Wednesday, 22 May 2024
ซิมเถื่อน

กสทช. กำชับมือถือทุกค่ายระงับสัญญาณซิมเถื่อน หลังครบกำหนดยืนยันตัว สำหรับผู้ถือครองมากกว่า 101 ซิมพร้อมผนึกกำลังตำรวจเอาผิดคนสวมชื่อเปิดซิมผี

วันนี้ (15 ก.พ. 67) เวลา 13.00 น. พล.ต.อ.ดร.ณัฐธร เพราะสุนทร กสทช.ด้านกฎหมาย และประธานอนุกรรมการบูรณาการบังคับใช้กฎหมายความผิดทางเทคโนโลยีฯ เป็นประธานประชุม พร้อมด้วย พล.ต.ท.ดร.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร ผู้ช่วย ผบ.ตร. ดูแลงานด้านป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมเทคโนโลยี ร่วมกับผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ ประกอบด้วย บริษัท แอดวานซ์ ไวร์เลส เน็ทเวอร์ค จำกัด (ผู้ให้บริการเอไอเอส), บริษัท ทรู มูฟ เอช ยูนิเวอร์แซล คอมมิวนิเคชั่น จำกัด (ผู้ให้บริการ ทรู และ ดีแทค) และบริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) เพื่อหารือถึงมาตรการยืนยันตัวตนและข้อมูลเกี่ยวกับการใช้บริการของผู้ใช้บริการที่ถือครองซิมการ์ด หลังพ้นกำหนดระยะเวลายืนยันตัวตน พร้อมบูรณาการความร่วมมือระหว่าง กสทช., ผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ และเจ้าหน้าที่ตำรวจ ขยายผลเอาผิดกับผู้ปลอมแปลงเอกสารในการจดทะเบียนซิม ป้องกันมิจฉาชีพนำไปใช้ในการก่ออาชญากรรมออนไลน์

พล.ต.อ.ณัฐธรฯ ได้กล่าวว่า จากแนวคิดในการจัดระเบียบซิมการ์ด โดยเฉพาะหมายเลขในระบบเติมเงิน ที่ไม่มีการลงทะเบียนผู้ใช้งานจริง หรือลงทะเบียนด้วยข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง มีการปลอมแปลงเอกสารในการจดทะเบียนซิม โดย กสทช. ได้ออกมาตรการยืนยันตัวตนและข้อมูลเกี่ยวกับการใช้บริการของผู้ใช้บริการที่ถือครองซิมการ์ด โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 16 ม.ค.67 ที่ผ่านมา ตามมาตรการกำหนดกลุ่มเป้าหมายเป็นสองกลุ่ม คือ ผู้ถือครองซิมการ์ด ตั้งแต่ 6-100 หมายเลข ให้ยืนยันตัวตนภายใน 180 วัน และ ผู้ที่ถือครองซิมการ์ด 101 หมายเลข ขึ้นไป ให้ยืนยันตัวตนภายใน 30 วัน  ซึ่งขณะนี้ในส่วนกลุ่มที่สอง (ผู้ที่ถือครองซิมการ์ด 101 หมายเลข ขึ้นไป) ได้ครบกำหนดแล้ว เมื่อวันที่ 14 ก.พ.67 ที่ผ่านมา กสทช. จึงได้ประชุมเร่งรัดให้ผู้ประกอบการทุกค่าย ดำเนินการระงับบริการ ตามเงื่อนไข ทั้งในส่วนของการโทรออก, การส่งข้อความ SMS 

และการใช้งานอินเตอร์เน็ต จะอนุญาตเพียงการโทรเบอร์ฉุกเฉินเท่านั้น จากสถิติของผู้ประกอบการที่รายงานมายัง กสทช. มีสถิติผู้ที่ถือครองซิมการ์ด 101 หมายเลขขึ้นไปมายืนยันตัวตน ดังนี้ เครือข่ายเอไอเอส ร้อยละ 58.56 ทรูดีแทค ร้อยละ 35 และ เอ็นที ร้อยละ 23.14 โดยจากการตรวจสอบพบว่า หมายเลขบางส่วนที่ยังไม่ได้มายืนยันตัวตน จะเป็นซิมที่ติดตั้งอยู่ในอุปกรณ์ต่างๆ ที่ไม่ได้รับข้อความ SMS แจ้งเตือน และบางส่วนเชื่อได้ว่าเป็นซิมเถื่อนที่อยู่ในมือแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และอาชญากรออนไลน์อื่น ซึ่งไม่กล้ามาแสดงตัวเพื่อยืนยันตน และกลุ่มนี้เป็นเป้าหมายของมาตรการดังกล่าว ในที่ประชุมได้กำชับให้ผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ทุกค่าย  เริ่มระงับการใช้ (การโทรออกและการใช้เน็ต) ตั้งแต่วันที่ 15 ก.พ.67 เป็นต้นไป ก่อนเพิกถอนการใช้ออกจากระบบต่อไป พล.ต.อ.ณัฐธรฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า ที่ผ่านมาได้พบว่ามีบุคคลบางกลุ่ม มีพฤติการณ์ปลอมแปลงเอกสาร หรือปลอมบัตรประชาชนในการจดทะเบียนซิมการ์ดโดยมิชอบ, ใช้บัตรประชาชนของผู้อื่น หรือลงทะเบียนด้วยข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง ในส่วนนี้ กสทช. ได้ประสานการทำงานกับผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ทุกค่ายอย่างใกล้ชิด และได้ส่งข้อมูลให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพื่อดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดต่อไป ซึ่งการกระทำในลักษณะดังกล่าว ถือเป็นความผิดฐาน ปลอมและใช้เอกสารราชการปลอม, ปลอมบัตรและใช้หรือแสดงบัตรปลอม และอาจเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ ด้วย ขบวนการเหล่านี้ถือเป็นต้นตอของปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่กำลังแพร่ระบาดอยู่ในปัจจุบัน ต้องถูกดำเนินคดีและกำจัดให้หมดไป

สืบนครบาลรวบสาวประเวศพร้อมซิมเถื่อน 200 ชิ้นอ้างทำกำไร

ตามนโยบายของ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รรท.ผบ.ตร. , พล.ต.อ.ธนา ชูวงศ์ รอง ผบ.ตร. , พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผู้ช่วย ผบ.ตร. , พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น. สั่งการให้ พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น. ให้ปราบปรามกลุ่มอาชญากรรมทางเทคโนโลยีที่สร้างความเดือดร้อนแก่ประชาชน โดย ซิมการ์ดเถื่อนที่ไม่ลงทะเบียนถูกต้องตามกฎหมาย

เมื่อวันที่ 4 เมษายน 2567  พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น. , พล.ต.ต.วสันต์ เตชะอัครเกษม รอง ผบช.น. , พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รอง ผบช.น. พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น.  , พ.ต.อ.เกียรติศักดิ์ สระทองออย รอง ผบก.สส. , พ.ต.อ.วิชิต ถิรขจรวงศ์ ผกก.สส.1 บก.สส.บช.น. , พ.ต.ท.พีรบูรณ์ แก้วดู รอง ผกก.สส.1 บก.สส.บชน. , พ.ต.ท.เอกศิษฐ์ วรกิตติ์ฐากรณ์ รอง ผกก.สส.4 บก.สส.บช.น. ปฏิบัติราชการ รอง ผกก.สส.1 บก.สส.ได้สั่งการให้  พ.ต.ท.พัฒน์พงษ์ กื้อมะโน สว.กก.วิเคราะห์ข่าวฯ ปฏิบัติราชการ สว.กก.สส.1 พร้อมชุดปฏิบัติการที่ 2   จับกุม 

นางสาวอนุสรา ชวนชม อายุ 23 ปีที่อยู่ 5 ซอยเฉลิมพระเกียรติ ร.9 ซอย26 แขวงหนองบอน เขตประเวศ กทม.  

ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน"เป็นธุระจัดหา โฆษณา หรือไขข่าวโดยประการใดๆ เพื่อให้มีการซื้อ ขาย ให้เช่า หรือให้ยืม บัญชีเงินฝาก บัตอิเล็กทรอนิกส์ บัญชีเงินอิเล็กทรอนิกส์ ตลอดจนเลขหมายโทรศัพท์สำหรับบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ ซึ่งลงทะเบียนผู้ใช้บริการในนามของบุคคลหนึ่งบุคคลใดแล้ว แต่ไม่สามารถระบุตัวผู้ใช้บริการได้ " สถานที่จับกุม บริเวณปากซอยชุมชนสระแก้ว แขวงทุ่งพญาไท เขตราชเทวี กรุงเทพฯ พร้อมของกลาง ดังนี้ ซิมการ์ด จำนวน 200 ชิ้น

พฤติการณ์ในคดี ก่อนจับกุม เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมได้รับคำสั่งจากผู้บังคับบัญชาให้ติดตามสืบสวนและจับกุม กลุ่มเป้าหมายผู้ที่ทำการลักลอบขายซิมโทรศัพท์มือถือที่มีการลงทะเบียนแล้ว ซึ่งเป็นที่อันจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่ประชาชน เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมจึงได้ทำการสืบทราบจนพบว่า ได้มีกลุ่มเฟสบุ๊คชื่อ “ซื้อ-ขาย ซิมลงทะเบียนมือ1 มือ2” ปรากฏอยู่ จึงได้ทำการสืบสวนไปภายในกลุ่มเฟสบุ๊คดังกล่าว จนได้เจอโพสต์เฟสบุ๊คของผู้ใช้ชื่อว่า “Valen Tine” ได้โพสต์ขายซิมโทรศัพท์ลงทะเบียนแล้วภายในกลุ่มดังกล่าว จึงได้ทำการติดต่อผู้ใช้เฟสบุ๊คดังกล่าว โดยการติดต่อนั้นได้มีการวีดีโอคอลกับเจ้าหน้าที่ตำรวจฝ่ายสืบสวน พบว่ามีซิมโทรศัพท์อยู่จริง ต่อมาผู้ใช้เฟสบุ๊ค “Valen Tine” ได้ให้ติดต่อผ่านแอพพลิเคชั่นไลน์ชื่อ “Kwon Kwon” พร้อมกับได้ให้เบอร์โทรศัพท์ไว้ติดต่อเบอร์ 0970819xxxโดยได้เสนอขายซิมโทรศัพท์ให้กับเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวนในราคาซิมละ 45 บาท โดยได้แจ้งว่ามีทั้งหมด 200 ซิม และได้ให้เลขบัญชีธนาคารไทยพาณิชย์ หมายเลขบัญชี 4260341xxx ชื่อบัญชี นางสาวอนุสรา ชวนชม ไว้สำหรับการโอนชำระค่าสินค้า พร้อมได้มีการนัดหมายให้นำซิมโทรศัพท์ดังกล่าวมาส่งที่ปากซอยชุมชนสระแก้ว แขวงทุ่งพญาไท เขตราชเทวี กรุงเทพฯ ในวันที่ 4 เมษายน 2567 เวลา 15.00 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจฝ่ายสืบสวนจึงได้แจ้งให้ผู้บังคับบัญชาทราบ และทำการวางแผนในการล่อซื้อ 

โดยผู้บังคับบัญชาได้มอบหมายให้ ร.ต.อ.พลวัต นาคถมยา รอง สว.กก.สส.1 บก.สส.บช.น. เป็นผู้ทำการติดต่อล่อซื้อ ต่อมาวันที่ 4 เมษายน 2567 เวลาประมาณ 15.00 น. ร.ต.อ.พลวัตฯ ได้รับการติดต่อจากเบอร์โทรศัพท์ 0970819xxx ว่าได้เดินทางมาถึงจุดนัดหมายแล้ว ร.ต.อ.พลวัตฯ จึงได้เดินทางไปยังจุดนัดหมาย พบนางสาวอนุสรา ชวนชม (ทราบชื่อ-สกุล ภายหลัง) ได้ยืนอยู่บริเวณดังกล่าว โดยได้แสดงกล่องที่บรรจุซิมไว้ ซึ่งได้ตรวจสอบพบว่ามีซิมโทรศัพท์แบบลงทะเบียนแล้วจริง จึงได้แจ้งเจ้าหน้าที่ตรวจชุดจับกุม ให้เข้าทำการจับกุมนางสาวอนุสราฯ และได้ทำการตรวจยึด ของกลางตามบัญชีของกลางแนบท้าย เจ้าหน้าที่ตรวจชุดจับกุมจึงได้แจ้งข้อกล่าวหาว่า “เป็นธุระจัดหา โฆษณา หรือไขข่าวโดยประการใดๆ เพื่อให้มีการซื้อ ขาย ให้เช่า หรือให้ยืม บัญชีเงินฝาก บัตอิเล็กทรอนิกส์ บัญชีเงินอิเล็กทรอนิกส์ ตลอดจนเลขหมายโทรศัพท์สำหรับบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ ซึ่งลงทะเบียนผู้ใช้บริการในนามของบุคคลหนึ่งบุคคลใดแล้ว แต่ไม่สามารถระบุตัวผู้ใช้บริการได้” และได้แจ้งสิทธิให้นางสาวอนุสราฯ ทราบจนเข้าใจแล้ว 

โดยในชั้นจับกุมนางสาวอนุสราฯ ได้ให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา โดยได้ให้การว่า ได้ทำการรับซื้อซิมโทรศัพท์จากแอพพลิเคชั่นออนไลน์แพลตฟอร์มต่างๆ ในราคาประมาณ 30-35 บาท เพื่อมาทำการขายต่อเพื่อเอากำไรจริง เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมจึงได้นำผู้ต้องหาไปยังที่ทำการพนักงานสอบสวน สน.พญาไท เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

🔹 นำตัวส่ง พนักงานสอบสวน สน.พญาไท เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top