Monday, 13 May 2024
นโยบายรัฐบาล

กระทรวง 'พม.' ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ลงพื้นที่ร่วมกับ พมจ.สมุทรปราการ ตรวจราชการแบบบูรณาการ

วันอังคารที่ 2 สิงหาคม 2565 เวลา 08.30 น. 'นางวรรณภา สุขคง' พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดสมุทรปราการ ต้อนรับ และร่วมลงพื้นที่ตรวจราชการแบบบูรณาการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 รอบที่ 2 โดยมีผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี เขตที่ 2 "นายเจริญ ซื้อตระกูล" และคณะผู้ตรวจ ได้แก่ "นางสาวอุไร เล็กน้อย" ผู้ตรวจราชการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ลงพื้นที่ตามแผนการตรวจราชการเขตตรวจราชการที่ 2 ณ จังหวัดสมุทรปราการ 

โดยเข้าพบ "นายวันชัย คงเกษม" ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรปราการ เพื่อหารือข้อราชการและการขับเคลื่อนโครงการและกิจกรรมตามนโยบายรัฐบาล

‘รัฐบาลเศรษฐา’ เตรียมแถลงนโยบายต่อรัฐสภาฯ 8 ก.ย.นี้ ภายใต้สโลแกน ‘1 กระตุ้น 3 เร่ง 3 สร้าง’ หวังคนไทยมีชีวิตดีขึ้น

(5 ก.ย. 66) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในวันที่ 8 กันยายน 2566 นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี พร้อมแถลง ‘นโยบายรัฐบาล’ ครม.เศรษฐา 1 ต่อรัฐสภา โดยการแถลงนโยบายของรัฐบาลในครั้งนี้ต้องดำเนินการให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญมาตรา 162 ที่กำหนดให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่จะเข้าบริหารราชการแผ่นดินต้องแถลงนโยบายต่อรัฐสภาให้สอดคล้องกับหน้าที่ของรัฐ แนวนโยบายแห่งรัฐ และยุทธศาสตร์ชาติ และต้องชี้แจงแหล่งที่มาของรายได้ที่จะนํามาใช้จ่ายในการดําเนินนโยบาย โดยไม่มีการลงมติความไว้วางใจ ภายใน 15 วันนับแต่วันเข้ารับหน้าที่

แหล่งข่าวจากพรรคเพื่อไทย เปิดเผยว่า นโยบายรัฐบาลภายใต้การนำของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ที่จะแถลงต่อรัฐสภา มีนโยบายสำคัญภายใต้สโลแกน ‘1 กระตุ้น 3 เร่ง 3 สร้าง’ โดยมีความมุ่งหมายให้ประชาชนมีสิทธิเสรีภาพ ความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น และสร้างโอกาสในการหารายได้ ดังนี้

>> นโยบายรัฐบาล 1 กระตุ้น 

นโยบายกระเป๋าเงินดิจิทัล (Digital Wallet) 10,000 บาท ให้คนไทยทุกคนที่มีอายุ 16 ปีขึ้นไป สำหรับจับจ่ายใช้สอยสินค้าที่จำเป็นในการดำรงชีวิต ในร้านค้าชุมชนและบริการที่อยู่ในรัศมี 4 กิโลเมตร เพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจและกระจายรายได้สู่ชุมชน โดยกระเป๋าเงินดิจิทัลจะมีอายุการใช้งาน 6 เดือน เพื่อให้เกิดเงินหมุนเวียน กระตุ้นเศรษฐกิจใหญ่

>> นโยบายรัฐบาล 3 เร่ง

1. นโยบายเร่งแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยรัฐบาลยังคงรูปแบบการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข โดยจะมีการตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) ที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนและผ่านขั้นตอนการออกเสียงลงประชามติโดยประชาชน

2. นโยบายเร่งลดหนี้ประชาชน ด้วยการพักหนี้เกษตรกร 3 ปี เพื่อลดภาระเกษตรกรในการชำระหนี้จากความเดือดร้อนทางเศรษฐกิจ 3 ปี และพักหนี้ธุรกิจที่เกิดร้อนจากโควิด 1 ปี รวมทั้งสนับสนุน Pico Finance เพื่อแก้ปัญหาหนี้นอกระบบ

3. นโยบายเร่งลดราคาพลังงาน ลดค่าครองชีพประชาชน โดยนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ระบุว่า แนวทางการดำเนินการในเรื่องราคาพลังงานนั้นมีเรื่องหลัก ๆ ที่ต้องเร่งดำเนินการ คือ ราคาน้ำมัน และ ราคาไฟฟ้า เพื่อให้เกิดความเหมาะสมและเป็นธรรมกับประชาชน อีกทั้งยังช่วยค่าครองชีพอื่น ๆ เพราะพลังงานเป็นต้นทุนการผลิตสินค้าเครื่องอุปโภคบริโภค 

>>นโยบายรัฐบาล 3 สร้าง

1. นโยบายสร้างรายได้ อาทิ การสร้างรายได้จากการท่องเที่ยว ด้วยการขับเคลื่อนท่องเที่ยวในทุกมิติ อาทิ ฟรีวีซ่า, การบริหารจัดการ (Operations)ของสนามบินเอง, การจัดการเที่ยวบิน (Flight), การลำเลียงกระเป๋า และกระบวนการตรวจคนเข้าเมือง โดยตั้งเป้าหมายประเทศไทยมีรายได้จากการท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นจาก 1.9 ล้านล้านบาท เป็น 3.3 ล้านล้านบาท ภายในปี 2567

ขณะเดียวกันก็จะเร่งการสร้างรายได้จากการค้าการลงทุน ด้วยการใช้นโยบาย ‘การต่างประเทศเพื่อเศรษฐกิจ’ ดึงดูดนักลงทุนรายใหญ่ระดับโลกเข้ามาลงทุนในไทย เร่งเจรจาพื้นที่ทับซ้อนไทย-กัมพูชา ให้ได้มาซึ่งแหล่งก๊าซธรรมชาติราคาถูก

นอกจากยังมีนโยบายเพิ่มรายได้เกษตรกร และราคาสินค้าเกษตร ด้วยการเพิ่มประสิทธิภาพการเกษตร แปรรูป ลดต้นทุน ปรับวิธีการผลิต ใช้ตลาดนำการผลิต ปรับเปลี่ยนการปลูกพืชที่ใช้น้ำมากที่จะได้รับผลกระทบจากปรากฏการณ์เอลนีโญที่จะก่อให้เกิดปัญหาภัยแล้ง มาเป็นการปลูกพืชเพื่อการปศุสัตว์ หรือพืชเพื่อการเลี้ยงสัตว์ แทนการนำข้าจากต่างประเทศ ควบคู่กับการการสร้างโอกาสใหม่ ๆ เช่นการเลี้ยงโคเพื่อส่งออก รวมไปถึงนโยบายค่าแรงขั้นต่ำ 600 บาท เงินเดือนคนจบปริญญาตรี 25,000 บาท

2. นโยบายสร้างโอกาสและลดความเหลื่อมล้ำ เช่น การแจกโฉนดที่ดินให้แก่เกษตรกร แก้กฎหมายที่ดิน ส.ป.ก. 4-01 ให้นำไปเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันและเปลี่ยนมือได้ แต่ยังคงไว้ซึ่งวัตถุประสงค์ของการใช้ที่ดินเพื่อการเกษตร เพื่อสร้างโอกาสในการเข้าหาแหล่งทุนของเกษตรกร

ส่งเสริมการปลูกพืชยืนต้น เพื่อเป็นคาร์บอนด์เครดิต นโยบายส่งเสริม SME ด้วยการสนับสนุนและอุดหนุนภาระต้นทุนของผู้ประกอบการ ผลักดันแก้ไขกฎหมายที่เป็นอุปสรรคต่อการทำธุรกิจ ลดการผูกขาดทางธุรกิจอันเป็นอุปสรรคต่อการขยายตัวของ SME

นอกจากนี้จะมีการปรับปรุงระบบประกันสุขภาพ 30 บาท ด้วยการนำระบบเทคโนโลยีมายกระดับการให้บริการ เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายแก่ประชาชนมากขึ้น รวมทั้งจะเร่งผลักดันรัฐบาลดิจิทัล ให้เกิดความโปร่งใส ตรวจสอบได้ ประชาชนได้บริการที่ดีขึ้น ประหยัดเงิน ประหยัดเวลา

3. นโยบายสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น เช่น การแก้ปัญหายาเสพติด ด้วยการจัดกลุ่มผู้เสพ คือ ผู้ป่วย ต้องดูแลรักษา ฟื้นฟูให้มีอาชีพกลับเข้าไปทำงานให้ได้ แต่จะจัดการกับผู้ค้า ผู้ผลิต ด้วยการนำกฎหมายยึดทรัพย์มาเป็นเครื่องมือสำคัญในการหยุดยั้งยาเสพติด รวมถึงนโยบายแก้ไขกฎหมายยกเลิกการเกณฑ์ทหาร ให้เข้ารับราชการทหารโดยสมัครใจ

นอกจากนี้ยังมีนโยบายยกระดับคุณภาพการศึกษาทั้งระบบ ภายใต้หลักปรัชญา ‘เรียนรู้เพื่อรายได้’ ด้วยการปรับหลักสูตรต่าง ๆ ที่สอดคล้องกับการสร้างรายได้ สร้างกลไกพิเศษให้ภาครัฐและเอกชนทำงานร่วมกัน ควบคู่กับการผลักดันนโยบาย soft power ในด้านต่าง ๆ

‘พีมูฟ’ จี้!! ‘เศรษฐา’ บรรจุข้อเสนอเรื่องที่ดินไว้ในนโยบายรัฐบาล พร้อมดันยกร่าง รธน.ทั้งฉบับ ตั้ง ‘สสร.’ ให้ประชาชนมีส่วนร่วม

(6 ก.ย. 66) ที่ด้านหน้าสนง.กพ.เดิม ทำเนียบรัฐบาล กลุ่มขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม หรือ ‘P-Move’ นำโดย นายจำนงค์ หนูพันธ์ และ น.ส.ศิรวีย์ ทิพย์วงศ์ รวมตัวกันเพื่อยื่นหนังสือถึง นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เรื่อง ข้อเสนอของขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม เพื่อให้บรรจุไว้เป็นนโยบายของรัฐบาล

โดยระบุว่า เนื่องจาก ช่วงรณรงค์การเลือกตั้งที่ผ่านมาภาคประชาชนได้จัด ‘เวทีภาคประชาชนเสนอนโยบายต่อพรรคการเมือง’ โดย ขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (P-Move) ร่วมกับคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อวันที่ 6 เมษายน 2566 ที่คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ เพื่อเสนอนโยบายด้านการแก้ไขปัญหาที่ดินและการจัดการทรัพยากรอย่างเป็นธรรม และปัญหาอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ต่อพรรคการเมืองและสื่อสารสาธารณะต่อประชาชนชาวไทย ถึงแนวคิดในการบริหารทรัพยากรโดยยึดหลักสิทธิชุมชน

โดยเชิญหัวหน้าพรรคการเมืองทุกพรรคที่ลงสมัครรับเลือกตั้ง โดยพลังประชารัฐได้ตอบรับการเข้าร่วมเวที และได้ส่งนายไพบูลย์ นิติตะวัน ประธานคณะทำงานธุรการเพื่อการเลือกตั้งพรรคพลังประชารัฐ มานำเสนอนโยบายของพรรค

ดังนั้น เพื่อให้พรรคพลังประชารัฐดำเนินการตามนโยบายที่ได้ให้คำมั่นกับขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรมและประชาชน สามารถบรรลุตามนโยบายที่ได้ประกาศไว้ตอนรณรงค์การเลือกตั้งกับ ประชาชนในนามของพีมูฟ จึงขอให้นายกรัฐมนตรี ผ่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และคณะรัฐมนตรี เพื่อให้บรรจุนโยบายเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาป่าไม้-ที่ดิน รัฐสวัสดิการและประชาธิปไตย ไว้ในนโยบายที่จะแถลงต่อรัฐสภา ดังต่อไปนี้

1.) ให้ยกระดับโฉนดชุมชนให้เป็นรูปแบบหนึ่งของการจัดที่ดิน ภายใต้คณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ (คทช.) ภายใต้มาตรา 10 (4) แห่งพระราชบัญญัติคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ พ.ศ. 2562

2.) ผลักดันให้มีการทบทวนปรับปรุงการดำเนินงาน ของสถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (มหาชน) ให้สอดคล้องกับเป้าหมายและวัตถุประสงค์ในการกระจาย การถือครองที่ดินอย่างเป็นธรรมและยั่งยืน สู่เกษตรกรรายย่อยและผู้ยากจน รวมทั้งผลักดันให้มีการจัดตั้ง ‘ธนาคารที่ดิน’ ให้เป็นองค์กรที่มั่นคง และจัดสรรงบประมาณสนับสนุนการดำเนินงานอย่างพอเพียง

3). แก้ไขกฎหมายคืนความเป็นธรรมในเรื่องที่ดินและทรัพยากรป่าไม้ ให้แก่ประชาชนอย่างเป็นธรรมและเท่าเทียม สังคายนากฎหมาย ที่ดิน-ป่าไม้ทั้งระบบ ทบทวนและยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีที่เป็นอุปสรรคต่อการแก้ไขปัญหาของประชาชน ได้แก่ มติคณะรัฐมนตรีวันที่ 30 มิ.ย.2541, มติคณะมนตรีวันที่ 26 พ.ย.2561 และมติคณะรัฐมนตรีอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง

4.) เร่งออกกฎหมายว่าด้วยการนิรทษกรรมแก่ราษฎร ซึ่งได้รับความเสียหายหรือได้รับผลกระทบ จากการดำเนินการตามนโยบายของรัฐ พ.ศ.....โดยระหว่างการออกกฎหมายดังกล่าว ขอให้ชะลอการดำเนินคดีและการบังคับคดีทางปกครอง ก่อนการพิสูจน์สิทธิ์เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากนโยบายเกี่ยวกับคดีที่ดินป่าไม้ ตามที่อ้างถึง

5.) ผลักดันให้มีการจัดระบบสวัสดิการถ้วนหน้าแก่ประชาชนอย่างเหมาะสมและเป็นธรรม

6.) ผลักดันให้มีการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ทั้งฉบับ โดยให้การจัดตั้งและสรรหาสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) โดยกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชน ที่สามารถกำหนดแนวทางได้ในทุกขั้นตอนโดยเร็ว

ทั้งนี้ เนื่องจากพรรคพลังประชารัฐมีนโยบายในการเปลี่ยน สปก. 4-01 ให้เป็นโฉนด ซึ่ง ขปส.ได้ประกาศจุดยืนไว้แล้วว่าไม่เห็นด้วยกับนโยบายดังกล่าวมาโดยตลอด ดังนั้นจึงขอสงวนสิทธิ์ในการไม่ให้การสนับสนุนนโยบาย ‘การแปลงสปก.-401 เป็นโฉนด’ อย่างถึงที่สุด และขอเรียกร้องให้รัฐบาลดำเนินนโยบายดังกล่าว ด้วยความรอบรอบคอบรัดกุม ไม่เอื้อประโยชน์ให้แก่กลุ่มนายทุน และทำให้เกิดวิกฤติความเหลื่อมล้ำและการกระจุกตัวของที่ดินมากยิ่งขึ้น

ทั้งนี้ มีนายมงคลชัย สมอุดร รองปลัดสำนักนายกมนตรี (สปน.) รับหนังสือดังกล่าวไว้เพื่อนำเรียนนายกรัฐมนตรีเพื่อโปรดทราบและประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไปซึ่งกลุ่ม ผู้ชุมนุมพอใจ และใช้เครื่องขยายเสียงปราศรัย ก่อนที่จะเดินทางกลับ

‘สว.สมชาย’ มอง ‘ร่างนโยบาย รบ.เศรษฐา 1’ เลื่อนลอย-ไม่ชัดเจน ขาดรายละเอียดเรื่องความยั่งยืน-สังคมปรองดอง-ปราบคอร์รัปชัน

(6 ก.ย. 66) นายสมชาย แสวงการ ประธานคณะกรรมาธิการสิทธิมนุษยชน และสมาชิกวุฒิสภา ได้ให้สัมภาษณ์ถึงประเด็นการแถลงนโยบายรัฐบาล ภายใต้การนำของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ผ่านรายการ ‘คุยข่าว ถึงเครื่อง’ ประจำวันที่ 11 ก.ย. 66 เผยแพร่ผ่านช่องทางรับชมในเครือ THE STATES TIMES, คุยถึงแก่น, เปรี้ยง, NAVY AM RADIO / MAYA Channel ช่อง 44 และ FM101 โดยมี นายปรเมษฐ์ ภู่โต สื่อมวลชนอาวุโส พิธีกร ผู้ประกาศข่าวรายการคุยถึงแก่น เป็นผู้ดำเนินรายการ โดยสาระสำคัญจาก นายสมชาย ได้กล่าวถึงเรื่องนี้ ว่า…

“ผมเสียดายนิดเดียวว่า นโยบายฉบับนี้น่าจะใช้โอกาสในการเปลี่ยนแปลงเรื่องที่สําคัญ คือการเป็นรัฐบาลสลายขั้ว ที่ฝ่ายค้านอย่างเพื่อไทย มาเป็นรัฐบาลร่วมกับพรรครัฐบาลเก่า เช่น ภูมิใจไทย พลังประชารัฐ รวมไทยสร้างชาติ ก็น่าจะมีนโยบายที่เด่นชัดในเรื่องการปรองดอง สมานฉันท์ แต่กลับไม่ชัด ท่านนายกก็พูดถึงเรื่อง มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน ต่อจากท่านพลเอกประยุทธ์ แต่ว่าในนโยบายยังไม่มีเลยว่าจะสานต่อนโยบายมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน อย่างไร”

นายสมชายกล่าวต่อว่า “ต่อมาคือเรื่องการปฏิรูปตามยุทธศาสตร์ชาติ ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีมาก ประเทศไทยใช้แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ แผนละ 5 ปี โดยหลักยุทธศาสตร์ชาติ ต้องวางกัน 20 ปี อย่างในเนเธอร์แลนด์วางยุทธศาสตร์ชาติเกี่ยวกับน้ำ 50-100 ปี แต่เราก็ไม่ได้เน้นในเรื่องยุทธศาสตร์ชาติ แต่มองเพียงว่าในระยะ 4 ปีรัฐบาลจะทําอะไร มันก็เลยไปเกี่ยวพันกับเรื่องของเงิน สําหรับการทํางานเฉพาะหน้า”

นายสมชายระบุต่อว่า “ยกตัวอย่าง เช่น ในสมัยพลเอกประยุทธ์ ก็จะมีการวางรากฐานโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ ไว้ เช่น รถไฟความเร็วสูง รถไฟทางคู่ มีเขตเศรษฐกิจพิเศษ EEC และกำลังจะมีแลนด์บริจด์เกิดขึ้นที่ระนอง-ชุมพร เพื่อเชื่อมต่อการขนส่งสินค้า หรือแม้แต่เรื่องการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล ผมคิดว่าหากต่อยอดก็จะทำให้เกิดความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืนได้ตามยุทธศาสตร์ ในคำอธิบายของรัฐบาลไม่ชัดเจนตรงนี้ จึงทำให้ไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องการพัฒนา-กระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งอาจจะเป็นจุดอ่อน”

นายสมชาย ได้กล่าวถึงเรื่องเงินดิจิทัล 1 หมื่นบาทของพรรคเพื่อไทย ที่คาดว่าจะมีการใช้จ่ายจริงในปีต้นปี 2567 ว่า… “ในส่วนของเรื่องเงินดิจิทัล 1 หมื่นบาท ผมก็มองว่า เราใช้เงิน 5.6 แสนล้านบาทเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งเทียบเท่ากับงบประมาณในการนำเงินลงทุนต่อปีเลย นโยบายนี้ถ้าทำสำเร็จ มันก็มีประโยชน์ เพียงแต่ว่ากระตุ้นเศรษฐกิจในระยะยาวไม่ได้ เป็นเหมือนการให้ยาสเตรียรอยด์ เพื่อรักษาโรค หากให้ในระยะยาว ก็จะเกิดอาการป่วย ต่อมาจะเป็นคำถามว่า เอาเม็ดเงินจากไหนมาทำนโยบายนี้ ใช่การไปดึงเงินคลัง หรือทุนสำรองมาทำหรือไม่? จะกลายเป็นประเด็นเหมือนช่วงจำนำข้าว ที่นำเงิน ธ.ก.ส. หรือออมสิน มาใช้ ก็ต้องดูให้ดี”

นายสมชาย กล่าวต่อว่า “อีกเรื่องที่น่ากังวลคือ การให้สิทธิ์แบบถ้วนหน้า คือให้คนที่อายุตั้งแต่ 16 ปีขึ้นไป ผมมองว่ามันไม่ควรจะจ่ายให้ทุกคน เพราะมันไม่มีคําตอบว่าทําไมถึงจะต้องให้ 56 ล้านคน แต่หากมองในมุมร้ายก็มองว่าเป็นการนําไปสู่คะแนนเสียงในการเลือกตั้งสมัยหน้า นอกจากนี้ยังมีเรื่องของความต้องการใช้เงิน จุดประสงค์ของการเกิดนโยบายนี้คือกระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อลดความเหลื่อมล้ำ คนจนใช้เงินมากกว่าคนรวย เมื่อมีนโยบายนี้ก็จะนำเงินมาใช้ทั้งหมด แต่สำหรับคนมีเงินหรือคนรวย ก็จะมองว่าเป็นจำนวนเงินที่เล็กน้อย ก็อาจจะไม่ได้ใช้เงินตรงนี้ได้ตามจุดประสงค์ ส่วนช่องทางในการจ่ายเงิน ผมมองว่าควรใช้ผ่านแอปเป๋าตัง ซึ่งเป็นแอปที่มีอยู่แล้ว มีทั้งข้อมูล รายละเอียดต่าง ๆ ไม่จำเป็นต้องทำแอปใหม่แต่อย่างใด”

เมื่อถามว่า นโยบายที่รัฐบาลแถลง ส่วนหนึ่งก็มาจากสิ่งที่เคยพูดไว้ตอนหาเสียง ซึ่งพอได้เป็นรัฐบาลแล้ว หากไม่ทำตามที่หาเสียงไว้ก็จะโดนประชาชนกดดันหรือเปล่า? นายสมชาย ระบุว่า “ตอนเพื่อไทยจับมือพรรคต่าง ๆ จัดตั้งรัฐบาล ผมก็ได้แสดงความยินดี แล้วก็เสนอไป 11 ประเด็นแล้วว่าต้องเอานโยบายมาหลอมรวมกัน พอถึงการหลอมรวม ก็ต้องอธิบายชาวบ้านได้ว่าเงินดิจิทัลหมื่นบาทของเพื่อไทย ขณะนี้ได้ประชุมกับพรรคร่วมรัฐบาลแล้ว เห็นว่าไม่สามารถแจกได้ทุกคนเห็นควรที่จะทําให้มันถูกต้อง แล้วก็ใช้บัตรพลังประชารัฐ บัตรสวัสดิการแห่งรัฐเป็นตัวตั้ง แล้วก็แจกให้กับพี่น้องคนที่เขาลําบาก แล้วก็ไม่ต้องไปจํากัดเวลาด้วยว่าต้อง 6 เดือนเท่านั้น อีกอย่างการใช้เงินดิจิทัลนี้มีข้อครหาว่ากำลังมีคนรอช้อนซื้อ ซึ่งฟังดูไม่ดีเลย แล้วพวกเรื่อง Blockchain ก็ตรวจสอบได้ยาก หาที่มาที่ไปไม่ได้ ดังนั้น ถ้ารัฐบาลยังเดินหน้านโยบาย ต้องแยกให้ชัดเจนนะว่าเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ต้องพุ่งเป้าไปที่ตัวคนที่ต้องถูกกระตุ้น”

เมื่อถามถึงภาพรวมในการอภิปรายนโยบายของรัฐบาล ซึ่งถูกศิริกัญญา สส.จากพรรคก้าวไกลออกมาเปรียบเทียบว่าสู้รัฐบาลประยุทธ์หรือรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ไม่ได้ นายสมชาย กล่าวว่า… “ขอกล่าวถึงเฉพาะรัฐบาลของพลเอกประยุทธ์นะครับ เพราะรัฐบาลของคุณยิ่งลักษณ์ผมก็ไม่ค่อยเห็นด้วยกับคุณศิริกัญญา เนื่องจากตอนนั้นเรื่องจำนำข้าวมันชัดเจนอยู่แล้ว ส่วนของรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ ในการแถลงนโยบาย 12 ข้อนั้นถือว่าค่อนข้างชัดเจนและก็เดินไปสู่เป้าหมายได้ แต่การมาเขียนนโยบาย 2-3 บรรทัด แล้วบอกว่าจะทำ ก็มองว่าไม่สามารถทำได้ อาจจะไม่ต้องเขียนลงรายละเอียดทั้งหมด แต่ต้องเขียนให้ชัดเจนว่าจะทำอย่างไร และมีความหนักแน่น เช่นนโยบายในอดีต เรียนฟรี 12 ปี”

“ส่วนในเรื่องกระบวนการยุติธรรม ที่ค่อนข้างน่าเป็นห่วง แต่คุณเศรษฐาก็พูดไว้ดีนะครับว่าจะยึดหลักนิติธรรม แต่ยังไม่ได้บอกว่าจะทำอย่างไร อย่างเช่น ในกรณีคุณทักษิณที่ได้รับอภัยโทษแล้ว หากไม่มีการขอลดโทษอีก ก็จะเป็นตัวอย่างที่ดีของการยึดหลักนิติธรรม ประชาชนก็จะมองว่าน่าเชื่อถือ ต่อมาคือเรื่องการทุจริตคอร์รัปชัน ต้องประกาศให้ชัดเจน และต้องไม่มีการทุจริตในทุก ๆ เรื่อง เพื่อสร้างความมั่นใจและสมัครสมานสามัคคีแก่คนในสังคม” นายสมชายกล่าวทิ้งท้าย

‘เคอรี่ เอ็กซ์เพรส’ ประกาศยกเลิกการเรียกเก็บค่าน้ำมันส่วนเพิ่ม หลังรัฐบาลมีมติเห็นชอบตรึงราคาดีเซลต่ำกว่า 30 บาท/ ลิตร

(2 ต.ค.66) เคอรี่ เอ็กซ์เพรส แจ้งยกเลิกการเรียกเก็บค่าน้ำมันส่วนเพิ่ม หลังรัฐบาลได้มีมติเห็นชอบให้ตรึงราคาน้ำมันดีเซลต่ำกว่า 30 บาท/ ลิตร

จากราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่พุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องเมื่อช่วงปีที่ผ่านมา ทำให้ทางบริษัท เคอรี่ เอ็กซ์เพรส (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ผู้นำด้านธุรกิจจัดส่งพัสดุด่วนทั่วไทย จำเป็นจะต้องเก็บค่าน้ำมันส่วนเพิ่ม เพื่อรักษาคุณภาพการให้บริการตั้งแต่วันที่ 13 มิถุนายน 2565 ที่ผ่านมา 

อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันทางรัฐบาลได้มีมติเห็นชอบให้ตรึงราคาน้ำมันดีเซลต่ำกว่า 30 บาท/ ลิตร ฉะนั้นเพื่อให้สอดคล้องกับการดำเนินธุรกิจอย่างโปร่งใส บริษัท เคอรี่ เอ็กซ์เพรส (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) จึงขอแจ้งยกเลิกการเรียกเก็บค่าน้ำมันส่วนเพิ่มตามเงื่อนไขที่เคยประกาศไว้ก่อนหน้า จนกว่าจะมีการเปลี่ยนแปลง โดยมีผลตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป

อนึ่งก่อนหน้านี้ บริษัท เคอรี่ เอ็กซ์เพรส (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ KERRY ได้ออกประกาศเรื่องการจัดเก็บค่าน้ำมันส่วนเพิ่ม (Additional Fuel Charge) ที่มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 13 มิถุนายน 2565

ประกาศดังกล่าวระบุว่า เนื่องด้วยราคาน้ำมันเชื้อเพลิงพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพื่อรักษามาตรฐานการให้บริการที่ดีที่สุดแก่ลูกค้า บริษัทฯ มีความจำเป็นต้องจัดเก็บค่าน้ำมันส่วนเพิ่มตามรายละเอียดดังนี้ จนกว่าราคาน้ำมันจะเข้าสู่ภาวะปกติ..

1. ราคาน้ำมันดีเซล ต่ำกว่าหรือเท่ากับ 30 บาทต่อลิตร ไม่เก็บค่าน้ำมันส่วนเพิ่ม
2. ราคาน้ำมันดีเซล สูงกว่า 30 บาทต่อลิตร โดยปลายทางผู้รับในกรุงเทพฯ และปริมณฑล เก็บค่าน้ำมันส่วนเพิ่ม 2 บาทต่อกล่องพัสดุ และปลายทางผู้รับในต่างจังหวัด เก็บค่าน้ำมันส่วนเพิ่ม 3 บาทต่อกล่องพัสดุ
3. ราคาน้ำมันดีเซล สูงกว่า 34 บาทขึ้นไป ต่อลิตร ทุก ๆ 2 บาท จากราคาน้ำมัน 34 บาทขึ้นไป เก็บค่าน้ำมันส่วนเพิ่ม 1 บาท (จากค่าน้ำมันส่วนเพิ่มในข้อ 2)

‘รองฯ กิตติ์รัฐ’ พร้อมคณะ เรียกประชุม ตัดวงจรผู้เกี่ยวข้องกับยาเสพติด ในปี 2567 เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล

เมื่อวานนี้ (30 ต.ค. 66) เวลา 13.30 น.ที่ กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด ถนนวิภาวดีรังสิต แขวงตลาดบางเขน เขตหลักสี่ กทม. พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รอง ผบ.ตร.(ปป) , พล.ต.ท.นิรันดร เหลื่อมศรี ผู้ช่วย ผบ.ตร.(ปป 2), พล.ต.ท.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร ผู้ช่วย ผบ.ตร. (ปป 3), พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผู้ช่วย ผบ.ตร. (ปป 4) และพล.ต.ท.อัคราเดช พิมลศรี ผบช.ภ.6 รรท.ผู้ช่วย ผบ.ตร.(ปป 5) ได้เดินทางไปตรวจเยี่ยม รับฟัง และมอบนโยบายการดำเนินการป้องกันปราบปราม และสกัดกั้นการแพร่ระบาดยาเสพติด ตามภารกิจเร่งด่วน ตัดวงจรผู้เกี่ยวข้องกับยาเสพติด ในปี 2567 เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล และ ตร.  

โดยมี พล.ต.ท.คีรีศักดิ์ ตันตินวะชัย ผบช.ประจำ สง.ผบ.ตร. รรท.ผบช.ปส. พร้อมด้วย รอง ผบช.ปส. , ผบก.,รองผบก.และ ผกก.ในสังกัด บช.ปส.เข้าร่วมประชุมและบรรยายสรุปผลการปฏิบัติงานสำคัญที่ผ่านมาและแผนที่จะดำเนินการต่อไป ตลอดจนปัญหาข้อขัดข้อง ในการดำเนินมาตรการลดจำนวนผู้เสพยาเสพติด ,มาตรการจับกุมผู้ค้ายาเสพติด และมาตรการสกัดกั้นยาเสพติด อย่างเป็นรูปธรรมและเกิดผลสัมฤทธิ์ต่อไปโดยเสร็จสิ้นการประชุม เวลา 15.30 น.

พลิกโฉมประเทศไทย!! เปิดภารกิจ 60 วัน 'นายกฯ เศรษฐา' ‘เคลียร์ปัญหา-เดินหน้าพัฒนา’ อะไรไปแล้วบ้าง?

ผ่านมาร่วม 2 เดือน กับรัฐบาลภายใต้การนำของ ‘นายเศรษฐา ทวีสิน’ นายกรัฐมนตรี ก็ต้องบอกว่ามีหลายเรื่องที่กำลังทำ และหลายเรื่องที่เดินหน้าไปได้แล้วอย่างรวดเร็ว ภายใต้แผนนโยบายทั้งระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว โดยมุ่งเน้น Quick Win 3 ประการ ลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ และขยายโอกาส เพื่อเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจ ผ่านการท่องเที่ยว, การเกษตร, การต่างประเทศ, การคมนาคม และอีกหลายเรื่อง

ลองมาดูกันว่า 60 วันมานี้ รัฐบาลเศรษฐา ทำอะไรไปแล้วบ้าง? และโดนใจคนไทยสักแค่ไหน?

ผู้บัญชาการตํารวจท่องเที่ยวลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมนักท่องเที่ยวและประชาชน ต้อนรับเทศกาลตรุษจีน ขานรับนโยบายรัฐบาล สร้างความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยให้กับนักท่องเที่ยว

ตามนโยบายสำคัญของรัฐบาลภายใต้การนำของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ผลักดันการท่องเที่ยว ส่งเสริมภาพลักษณ์การท่องเที่ยวและส่งเสริมรูปแบบการท่องเที่ยวคุณภาพสูง ปราบปรามการเอาเปรียบนักท่องเที่ยว รวมทั้งการอำนวยความสะดวก และดูแลความปลอดภัยนักท่องเที่ยว และนโยบาย ของนางสาวสุดาวรรณ  หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ในการเป็นเจ้าบ้านที่ดีในการอำนวยความสะดวกและดูแลความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ จึงมีข้อสั่งการให้ตำรวจท่องเที่ยวอำนวยความสะดวก และดูแลรักษาความปลอดภัยในชีวิตร่างกายและทรัพย์สินให้แก่นักท่องเที่ยว

วันนี้ (7 ก.พ.2567) เวลา 10.00 น. พล.ต.ท.ศักย์ศิรา  เผือกอ่ำ ผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยวพร้อมด้วย พล.ต.ต.พงษ์สยาม  มีขันทอง รองผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยว, พล.ต.ต.ม.ล.สันธิกร  วรวรรณ ผู้บังคับการตำรวจท่องเที่ยว 1, นายบุญเสริม  ขันแก้ว รองอธิบดีกรมการท่องเที่ยว, นายวัสน์พล  อรรถพรธนเสฐ นายกสมาคมมัคคุเทศก์อาชีพแห่งประเทศไทย และคุณขง จูเล่ย ผู้แทนจากสถานเอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย รวมถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจท่องเที่ยว, อาสาสมัครตำรวจท่องเที่ยว, เจ้าหน้าที่ตำรวจสถานีตำรวจนครบาลชนะสงครามและสถานีตำรวจนครบาลพระราชวัง ได้ลงพื้นที่กำชับการปฏิบัติหน้าที่บริเวณพระบรมมหาราชวัง โดยได้ร่วมกันบริหารจัดการเรื่องจุดรับ-ส่ง นักท่องเที่ยวบริเวณท้องสนามหลวง และการติดป้ายประชาสัมพันธ์บริเวณโดยรอบพระบรมมหาราชวัง เพื่ออำนวยความสะดวกด้านการเดินทางและสร้างความเป็นระเบียบเรียบร้อยบริเวณโดยรอบพระบรมมหาราชวัง เพื่อให้ผู้เข้าชมสถานที่ได้รับบริการที่สะดวกและรวดเร็ว

จากนั้น เวลา 11.30 น. ได้ลงพื้นที่ตรวจความพร้อมมาตรการการดูแลความปลอดภัยนักท่องเที่ยวในเทศกาลตรุษจีนบริเวณย่านถนนเยาวราช เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในการอำนวยความสะดวกและดูแลความปลอดภัยให้แก่นักท่องเที่ยว จากนั้นได้นำส่งความโชคดีและความรุ่งเรื่องผ่านส้มมงคลให้แก่นักท่องเที่ยวในเทศกาลตรุษจีนประจำปี 2567

กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยวปรารถนาให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวมีความปลอดภัย และเฉลิมฉลองเทศกาลตรุษจีนปี 2567 นี้ด้วยความสุข ทั้งนี้ ขอฝากถึงนักท่องเที่ยวและประชาชน หากพบปัญหาหรือต้องการความช่วยเหลือสามารถแจ้งเหตุผ่านสายด่วน 1155 ตลอด 24 ชั่วโมง และแอพพลิเคชั่น ช่วยเหลือนักท่องเที่ยว Tourist Police i lert u ตำรวจท่องเที่ยวพร้อมดูความปลอดภัยให้ทุกท่าน

กองบัญชาการตำรวจนครบาลเดินหน้าตามนโยบายรัฐบาลและสำนักงานตำรวจแห่งชาติ บูรณาการหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เปิดตลาดแก้หนี้นอกระบบ

กองบัญชาการตำรวจนครบาลเดินหน้าตามนโยบายรัฐบาลและสำนักงานตำรวจแห่งชาติ บูรณาการหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เปิดตลาดแก้หนี้นอกระบบ แก้ปัญหาให้พี่น้องประชาชน นำร่องพื้นที่กองบังคับการตำรวจนครบาล 5 มั่นใจประชาชนจะได้รับประโยชน์อย่างยั่งยืน

พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.รรท.ผบ.ตร.) สั่งการกองบัญชาการตำรวจนครบาลเร่งดำเนินการตามนโยบายของ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ที่ได้กำชับเรื่องการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ให้เร่งดำเนินการภายในระยะเวลา 2 สัปดาห์ โดยให้ สน.ลุมพินี เป็นพื้นที่นำร่องจัดตลาดนัดแก้หนี้ โดยได้กำชับให้หน่วยงานในสังกัดกองบัญชาการตำรวจนครบาลในทุกพื้นที่ดำเนินการตามข้อสั่งการดังกล่าวอย่างเคร่งครัดทันที ซึ่งทางกองบัญชาการตำรวจนครบาลขานรับนโยบายดังกล่าว ดำเนินการจัดกิจกรรม “ตลาดนัดแก้หนี้” นำร่องในพื้นที่กองบังคับการตำรวจนครบาล 5

วันนี้ (7 เม.ย.67) กองบังคับการตำรวจนครบาล 5 บูรณาการร่วมกับหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดกิจกรรม “ตลาดนัดแก้หนี้” ในพื้นที่เขตคลองเตย วัฒนา และปทุมวัน ที่ศูนย์นันทนาการบ่อนไก่ กรุงเทพมหานคร โดยมี พล.ต.ต.พงศ์อานันต์ คล้ายคลึง รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (รอง ผบช.น.) เป็นประธานเปิดงาน มี พล.ต.ต.วิทวัฒน์  ชินคำ ผบก.น.5, รอง ผบก. น.1-9 ที่รับผิดชอบเรื่องหนี้นอกระบบ , ผกก.และรอง ผกก.ในสังกัด บก.น.5, ผู้แทนคณะทำงานกำกับการแก้หนี้สินประชาชนรายย่อย , รอง ผอ.สำนักพัฒนาสังคมกรุงเทพมหานคร, ผู้อำนวยการสำนักงานเขตปทุมวัน คลองเตย วัฒนา, ผู้แทนจากสำนักงานอัยการสูงสุด , กรมการจัดหางาน , ธนาคารออมสิน , ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร และพี่น้องประชาชนที่พักอาศัยอยู่ในเขตปทุมวัน คลองเตย และวัฒนา ร่วมกิจกรรม

พล.ต.ต.พงศ์อานันต์ ฯ กล่าวว่า จากนโยบายของรัฐบาลและข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีและสำนักงานตำรวจแห่งชาตินั้น กองบัญชาการตำรวจนครบาลได้เห็นความสำคัญ จึงสั่งการให้กองบังคับการตำรวจนครบาล 5 และสถานีตำรวจนครบาลลุมพินี จัดกิจกรรมตลาดนัดแก้หนี้ขึ้น โดยบูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้คำปรึกษาให้ข้อมูล และให้ความปลอดภัยแก่ลูกหนี้ พร้อมช่วยดำเนินการไกล่เกลี่ยหนี้ให้แก่ลูกหนี้และเจ้าหนี้ได้พูดคุยและทำข้อตกลงกัน เพื่อแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบให้เข้าสู่กระบวนการการแก้ไขปัญหาที่ถูกต้องและเป็นประโยชน์ต่อพี่น้องประชาชนอย่างแท้จริง ซึ่งหวังว่างานครั้งนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นเพื่อทำให้หน่วยงานต่างๆ รวมถึงทุกกองบังคับการในสังกัดกองบัญชาการตำรวจนครบาล นำไปเป็นรูปแบบในการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบของแต่ละพื้นที่ เพื่อประโยชน์ของพี่น้องประชาชนที่ยั่งยืน 

สำหรับภายในงานมีกิจกรรมประกอบด้วย การไกล่เกลี่ยและประนอมข้อพิพาทของลูกหนี้และเจ้าหนี้ จากสำนักงานเขตปทุมวันคลองเตย และเขตวัฒนา , การจัดตลาดแรงงาน โดยกรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน , การรับคำขอเพื่อพิจารณารับสินเชื่อต่ำ และให้คำปรึกษาทางการเงินโดยธนาคารออมสิน ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ และสถานธนานุบาลกรุงเทพมหานคร รวมถึงการให้ความรู้ทางกฎหมาย โดย สน. ลุมพินี


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top