได้กำชับไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งวางมาตรการในการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดในโลกออนไลน์ทุกรูปแบบอย่างต่อเนื่องและจริงจัง พร้อมสร้างการรับรู้แนวทางป้องกันให้ประชาชน ไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพ

การกระทำดังกล่าวเข้าข่ายความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 269/5 ผู้ใดใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ของผู้อื่นโดยมิชอบในประการ ที่น่าจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น หรือประชาชน ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และหากมีการนำข้อมูลเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ‘โดยทุจริต หรือโดยหลอกลวง นําเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน’ ก็จะมีความผิดตามพระราชบัญญัติคอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14(1) ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ หรือความผิดตามกฎหมายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง

'ตร.' รวบอดีตหนุ่มธนาคาร ปลอมแปลงเอกสาร ใช้ข้อมูลลูกค้าขอสินเชื่อบัตรเครดิต กดเงินใช้ส่วนตัว

(12 ม.ค. 66) พล.ต.ต.พุฒิเดช บุญกระพือ ผบก.ปอศ.สั่งการ พ.ต.อ.ภาดล จันทร์ดอน ผกก.5 บก.ปอศ., พ.ต.ต.วรวุฒิ คงรักษา สว.กก.5 บก.ปอศ. นำกำลังจับกุม นายณัฐพล (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 30 ปี ตามหมายจับศาลอาญาที่ 634/2565 ลงวันที่ 4 เม.ย. 2565 ข้อหา 'เอาไปเสียซึ่งเอกสารของผู้อื่นในประการที่น่าจะเกิดความเสียหาย, ปลอมและใช้เอกสารปลอม, ใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ของผู้อื่นโดยมิชอบ และลักทรัพย์ผู้อื่น' ได้ที่หน้าตลาดสดคลองเตย ถนนพระราม 4 แขวงและเขตคลองเตย จังหวัดกรุงเทพฯ

จากการจับกุม เมื่อปี 2564 เจ้าหน้าที่ได้รับการร้องเรียนจากธนาคารพาณิชย์แห่งหนึ่ง ว่ามีบุคคลนำเอกสารข้อมูลส่วนบุคคลของผู้อื่น มายื่นสมัครขอสินเชื่อบัตรเครดิต ก่อนนำไปกดเงินสด จำนวน 38 ครั้ง ทำให้ธนาคารได้รับความเสียหาย 494,300 บาท จึงทำการสืบสวนสอบสวนจนทราบว่าผู้ก่อเหตุดังกล่าว คือนายณัฐพล ผู้ต้องหารายนี้ จึงรวบรวมพยานหลักฐานขอศาลออกหมายจับ ก่อนเข้าจับกุมดังกล่าว

‘KTC’ ร่วมมือ 18 โรงพยาบาลมอบสิทธิพิเศษสมาชิก หลังซื้อแพ็กเกจตรวจสุขภาพประจำปี ตั้งแต่วันนี้-29 ก.พ. 67

(21 พ.ย. 66) นางสาวสิรีรัตน์ คอวนิช ผู้บริหารสูงสุด ฝ่ายการตลาดบัตรเครดิต ‘เคทีซี’ หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “หมวดการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตที่มียอดใช้จ่ายติดอันดับ 1 ใน 5 คือหมวดสุขภาพและโรงพยาบาล โดยในช่วงไตรมาสสุดท้ายของทุกปี จะเป็นช่วงที่สมาชิกนิยมซื้อแพ็กเกจตรวจสุขภาพมากที่สุด เพราะเป็นช่วงที่ถึงรอบการตรวจสุขภาพประจำปีของคนส่วนใหญ่ และในปัจจุบันมีโรคระบาดเพิ่มมากขึ้น ซึ่งอาการของโรคมีการเจ็บป่วยที่หนักขึ้นจนอาจทำให้ถึงขั้นเสียชีวิต คนจึงหันมาใส่ใจดูแลสุขภาพกันมากขึ้น เพื่อให้มีสุขภาพที่แข็งแรงอยู่เสมอ” 

“เพราะการตรวจสุขภาพเป็นประจำ ทำให้เราสามารถป้องกันและรักษาก่อนเกิดโรคได้อย่างทันท่วงที เคทีซีจึงได้ร่วมกับ 18 โรงพยาบาล มอบสิทธิพิเศษให้กับสมาชิกบัตรเครดิตเคทีซี เมื่อซื้อแพ็กเกจตรวจสุขภาพที่ร่วมรายการ สามารถลงทะเบียนรับของขวัญส่งท้ายปี อาทิ รับบัตรกำนัลสตาร์บัคส์ (Starbucks) เมื่อซื้อแพ็กเกจตรวจสุขภาพและชำระด้วยบัตรเครดิตเคทีซีที่โรงพยาบาลกรุงเทพ ซอยศูนย์วิจัย / โรงพยาบาลสมิติเวช สุขุมวิท / โรงพยาบาลสมิติเวช ศรีนครินทร์ / โรงพยาบาลสมิติเวช ไชน่าทาวน์ / โรงพยาบาลในเครือพญาไท / โรงพยาบาลเปาโล พหลโยธิน ตั้งแต่ 5,000 บาทขึ้นไป ระหว่างวันที่ 1 กันยายน 2566 - 29 กุมภาพันธ์ 2567 

หรือรับเครื่องฟอกอากาศ มูลค่า 3,590 บาท เมื่อมียอดใช้จ่ายตั้งแต่ 100,000 บาทขึ้นไปต่อเซลส์สลิป / รับกระเป๋าล้อลาก 20 นิ้ว มูลค่า 2,490 บาท เมื่อมียอดใช้จ่ายตั้งแต่ 30,000 บาทขึ้นไปต่อเซลส์สลิป หรือรับกล่องใส่อาหารมูลค่า 169 บาท เมื่อมียอดใช้จ่ายตั้งแต่ 5,000 บาทขึ้นไปต่อเซลส์สลิป 

สมาชิกที่สนใจสามารถซื้อแพ็กเกจตรวจสุขภาพได้ที่เครือโรงพยาบาลเปาโล / โรงพยาบาลกรุงเทพ พัทยา / โรงพยาบาลกรุงเทพ ราชสีมา / โรงพยาบาลกรุงเทพ หัวหิน / โรงพยาบาลมหาชัย 2 ตั้งแต่ 1 กันยายน 2566 ถึง 29 กุมภาพันธ์ 2567 หรือ (ระยะเวลาขึ้นอยู่กับแต่ละโรงพยาบาล) โดยดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ http://bit.ly/3SK23dI” 

ผู้สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ KTC Phone โทร. 0-2123-5000 สมัครบัตรเครดิตเคทีซีทุกประเภทคลิก https://ktc.today/apply-card หรือติดต่อศูนย์บริการสมาชิก ‘เคทีซี ทัช’ ทุกสาขาทั่วประเทศ

‘KTC’ เผย 3 กลยุทธ์กระตุ้นยอดใช้จ่ายหมวดท่องเที่ยว หวังสมาชิกนักเดินทางจดจำ ‘เคทีซีเรื่องเที่ยวบัตรเดียวครบ’

เคทีซีเผยยอดใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตในหมวดท่องเที่ยวเติบโตต่อเนื่องหลังโควิด-19 เดินหน้ามอบประสบการณ์พิเศษที่แตกต่างด้านการท่องเที่ยวให้สมาชิกด้วย 3 กลยุทธ์หลักประกอบด้วย

1) เสริมความแข็งแกร่งด้านการใช้จ่ายท่องเที่ยวผ่านช่องทางออนไลน์กับสิทธิพิเศษจากกว่า 100 เว็บไซต์ท่องเที่ยวชั้นนำโดยเพิ่มความสะดวกสบายผ่านการปรับโฉมเว็บไซต์รวมสิทธิพิเศษท่องเที่ยว

2) ขยายฐานสมาชิกกลุ่มกำลังซื้อสูงจับมือพันธมิตรมอบสิทธิพิเศษทั้งในและต่างประเทศ 

และ 3) ตอกย้ำจุดเด่นการให้บริการโดยผู้เชี่ยวชาญที่น่าเชื่อถือผ่านเคทีซี เวิลด์ ทราเวล เซอร์วิส พร้อมสร้างการจดจำ ‘เคทีซีเรื่องเที่ยวบัตรเดียวครบ’ หวังสิ้นปีหมวดท่องเที่ยวยังครองแชมป์ยอดรวมใช้จ่ายสูงสุดด้วยอัตราเติบโตมากกว่า 20%

นางประณยา นิถานานนท์ ผู้บริหารสูงสุด สายงานการตลาดบัตรเครดิต ‘เคทีซี’ หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า หนึ่งในกลยุทธ์สำคัญที่มีส่วนผลักดันให้การดำเนินธุรกิจของเคทีซีเติบโตได้ตามเป้าหมายคือ การกระตุ้นยอดการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตในหมวดท่องเที่ยว โดยในไตรมาส 1 ปี 2567 ยอดใช้จ่ายในหมวดดังกล่าวเติบโตสูงเป็นอันดับ 2 ท่ามกลางหมวดการใช้จ่ายผ่านบัตรทั้งหมด นอกจากนี้พฤติกรรมการเดินทางท่องเที่ยวของสมาชิกได้มีการปรับรูปแบบแตกต่างไปจากที่ผ่านมา เช่น มีการวางแผนท่องเที่ยวด้วยตัวเอง หรือใช้ช่องทางออนไลน์เป็นแหล่งข้อมูลในการหาสถานที่ท่องเที่ยว จองตั๋วโดยสาร จองโรงแรมที่พักมากขึ้น รวมถึงเลือกเส้นทางท่องเที่ยวหรือมีกิจกรรมที่เฉพาะเจาะจงตามแต่ละไลฟ์สไตล์ของแต่ละกลุ่มที่ชัดเจน (Travel with purpose) 

สำหรับปี 2567เคทีซีได้วาง 3 กลยุทธ์เพื่อกระตุ้นยอดรวมการใช้จ่าย รวมถึงขยายฐานสมาชิกในหมวดท่องเที่ยวด้วยเป้าหมายสิ้นปี 2567 เติบโตมากกว่า 20% เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2566 และครองใจให้สมาชิกจดจำหากต้องการเดินทางท่องเที่ยวต้องนึกถึง ‘เคทีซีเรื่องเที่ยวบัตรเดียวครบ’ ประกอบด้วย

1.เสริมความแข็งแกร่งให้กับการใช้จ่ายท่องเที่ยวผ่านช่องทางออนไลน์ ด้วยสิทธิพิเศษจากเว็บไซต์ท่องเที่ยวครบทุกหมวดย่อยจากกว่า 100 พันธมิตรการเดินทางชั้นนำให้สมาชิกบัตรเครดิตเคทีซีสะดวกสบายยิ่งขึ้นพร้อมเป็นช่องทางสนับสนุนพันธมิตรหมวดท่องเที่ยวที่ร่วมรายการ ผ่านการปรับโฉมเว็บไซต์ www.ktc.co.th/online-travel-booking  เพื่อให้ง่ายต่อการค้นหาข้อมูลและตัดสินใจได้แบบจุดเดียวเบ็ดเสร็จ (One-Stop Online Travel Hub) พร้อมสิทธิพิเศษส่วนลดสูงสุดถึง 50%

2.ขยายฐานสมาชิกสู่กลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง หลังเห็นยอดการใช้จ่ายในกลุ่มผู้มีรายได้สูงกว่า 50,000 บาทเติบโตต่อเนื่องในหมวดท่องเที่ยวและการใช้จ่ายในต่างประเทศ เคทีซีจึงได้จับมือกับพันธมิตรสายการบินฟูลเซอร์วิสเพื่อมอบสิทธิพิเศษที่ตรงใจ ครอบคลุมร้านค้าในต่างประเทศ รวมถึงแหล่งช้อปปิ้งชื่อดังระดับโลก ในขณะที่ยังให้ความสำคัญกับการท่องเที่ยวในประเทศด้วยการจับมือกับโรงแรมคุณภาพระดับสากล ออกแคมเปญหลากหลายให้กับสมาชิกอีกด้วย

3.ตอกย้ำจุดเด่นการให้บริการผ่านเคทีซี เวิลด์ ทราเวล เซอร์วิส สำหรับสมาชิกบัตรเครดิตเคทีซีด้วยการให้บริการที่ไว้ใจได้ (Trusted Service) โดยผู้เชี่ยวชาญที่พร้อมให้บริการด้านการท่องเที่ยวที่น่าเชื่อถือ ติดต่อและเข้าถึงสะดวก รวมถึงสามารถให้คำแนะนำพร้อมข้อมูลที่เป็นประโยชน์ ชูจุดเด่นที่สมาชิกสามารถเลือกทำรายการผ่อนชำระ 0% นานสูงสุด 6 เดือน หรือแลกคะแนน KTC FOREVER แทนส่วนลดได้ทุกผลิตภัณฑ์ เมื่อใช้จ่ายตามที่กำหนด 

นอกจากนี้ เคทีซียังยืนยันในจุดยืนของการเป็นผู้นำในหมวดท่องเที่ยวที่มีความร่วมมืออย่างแน่นแฟ้น    กับพันธมิตรด้านการท่องเที่ยวที่หลากหลายมาโดยตลอด ทั้งสายการบิน โรงแรม รถเช่า รวมถึงองค์กรส่งเสริมการท่องเที่ยวของประเทศต่าง ๆ อาทิ การท่องเที่ยวสวิตเซอร์แลนด์ (Swiss Tourism) / องค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวญี่ปุ่น (JNTO) / องค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวเกาหลี (KTO) / การท่องเที่ยวฮ่องกง (HKTB) และการท่องเที่ยวไต้หวัน (TTB) ที่ทำให้หมวดท่องเที่ยวของเคทีซี และผลิตภัณฑ์ด้านการท่องเที่ยวของเคทีซี เวิลด์ ทราเวล เซอร์วิส มีความโดดเด่นและเป็นเอกลักษณ์ตอบโจทย์ความต้องการของสมาชิก

นางประณยากล่าวทิ้งท้าย สำหรับการดำเนินงานด้านการท่องเที่ยว เคทีซียังคำนึงถึงการส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างรับผิดชอบต่อเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน อาทิ การที่ร่วมกับสายการบินคาเธ่ย์ แปซิฟิค ในการส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนและคืนประโยชน์สู่สังคมผ่านโครงการ ‘บิน 1 เที่ยว ปลูก 1 ต้น’ (1 Ticket 1 Tree) การนำเสนอผลิตภัณฑ์กรีนโปรดักส์ด้านการเดินทางท่องเที่ยวผ่านช่องทางเคทีซี เวิลด์ ทราเวล เซอร์วิส อาทิ บัตรรถไฟ บัตรรถราง รถเช่าไฟฟ้า (EV) และแพ็กเกจท่องเที่ยวชุมชน เป็นต้น

ผู้สนใจสิทธิพิเศษด้านการเดินทางท่องเที่ยวสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ www.ktc.co.th/online-travel-booking หรือ ติดต่อเพื่อรับบริการด้านการท่องเที่ยว ที่ KTC World Travel Service โทรศัพท์ 02 123 5050 สำหรับผู้ที่ต้องการสมัครสมาชิกบัตรเครดิตเคทีซี สามารถคลิก ดูรายละเอียดได้ที่ลิงค์ https://ktc.today/apply-card หรือติดต่อศูนย์บริการสมาชิก ‘เคทีซี ทัช’ ทุกสาขาทั่วประเทศ

หมายเหตุ : บัตรเครดิตใช้เท่าที่จำเป็นและชำระคืนได้ตามกำหนดจะได้ไม่เสียดอกเบี้ย 16% ต่อปี


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top