Monday, 17 June 2024
นราพัฒน์แก้วทอง

‘มาดามเดียร์ - ฉาย บุนนาค’ อู้ฟู่ 536 ล้าน ด้าน ‘นราพัฒน์’ แจ้งมีทรัพย์สิน 1.5 พันล้าน

ป.ป.ช. เปิดเซฟ 2 อดีต ส.ส. ‘มาดามเดียร์ - ฉาย บุนนาค’ อู้ฟู่ 536 ล้าน หนี้ 126 ล้าน หนี้เพิ่มหลังพ้น ส.ส. 44 ล้าน ขณะที่ ‘นราพัฒน์’ แจ้งมีทรัพย์สิน 1.5 พันล้าน แต่ตรวจสอบพบเพียง 206 ล้าน

เมื่อวันที่ (13 ธ.ค. 65) สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) เปิดเผยบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินของ น.ส.วทันยา บุนนาค กรณีพ้นจากตำแหน่ง ส.ส. เมื่อวันที่ 16 ส.ค. 2565 โดย น.ส.วทันยา พร้อมด้วยนายฉาย บุนนาค คู่สมรส รวมทั้งบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ แจ้งว่ามีทรัพย์สินทั้งสิ้น 536,032,740 บาท หนี้สิน 126,439,294 บาท แบ่งเป็นทรัพย์สินในส่วนของ น.ส.วทันยา 240,075,840 บาท ประกอบด้วย เงินสด 4,200,000 บาท เงินฝาก 2,071,816 บาท เงินลงทุน 7 รายการ มูลค่ารวม 11,736,412 บาท ส่วนใหญ่เป็นเงินลงทุนในกองทุนเปิด เงินให้กู้ยืม 45,362,249 บาท โดยระบุชื่อผู้กู้คือ นายภควันต์ วงษ์โอภาสี น้องชายของ น.ส.วทันยา ที่ดิน 4 รายการ มูลค่ารวม 32,077,500 บาท โดยอยู่ในพื้นที่บางกะปิ 3 โฉนด พื้นที่บึงกุ่ม 1 โฉนด โรงเรือนและสิ่งปลูกสร้าง 4 รายการ มูลค่ารวม 111,206,460 บาท โดยรายการที่มูลค่าสูงสุดแจ้งว่าเป็นห้องชุดเพนท์เฮ้าส์ แขวงคลองตันเหนือ 92,000,000 บาท นอกนั้นเป็นห้องชุด ทาวน์เฮ้าส์ และบ้านเดี่ยว ยานพาหนะ 2 รายการ มูลค่ารวม 2,818,900 บาท โดยเป็นรถจักรยานยนต์ 1 คัน และรถยนต์ Volkswagen 1 คัน สิทธิและสัมปทาน 10,173,084 บาท ส่วนใหญ่เป็นสิทธิในกรมธรรม์ประกันภัย กองทุนผู้เคยเป็นสมาชิกรัฐสภา และที่น่าสนใจคือสิทธิในสมาชิกแปซิฟิกคลับ ซิตี้ (ไม่แจ้งมูลค่า) ทรัพย์สินอื่น 20,429,372 บาท ส่วนหนี้สินแจ้งว่าเป็นเงินกู้จากธนาคารและสถาบันการเงินอื่น 45,149,407 บาท 

ขณะที่ทรัพย์สินในส่วนของคู่สมรส 285,301,840 บาท ประกอบด้วย เงินสด 250,000 บาท เงินฝาก 5,182,208 บาท เงินลงทุน 11 รายการ มูลค่ารวม 4,178,925 บาท ส่วนใหญ่เป็นเงินลงทุนในกองทุนเปิด ที่ดิน 3 รายการ มูลค่ารวม 117,565,000 บาท โดยอยู่ในพื้นที่บางกะปิ 2 โฉนด พระโขนง 1 โฉนด โรงเรือนและสิ่งปลูกสร้าง 3 รายการมูลค่ารวม 8,736,620 บาท โดยเป็นห้องชุด บ้านเดี่ยว และทาวน์เฮ้าส์ ยานพาหนะ 4 รายการ มูลค่ารวม 11,998,000 บาท โดยที่น่าสนใจคือรถยนต์ Mercedes Benz ทะเบียน ฉบ 999 จำนวน 1 คัน มูลค่า 2,068,000 บาท รถยนต์ Lexus 1 คัน มูลค่า 5,500,000 แจ้งว่าได้มาเมื่อ 24 เม.ย.2564 สิทธิและสัมปทาน 7,525,666 บาท ส่วนใหญ่เป็นสิทธิในกรมธรรม์ประกันภัย กองทุนผู้เคยเป็นสมาชิกรัฐสภา และที่น่าสนใจคือสิทธิในสมาชิกแปซิฟิกคลับ ตลอดชีพ (ไม่แจ้งมูลค่า) ทรัพย์สินอื่น 129,865,420 บาท ส่วนหนี้สิน 81,289,886 บาท แบ่งเป็นเงินกู้จากธนาคารและสถาบันการเงินอื่น 15,048,957 บาท หนี้สินที่มีหลักฐานเป็นหนังสือ 3,240,929 บาท หนี้สินอื่น 63,000,000 บาท ระบุชื่อเจ้าหนี้ คือ นายยุทธ ชินสุภัคกุล ประธานกรรมการ บมจ.อีสเทอร์น พาวเวอร์ กรุ๊ป (EP) บิดาของนายฉาย นอกจากนั้นยังแจ้งว่าบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ มีทรัพย์สินเป็นเงินฝาก และสิทธิและสัมปทาน รวม 10,655,058 บาท 

ทั้งนี้ สำหรับทรัพย์สินอื่นที่น่าสนใจ ของ น.ส.วทันยา และคู่สมรส อาทิ กระเป๋าแบรนด์เนมชื่อดัง ทั้ง Hermes, Chanel, Celine, Bottega Veneta, Christian Dior รวม 30 รายการ นาฬิกาหรู ทั้ง Patek Philippe, Rolex, Breguet, Hublot รวม 11 รายการ ทองคำรูปพรรณ น้ำหนักรวม 68 บาท มูลค่า 1,347,760 บาท ทองคำแท่งน้ำหนักรวม 31 บาท  สร้อยคอไข่มุก Mikimoto มูลค่า 860,000 บาท พระเครื่องหลวงพ่อแก้ว วัดเครือวัลย์ 18,150,000 บาท พระสมเด็จวัดระฆังพิมพ์ใหญ่ 45,200,000 บาท พระเครื่องซุ้มกอ 10 ล้านบาท พระพุทธรูปอู่ทอง หน้าหนุ่ม 20,000,000 บาท พระพุทธรูปปางลีลา สุโขทัย 8,000,000 บาท หลวงปู่ทวดเนื้อว่าน วัดช้างไห้ 1,000,000 บาท

น.ส.วทันยา ยังแจ้งว่ามีรายได้ต่อปี 4,963,378 บาท ส่วนใหญ่มาจากดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืม 2,215,000 บาท เงินประจำตำแหน่ง 854,760 บาท นอกจากนั้นยังแจ้งว่าได้ทรัพย์สินจากมารดา 505,000 บาท ได้ทรัพย์สินจากคู่สมรส 353,000 บาท และยังมีรายได้จากการขายกองทุน 429,137 บาท ส่วนคู่สมรสแจ้งว่ามีรายได้ต่อปี 26,829,714 บาท ส่วนใหญ่มาจากเงินประจำตำแหน่ง 14,800,000 บาท เงินได้จากมารดา 10,000,000 บาท เป็นต้น  ส่วนค่าใช้จ่ายต่อปีของ น.ส.วทันยา 15,845,100 บาท ส่วนใหญ่เป็นค่าผ่อนบ้านและค่าใช้จ่ายอุปโภคบริโภค ขณะที่ค่าใช้จ่ายคู่สมรส 35,086,229 บาท ส่วนใหญ่เป็นค่าผ่อน.บ้านและค่าใช้จ่ายอุปโภคบริโภค ค่าผ่อนรถ ค่าท่องเที่ยว และเงินบริจาค นอกจากนี้ยังมีค่าเล่าเรียนบุตรต่อปี 2,220,000 บาท

'ประชาธิปัตย์' ยังมึนไม่เลิก!! หลัง 2 ขั้วท่าจะเคลียร์ให้จบยาก ฟากคนในชี้!! ใครโหวต 'พท.' คงเป็นได้แค่ไส้เดือนคลุกขี้เถ้า

หลังจากการประชุมใหญ่วิสามัญพรรคประชาธิปัตย์ล่มมาสองรอบอันเนื่องมาจากไม่ครบองค์ประชุม และเป็นการไม่ครบองค์ประชุมแบบไม่เป็นธรรมชาติ ง่ายๆ คือ มีคนจัดการให้ไม่ครบองค์ประชุม ส่วนใครจัดการ ง่ายๆ คือ ฝ่ายที่กำลังจะแพ้โหวตนั่นแหละ 

หลังจากการประชุมล่มลงสองครั้ง ยังมีไม่เค้าโครงว่าจะมีการนัดประชุมกันใหม่วันไหน แต่มีการเคลื่อนไหวคึกคักให้มีการแก้ไขระเบียบพรรคในการเลือกตั้งหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ระเบียบพรรคข้อบังคับของพรรคฯ ข้อ 87 ระบุ ให้เสียงของ สส.ชุดปัจจุบันถือเป็นสัดส่วนร้อยละ 70 ของคะแนนเสียงของที่ประชุมใหญ่ คะแนนเสียงส่วนที่เหลือทั้งหมดนับรวมกันแล้วมีน้ำหนักเพียงแค่ร้อยละ 30 หรือสัดส่วน 70 : 30

ระเบียบพรรคข้อนี้กลายเป็นกติกาที่ถูกยกขึ้นมากล่าวอ้างว่า "เป็นกติกาที่ไม่เป็นธรรม" โดยในการประชุมพรรคเมื่อวันที่ 9 กรกฎาคมที่ผ่านมา มีสมาชิกพรรคเสนอให้งดเว้นข้อบังคับนี้ และขอให้ทุกคะแนนเสียงมีน้ำหนักเท่ากัน เพื่อความเป็นธรรม แต่ไม่เป็นผลสำเร็จที่ประชุมใหญ่ยังไม่เห็นด้วย

องค์ประชุมพรรคประกอบไปด้วย สส., อดีต สส., อดีตหัวหน้าพรรค, อดีตเลขาธิการพรรค, อดีตรัฐมนตรี, อดีตนายกรัฐมนตรี อดีตผู้ว่าฯ กทม.ผู้ดำรงตำแหน่งในส่วนท้องถิ่น, หัวหน้าสาขาพรรค ฯลฯ องค์ประชุมพรรคต้องมีจำนวน 'ไม่น้อยกว่า 250 คน'

แต่ที่ผ่านมามีตัวแทนลงชื่อเข้าร่วมประชุมประมาณ 220 กว่าคน และสัปดาห์นี้คณะรักษาการกรรมบริหารพรรคน่าจะหยิบยกขึ้นมาพิจารณากำหนดวันประชุม

ในท่ามกลางความไม่ลงตัวของพรรคประชาธิปัตย์ ก็มีกระแสแรงเรื่องการขอเข้าร่วมรัฐบาล ภายใต้การนำของพรรคเพื่อไทย ท่ามกลางเสียงค้าน เพราะถือเป็นพรรคคู่แข่ง คู่รักคู่แค้นกันมายาวนาน และประวัติศาสตร์ของเครือข่ายเพื่อไทย ตั้งแต่ไทยรักไทย, พลังประชาชน จนมาถึงเพื่อไทย ประชาธิปัตย์ จึงไม่น่าร่วมกับเพื่อไทยได้ แต่ฝ่ายที่อยากจะร่วม อาจคิดอีกมุมหนึ่ง

มีการอ้างว่า สส.21 คน อยากนำพาพรรคเข้าร่วมรัฐบาล ซึ่งก็ไม่รู้เอาตัวเลข 21 มาจากไหน น่าจะเป็นตัวเลขที่ยกขึ้นมาเพื่อต่อรองตำแหน่งทางการเมืองมากกว่า และน่าจะเอาตัวเลขมาจากการนับจำนวน สส.ที่เข้าร่วมขบวนการ 'จัดการ' คืนก่อนการประชุมใหญ่ครั้งที่ 2 ที่มีการ 'จัดการ' เพื่อให้ได้เสียงกัน ยกเว้น 'ชวน หลีกภัย, บัญญัติ บรรทัดฐาน, จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ และ สรรเพรช บุญญามณี' จึงคิดว่า จาก สส.25 คน หักออกไป 4 เหลือ 21 คน

ซึ่งข้อเท็จจริงไม่ใช่ ถามว่า ราชิต สุดพุ่ม, สมยศ พลายด้วง, สุรินทร์ ปาลาเร่ หรือแม้แต่ สส.หนึ่งเดียวของปัตตานี อยู่กับขั้วที่อยากร่วมรัฐบาลหรือ? คำตอบไม่น่าจะใช่!! ส่วน สส.แม่ฮ่องสอน, สส.สกลนคร และ สส.อุบลราชธานี ยังไม่รู้ว่าอยู่กับขั้วไหน แต่โดยสายสัมพันธ์ น่าเชื่อได้ว่า อยู่ในขั้วผู้อาวุโส

ซึ่งถ้า สส.แม่ฮ่องสอน, สกลนคร และอุบลราชธานี อยู่ในขั้วของผู้อาวุโส จึงเหลือ สส.ที่อยู่ในขั้วอยากร่วมรัฐบาลเพียง14 คนเท่าเอง และอยู่ในขั้วผู้อาวุโสที่ต้องการเป็นฝ่ายค้าน 11 คน

นี่คือประเด็นข้อเท็จจริง ฝ่ายที่อยากร่วมรัฐบาล อยากไปเจอทักษิณ ชินวัตร อีกรอบ ไม่ควรทึกทัก คิดไปเองว่า'จัดการ' ไปแล้ว จะถือเป็น 'ของตาย' นำไปใช้ต่อรองตำแหน่งทางการเมือง

เมื่อเร็วๆ นี้ นายนราพัฒน์ แก้วทอง ที่มีข่าวว่าจะลงสมัครหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์คนใหม่ด้วยคนหนึ่ง ให้สัมภาษณ์ทำนองว่า "ทำไมต้องรังเกียจเพื่อไทย คนดีๆ ในเพื่อไทยที่รู้จักก็มีเยอะ แล้วจะไปบอกว่าเพื่อไทยเขาโกง เขายังไม่ทันได้โกง ควรไปร่วมงานกับเขาก่อน แต่หากเขาโกงอะไร เราค่อยถอนตัว กลับตัวได้"

ไชยวัฒน์ ไตรยสุนันท์ อดีต สส.อาวุโส พรรคประชาธิปัตย์ แถลงทิ่มกลางอก 'นราพัฒน์' ยืนยันได้ว่า "ประชาธิปัตย์ไม่ได้โกรธเคืองอะไรนายทักษิณ ชินวัตร หรือ สส. ของพรรคเพื่อไทย แต่เราถืออุดมการณ์ของพรรค ที่นายทักษิณหนีไปต่างประเทศ 17 ปี ไม่ใช่เพราะโกงหรือ รัฐมนตรีหลายคนติดคุกไม่ใช่เพราะโกงหรือ"

นายไชยวัฒน์ กล่าวอีกว่า "ที่ผ่านมาเราเคยเรียกว่าระบอบทักษิณ ตั้งแต่ยังเป็นสมัยไทยรักไทย โกงอย่างเดียว เอารัฐมนตรีมาโกง จนติดคุกติดตารางกันเป็นแถวในเวลานี้ ทุกวันนี้ก็ยังมีนายทักษิณกับน้องสาวหนีไปต่างประเทศ แบบนี้ยังไม่โกงอีกหรือ ถ้าเราไปร่วมกับพรรคที่เราเรียกว่าระบอบทักษิณ แล้วยังมีอีกหลายเรื่อง เช่น เหตุการณ์ที่เกรือเซะ-นโยบายปราบยาเสพติด แบบนี้คือ ระบอบทักษิณ ที่เรารับไม่ได้แล้วเราจะไปร่วมกับเขา 

"แต่คนในพรรคที่ต้องการไปร่วมรัฐบาลบอกว่า เพื่อไทยมีคนดีๆ เยอะแยะ เขายังไม่ทันโกงจะไปว่าเขาแล้ว รอให้ร่วมรัฐบาลก่อน หากเขาโกงค่อยว่ากัน มันไม่ใช่อย่างนั้น ประวัติศาสตร์มันสอน จะมาเถียงกันทำไม เถียงว่าพรรคเพื่อไทยไม่โกง เพราะยังไม่ได้เป็นรัฐบาล แต่ว่าเคยโกง ตนไม่กลัวโดนฟ้อง อย่างนายทักษิณ เดิมมียศเป็น พ.ต.ท.แต่ตอนนี้เป็นนายทักษิณ เพราะผูกถอดยศ ไม่ใช่เพราะโกงหรือ

"หากประชาธิปัตย์ไปร่วมตั้งรัฐบาลด้วย เลือกตั้งคราวหน้า ประชาธิปัตย์ สส.คนเดียวก็จะไม่ได้ คนจะไม่เลือกประชาธิปัตย์ อาจเป็นพรรคที่ไม่มี สส.สักคน แต่ก็จะทำพรรคต่อไป คือ สส.ของพรรคหากจะไปโหวตนายกฯ ให้เพื่อไทย เขาก็มีสิทธิ์ทำได้ เป็นเอกสิทธิ์ของ สส. แต่ว่าสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ที่สมัครเป็นสมาชิกพรรคตลอดชีพเสียคนละสองพันบาทเท่ากันหมด ส่วนรายปีก็คนละสองร้อยบาท ถ้าจะไปทำแบบนั้น ผมเชื่อว่า สมาชิกพรรคที่เหลืออยู่ สิ้นปีนี้ เขาจะไม่ต่ออายุ ไม่เสียเงินค่าสมาชิกพรรครายปี กันหลายแสนคน" นายไชยวัฒน์ ระบุ

เมื่อถามว่า หากจะมี สส.ของพรรคไปร่วมโหวตนายกฯ ให้พรรคเพื่อไทย จะถือเป็นงูเห่าหรือไม่ นายไชยวัฒน์ กล่าวว่า'ไม่ใช่งูเห่า แต่เป็นไส้เดือนคลุกขี้เถ้ามากกว่า งูเห่ามีศักดิ์ศรี ออกจากพรรคที่เคยอยู่แล้วออกไปอยู่พรรคอื่น แต่นี้ไปซุกเขา เป็นไส้เดือนคลุกขี้เถ้า ผมขอให้ฉายาใหม่ พวกอยากไปร่วมรัฐบาล กระสันมาก คุณไปเอาไส้เดือน โยนใส่กองขี้เถ้า คุณจะเห็นอาการ มันจะดิ้นทุรนทุราย แบบนี้ไม่ใช่งูเห่า"

ยิ่งเนิ่นนานประชาธิปัตย์ก็จะยิ่งเสื่อม ควรจะเด็ดขาด เร่งรีบจัดการกับปัญหา "ไม่ควรเชื่องช้า"...


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top