Tuesday, 29 April 2025
นายกรัฐมนตรีคนที่29

นายกรัฐมนตรีชื่อ 'ประยุทธ์ จันทร์โอชา' ทำงานหนัก มีเมตตา รับฟังผู้อื่น

นี่เป็นอีกหนึ่งข้อความบอกเล่าถึงบางสิ่งบางอย่างจากคนที่ได้มีโอกาสทำงานและพบเห็น ‘พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา’ ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง

1. ท่านเป็นคนทำงานหนักมาก แทบจะไม่เคยเห็นว่ามีการพักผ่อน ลาไปเที่ยวไหนเลย (ไม่เหมือนผู้นำหลายคน หรือของต่างประเทศที่มีการพักร้อน) ก็คงเพราะท่านต้องประชุมเยอะมากทุกวัน และเป็นประธานด้วย และก่อนประชุม โดยเฉพาะประชุมครม. ท่านต้องอ่านทุกวาระก่อนในวันจันทร์ และมีโน้ตลายมือส่งกลับมาให้ฝ่ายเลขา (ซึ่งจะมีผู้ชำนาญการถอดลายมือท่านโดยเฉพาะถ้าคำไหนอ่านไม่ออก 555) 

โดยเฉพาะช่วงโควิด คือทำงานทุกวันจริง ๆ พวกเรา (ทีมโฆษก ศบค.) และคนทำงานอื่น ๆ ก็ต้องตามท่านให้ทันเพราะมักจะมีบัญชา หรือข้อเสนอแนะส่งมาให้พวกเราตลอด บางทีท่านก็เดินจากตึกไทยคู่ฟ้ามาเยี่ยมมาให้กำลังใจพวกเราที่ตึกสันติไมตรีด้วย แต่ด้วยความที่ท่านเน้นการทำ ไม่เน้นการพูดหล่อ ๆ ไปเรื่อยเปื่อยเหมือนนักการเมืองอาชีพ ไม่เน้นออกอีเวนต์โชว์ตัวให้เป็นกระแสในโซเชียล การไปไหนคือไปงานราชการทั้งสิ้น (และผมก็สัมผัสได้ว่าช่วงเวลาที่ท่านผ่อนคลายและมีความสุขที่สุดก็คือเวลาได้ไปพบปะพี่น้องประชาชนในต่างจังหวัด) หลาย ๆ คนก็เลยไม่ได้รับรู้ว่าท่านทำอะไรบ้าง (และก็ไม่คิดจะหาข้อมูล สื่อก็ไม่ได้ช่วยเท่าไหร่) 

2. ท่านเป็นคนมีเมตตาสูง อันนี้ผมขอท้าให้ไปสอบถามผู้ใต้บังคับบัญชาท่านได้เลย ท่านจะมีความเป็นห่วงเป็นใยช่วงเบรกประชุม ครม. ท่านก็จะเดินไปตามโต๊ะเพื่อทักทายและถามไถ่เจ้าหน้าที่ และสิ่งหนึ่งที่พิสูจน์ภาวะผู้นำของท่านก็คือ ลองไปหาข่าวย้อนหลังดู ว่าเคยมีสักครั้งไหม ที่ท่าน ‘โทษ’ ลูกน้อง ในสิ่งที่อาจจะทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ต่าง ๆ ทั้ง ๆ ที่ท่านไม่ได้ทำ 

แม้กระทั่งเรื่องโควิด ท่านก็ต้องออกมาขอโทษแทนเจ้าหน้าที่ ในที่ประชุม ท่านเด็ดขาด หรือบางทีก็พูดตรง ๆ แต่ก็ไม่เคยหักหน้าใคร หลายครั้งพูดไปแล้วต้องพูดตามว่า ผมไม่ได้ว่าท่านนะ หรือ หากทำให้ใครไม่สบายใจก็ต้องขออภัยด้วย จนเกือบจะถึงขั้นเกรงใจคนอื่นเลยทีเดียว ในการพบกันครั้งแรกของผมกับพี่ก้อยกับท่าน ท่านถามเราสองคนว่ามีครอบครัวหรือยัง พอบอกว่ามี ท่านก็มอบกระเป๋าสานฝากไปให้ภรรยาผมด้วย 

ทั้งหมดนี้คือการแสดงว่าท่านคิดถึงคนอื่น และคิดถึงความรู้สึกคนอื่น ดังนั้นผมจึงเชื่ออย่างจริงใจว่าท่านจะมีความทุกข์และกังวลขนาดไหน ในช่วงโควิด ที่ประชาชนเจ็บป่วย เสียชีวิต ร้านปิดกิจการ ในขณะที่ท่านเป็นผู้นำประเทศและการกล่าวหาว่าท่านไม่เห็นใจชาวบ้าน นั้นเป็นการโจมตีท่านอย่างไม่เป็นธรรม ซึ่ง ‘ความผิด’ ของท่านข้อเดียวที่ผมมักจะได้ยินจากผู้สนับสนุนท่านก็คือ การไม่จัดการม็อบให้เด็ดขาด แต่ในข้อนี้ก็คงอธิบายได้ประมาณหนึ่ง ว่าท่านไม่ได้เห็นเยาวชนเป็นศัตรูคู่อาฆาต ที่ต้องไปจัดการฆ่าให้ตายเหมือนใครบอกไว้ แต่เป็นลูกเป็นหลานที่อาจจะหลงผิดโดยการปลุกปั่น เพราะท่านเองก็มีลูกสาว เป็นพ่อคนเช่นกัน

3. ท่านเป็นคนรับฟังคนอื่นอย่างมาก ซึ่ง pattern ของการประชุมส่วนมาก ในวาระพิจารณาคือ ท่านจะให้ผู้เข้าประชุมแสดงความคิดเห็นกันให้ทั่วถึง รวมถึงคนที่อาจจะไม่เห็นด้วย หรือโจมตีนโยบายท่าน ก็เชิญมาแสดงความเห็นด้วยและท่านก็ให้ความเคารพทุกคน ทุกความเห็น แล้วจึงค่อยสรุป แล้วถามว่า ทุกคนเห็นว่าอย่างไร หากไม่เห็นด้วยให้บอกมาเลย แล้วจึงค่อยออกมาเป็นคำสั่งการและนโยบาย (ซึ่งบางคนในห้องไม่กล้าค้าน แต่ออกมาแล้วโพสต์ด่าเฉย) 

ดังนั้นการโจมตีท่านว่าเป็น ‘เผด็จการ’ จึงเป็นการกล่าวหาที่ ‘เพ้อเจ้อ’ และเป็นเพียงวาทกรรมที่พยายามผลักท่านให้‘ไม่เป็นประชาธิปไตย’ ผมสังเกตว่า ท่านจะรับฟังและให้เกียรติ ‘ผู้เชี่ยวชาญ’ เป็นอย่างมาก (เช่น แพทย์ นักวิชาการอาจารย์ ซึ่งทั้งแม่และภรรยาของท่านก็เป็นครู) และแทบจะไม่เคยขัดคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญเลย (ข้อเสนอและนโยบายช่วงโควิด ส่วนมากก็มาจากคำแนะนำของฝ่ายสาธารณสุขทั้งสิ้น) และในบางโอกาสที่ผมได้มีข้อเสนอแนะทางการสื่อสาร ท่านก็ยังให้เกียรติสอบถามและรับฟังผม และขอบคุณผมด้วย (ทั้งที่ไม่ต้องทำก็ได้) และก็ไม่เคยมีสักครั้งที่จะตำหนิอะไรผมหรือทีมโฆษกฯ เลย ท่านเดินผ่านมาทางเราเมื่อไหร่ ก็มีแต่คำขอบคุณ ซึ่งทำให้คนทำงานมีกำลังใจ และสามารถซื้อใจคนเก่งหลาย ๆ คนนอกวงการเมืองมาช่วยงานได้ด้วยความจริงใจ ทำให้เกิดโครงการดี ๆขึ้นมากมายโดยที่ไม่มีปัญหาประโยชน์ทับซ้อน 

4. ท่านอาจจะเป็นคนที่ดูหงุดหงิดง่าย แต่ท่านเป็นคนพูดตรง ๆ ไม่ประดิษฐ์วาทกรรมสวยหรู คิดอย่างไรพูดไปอย่างนั้น จริง ๆ แล้วนักข่าวทำเนียบต่างชอบเวลาสัมภาษณ์ท่าน เพราะไม่มีเล่ห์เหลี่ยม หรือพูดแล้วกลับไปกลับมา แต่สิ่งที่สื่อต่าง ๆ ชอบนำไปออกก็คือเวลาท่านดูหงุดหงิด ซึ่งอาจเป็นเพียงช่วงสั้น ๆ ในตอนท้ายของการสัมภาษณ์แค่นั้น จึงทำให้คนทั่วไปมองว่าท่านเป็นอย่างนั้น ซึ่งเชื่อหรือไม่ครับ ว่าท่านเองก็รับทราบ และก็พยายามจะข่มอารมณ์เวลามีคำถามที่ไม่ค่อยน่าฟัง แต่ด้วยความที่ตัวตนของท่านเป็นคนไม่เสแสร้ง บุคลิกแบบตรงไปตรงมา ไม่ได้เก่งการละครหรือการพูด ท่านดีใจท่านก็ยิ้ม หงุดหงิดก็ขึ้นเสียง ซึ้งใจก็มีน้ำตา 

5. เห็นท่านดูใจร้อน โผงผาง แต่จริง ๆ แล้วเวลาส่วนใหญ่ ท่านเป็นคนมีอารมณ์ขัน มุกตลกเยอะ (ตลกหน้าตายด้วย) เวลาอารมณ์ดี ชอบแซวชอบแหย่คนอื่น ๆ ในห้องประชุม นักข่าว หรือคนรอบข้างอยู่เสมอ บางเรื่อง ครม. ตกลงกันไม่ได้ โต้กันไปมา ท่านยิงมุกทีนึงฮากันครืนทั้งห้อง บรรยากาศก็ผ่อนคลายลงทันที และท่านก็ยังมาพูดคุยกับทีมงานแบบไม่ถือตัว (นะจ๊ะ นั่นแหละครับ 55) ซึ่งอันนี้เราเห็นกันบ่อย ๆ อยู่แล้ว

สิ่งเหล่านี้ (และจริง ๆ ยังมีอีกมาก) คือตัวตนของ พล.อ ประยุทธ์ จันทร์โอชา รัฐมนตรีคนที่ 29 ของประเทศไทย ที่ผมได้เคยสัมผัสในช่วงสั้น ๆ แต่เป็นช่วงที่มีความประทับใจ และเชื่อโดยสนิทใจว่าท่านเป็นคนดี มีความปรารถนาดีต่อประเทศชาติ ประชาชน และสถาบันที่เราเคารพรักจริง ๆ (หากจะพูดว่าตายแทนได้ผมก็เชื่อ) ทำให้ผมและคนเก่ง ๆหลาย ๆ คนอาสาเข้ามาช่วยท่าน (ถ้าดูไม่ดีผมคงเผ่นไปตั้งแต่แรกแล้ว) และสำหรับผม และในกาลเวลาข้างหน้า ก็จะพิสูจน์ให้เห็นว่า ท่านเป็นนายกรัฐมนตรีที่ดี ซื่อสัตย์สุจริต และเก่งในการบริหารที่สุดคนหนึ่งของประเทศไทย ที่ทำให้เราฝ่าวิกฤตซ้อนวิกฤตซ้อนวิกฤตมาได้หลายต่อหลายครั้ง มิได้หวังลาภยศสรรเสริญ แต่เสียสละด้วยความจำเป็นเข้ามารับความเสี่ยงในยามที่ประเทศถึงทางตัน ตามคำขวัญของกองทัพที่ว่า “มิเคยหวังจะเป็นวีรบุรุษ แต่ก็สุดทนเห็นชาติพินาศสลาย”

 

‘ลุงตู่’ ขอบคุณ ครม. - ข้าราชการที่ร่วมมือทำงาน จากนี้ขอพักผ่อน ใช้ชีวิตกับครอบครัวให้มากขึ้น

(29 ส.ค. 66) ที่ทำเนียบรัฐบาล ผู้สื่อข่าวรายงานว่าภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ทันทีที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม เห็นสื่อมวลชนได้กล่าวว่า “สื่อเยอะจริง ๆ เลยวันนี้” พร้อมเดินมาที่โพเดียมและกล่าวอีกว่า “ถ่ายรูปอย่างเดียวดีกว่า เพราะพูดมาเยอะแล้ว”

ผู้สื่อข่าวสอบถามว่าวันนี้เป็นการประชุม ครม. นัดสุดท้ายแล้ว มีอะไรจะพูดหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า “สุดท้ายอะไร ฉันยังอยู่ตรงนี้อีกตั้งหลายวัน จะรีบเร่งให้ฉันไปไหน แต่วันนี้เป็นการประชุมครั้งสุดท้ายของ ครม. โดยประเมินจากสถานการณ์กำหนดการ ขั้นตอน และวิธีการในการดำเนินการ ซึ่งอยู่ระหว่างการดำเนินการทั้งสิ้น โดยถือเป็นไปตามกระบวนการปกติ ขอเรียนว่าวันนี้ยังคงต้องดูแลตามหน้าที่ตามหน้าที่ของของรัฐบาลรักษาการ และนายกฯ รักษาการ ในส่วนที่ทำได้ตามกฎหมาย ต้องขอบคุณทุกคน สื่อมวลชนที่รักทุกคนเราไม่ได้มีอะไรเราไม่ได้มีอะไรกันอยู่แล้ว เรารักกันหลายปีที่ผ่านมา อยู่ด้วยกันมาก็เข้าใจ เป็นการทำงานของสื่อ ตนก็พยายามไม่ไปก้าวล่วงอยู่แล้ว และต้องขออภัยหากดุไปสักนิด นิดเดียวเนอะ”

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวอีกว่า “การประชุม ครม. วันนี้ไม่มีอะไร เป็นการเสนอมาตามกระบวนการปกติในการพิจารณา เรื่องก็ค่อนข้างจะน้อยลง เพราะต้องระวังในการใช้อำนาจของ ครม. ตามมาตรา 169 ซึ่งทุกคนทราบดี สื่อมีอะไรจะถามหรือไม่”

เมื่อถามว่าก่อนจะเปลี่ยนไปรัฐบาลใหม่อยากจะฝากอะไรไว้หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า “คงไม่ต้องฝาก ต้องปล่อยให้รัฐบาลใหม่เขาดำเนินการ นายกฯ ก็มี ครม.ใหม่ก็มี เป็นเรื่องของคนต่อไป และเป็นเรื่องของมารยาท ตนไม่ควรจะพูดอะไรทั้งสิ้น ในเมื่อท่านเข้ามาแล้วก็อยู่ในกระบวนการ ก็เป็นเรื่องที่จะต้องดำเนินการในระยะต่อไป ทั้งนี้ ขอฝากพวกเราทุกคนด้วยต้องช่วยกันดูแลด้วย”

เมื่อถามต่อว่าห่วงอะไรมากที่สุด พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า “ไม่มี”

เมื่อถามย้ำว่าหลังจากนี้จะทำอะไร พล.อ. ประยุทธ์กล่าวว่า “ก็พักผ่อน ให้เวลากับครอบครัวมากขึ้น”

เมื่อถามอีกว่านายกฯ ได้อะไรจากการเมืองบ้างในช่วงที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า “ตนไม่ได้อะไร แต่ต้องถามว่าประเทศชาติได้อะไร ตนทำมาทุกวันก็เพื่อตรงนั้นแหละ เพื่อประเทศชาติและประชาชน พยายามทำทุกอย่างให้ดีที่สุด และวันหน้าก็เป็นเรื่องของรัฐบาลต่อไปที่จะดำเนินการ”

เมื่อถามต่อว่าทราบว่าในอนาคตนายกฯ จะมีงานที่ใหญ่กว่านี้ทำต่อ พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวว่า “ยังไม่รู้เลย ไม่ทราบทั้งสิ้น เพราะตนก็เป็นประชาชนพลเมืองไทยธรรมดา ไม่ได้มียศอย่าง หรือเจ้ายศ เจ้าอย่าง หรือเกียรติยศอะไรต่าง ๆ ตนก็กลายเป็นคนธรรมดาเหมือนพวกท่านนั่นแหละ ตนตั้งใจมาตลอด 9 ปีที่ผ่านมา เมื่อถึงเวลาที่ตนต้องพักผ่อนหรือหยุด ตนก็เป็นประชาชนพลเมืองไทยคนหนึ่งธรรมดา ไม่มีสิทธิพิเศษอะไร ที่จะต้องมาเคารพยกย่องไม่ต้องหรอก”

เมื่อถามว่า นายกฯ คิดว่าถ้ามองย้อนกลับไปมีอะไรที่อยากจะทำใหม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า “ไม่ ถ้าคิดอย่างนั้น มันก็ไม่ใช่ ไม่ต้องย้อนกลับไปแล้ว เดินหน้าอย่างเดียวอย่างระมัดระวังในการเดินหน้าว่าจะต้องไม่มีอันตราย เพราะไม่ใช่ตนคนเดียว แต่จะต้องรักษาในส่วนของทุกคนด้วย ที่ร่วมงานกันมาให้พวกเขาปลอดภัย ไม่มีอันตรายต่าง ๆ เกิดขึ้นจากการทำงานร่วมกันมา และวันนี้ต้องขอบคุณ ครม. ทั้งหมดทุกคนและข้าราชการทุกคนที่ช่วยตนทำงานมาโดยตลอด ด้วยความเชื่อมั่นซึ่งกันและกัน เพราะเราทำตามกฎหมายและระเบียบทุกประการที่มีอยู่”

เมื่อถามต่อว่า 9 ปีที่ผ่านมารู้สึกประทับใจอะไรมากที่สุด พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า “คงต้องพูดในภาพรวมมากกว่า เราก็อยู่กันมาในรัฐบาล 4 ปีเต็ม ทุกคนให้ความร่วมมือพูดจากัน ทักท้วงกัน ให้เหตุผลซึ่งกันและกัน ซึ่งตนก็รับได้ นั่นคือความผูกพันในสิ่งที่ทำร่วมกันมา ไม่ได้มุ่งหมายผลประโยชน์อะไรทั้งสิ้น และตนก็มีนโยบายอย่างนั้นมาตลอด และสามารถทำให้ทุกอย่างเดินหน้าไปได้มากพอสมควร นั่นคือความประทับใจของตนทั้ง ครม. และสิ่งที่ตนวาดหวังจะเห็น อนาคตต่อไปตนก็พยายามเดินหน้ามาอย่างนั้น ทั้งนี้การเดินหน้าเพื่ออนาคตไม่ได้อยู่ที่ตนเพียงคนเดียว ก็ต้องถ่ายทอดกันต่อไปเรื่อย ๆ ไปสู่อนาคตคนรุ่นใหม่ ซึ่งวันนี้ก็ต้องสร้างความเข้าใจกันให้มากยิ่งขึ้น”

เมื่อถามย้ำว่า 9 ปีถ้าย้อนกลับไปได้ อยากทำอะไร พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า “ไม่ย้อน ไม่มีเวลาไหนเขาย้อน มันย้อนไม่ได้อยู่แล้ว”

เมื่อถามอีกว่าใจหายหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า “ไม่หาย เราต้องพร้อมรับสถานการณ์เหล่านี้ ตลอดเวลาอยู่แล้ว เพราะตนบอกแล้วเข้ามาด้วยอะไร และไปด้วยอะไร ก็แค่นั้นเอง”

เมื่อถามว่าในฐานะที่เป็นรัฐมนตรีกลาโหมเป็นห่วงอะไรหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า “ไม่ห่วงเป็นเรื่องของขั้นตอน ที่ดำเนินการตามกฎหมาย”

เมื่อถามว่ามองอย่างไรกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมคนใหม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า “ตนไม่มีคำตอบเรื่องนี้ บอกแล้วเป็นกระบวนการทางการเมือง การตั้ง ครม. เป็นเรื่องของกระบวนการ ตนพูดอะไรไม่ได้และคงไม่มีคำแนะนำอะไรทั้งสิ้น เพราะยังไม่เห็นโผ เห็นแต่ในหน้าสื่อ”

เมื่อถามอีกว่าดูจากการที่มายื่นให้ตรวจสอบคุณสมบัติ มองว่าหน้าตา ครม. เป็นอย่างไรบ้าง พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า “เท่าที่ดูเห็นว่าเขามาเป็นการส่วนตัว บางคนก็มาเอง บางคนก็ไม่มา ไปดูอีกทีตอนโน้นที่มีการโปรดเกล้าฯ ลงมาดีกว่า ซึ่งเราอย่าไปก้าวล่วงพระราชอำนาจ ซึ่งเป็นเรื่องที่ทางเราต้องทำขึ้นไปไม่ได้เกี่ยว เป็นขั้นตอนทางกฎหมาย”

เมื่อถามย้ำว่าเท่าที่ดูรายชื่อ ครม.ใหม่หน้าตาดีหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า “ก็ดูหล่อดีทุกคน”

เมื่อถามอีกว่าถ้าจะร้องเพลงหลังจากนี้สักเพลงจะร้องเพลงอะไร พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า “ขอนึกดูก่อน มีหลายเพลง โอเค ขอบคุณ”

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังการแถลงข่าว สื่อมวลชนได้ขอถ่ายภาพเป็นที่ระลึกร่วมกับนายกฯ ซึ่งบรรยากาศเป็นไปอย่างชื่นมื่นนายกฯ ได้เดินถ่ายภาพในหลายจุด และหลายมุม รวมทั้งร่วมถ่ายเซลฟี่กับผู้สื่อข่าวด้วย พร้อมทั้งส่งสัญลักษณ์มือมินิฮาร์ท ไอเลิฟยู และโบกมือให้กับผู้สื่อข่าวก่อนจะเดินขึ้นตึกไทยคู่ฟ้าด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม

'อดีตบิ๊กข่าวกรอง' ยก 'ลุงตู่' ที่รู้จัก ต่างจากนักการเมืองทั่วไป 'แข็งนอก-อ่อนใน-ไม่สร้างวาทกรรม' ผู้ร่วมงานด้วยล้วนหลงเสน่ห์

ไม่นานมานี้ นายนันทิวัฒน์ สามารถ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และอดีตรองผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Nantiwat Samart ดังนี้…

ลุงตู่ที่รู้จัก

วันนี้จะมีการประชุมคณะรัฐมนตรีซึ่งอาจจะเป็นนัดสุดท้ายของรัฐบาลลุงตู่ จะเล่าเรื่องลุงตู่ที่ผมรู้จัก

แม้จะไม่ใกล้ชิดสนิทสนมกับลุงตู่มากนัก แต่มีแง่มุมที่พอเล่าสู่กันฟังได้ แต่จะไม่เขียนถึงผลงานของลุงตู่ เพราะมีหลายท่านเขียนผลงานลุงตู่กันมากพอสมควรแล้ว เดี๋ยวจะกลายเป็นการสร้างกระแสลุงตู่

แน่นอน ในสมัยแรกลุงตู่เป็นนายกมาจากการยึดอำนาจ แต่ลุงตู่ยึดอำนาจเพื่อยุติการเผชิญหน้าทางการเมืองระหว่างคนเสื้อแดงและเสื้อเหลือง ที่มีการชุมนุมทางการเมืองด้วยมวลชนจำนวนมากและมีทีท่าที่จะเกิดสงครามกลางเมือง ลุงตู่จัดให้ฝ่ายการเมืองพูดคุยกันเพื่อหาทางออกแต่ทั้งสองฝ่ายไม่สามารถตกลงกันได้ จึงนำมาสู่การยึดอำนาจ เพื่อรักษาชีวิตและเป็นการยึดอำนาจที่ไม่มีการเสียชีวิตและเลือดเนื้อของคนในชาติ

ลุงตู่ถูกกล่าวหาว่าเป็นเผด็จการ แต่เนื้อแท้จริง ๆ แล้ว ลุงตู่เป็นคนแข็งนอกอ่อนใน คือภาพของลุงตู่เป็นคนพูดไม่เพราะ พูดแข็ง ๆ ห้วน ๆ ภาษาแบบคนบ้าน ๆ แต่จริงใจ ไม่สร้างวาทกรรม ไม่มีการประดิดประดอยสรรหาถ้อยคำหวานหู ผิดจากนักการเมือง

หากลุงตู่เป็นเผด็จการอย่างที่ถูกกล่าวหา ม๊อบที่ออกมาต่อต้านรัฐบาล และชุมนุมตลอดสมัยการเป็นนายกของลุงตู่ ต้องถูกปราบปรามด้วยการเอาจริงเอาจังมากกว่านี้ เหมือนสมัยรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งที่จัดการอย่างรุนแรงต่อผู้ชุมนุมมีคนเจ็บคนตาย 

แต่ลุงตู่กลับให้ตำรวจดำเนินการด้วยกฎหมาย ทำงานด้วยความอดทน จนถูกกองเชียร์ลุงตู่บอกว่า หน่อมแน๊ม ไม่มีน้ำยา 

ลุงตู่เป็นทหารมาตลอดช่วงชีวิต แต่เมื่อมาเป็นนักการเมือง ลุงตู่ใจเย็นมากในการทำงานร่วมกับนักการเมืองและฝ่ายต่าง ๆ แต่เมื่อจะจบการประชุมที่เคร่งเครียด คำพูดของลุงตู่ที่ง่าย ๆ แต่ติดหู คือ ขอบคุณ รู้นะว่าทุกคนทำงานหนักและเหนื่อย ความเรียบง่ายและจริงใจของลุงตู่ทำให้คนที่ทำงานด้วยรักลุงตู่

แม้แต่นักการเมืองจำนวนมากก็หลงเสน่ห์ลุงตู่และย้ายพรรคมาร่วมงาน ร่วมหัวจมท้ายกับพรรคลุงตู่ ไม่ไปไหนทั้ง ๆ ที่รู้ว่า พรรคตั้งใหม่เกิดยากถ้าหัวไม่ลง

ขอบคุณลุงตู่ที่เหน็ดเหนื่อย ช่วงนี้ให้ลุงตู่พักเหนื่อยก่อน

เจอกันใหม่เมื่อชาติต้องการ

เปิดปรากฏการณ์ 'สังคมไทย' เริ่มย้อนไปนึกถึงผลงาน 'ลุงตู่' คุณความดี 9 ปีเริ่มทะลัก พอรู้ลุงต้องพัก ใจมันก็หวิวๆ โหวงๆ

(1 ก.ย.66) จากเฟซบุ๊ก 'Trachoo Kanchanasatitya' โดยนายตราชู กาญจนสถิตย์ ได้โพสต์ข้อความในหัวข้อ '10 ข้อคิดของผมกับลุงตู่' ระบุว่า…

1. ผมโล่งอกดีใจที่ลุงจะไม่มีใครด่าลุงแบบไร้หลักการและเหตุผลอีกแล้ว เค้าจะด่าใครต่อไปก็ด่าไป แค่ไม่ด่าลุงแล้วกัน ผมพอใจตรงนี้

2. ใจมันหวิว ๆ โหวง ๆ นิดนึง ที่คนที่เคยรักษาความปลอดภัยให้เราจาก โรค M79 และ เชื้อโควิด จะไม่ดูแลเราแล้ว 

3. ดีใจที่อีกไม่นาน คำว่า เผด็จการ ในสายตาของใครหลาย ๆ คนจะชัดเจนขึ้น เผด็จการไม่ใช่การเป็นทหาร แต่นักการเมืองประชาธิปไตยบางคนอาจเผด็จการมากกว่า

4. ลุงแกล้งโง่เป็น ดีกว่าคนแกล้งฉลาด แต่โง่บรม

5. ลุงทำได้ไง ให้ซาอุดีอาระเบีย มาคืนดีกับไทย ผมทำงานปีแรก คือ ปีที่ซาอุดีอาระเบียตัดความสัมพันธ์กับไทย ไม่มีใครง้อให้คืนดีมาได้ นี่จะเกษียณอยู่แล้ว มีนายกคนนึงทำได้ เราจะต่อยอดไปไกลมาก

6. ลุงทำให้ผมเห็นว่า ลุงไม่โม้ว่าลุงเก่ง ลุงไม่ได้รู้ทุกเรื่อง แต่ลุงพร้อมเรียนรู้และฟังทีมงาน แต่ลุงมีการตัดสินใจที่ไม่เข้านอกออกในใคร อะไรดี อะไรไม่ดี ลุงฉลาดที่จะรู้ และตัดสินใจเลือกทางที่ดีที่สุด

7. ลุงไม่ทำงานเอาหน้า งานของลุงอาจจะสำเร็จหลังจากลุงลงจากตำแหน่งไปนานแล้ว วันนั้นลุงรู้ว่า คนจะลืมไปแล้วว่าลุงคิดและผลักดัน มีคนจะมาเคลมเครดิต แต่ลุงไม่แคร์ ลุงทำเพื่อประเทศชาติจริง ๆ

8. ลุงไม่ได้เป็นหมอ ลุงไม่ได้เรียนเรื่องการผลิตวัคซีน มีคนเคยคิดว่า ไทยคงได้วัคซีนโควิดน้อยกว่าใคร แต่หลังจากนั้นไม่นาน วัคซีนเหลือบาน เพราะคนไทยกลัววัคซีนมากกว่า กลัวโควิด…บ้าป่าววะ

9. คนชอบบอกว่า ลุงโง่ ผมก็งงมากว่า ลุงโง่ตรงไหน เอาอะไรมาวัด คนโง่เค้าจะสอบได้คะแนนแบบลุงเหรอ ไอ้คนที่ว่าลุงโง่ กล้ามาทดสอบไอคิวกะลุงไหม (อาจจะกล้า แต่ลุงคงไม่เสียเวลากะคนพวกนี้ ช่างมัน)

10. ลุงตู่เป็นมนุษย์ที่ลงลึก ลงรายละเอียด ติดตามอะไรหลาย ๆ อย่างในโลกโซเชียล ลุงอ่านเองไหม ผมไม่รู้ แต่เดาได้ว่าลุงสร้างทีมเพื่อทำให้ลุงต้องรู้ ผมว่าลุงรู้ทุกเรื่อง แค่เราไม่รู้ว่าลุงรู้ เท่านั้นแหละ

11. ทองคำเปลวที่ลุงแปะหลังพระ ล้นออกมาแล้วครับ วันนี้ใครหลายคนเห็นทองหลังพระแล้ว ลุงไม่ต้องพูดเองครับ จะมีคนจำนวนมากพูดให้ลุงเอง ลุงอ่านเรื่องดี ๆ ของลุงให้ทันเถอะครับ

12. อ้าว เกินโควตา 10 ข้อแล้วเหรอ กฎนี้ใครคิด กฎผิดฉันไม่ผิด ไปแก้กฎก่อน อยากเขียนอีกสัก 100 ข้อ ยื่นญัตติด่วนเลย

ขออนุญาตใช้คำว่า รักและเคารพ อย่างที่สุดนะครับ

12 กันยายน พ.ศ. 2557 ‘พล.อ.ประยุทธ์’ แถลง 11 นโยบายดูแลประเทศ หลังดำรงตำแหน่ง ‘นายกรัฐมนตรี’ สมัยแรก

ย้อนไปในวันนี้ เมื่อ 10 ปีที่แล้ว พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้นำคณะรัฐมนตรีแถลงนโยบาย 11 ด้าน ต่อที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ หลังนั่งเก้าอี้นายกฯ สมัยแรก

เมื่อวันที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2557 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้นำคณะรัฐมนตรีแถลงนโยบายต่อที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ตามระเบียบการบริหารราชการแผ่นดินตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557 โดยกล่าวตอนหนึ่งว่า รัฐบาลชุดนี้มีข้อแตกต่างด้านเงื่อนไขและเวลา ต่างจากรัฐบาลชุดก่อน ๆ คือ ต้องสืบทอดสานต่อภารกิจจากที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่กำหนดแนวทางแก้ไขปัญหาประเทศไว้ก่อนแล้วเป็น 3 ระยะ และรัฐบาลนี้ไม่ได้จัดตั้งขึ้นจากพรรคการเมืองจึงไม่มีนโยบายที่ใช้หาเสียง หวังคะแนนประชานิยม เป็นฐานทางการเมือง

สำหรับนโยบายที่แถลงนั้น จำแนกเป็น 11 ด้าน ดังนี้

1. การปกป้องเชิดชูสถาบันพระมหากษัตริย์

2. การรักษาความมั่นคงของรัฐและการต่างประเทศ แบ่งเป็น
2.1ระยะเร่งด่วน รัฐบาลให้ความสำคัญต่อการเตรียมความพร้อมสู่ประชาคมการเมืองและความมั่นคงอาเซียน
2.2 เร่งแก้ไขปัญหาการใช้ความรุนแรงในจังหวัดชายแดนใต้
2.3 พัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพของกองทัพ และระบบป้องกันประเทศให้ทันสมัย
2.4 เสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีกับนานาประเทศบนหลักการนโยบายการต่างประเทศ

3. การลดความเหลื่อมล้ำของสังคมและการสร้างโอกาสการเข้าถึงบริการของรัฐ

4. การศึกษาและเรียนรู้ การทำนุบำรุงศาสนา และศิลปวัฒนธรรม

5. การยกระดับคุณภาพ และบริการด้านสาธารณสุขและสุขภาพของประชาชน

6. การเพิ่มศักยภาพทางเศรษฐกิจของประเทศ

7. การส่งเสริมบทบาทและการใช้โอกาสในประชาคมอาเซียน

8. การพัฒนาและส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี การวิจัยและพัฒนา และนวัตกรรม

9. การรักษาความมั่นคงของฐานทรัพยากรและการสร้างสมดุลระหว่างการอนุรักษ์กับการใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน

10. การส่งเสริมการบริหารราชการแผ่นดินที่มีธรรมาภิบาลและการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในภาครัฐ

11. การปรับปรุงกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมระยะเฉพาะหน้า


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top