Monday, 20 May 2024
ทหารอเมริกา

‘ทหารมะกัน’ ลักลอบข้ามแดน ขอลี้ภัยไปอยู่ ‘เกาหลีเหนือ’ อ้าง ถูกเลือกปฏิบัติ-เหยียดเชื้อชาติ-ทารุณกรรมในกองทัพสหรัฐฯ

สื่อสหรัฐฯ อ้างอิงแหล่งข่าวจากเกาหลีเหนือ ที่ประกาศอย่างเป็นทางการเป็นครั้งแรกว่า ได้จับกุมตัว ‘พลทหาร ทราวิส คิง’ สังกัดกองทัพสหรัฐฯ ในเกาหลีใต้ไว้ สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2566 ที่ผ่านมา พลทหาร ทราวิส คิง ได้ลักลอบข้ามชายแดน จากเขตปลอดทหารที่หมู่บ้านปันมุนจอม เข้ามาในดินแดนเกาหลีเหนืออย่างผิดกฎหมาย ต่อมาถูกจำกุมตัวได้โดยกองกำลังเกาหลีเหนือ

หลังจากที่มีการสอบสวน พลทหาร คิง สารภาพว่า เขาตั้งใจที่จะข้ามแดนมายังเกาหลีเหนือด้วยตนเอง แม้จะรู้ว่าผิดกฎหมาย โดยยังกล่าวอีกว่า ที่ทำไปเพราะต้องการต่อต้านการกระทำทารุณกรรมอย่างไร้มนุษยธรรม และการเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติในกองทัพสหรัฐฯ และตัวเขาก็ไม่แยแสต่อสังคมอเมริกันที่เต็มไปด้วยความไม่เท่าเทียม ดังนั้น เขาประสงค์ที่จะขอลี้ภัยทางการเมืองในเกาหลีเหนือ หรือในประเทศที่สามอื่นๆ

‘พลทหาร ทราวิส คิง’ เป็นพลเมืองสหรัฐฯ ปัจจุบันอายุ 23 ปี ถูกส่งมาประจำการในค่ายทหาร Garrison Humphreys ในจังหวัดพย็องแท็ก ประเทศเกาหลีใต้ ต่อมาถูกตำรวจเกาหลีใต้จับกุมด้วยข้อหาทะเลาะวิวาท ก่อนถูกส่งตัวคืนให้แก่กองทัพสหรัฐฯ โดย พลทหาร คิง จะต้องถูกส่งตัวกลับสหรัฐฯ เพื่อลงโทษทางวินัย และมีกำหนดเดินทางออกจากเกาหลีใต้เมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม 2566 ที่ผ่านมา

แต่ทว่า พลทหาร คิง ได้หลบหนีออกจากสนามบินอินชอน และเข้าร่วมโปรแกรมทัวร์เยี่ยมชมเขตปลอดทหารที่หมู่บ้านปันมุนจอม ซึ่งกลายเป็นหนึ่งในแหล่งท่องเที่ยวดังของเกาหลีใต้ เมื่อสบโอกาส พลทหาร คิง ได้หนีทัวร์ และเดินข้ามเขตชายแดนไปยังเกาหลีเหนือและหายตัวไป จนล่าสุดเพิ่งได้รับการยืนยันจากรัฐบาลเกาหลีเหนือว่า ได้ควบคุมตัวพลทหาร ทราวิส คิง อยู่ และเป็นพลเมืองสหรัฐฯ คนแรกในรอบ 5 ปี ที่ถูกกักตัวในเกาหลีเหนือ

ด้านเจ้าหน้าที่กลาโหมสหรัฐฯ ไม่ขอออกความเห็นในคำสารภาพของพลทหาร ทราวิส คิง ที่ปรากฏในสื่อเกาหลีเหนือ เพียงแต่กล่าวว่า ตอนนี้ฝ่ายกลาโหมต้องการเพียงให้พลทหารอเมริกันเดินทางกลับสหรัฐฯ อย่างปลอดภัยเท่านั้น ซึ่งก่อนหน้านี้โฆษกกลาโหมสหรัฐฯ เคยแถลงข่าวเกี่ยวกับการหายตัวไปของพลทหาร ทราวิส คิง ว่าเขาแอบข้ามแดนไปเกาหลีเหนือเองโดยสมัครใจ ไม่ได้รับคำสั่งใดๆจากทางกองทัพสหรัฐฯ และไม่ออกความเห็นว่าพลทหารคิง ‘แปรพักตร์’ หรือไม่

ด้านรัฐบาลไบเดน กำลังถกเถียงกันในกรณีพลทหาร ทราวิส คิง ว่าสมควรที่จะระบุสถานะให้เขาเป็น ‘เชลยสงคราม’ เพื่อให้ได้รับการคุ้มครองพิเศษภายใต้อนุสัญญาเจนีวา ที่ว่าด้วยเรื่องการคุ้มครองด้านมนุษยธรรมแก่เชลยศึก แต่ยังไม่ได้ข้อสรุป และจนถึงตอนนี้ พลทหารคิงยังอยู่ในสถานะ ‘ขาดราชการโดยไม่ได้ลา’

ถึงแม้ว่ากรณีของพลทหาร ทราวิส คิง จะสร้างความอับอายกับกองทัพสหรัฐฯ อยู่พอสมควร แต่จากความเห็นของ วิคเตอร์ ชา รองประธานอาวุโสของสถาบันกลยุทธ์ และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ในกรุงวอชิงตัน กล่าวว่า ทันทีที่พลทหารคิงถูกกักตัวในเกาหลีเหนือ เราก็ไม่อาจเชื่อคำพูดของเขาได้อีกต่อไป ทุกถ้อยคำที่ผ่านสื่อของเกาหลีเหนือไม่อาจพิสูจน์ได้ว่าจริง หรือเป็นแค่เพียงการโฆษณาชวนเชื่อของรัฐบาลเกาหลีเหนือเท่านั้น

ส่วนการเรียกตัวพลเมืองอเมริกันกลับคืนมาจากการเกาหลีเหนือได้นั้น โดยปกติต้องมีเจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหรัฐฯ ไปเยือน ซึ่งตอนนี้ทางสหรัฐฯ ไม่มีความสัมพันธ์อย่างเป็นทางการกับเกาหลีเหนือ แต่สิ่งที่เราเคยเห็นในอดีตเมื่อมีการคุมตัวพลเมืองอเมริกัน จะต้องมีการพิจารณาไต่สวนคดี ที่มักจบลงด้วยการเกณฑ์แรงงาน หรือจำคุก ที่จะนำไปสู่การใช้ระเบียบวิธีทางการทูตระดับสูงเพื่อพาคนอเมริกันกลับประเทศได้

ดังนั้น จึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่ทางการเกาหลีเหนือจะปล่อยตัวชาวอเมริกัน ที่ลักลอบเข้าเมืองแบบผิดกฎหมายกลับสหรัฐฯ โดยไม่มีการเจรจาต่อรองในระดับสูง จึงยากที่จะคาดเดาว่าอนาคตของพลทหาร ทราวิส คิง จะไปต่ออย่างไรในดินแดนเกาหลีเหนือ

เรื่อง : ยีนส์ อรุณรัตน์

การทารุณกรรมและย่ำยี ‘สตรีญี่ปุ่น’ ของ ทหารสหรัฐฯ-ออสเตรเลีย โศกนาฏกรรมและความอัปยศอดสูบนแผ่นดินญี่ปุ่น ที่ถูก ‘ห้ามกล่าวถึง’

หลังจากฮิโรชิมาและนางาซากิ : โศกนาฏกรรมและความอัปยศอดสู
การทารุณกรรมสตรีญี่ปุ่นของทหารสหรัฐฯ และออสเตรเลีย บนแผ่นดินญี่ปุ่น

พฤติการณ์และพฤติกรรมของทหารสังกัดกองกำลังสัมพันธมิตร ในระหว่างการยึดครองญี่ปุ่นโดยกองทัพสหรัฐฯ และสัมพันธมิตร หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ไม่ได้แตกต่างไปจากทหารสังกัดกองทัพจักรวรรดิญี่ปุ่นระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 เลย ด้านมืดของการยึดครองญี่ปุ่นอันเป็นประวัติศาสตร์ที่ไม่ค่อยมีใครกล่าวถึง ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐอเมริกาหรือชาติอื่น ๆ ก็ตาม เมื่อญี่ปุ่นยอมจำนนในเดือนสิงหาคม 1945 ก็เริ่มเกิดการข่มขืนหมู่โดยทหารของกองกำลังยึดครอง (แม้จะมีซ่องโสเภณีมากมายก็ตาม) อาชญากรรมดังกล่าวยังคงเป็นเรื่องปกติ และหลายคดีโหดร้ายเป็นอย่างยิ่ง จนส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต โดยศาสตราจารย์ทางรัฐศาสตร์ ‘Eiji Takemae’ ได้เขียนเล่าเกี่ยวกับพฤติกรรมของทหารอเมริกันในขณะที่ยึดครองญี่ปุ่นว่า…

“เรา… กองทหารรวมตัวกันเหมือนผู้พิชิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงสัปดาห์และเดือนแรก ๆ ของการยึดครอง พฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมมีตั้งแต่การลักลอบค้าขายสินค้าในตลาดมืด การลักเล็กขโมยน้อย การขับรถโดยประมาท พฤติกรรมที่ไม่มีวินัย ไปจนถึงการทำลายทรัพย์สิน การทำร้ายร่างกาย การลอบวางเพลิง การฆาตกรรม และการข่มขืน ความรุนแรงส่วนใหญ่มุ่งเป้าไปที่สตรีญี่ปุ่น

เหตุการณ์ครั้งแรกเกิดขึ้นเพียงไม่กี่ชั่วโมงหลังจากมีการยกพลขึ้นบกของกองกำลังสัมพันธมิตร ในเมืองโยโกฮามา และประเทศจีน รวมถึงที่อื่น ๆ ทหารสัมพันธมิตรทั้งทหารบกและทหารเรือฝ่าฝืนกฎหมายโดยไม่ต้องรับโทษ และเกิดเหตุการณ์การปล้น การข่มขืน และการฆาตกรรม หลายครั้งหลายคราวก็มีการรายงานอย่างกว้างขวางในสื่อ (ซึ่งยังไม่ได้เซ็นเซอร์โดยกองทัพอเมริกัน) เมื่อพลร่มของสหรัฐฯ เข้าพื้นที่เมืองซัปโปโร เกิดการปล้นสะดม การข่มขืน และการทะเลาะวิวาทกันอย่างมากมายขึ้น”

พลโท ‘Robert L. Eichelberger’

การข่มขืนหมู่และการทารุณกรรมทางเพศอื่น ๆ ที่เกิดขึ้นนั้น ศาลทหารของกองทัพสัมพันธมิตรได้ลงโทษทหารที่ถูกจับกุมเพียงแค่ไม่กี่ราย ซึ่งล้วนแล้วแต่ถูกตัดสินลงโทษสถานเบา และแทบจะไม่มีการชดใช้ค่าเสียหายให้กับบรรดาเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายเลย

ความพยายามของชาวญี่ปุ่นในการป้องกันตัวเองนั้นจะถูกลงโทษอย่างรุนแรง เช่น กรณีที่พลโท ‘Robert L. Eichelberger’ บันทึกไว้ในบทบันทึกความทรงจำของเขาว่า “เมื่อชาวบ้านญี่ปุ่นในท้องถิ่นจัดตั้งกลุ่มศาลเตี้ย และตอบโต้ต่อทหารอเมริกัน กองทัพที่แปดจึงสั่งการให้หน่วยรถถังทำการปิดถนนและจับกุมหัวโจกผู้นำ ซึ่งต่อมาได้รับโทษจำคุกอย่างยาวนาน”

กองทัพอเมริกันและออสเตรเลียไม่ได้รักษาหลักนิติธรรมเลย เมื่อมีการละเมิดผู้หญิงญี่ปุ่นด้วยฝีมือทหารสังกัดกองกำลังของตนเอง อีกทั้งประชากรญี่ปุ่นเองก็ไม่ได้รับอนุญาตต่อสู้ปกป้องตัวเองด้วย แต่กองกำลังยึดครองกลับสามารถปล้นสะดมและข่มขืนหญิงสาวชาวญี่ปุ่นได้ตามต้องการ โดยทำตัวอยู่เหนือกฎหมาย

หนึ่งในเหตุการณ์ดังกล่าว ได้แก่ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเดือนเมษายน 1946 เมื่อทหารอเมริกันราว 50 นายเดินทางด้วยรถบรรทุก 3 คัน บุกเข้าไปยังโรงพยาบาลนากามูระ ในเขตโอโมริ และได้ข่มขืนผู้ป่วยหญิงกว่า 40 คน รวมทั้งเจ้าหน้าที่หญิงอีก 37 คน มีหญิงคนหนึ่งถูกข่มขืนทั้งที่เพิ่งคลอดบุตรได้เพียง 2 วัน และลูกของเธอถูกโยนลงบนพื้นจนเสียชีวิต ผู้ป่วยชายที่พยายามปกป้องผู้หญิงก็ถูกสังหารด้วย สัปดาห์ต่อมา ทหารสหรัฐฯ หลายสิบคนได้ตัดสายโทรศัพท์ไปที่ตึกหนึ่งในเมืองนาโกย่า และข่มขืนผู้หญิงทุกคนที่พวกเขาสามารถจับได้ที่นั่น ซึ่งมีทั้งเด็กผู้หญิงอายุไม่เกิน 10 ขวบ ตลอดจนถึงผู้หญิงที่มีอายุไม่เกิน 55 ปี

กองกำลังออสเตรเลียในญี่ปุ่น

พฤติกรรมดังกล่าวไม่ได้มีลักษณะเฉพาะสำหรับทหารอเมริกัน แม้แต่กองกำลังออสเตรเลียก็ปฏิบัติตนในลักษณะเดียวกัน ในระหว่างที่ประจำการในญี่ปุ่น ดังที่พยานชาวญี่ปุ่นคนหนึ่งได้ให้การไว้ว่า “ทันทีที่กองทหารออสเตรเลียมาถึงคูเระ ซึ่งเป็นเมืองหนึ่งในจังหวัดฮิโรชิมะ เมื่อต้นปี 1946 พวกเขาได้ลากหญิงสาวขึ้นรถจี๊ปไปบนภูเขา และทำการข่มขืน ฉันได้ยินพวกเธอกรีดร้องขอความช่วยเหลือเกือบทุกคืน” พฤติกรรมดังกล่าวเป็นเรื่องปกติ แต่ข่าวอาชญากรรมจากกองกำลังยึดครองก็ถูกระงับการเผยแพร่อย่างรวดเร็ว

‘Allan Clifton’ นายทหารออสเตรเลียได้เล่าถึงประสบการณ์ของเขา เกี่ยวกับความรุนแรงทางเพศโดยทหารออสเตรเลียที่เกิดขึ้นในญี่ปุ่นว่า “ผมยืนอยู่ข้างเตียงในโรงพยาบาล บนเตียงนั้นมีหญิงสาวคนหนึ่งนอนสลบอยู่ ผมยาวสีดำพันอยู่ในหมอนอย่างยุ่งเหยิง แพทย์และพยาบาลสองคนกำลังทำงานเพื่อช่วยชีวิตเธอ หนึ่งชั่วโมงก่อนที่เธอจะถูกทหารออสเตรเลีย 20 นาย รุมข่มขืน เราพบเธอในที่ที่พวกเขาทิ้งเธอไว้บนผืนดินรกร้าง โรงพยาบาลอยู่ในฮิโรชิมา ผู้หญิงคนนั้นเป็นคนญี่ปุ่น ทหารเป็นพวกออสเตรเลีย เสียงครวญครางและคร่ำครวญได้หยุดลงแล้ว และตอนนี้เสียงเธอก็เงียบลงแล้ว ความตึงเครียดอันทรมานบนใบหน้าของเธอคลี่คลายลง และผิวสีน้ำตาลอ่อนที่เรียบเนียนไร้ริ้วรอย เปื้อนไปด้วยคราบน้ำตา ราวกับใบหน้าของเด็กน้อยที่ร้องไห้จนหลับไป เมื่อมีการตรวจสอบก็พบว่า ทหารออสเตรเลียที่ก่ออาชญากรรมดังกล่าวในญี่ปุ่น จะได้รับโทษจำคุกในสถานเบามาก และต่อมาทหารเหล่านี้ส่วนใหญ่มักได้รับการบรรเทาโทษหรืออภัยโทษ โดยศาลออสเตรเลียในภายหลัง”

Clifton ได้เล่าถึงเหตุการณ์ดังกล่าวด้วยตัวของเขาเองว่า เมื่อศาลออสเตรเลียยกเลิกคำตัดสินของศาลทหาร โดยอ้างว่า “หลักฐานไม่เพียงพอ” แม้ว่าเหตุการณ์ดังกล่าวจะมีพยานหลายคนก็ตาม เห็นได้ชัดว่าศาลที่ดูแลกองกำลังยึดครองของฝั่งตะวันตก ได้ใช้มาตรการเพื่อปกป้องตนเองจากอาชญากรรมที่กระทำต่อชาวญี่ปุ่น ซึ่งเป็นอาชญากรรมที่ผู้ยึดครองชาวตะวันตกส่วนใหญ่ มองว่าเป็นเพียงการเข้าถึง ‘ความเสียหายของสงคราม’ ในขณะนั้น

เช่นเดียวกับที่เกิดขึ้นในช่วงสงคราม โดยมีการรายงานการข่มขืนในยามสงบน้อยเกินไป เนื่องจากผู้ที่เกี่ยวข้องรู้สึกความอับอายต่อสังคมดั้งเดิม รวมถึงการไม่ทำอะไรเลยของเจ้าหน้าที่ (การข่มขืนในทั้ง 2 กรณีเกิดขึ้น เมื่อกองทัพสัมพันธมิตรมีอำนาจ) จึงทำให้ตัวเลขดังกล่าวลดลงอย่างมาก เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความรู้สึกไม่สบายต่ออาชีพของตนมากขึ้น กองทัพสหรัฐฯ จึงดำเนินการเซ็นเซอร์สื่ออย่างเข้มงวด ส่งผลให้การกล่าวถึงอาชญากรรมที่ทหารสัมพันธมิตรกระทำต่อพลเรือนญี่ปุ่น ถือเป็นเรื่องต้องห้ามโดยเด็ดขาด

‘ทหาร Gurkha’ แห่งกองทัพอังกฤษในกองกำลังยึดครองญี่ปุ่น

กองกำลังยึดครอง ออกสื่อและรหัสล่วงหน้า เซ็นเซอร์ห้ามการตีพิมพ์รายงานและสถิติทั้งหมด โดยให้เหตุผลว่า “ไม่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของการยึดครอง” ไม่กี่สัปดาห์แรกในการยึดครอง สื่อมวลชนญี่ปุ่นกล่าวถึงการข่มขืน และการปล้นสะดมอย่างกว้างขวางโดยทหารอเมริกัน กองกำลังที่ยึดครองตอบสนองอย่างรวดเร็วด้วยการเซ็นเซอร์สื่อทั้งหมด และใช้นโยบายต่อต้านการรายงานอาชญากรรมดังกล่าวเป็นศูนย์ ไม่เพียงแต่อาชญากรรมที่กระทำโดยกองกำลังตะวันตกเท่านั้น แม้แต่การวิพากษ์วิจารณ์ประเทศสัมพันธมิตรฝั่งตะวันตกใด ๆ ก็ตาม ถือเป็นสิ่งต้องห้ามอย่างเคร่งครัดในช่วงการยึดครองเป็นเวลานานกว่าหกปี

สิ่งนี้ทำให้กองทัพสหรัฐฯ ซึ่งเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดในประเทศ ลอยตัวอยู่เหนือความรับผิดชอบในหัวข้อต่าง ๆ เช่น การจัดตั้งสถานีอำนวยความสะดวก และการสนับสนุนผู้หญิงกลุ่มเปราะบางให้เข้าสู่การค้าบริการทางเพศ การวิเคราะห์เชิงวิพากษ์เกี่ยวกับตลาดมืด ปริมาณแคลอรี่ที่ได้รับกับความอดอยากของประชากร หรือแม้แต่การอ้างอิงถึงผลกระทบของภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ต่อเศรษฐกิจตะวันตก การต่อต้านลัทธิล่าอาณานิคมทั่วเอเชีย และความตึงเครียดที่เกิดขึ้นในสงครามเย็น ล้วนถูกห้ามเผยแพร่ทั้งสิ้น

หลังจากอ่านบทความทั้งหมดแล้ว
นักแปลอาวุโสจะแปลเรื่องที่ต้องเซ็นเซอร์เป็นภาษาอังกฤษและส่งต่อ

สิ่งที่น่าสังเกตเป็นพิเศษเกี่ยวกับการเซ็นเซอร์ที่กำหนดขึ้น ภายใต้การยึดครองของอเมริกัน คือ มันมีวัตถุประสงค์เพื่อปกปิดการดำรงอยู่ของมันเอง ซึ่งหมายความว่าไม่เพียงแต่บางเรื่องจะถูกจำกัดอย่างเข้มงวดเท่านั้น แต่ยังห้ามกล่าวถึงการเซ็นเซอร์อีกด้วย

ดังที่ศาสตราจารย์ ‘Donald Keene’ แห่งมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ตั้งข้อสังเกตว่า “การเซ็นเซอร์ของกองทัพอเมริกันระหว่างการยึดครองนั้น น่าหงุดหงิดยิ่งกว่าการเซ็นเซอร์ของกองทัพญี่ปุ่นเสียอีก เพราะเป็นการยืนยันว่า มีการปกปิดร่องรอยของการเซ็นเซอร์ทั้งหมด” ซึ่งหมายความว่า บทความจะต้องเขียนใหม่ทั้งหมด แทนที่จะส่ง XXs สำหรับวลีที่ไม่เหมาะสมเท่านั้น

สำหรับกองทัพอเมริกันไม่เพียงแต่จะต้องควบคุมข้อมูลเท่านั้น แต่ยังต้องสร้าง ‘ภาพลวงตา’ ของสื่อเสรี เมื่อมีสื่ออยู่ด้วย ในความเป็นจริง มีข้อจำกัดมากกว่าที่เคยเป็นในช่วงสงครามภายใต้การปกครองของจักรวรรดิ

การเซ็นเซอร์ภาพยนตร์ของกองเซ็นเซอร์พลเรือน (Civil Censorship Detachment : CCD) 

การก้าวไปอีกขั้นหนึ่งในการเซ็นเซอร์ แม้กระทั่งการกล่าวถึงการเซ็นเซอร์ สหรัฐฯ สามารถอ้างสิทธิ์ในการยืนหยัดเพื่อเสรีภาพในการทำสื่อและเสรีภาพในการแสดงออก ด้วยการ ‘ควบคุมสื่อ’ กองทัพอเมริกันสามารถพยายามส่งเสริมไมตรีจิตในหมู่ชาวญี่ปุ่น ในขณะเดียวกันการก่ออาชญากรรมโดยทหารอเมริกันและพันธมิตร ก็กลายเป็นเหตุการณ์ที่ถูกโดดเดี่ยว ละเลย จนเลือนหายไปในที่สุด

แม้ว่า ความโหดร้ายของกองทัพอเมริกันและออสเตรเลียต่อพลเรือนญี่ปุ่น จะเห็นได้อย่างชัดเจนในระหว่างการยึดครองญี่ปุ่น หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 และเกิดผลที่ตามมาในทันที โดยเฉพาะในโอกินาวา ที่มีคดีฆ่า-ข่มขืน โดยทหารสัมพันธมิตร 76 รายใน 5 ปีแรก หลังจากการถูกยึดครอง แต่ก็ไม่ได้จบลงแค่หลังจากการยกเลิกการยึดครองเท่านั้น ตัวเลขประมาณการว่า ตั้งแต่ปี 1945 เป็นต้นมา มีหญิงสาวชาวโอกินาวาถูกข่มขืนไม่ต่ำกว่า 10,000 ราย

และด้วยทุกวันนี้สหรัฐฯ ยังคงมีบทบาททางทหารในญี่ปุ่นอย่างต่อเนื่องเรื่อยมา และอาชญากรรมต่าง ๆ รวมถึงความรุนแรงทางเพศ ตลอดจนการฆาตกรรมพลเรือนชาวญี่ปุ่นโดยทหารอเมริกัน ก็ยังคงเกิดขึ้นอยู่ต่อไป จนกว่าในที่สุดจะไม่มีฐานทัพอเมริกันในญี่ปุ่นเหลืออยู่อีกเลย

https://worldhistoryandevents.blogspot.com/2023/10/after-hiroshima-and-nagasaki-tragedy.html?m=1 และ https://en.wikipedia.org/wiki/Rape_during_the_occupation_of_Japan


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top