Friday, 6 June 2025
ธุรกิจจีน

เปิดประวัติ 'อวี๋เหรินหรง' นักธุรกิจจีนผู้กระทบไหล่ CEO ตัวท็อป จาก ‘เด็กบ้านนอก’ สู่ ‘เศรษฐีชิปอันดับหนึ่งของจีน’

(2 มี.ค. 68) ในที่ประชุมสัมมนาผู้ประกอบการเอกชนแห่งประเทศจีน อีเวนต์ที่ทุกคนต่างจับตา ชายที่นั่งอยู่ระหว่างหวังฉวนฝู CEO บีวายดี (BYD) และเหลยจวิน CEO เสี่ยวหมี่ (Xiaomi) กลายเป็นจุดสนใจอย่างไม่คาดคิด ผู้คนเริ่มสงสัยว่าเขาเป็นใคร และทำไมเขาถึงได้อยู่ในจุดนั้น?

เขาคืออวี๋เหรินหรง นักธุรกิจวัย 59 ปี เจ้าของตำแหน่ง “เศรษฐีชิปอันดับหนึ่งของจีน” ผู้ก่อตั้งบริษัท Weil Semiconductor ซึ่งปัจจุบันเป็นผู้ผลิต Image Sensor อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้ในการจับภาพ รายใหญ่ที่สุดในจีน และติดอันดับสามของโลก รองจาก Sony และ Samsung ผลิตภัณฑ์ของบริษัทนี้ถูกใช้ในสมาร์ตโฟน รถยนต์ และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ เช่น Xiaomi, Huawei และ BYD

ณ วันที่ 21 ก.พ. 2024 มูลค่าตลาดของ Weil Semiconductor อยู่ที่ 1.92 แสนล้านหยวน (ราว 8.832 แสนล้านบาท) โดยอวี๋เหรินหรงถือหุ้นอยู่ 27.44% ทำให้เขามีทรัพย์สินมูลค่ากว่า 5.27 หมื่นล้านหยวน (ราว 2.424 แสนล้านบาท) นอกจากนี้ เขายังเป็นบุคคลใจบุญอันดับหนึ่งของจีน โดยบริจาคเงินถึง 5.3 พันล้านหยวน (ราว 2.47 หมื่นล้านบาท) ในปี 2024 ซึ่งมากกว่ายอดบริจาคของเหลยจวิน 

จากเด็กนักเรียนหัวกะทิสู่ผู้ประกอบการ

อวี๋เหรินหรง เกิดในปี 1966 ที่หมู่บ้านจงเป่า เมืองหนิงโป มณฑลเจ้อเจียง ซึ่งเป็นบ้านเกิดเดียวกับเจ้าพ่อธุรกิจเดินเรือระดับโลกอย่าง “เป่าอวี้กัง” เขาเติบโตมาในครอบครัวธรรมดาแต่มีพรสวรรค์ด้านการเรียน จนสามารถสอบติดโรงเรียนมัธยมชื่อดังของเมือง และในปี 1985 เขาสอบติดภาควิชาวิศวกรรมอิเล็กทรอนิกส์ของมหาวิทยาลัยชิงหัว พร้อมดีกรีนักเรียนที่ได้คะแนนสูงสุดของเมืองหนิงโป

เพื่อนร่วมรุ่นของเขาในชิงหัวเป็นศิษย์เก่าชื่อดังมากมาย เช่น จ้าวเหว่ยกั๋ว ประธานกลุ่ม Tsinghua Unigroup และซูชิงหมิง ผู้ก่อตั้ง GigaDevice รุ่นของเขาจึงได้รับการขนานนามว่า “ยุคทอง” และมีชื่อรุ่นว่า EE85

อวี๋เป็นนักเรียนที่เฉลียวฉลาดและมีหัวทางธุรกิจเป็นอย่างมาก มีเรื่องเล่าที่โด่งดังว่า เขาเคยเล่นไพ่นกกระจอกตลอดคืน แต่ยังสามารถคว้ารางวัลชนะเลิศในการแข่งขันคณิตศาสตร์ของมหาวิทยาลัยในวันรุ่งขึ้นได้

นอกจากนี้ เขายังเริ่มทำธุรกิจตั้งแต่เรียน โดยขายแนวข้อสอบจากเขตไห่เตี้ยนในปักกิ่งไปยังต่างถิ่นเพื่อทำกำไร จนกลายเป็นที่รู้จักในหมู่เพื่อนร่วมชั้นว่าเป็น “พ่อค้าข้อสอบ”

ก้าวแรกในวงการธุรกิจ

หลังเรียนจบ เขาเข้าทำงานที่กลุ่ม Inspur ในตำแหน่งวิศวกร แต่เพียงสองปีหลังจากนั้น เขาก็ตัดสินใจลาออกไปทำงานให้กับบริษัท Longyue Electronics ในฮ่องกง เพื่อเป็นผู้จัดการฝ่ายขายในปักกิ่ง งานนี้ทำให้เขาได้เข้าใจอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ของจีนอย่างลึกซึ้ง และมองเห็นโอกาสในตลาด

“ตอนนั้นทุกคนคิดว่าผมบ้า แต่ผมรู้ว่าที่จีนไม่ได้ขาดแคลนนักวิทยาศาสตร์ เราขาดนักธุรกิจที่สามารถเปลี่ยนเทคโนโลยีให้เป็นผลิตภัณฑ์ที่ขายได้” อวี๋กล่าว

ปี 1998 อวี๋เหรินหรง ตัดสินใจออกมาสร้างธุรกิจของตัวเอง โดยก่อตั้งบริษัท HuaQing XingChang Tech ซึ่งกลายเป็นผู้จัดจำหน่ายชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ที่ใหญ่ที่สุดในปักกิ่ง ทำกำไรปีละ 10 ล้านดอลลาร์ (ราว 338 ล้านบาท) แต่เขากลับรู้สึกว่านั่นยังไม่พอ “เป็นพ่อค้าคนกลางก็ได้แค่ซดน้ำซุป ถ้าอยากกินเนื้อ ต้องสร้างสินค้าของตัวเอง”

การสร้างอาณาจักร Weil Semiconductor

ปี 2007 ขณะที่คนอื่นยังมุ่งขายชิ้นส่วน อวี๋เหรินหรง ก้าวไปอีกขั้น โดยก่อตั้ง Weil Semiconductor ในเซี่ยงไฮ้ เน้นพัฒนาเซมิคอนดักเตอร์ประเภท Power Management และ Discrete Devices

ธุรกิจเซมิคอนดักเตอร์ต้องใช้เงินทุนและเทคโนโลยีสูง ในช่วงแรกเขาใช้กลยุทธ์ “สองขา” นำกำไรจากธุรกิจตัวแทนจำหน่ายมาลงทุนในการพัฒนาเทคโนโลยีของตัวเอง วิธีนี้ช่วยให้เขาสามารถปรับปรุงผลิตภัณฑ์ตามความต้องการของลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว

แต่การเติบโตของบริษัทไม่ใช่เพียงแค่การพัฒนาเทคโนโลยี อวี๋เหรินหรง ยังใช้กลยุทธ์ “ซื้อกิจการเพื่อขยายธุรกิจ” โดยในปี 2019 เขาทำการเข้าซื้อ OmniVision ซึ่งเป็นผู้ผลิต mage Sensor อันดับสามของโลก นำพา Weil Semiconductor ให้กลายเป็นยักษ์ใหญ่ของวงการ

การซื้อกิจการครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะ OmniVision มีมูลค่าสูงกว่าบริษัทของเขาเองเกือบสองเท่า แต่ด้วยกลยุทธ์ทางการเงินและการบริหาร อวี๋เหรินหรง สามารถปิดดีลได้ และในปีเดียวกัน Weil Semiconductor ก็กลายเป็นผู้นำตลาด Image Sensor ของจีน

ก้าวไปข้างหน้า

แม้จะประสบความสำเร็จอย่างสูง แต่อวี๋เหรินหรงยังไม่หยุดเดินหน้า เขาให้ความสำคัญกับการวิจัยและพัฒนา โดยเพิ่มงบประมาณ R&D อย่างต่อเนื่อง และมุ่งเป้าพัฒนาเทคโนโลยีชิปสำหรับยานยนต์และอุตสาหกรรมการแพทย์

นับตั้งแต่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ Weil Semiconductor เพิ่มการลงทุนด้าน R&D อย่างต่อเนื่องทุกปี ระหว่างปี 2017 – 2021 ค่าใช้จ่ายด้าน R&D ของบริษัทเพิ่มขึ้นจาก 84.99 ล้านหยวน (ประมาณ 3.965 ร้อยล้านบาท) เป็น 2.11 พันล้านหยวน (ประมาณ 9.84 พันล้านบาท) และครึ่งแรกของปี 2024 งบ R&D เพื่อการออกแบบเซมิคอนดักเตอร์ของบริษัทฯ อยู่ที่ประมาณ 1.582 พันล้านหยวน (ประมาณ 7.38 พันล้านบาท) คิดเป็น 15.18% ของรายได้จากธุรกิจออกแบบเซมิคอนดักเตอร์

นอกจากนี้ เขายังมีเป้าหมายช่วยพัฒนาการศึกษาในประเทศ โดยในปี 2022 เขาประกาศลงทุน 3 หมื่นล้านหยวน (ราว 1.38 แสนล้านบาท) สร้างมหาวิทยาลัยวิศวกรรมและเทคโนโลยีระดับโลกในบ้านเกิดของตัวเอง เพื่อสนับสนุนนักวิจัยและสร้างบุคลากรที่สามารถช่วยให้จีนก้าวข้ามข้อจำกัดทางเทคโนโลยี

“อุตสาหกรรมชิปไม่มีทางลัด มีเพียงคนที่กล้าเดินเข้าสู่ดินแดนที่ไม่มีใครเคยไปมาก่อนเท่านั้น ที่จะเป็นผู้กำหนดกติกาได้” นี่คือคำพูดที่สะท้อนตัวตนของอวี๋เหรินหรงได้อย่างชัดเจน

‘พีระพันธุ์’ เผยผลสำเร็จการเจรจาภาคธุรกิจจีน เดินหน้าลดต้นทุนติดตั้งระบบโซลาร์ช่วยคนไทย

‘พีระพันธุ์’ ประสบความสำเร็จเจรจาภาคธุรกิจจีน พร้อมขยายความร่วมมือด้านเทคโนโลยีและอุปกรณ์ระบบโซลาร์ราคาถูก ลดต้นทุนการติดตั้งระบบพลังงานแสงอาทิตย์ให้ภาคประชาชนและธุรกิจไทย   

(2 มิ.ย. 68) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยถึงการเดินทางเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีนระหว่างวันที่ 26-30 พฤษภาคม 2568 ที่ผ่านมาว่า  การเดินทางครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อเจรจาความร่วมมือกับภาคธุรกิจด้านระบบพลังงานแสงอาทิตย์ของจีน เพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนไทยสามารถเข้าถึงอุปกรณ์ผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์หรือระบบโซลาร์ที่ได้มาตรฐานในราคาที่ถูกลง  ซึ่งจะเป็นอีกทางเลือกในการลดภาระค่าไฟของประชาชน และช่วยลดต้นทุนของภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมลงด้วย

นายพีระพันธุ์กล่าวว่า  ในการเยือนจีนครั้งนี้ ตนได้พบปะเจรจากับเจ้าของและผู้บริหารระดับสูงของบริษัทชั้นนำที่อยู่ในภาคการผลิตอุปกรณ์และระบบพลังงานแสงอาทิตย์ตลอดห่วงโซ่อุตสาหกรรม  นับตั้งแต่การผลิตแผงโซลาร์เซลล์ประเภทต่าง ๆ ระบบอินเวอร์เตอร์ทุกขนาด  เครื่องกักเก็บพลังงานและแบตเตอรี่หลากหลายรูปแบบ ไปจนถึงระบบควบคุมและจัดการพลังงานให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด โดยได้มีการหารือกันเกี่ยวกับแนวทางความร่วมมือที่จะเป็นประโยชน์ต่อการส่งเสริมอุตสาหกรรมพลังงานสะอาด และเปิดโอกาสให้คนไทยสามารถเข้าถึงอุปกรณ์ระบบโซลาร์ที่มีคุณภาพในราคาถูกลง

นายพีระพันธุ์กล่าวอีกว่า  จากการเยี่ยมชมและเจรจาหารือกับบริษัทชั้นนำ 6 แห่ง ในนครเซี่ยงไฮ้ และมณฑลเจียงซู ซึ่งล้วนเป็นผู้ผลิตและส่งออกผลิตภัณฑ์ด้านระบบโซลาร์ในระดับโลก ประกอบด้วย  บริษัท GoodWe Technologies บริษัท Canadian Solar Inc. (CSI) บริษัท Trina Solar บริษัท Changzhou Almaden บริษัท JinkoSolar และบริษัท Sungrow ทุกบริษัทต่างพร้อมที่จะให้ความร่วมมือในแนวทางที่ตนนำเสนอซึ่งจะมีการประสานงานกันต่อไปเพื่อให้เกิดผลที่เป็นรูปธรรมโดยเร็วที่สุด

“เป็นเรื่องน่ายินดีที่ทุกบริษัทที่ได้ร่วมหารือกันในครั้งนี้ พร้อมที่จะให้ความร่วมมือในแนวทางที่จะก่อให้เกิดประโยชน์แก่ภาคประชาชนและภาคธุรกิจของไทย ซึ่งต้องขอขอบคุณทางหอการค้าจีนที่ช่วยประสานการเจรจา โดยเฉพาะท่าน Shi Yonghong รองประธานหอการค้าจีน ที่เดินทางมาจากปักกิ่งเพื่อร่วมคณะเจรจาในครั้งนี้ พร้อมผู้ช่วยที่ดูแลด้านพลังงานและผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับโซล่าร์ รวมถึงสถานกงสุลไทยประจำนครเซี่ยงไฮ้ที่ช่วยประสานงานด้านต่าง ๆ” นายพีระพันธุ์กล่าว

การขยายความร่วมมือกับภาคธุรกิจจีนในครั้งนี้ยังเป็นการเตรียมพร้อมเพื่อรองรับการออกกฎหมายส่งเสริมการใช้ไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ที่จะปลดล็อกกฎระเบียบเกี่ยวกับการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ให้มีความสะดวก รวดเร็ว และส่งเสริมให้มีการใช้งานอย่างแพร่หลายมากขึ้น  เพื่อลดภาระค่าไฟฟ้าของประชาชน และช่วยลดต้นทุนของภาคธุรกิจ  โดยนายพีระพันธุ์ได้ยกร่างกฎหมายส่งเสริมการใช้พลังงานแสงอาทิตย์ในนามของกระทรวงพลังงานเสร็จเรียบร้อยแล้ว  และเตรียมจะนำเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรีในเร็วๆนี้และจะรีบเสนอต่อสภาผู้แทนราษฎรในสมัยประชุมที่จะถึงนี้ เพื่อเป็นทางเลือกด้านพลังงานที่ยั่งยืนให้กับประชาชน

“ผมให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาด้านพลังงานทุกเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องค่าไฟฟ้าซึ่งกระทบกับค่าครองชีพของพี่น้องประชาชน และภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศ การส่งเสริมให้มีการใช้พลังงานแสงอาทิตย์ทดแทนไฟฟ้าหลักก็เป็นอีกแนวทางในการลดภาระค่าไฟที่ต้องเร่งทำ  และเร่งหาช่องทางในการเข้าถึงเทคโนโลยีและอุปกรณ์ระบบโซลาร์ราคาถูก มีคุณภาพได้มาตรฐาน  ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายภาคส่วน และต้องทำอย่างจริงจัง” นายพีระพันธุ์กล่าว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top